4 สิงหาคม 2548 09:19 น.

ม่านฝัน..

พุด


เปลือกหอยร้อยเป็นม่านหวานไว้แหวก
ไว้จ่ายแจกเจิมใจคนไกลฝัน
ม่านทะเลเทคลื่นใจมอบคืนวัน
ราวม่านฝันวันเหงาเงียบเลียบทะเล..

หลับตานึกนอนเหยียดยาวนับดาวใส
คลื่นคลอใจเคล้าคลึงทรายคล้ายว้าเหว่
บทเพลงฝั่งร่ายมนต์หวานเรียกพรานทะเล
ที่ร่อนเร่เหใจร่างห่างฝั่งใจ...

กลับมาจูบผืนทรายให้สดชื่น
ทุกวันคืนพายุพัดขวัญฉันหวั่นไหว
จะร้อนหนาวสักกี่เศร้าฤดูกาลใจ
พรานทะลไยใจไม่เทียบท่าพาวกวน..

ม่านทะลคอยปิดฉากฝากใจรัก
ขอเพียงพักพิงพรานใจไม่สับสน
ฝากหัวใจในฝั่งฝันกลางกมล
กี่ลมฝนกี่พายุกล้าอย่าจำพรากจากอ่าวใจ!




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6370.html
ปลายฟ้า .........มะลิลา บราซิลเลี่ยน 

ปลายฟ้าปลายฟ้า
แค่หลับตาลง คงพบกัน
โอบกอดดวงใจ สายสัมพันธ์
ท่ามกลางความฝัน ของเรา
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล
คิดถึงเพียงเธอ
ในใจฉัน คิดถึง เพียงเธอ
ไม่มีคำใด จะแทน จิตใจ
มากมาย เท่าคำ นี้เลย
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล

คิดถึงเพียงเธอ
ในใจฉัน คิดถึง เพียงเธอ
ไม่มีคำใด จะแทน จิตใจ
มากมาย เท่าคำ นี้เลย
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล
ปลายฟ้า...


				
3 สิงหาคม 2548 10:22 น.

ผู้หญิงทะเลเหว่ว้ากับปลาสีเงินงาม...

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song413.html
.................
ภาคสองต่อจาก*ปานประหนึ่งฉะนั้น..จึ่งพาฝันเช่นฉะนี้*ค่ะ


เรือลำน้อยกำลังพาผมเข้าสู่ฝั่ง..แห่งความจริง
มิใช่ฝั่งฝันดั่งผมหวังวาดรอ...
และนั่น...
แผ่นดินกำลังใกล้เข้ามาๆทุกขณะ


ผมพยายามสมมุติว่าตัวเองคือ*พรานทะเล*
ที่กำลังเร่ร่อนรอนแรมกลางทะเลกว้าง..มานานนับเดือน
ที่มีเพียงแสงแห่งดวงดาราเป็นเพื่อนนำทางยามข้างแรม

และ...
ดั่งเข็มทิศนำเรือชีวิต...
ให้มิหลงทางไปกลางกระแสเชี่ยวเกลียวชล
อย่างไร้คนไร้ใครเคียงข้าง
อย่างอ้างว้างดายเดียวในทะเลโลกย์อันแสนกว้างใหญ่ลำพัง


มีเพียงท้องทะเลรอรับร่าง
มีเพียงดวงดาราพากันกระพริบตาร่ำไห้ อย่างไร้น้ำตาผู้ใด

มันคงหนาวเยือกในหัวใจในนาทีนั้น 
กับวันแห่งการพรากจาก
ที่เราทุกคนคงอยากให้มีมือผู้ที่รักคอยปิดเปลือกตา


แต่ทว่า
จะมีใครกันกี่คนที่โชคดี ในนาทีสุดท้ายหมายมั่นนั่น

นอกเสียจาก...
ดวงตาสวรรค์จะเมตตา...ฟ้าดินเท่านั้นจะปรานีรับรู้
ว่าคุณจะอยู่หรือจะไปในห้วงแห่งกาลเวลาใด
ใครกันจะผัดเพี้ยนพญามัจจุราชได้ทันท่วงที 
และ
มีหรือที่นรกสวรรค์จะปรานี
หากชะตาพรหมถึงเวลากำหนดนัดแล้ว..!



บางครั้ง...
ผมก็เบื่อหัวใจดวงนี้
ที่มักจะชอบคิดอะไร
ที่แผกไปจากผู้คนบนผืนโลกนี้

ที่มักจะคิดว่า
*ความสุขข้างหน้าคือสิ่งสำคัญที่เราควรรีบตักตวงกอบโกย
ยอมแม้จะเป็นขโมยทรัพยากรทุกสิ่งที่ขวางหน้า...
เพื่อตัวข้าและพวกพ้อง
หวังครอบครองโลกด้วยศิวิไลซ์วัตถุ 

โดยหารู้และตระหนักไม่ว่า
แท้ที่จริงแล้ว
เราแค่มาเป็นแขกของโลกนี้ชั่วครู่ชั่วคราว

เขาให้น้ำให้ข้าว
ให้ที่นอนยารักษาโรคก็น่าจะพอแล้ว
ควรจะช่วยกันเก็บกวาดเช็ดถู 
ดูแลให้ดี ก่อนที่จะพรากไปอย่างผู้สำนึกในบุญคุณ


ผม...จึงเพียรคิดถึงค่าคำมรณานุสติ
ให้มากำกับจิตไว้เสมอ ๆ
จะได้มิเผลอ*อยากมากไปเสียจนเกินคำว่าพอดีพอใจ

ผมแค่หวังขอเกิดมา
จักดำรงรู้อยู่อย่างสมถะพอเพียง รู้เพียงพอ
และ...
ขอให้ได้มีโอกาสโอบเอื้อเกื้อรัก
รู้ปันแบ่ง*ให้* ผู้อื่น*ที่ยังยากไร้อดมื้อกินมื้อ..
ฉันท์เพื่อนมนุษย์ร่วมโลก
ผู้มาร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นด้วยเถิด


กับได้มาเกิดมาทัน
*ในร่มเงาแห่งยอดพระพุทธศาสนา ยอดพระรัตนตรัย
ทันได้ฝากกายใจไว้พักพิง
และ
เพียรพาชีวีไปตามเส้นทางสีขาว
เส้นทางที่
แสนสว่างสะอาดสงบตามรอยพระบาทแห่งองค์พระบรมศาสดา

ก่อนที่
*วันที่โลกนี้จะถึงกาลเวลาแตกดับ
ตราบชั่วกาลกัลปาวสานต์*
ตามคำทำนายที่ว่าไว้ว่าคงมิช้านาน...



ผม..พยายามหยุดความคิดไม่ว่าถูกผิดลง
อย่างปลงตกอย่างยอมรับว่า
โลกที่เต็มไปด้วยคนเกือบหมื่นล้านคนนั้น
ย่อมต้องมีปัญหานานาจิตตัง
หวังเหลือ..*คนเต็มคน*
ที่พอจะเรียกได้ว่ามนุษย์มนาสักครึ่งหนึ่งก็ยังดี

คนที่ไม่เบียดเบียนโลกและเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง
และพร้อมที่จะ
บรรเลงบทเพลงรักบทเพลงธรรม
มาคุ้มกันให้โลกนี้ได้สมานฉันท์สามัคคี
ได้อยู่ดีมีสุขดับทุกข์ร้อนไปตราบนานแสนนาน
....................



เรือ...กำลังเทียบท่าแล้ว
ผม..สพายเป้ และสวมแว่นตากันแดด
พร้อมเริ่มการผจญภัย
ที่ผมตัดสินใจเพียงวูบเดียว
ทันที่ผมพบข้อเขียนใครบางคน
*ถึงเกาะในฝันสวรรค์หวานแห่งนี้*

และ...
ศึกษาข้อมูลจากเวบไซท์
ที่ได้นำมากล่าวถึงไว้แทบทุกแง่มุม....

ทั้งงามและง่อนแง่นแคลนคลอน
น่าอ่อนใจกับความศิวิไลซ์จากผู้คน
ที่พากันขนานนามตนว่า
มาจากประเทศอารยะธรรมเจริญสูงสุด
แทบทุกมุมโลก 



ที่พากันหลั่งไหลแบกเชื้อโรคร้ายมาฝาก
ให้กระแสเงินเชี่ยวกรากลากกิเลสคนให้แสนวายวุ่น
ให้วัยรุ่นวุ่นรัก
รับเรื่องเซ็กส์แบบไม่ได้กลั่นกรอง 

แค่มองตามทำตาม อย่างผู้ที่กำลังอยู่ในวัยอลวน 
วัยที่กำลังอยู่ในวังวนอันตราย
ราวกำลังขับรถเข้าทางโค้งแห่งชีวาชีวิตเลยทีเดียว 
และ...
หากพลาดผิดมันคือนรกรอ 
ไหนจะแม่พ่อที่คงพากันเศร้าโศกสะเทือนใจ
 ไม่ว่าจะจะหลงทางเข้าไปสัมผัสยาเสพติด 
หรือใช้ชีวิตแบบมิยั้งคิดยั้งทำ...



ผม....เลือกโดยสารด้วยรถแท๊กซี่
ที่ใช้รถสองแถวแทน และที่ดีมากคือราคา

ที่ณ..บัดนี้พัฒนา
ไปในทางมิเอาแปรียบทั้งไทยเทศ ราคาเท่าเทียมเท่ากัน  
อย่างยุติธรรมสมคำ
*เมืองแห่งสวรรค์รอยยิ้ม
*มิใช่...เมืองแห่งความปลื้นปล้อนหลอกลวงเอาเปรียบ*
.........


ผม...พักที่บังกาโลว์เล็กๆ
ในโค้งอ่าว ไม่ไกลท่าเรือมากมัก ที่ยังงามเงียบสงบ

บังกาโลว์ที่ชื่อว่า*บ้านสบายๆ*
แค่ชื่อ...ก็เรียกรอยยิ้มอิ่มเอมให้ผมแล้ว
และ
ก็นานหลายวันที่ผมมาฝังฝากตัวอยู่ ณ ที่นี่
 ที่ที่ผมคิดว่าตัดสินใจไม่ผิด
ด้วยได้เห็นทั้งสองด้านแห่งภาพชีวิต ราวขาวดำ



ด้านขาวนั้น...
 คือ บรรยากาศแสนสงบสุข 
ในทุกเช้า 
ผมจะนอนในบังกาโลว์เล็กๆที่ออกแบบอย่างเรียบง่าย
ที่มีชานไม้ยื่นเคียงทะเลพอที่จะได้ยินคลื่นเห่จูบหิน

มีสายลมระริน
ที่พัดพาเอาหอมหวาน
แห่งมวลแมกไม้ไทยอย่างลีลาวดี 
และ
พุดซ้อนให้มาอ้อนหวานแทบถึงเตียง
มาเคียงข้างปลอบปลุกประโลมใจ 
ให้คนหัวใจเหงาดายเดียว  นอนลำพัง ได้แย้มยิ้มอย่างสุขใจ



และ....
ทุกเช้าเย็น
ผม..จะออกวิ่งไปตามโค้งหาดทรายขาวยาวเหยียดสุดตา 

จากโค้งหาดหนึ่งไปยังอีกโค้งหาดหนึ่ง
เพื่อสัมผัสตะวันแรกแย้ม
ที่แต้มหอมแทรกหวาน ณ..กลางกลีบมวลดอกไม้ให้สยายกลีบ
ให้น้ำค้างรีบเร่งสลายลาไปกับแดดอันอ่อนอุ่นโอบหล้า


ที่หมุนละมุนมาทายทักโลก
ผ่านดงมะพร้าวเหนือเนินผา 

ให้ฟ้าแสนสวยด้วยไรแสงแห่งชมพูแพรวพรายฉานฉาย
ยามอาทิตย์อุทัยชักรถมาอย่างช้าช้า

และ...
ให้ทะเลสีเงินยวงตรงหน้าผม...ก็พลันพาแปรสีไปตามแสง
ที่ค่อยๆแรงร้อนตามลำดับ


ส่วน...
ยามตะวันรอนอ่อนแสง
รออาทิตย์ลาลับฟ้า...ไปชั่วคืนชั่วคราวนั้น

ผมจะนอนฝันเฝ้าดูสุริยเทพผันดวงสู่มหานทีทอง
ผ่านเกาะสองเกาะตรงหน้า
ที่งามเกินกว่าจะหาคำมาบรรยายเลยทีเดียว
ดั่งแสงสีมณีรุ้งจรุงสุกปลั่งช่างแสนจรัสเจรืองเสียเหลือเกิน..



และ...!
นั่นคือ ภาพด้านขาว
ราวหลอมละลายใจผมให้แสนสุขสงบใจ

ให้คุ้มจนเกินคุ้ม...
ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาหลายร้อยไมล์
เพื่อมาประทับใจ มาค้นหาความฝัน ในแผ่นดินที่รัก 
*พสุธาไทยพสุธาทอง...ณ..กลางเกาะแห่งนี้*



ที่มาตรแม้น
จะเป็นเกาะกลางอ่าวไทยไกลปีนเที่ยงก็ตามที

หากคือที่ที่ผมอยากจะมาสัมผัสด้วยสายตา
พาสายใจสายใยรักมาทายทักแผ่นดินที่นี่
เพราะความสงสัยและอยากประจักษ์แจ้ง
ว่าเหตุใดที่นี่จึงมีผู้คนดาหน้ากันมาจากทั่วทุกมุมโลก

มาชื่นชมดินแดนแห่งมนต์ขลังสวรรค์หวาน
พระจันทร์บานเท่ากระด้ง
อันแสนสุกสกาวบนราวฟ้า
ที่ใครๆพากันกล่าวขานว่า
*ช่างเป็นดวงจันทราที่งามที่สุดในโลก*



ส่วน...ภาพด้านดำไร้ดี ที่แสนจะน่าเบื่อน่าเป็นห่วงคือ
ภาพบรรยากาศ ปาร์ตี้
ที่พวกผีบ้ามาอาละวาดร้องเล่นเต้นรำกันในทุกยามไม่ว่า
เป็นแบ๊ลกมูน ฮาฟมูล ฟูลมูน 
ที่ช่างหาเรื่องพูนเทวษทุกข์เสียไม่มีสำหรับผม..



คนที่ไม่อยากสนใจเรื่องสุขใดในกิเลสต่อไปอีกแล้ว
ตั้งแต่พบเส้นทางทองทางธรรม
ทางแห่งความเข้าใจโลกโศกสุขนี้ว่า...คือทุกข์ทนวนว่าย
ให้เราจำต้องมาเวียนชดใช้วิบากกรรมกันอย่างมิจบสิ้น
 
ให้ถวิลวงในวังวนแห่งรักนี้
 ที่มักจบด้วยทุกข์เฝ้าแฝง...
ให้ใจพบแรงร้อนเร่ารุมรัดรึงตรีงร่างแบบมิพ้นพันธนา ในที่สุด..




แล้ว......!!!!!
ทุก เรื่องราวและทุกข์เรื่องรัก
ก็มักจะรอเวลาเกิดขึ้น....!!!!

หากเรายังจำต้อง*มีใครคนหนึ่ง*  
รอก้าวเข้ามา*ดั่งชะตากรรม*
* ดั่ง*คู่สร้างคู่สมคู่บุญคู่บารมี*
ที่เพียรหนีมิพ้น

ราวรอท่าให้เราชดใช้วิบากเก่าเราเคยทำนี้ 
ให้หมดหมดไป ให้หมดจดใจ *ดั่งคำอธิษฐานจิต*



ที่ผมเคยนิรมิตเห็นในฝันมานับครั้งไม่ถ้วน
ถึงใครคนหนึ่ง!
ที่มักมาปรากฎ ในคะนึงฝันในชุดสีขาวล้วนๆเสมอมา

และแล้ว....
ในเส้นทางกรรม ที่คงตามมาย้ำรอย 
หากชรอยจะเป็นดั่งรอยบุญหนุนนำ
ดั่งรอยกรรมรอยเกวียน
ดั่งบทเพลง


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song100.html

แต่ปางก่อน..

ช....รอ คอย เธอมา แสน นาน
ทรมาน วิญญาณ หนักหนา
ระ ทม อยู่ใน อุ รา
แก้วกานดา ฉันปองเธอผู้ เดียว
ญ....เธอเอย แม้เราห่างกันแสนไกล
ชาย ใด ดวงใจฉันไม่แลเหลียว
รัก เธอ แน่ใจจริงเชียว
รัก เธอ รักเดียว นิรันดร์
ช.....แม้ มี อุปสรรค ขวาก หนาม
ญ.....ขอ ตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน
ช.....จะชาติไหน ไหน ไม่ยอมห่างไกล กัน
ญ.....ดวงจิตผูกพัน รักมั่นมีไว้เพียงเธอ
ช-ญ....คง เป็น รอยบุญมาหนุน นำ
รอย กรรม รอยเกวียนหมุนเปลี่ยนเสมอ
ให้ เรา ได้มา เจอะ เจอ
ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย

ช....แม้ มี อุปสรรค ขวาก หนาม
ญ....ขอ ตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน
ช....จะชาติไหน ไหน ไม่ยอมห่างไกล กัน
ญ....ดวงจิตผูกพัน รักมั่นมีไว้เพียงเธอ
ช-ญ.... คง เป็น รอยบุญมา หนุน นำ
รอย กรรม รอยเกวียนหมุนเปลี่ยนเสมอ
ให้ เรา ได้มา เจอะ เจอ
ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย...
.


 ผมจึงต้องมานั่งบรรเลง
บทเพลง*สุดท้ายแห่งรักนี้...ที่รอคอยมาแสนนาน*
ราวชั่วกาลกัปป์กัลป์

ทั้งๆที่เพียรพยายามหลีกลี้หนีรักให้พ้นเสียที...แล้ว



แต่...
กับ...
ณ..วันนี้ ในยามเช้าหนึ่งนี้
ที่ตะวันก็ยังดวงเดิมเหมือนเดิม
หากที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ
เธอ...!

เธอ..ผู้หญิงเหว่ว้า
ที่สารภาพว่ารักทะเลและทุกสรรพสิ่งไม่ว่าดินน้ำลมไฟ
รักในทุกธรรม  ธรรมชาติพิลาสพิไล
ที่ยังแสนให้งามเงียบในดวงใจพบความสงบสุข


เธอ..
ที่มาพร้อมกับแสงตะวันจ้า ในยามอุษาวดี 
ที่แม้นดวงดอกลีลาวดียังมาคลี่รักรอแย้มริมกลางกลีบเกสรใจ
ให้บานไสวแสนหอมหวานปานประหนึ่งน้ำผึ้งรวงก็มิปานประมาณนั้น



เธอ...
ในชุดนักกีฬาสีขาว รองเท้าผ้าใบ
ที่กำลังเป็นจุดเล็กๆค่อยๆเคลื่อนเข้ามา
จากโค้งหาด...มาวาดวนพิศวาท..ในโค้งใจคลองตาผม

ใกล้เข้ามา ....ใกล้เข้ามา...ทุกขณะ
 และแปลกที่ว่า


ในมือเธอ ที่กำลังวิ่งเหยาะๆออกกำลังกายนั้น
มีปลาตัวใหญ่ห้อยเชือกร้อยให้หิ้วถนัดมาด้วย

เธอ..ชะลอผีเท้าเมื่อเข้าใกล้บังกาโลว์
ที่นาทีนี้ผมนั่งเหนื่อยหอบบนเปลยวน
หลังวิ่งออกกำลังมาจากอีกฟากโค้งอ่าว
ให้เจ้าสุนัขเพื่อนยากนอนหมอบเคียงกัน

และพลัน
ที่สุนัขเห่าขรม จนผมต้องลุกขึ้นมาปกป้องผู้บุกรุก

เธอ..คลี่ยิ้มรับสายตาผมที่ไล่เลียงไปตามร่างอย่างชั่วแวบ
ร่างอรชรที่ดูแสนอ่อนหวาน
หากแฝงฝังความแข็งแรงแบบคนชอบเล่นกิฬา
ผิวเธอสีน้ำผึ้งคล้ามแดด
เผยให้แสนตรึงตา.ตราตรึงน่าคะนึงหา
และ
ตามมาด้วย
คำถามจากเธอในนาทีแรก
ที่ราวแหวกห้องใจผมที่ปิดมานาน...
ให้บานราวดวงดอกไม้ได้ฝนรอสะพรั่งพรึบ..!!!!



*คุณ..พักที่นี่เหรอคะ*
คุณคงสบายๆดีแบบชื่อบังกาโลว์นะคะ
ว่าพลางเธอคลี่ยิ้มตลกๆ
ที่นี่เป็นของน้องสาวฉันเองค่ะ 

*ขอขอบคุณแทนนะคะ
ที่มาพักและทนรับฟังเสียงดังเฮฮายามปาร์ตี้ได้
เพราะ..ว่า
ฉันเองยังต้องหนีเลย...
แม้น้องจะขยั้นขะยอให้มาพักเสียที่นี่  ก็ตามที...*
 ว่าแล้วเธอก็หัวเราะขำตัวเอง..


และ
นั่นคือน้ำคำดั่งน้ำค้าง...ที่ผมบอกไม่ถูกดอกว่า
หากกับคนที่ใช่เลยนั้น
มันจะมีอะไรพิเศษบางอย่าง
ที่เราสามารถจับต้องประทับจิตประทับใจ...ตั้งแต่นาทีแรก

เหมือนไม่เอาพระเจ้าก็จะแจกให้ลองรัก....ประมาณนั้นประมาณนี้

ที่ไม่ต้องสวยไปกว่านั้นหวานไปกว่านี้แบบเพลงคนนี้ที่ใช่เลยใช่เลย



ผมคนเฉยๆชาชา กับผู้หญิงมากหน้า
ที่เคยมาเวียนว่ายในวงชีวิต
หากยากจะพิชิตใจ .


ผมจึงตอบถ้อยร้อยรัด
ราวพบวิบากรักแบบหนีไม่พ้นแล้วเมื่อย้อนนึก

*ครับ...ผมพักที่นี่และดีเสียอีกครับ
ที่ได้สัมผัสบรรยากาศทั้งสองด้านทั้งดีร้าย
ผมทนได้ครับ
หาก เบื่อเสียงดังในบางคืน
ผมก็ไปเดินลำพังตามหาดกว้างร้างไร้ใคร
ดูดาวเดือนสุกใสดวงโต
ที่ผมสงสัยจังว่าทำไมดูแสนใกล้ราวจะเอื้อมมือไขว่.. คว้าได้



อ้าว..!แล้วนั่นปลา...
คุณทำท่าราวกลัวมันจะหลุดมือ ไม่ยอมวาง*

*วางก่อนสิครับ 
แล้วคุณได้มาจากไหน 
อย่าบอกนะครับว่าคุณไปตกมา
และ
ผมแสนแปลกใจที่เห็นภาพคุณราวผู้หญิงแบกปลาในภาพหนึ่ง
ที่ผมแสนประทับใจนานมา หากภาพคุณเพียงหิ้วปลามาแทน*



เธอ..หัวเราะเสียงใส ก่อนจะสารภาพว่า
มีชาวประมงที่รู้จักยกให้
และ
บอกให้เธอนำมาให้แม่ครัวที่นี่ทำให้
ด้วยรักหวังดี 
ที่อยากให้เธอได้รับประทานปลาสดรสดี
ไร้สารเคมีที่เพิ่งขึ้นจากทะเลใหม่ๆ

ทั้งๆที่บอกแสนสงสารปลาที่ถูกล่ามามากมาย 
หากทว่า
ที่นี่คือกฎแห่งการอยู่รอดของชาวบ้านชาวประมง
และ
สำหรับเธอเลิกบริโภคเนื้อสัตว์ใหญ่นานมาแล้ว 
จะหนักไปผักปลาและอาหารทางชีวจิต
 เพราะมิคิดมิอยากเบียดบียนแม้เพื่อนสัตว์ร่วมโลก


ผม...ฟังเธอ อย่างซึ้งใจในทัศนะที่ได้ยินเพียงแค่ไม่กี่คำ
และนั่นคือ ฉากแรกครับ..
สำหรับบทเริ่มต้นตำนานรักแห่งชีวิตของผม.


ส่วน.!!!!
ฉากอื่น...จะหวานชื่น
หรือ
รอให้ลุ้นตื่นเต้นว่าผมกับเธอ จะพากันเดินไปในเส้นทางสายไหน
ระหว่าง
ทางดายเดียวเสีขาวพราวธรรมะ
กับ
เส้นทางสายน้ำผึ้งรวง
ว่า..


ผมกับนางเอกจะยอมเปล่าเปลืองกายจิตยอมฝืนลิขิตชะตา
ยอมพาตนให้ติดตมจมทะเลน้ำตาลน้ำผึ้ง
หรือ....จะ
ผึ่งผุดพ้นโคลนรักพันธนาแบบบัวบูชา

ก็จำต้องปลอ่ย
ให้กับ*กาลเวลา*เป็นเครื่องช่วยตัดสินใจ..ครับ..!!!!!



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song413.html

กาลเวลา

ฉันปล่อย ให้กาล เวลา
ตัดสิน ชะตา ปัญหา หัวใจ
แม้ จะรักเธอ รักเธอ เท่าใด
แต่ หัวใจ ดวงนี้ มีสิ่ง ผูกพัน
ขอให้ เป็นเพียง การคอย
อย่างน้อย เรายัง เรียนรู้ ใจกัน
เพราะว่า หัวใจ ของเรา ผูกพัน
วันหนึ่ง วันนั้น
ความฝัน อาจ เป็นความจริง
เรารู้ การคอย คือการ เจ็บปวด
เป็นความ เจ็บปวด
รวดร้าว ใจทุกสิ่ง
ทุกหยด ของกาล เว-ลา
ที่ ปรารถนา และ ความจริง
คอยสิ่ง ที่เรา มั่นใจ
ฉันปล่อย ให้กาล เวลา
ช่วยชี้ ชะตา ไม่รู้ วันใด
แม้ จะต้องคอย และคอย ต่อไป
นาน สักเพียง ไหน
ปล่อยให้ กับกาล เวลา

เรารู้ การคอย
คือการ เจ็บปวด
เป็นความ เจ็บปวด
รวดร้าว ใจทุกสิ่ง
ทุกหยด ของกาล เว-ลา
ที่ ปรารถนา และ ความจริง
คอยสิ่ง ที่เรา มั่นใจ
ฉันปล่อย ให้กาล เวลา
ช่วยชี้ ชะตา ไม่รู้ วันใด
แม้ จะต้องคอย และคอย ต่อไป
นาน สักเพียง ไหน
ปล่อยให้ กับกาล เวลา...


				
2 สิงหาคม 2548 10:13 น.

ปานประหนึ่งฉะนั้น..จึ่งพาฝันเช่นฉะนี้..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6370.html

กัปตันของสายการบินกรุงเทพ-สมุย
ของเที่ยวบินBKK320
กำลังประกาศให้ลูกเรือและผู้โดยสารหลากชีวิตหลายเชื้อชาติ
ได้รับทราบทั่วกันว่า...
อีก 8นาทีข้างหน้า
นกสีเงินอิสราจะทำการลดระดับเพดานบินลงสัมผัส
ท่าอากาศยานที่งามแปลกแห่งหนึ่งในโลก

หากผู้โดยสารท่านใดมึนไวน์ฤาหลับฝันไป
เมื่อลืมตาตื่นอาจจะคิดว่า
*นี่คือสนามบินของเกาะในฝันสวรรค์สวาทสักแห่งหนึ่งในพื้นพิภพ*


เขา...
ผู้ชายนัยน์ตาสีน้ำผึ้ง...ร่างเพรียวผิวเข้ม
ค่อยๆขยับตัวจากท่าที่กำลังแนบหน้าต่างดูเวิ้งทะเลเบื้องล่างสีมรกต
และหมู่เกาะเล็กเกาะน้อยที่ทอยทอดตัวหมอบในอ่าวไทย
ที่แสนงดงามราวเมืองมหัศจรรย์แดนดินในฝันในเทพนิยายผจญภัย...


เขา...
ยิ้มเศร้า...
ราวกับรำลึกถึงใครสักคนในคลองใจอยากให้มาเคียงข้าง
มิให้ร่างของเขาอ้างว้าง...ราวกับนกไพร
พอกันกับนกเหล็กสีเงินที่ไร้ชีวิตจิตใจที่กำลังเหินบิน
เขา...
เพียงอยาก..มีใครสักคนในนาทีนี้ในอ้อมใจ
ให้ได้เคียงไหล่และเกาะกุมมือไว้
เพียงเพื่อได้เอนตัวไปกระซิบคำซึ้งๆสักคำ...
ถึง
ทุกสิ่งอันแสนงามงด
ที่ปรากฎในคลองตาคลองใจ
ที่หวังเพียงอยากมีใครสักคน
ที่เขาพลีใจมอบถวายให้ทั้งดวง
ได้มาแบ่งปันมาฝันพลีด้วยกัน
ในยามนี้...
ที่เขารู้สึกแสนดายเดียว
เมื่อเหลียวไปเห็นหลายคู่รัก
กำลังรื่นรมย์กับทัศนียภาพเบื้องล่าง
ณ..ผืนน้ำสุดขอบฟ้า
และ..
กับนาทีที่แสนตื่นเต้นสำหรับผู้มาเยือนครั้งแรกจากแดนไกลลิบหล้า


เขา....
จรดปลายปากกาลงรจนาข้อความในสมุดบันทึกเพื่อนยาก
เขียนความรู้สึกในนาทีอันแสนอิ่มเอมนั้น
ที่พลันเหลียวไปทางไหนหาใครไม่มีไว้ดั่งนี้....


*เหลียวหา...จนสิ้นฟ้ามหาสมุทร
มิสิ้นสุดรักเธอตราบอสงไขย
กาลเวลาแม้นเลือนลับจำดับร่างห่างดวงใจ
เจ้าจอมใจเจ้าจอมขวัญ..วิญญาณนั้นจักล่องลอยคอยเพียงเธอ..!

..............

ทะเล  ทิวมะพร้าว หาดทราย สายลม แสงแดด
เสียงคลื่น กำลังร้องเพลงละมุนๆหมุนเกลียวกระทบฝั่ง
เพื่อต้อนรับอาคันตุกะจากทั่วทุกมุมโลก
เพราะเพียงไม่กี่ราตรีถัดจากนี้ 
จะมี...*ฟูลมูนปาร์ตี้ที่พะงันสนั่นเมือง...*



หากทว่า..
สำหรับเขา...คนดี...ผู้ชายรักชีวิตติดดิน
อดคิดไม่ได้ว่าช่างแสนเปล่าเปลืองจิต
ให้เสียเวลานาทีแห่งลมหายใจของชีวาชีวิตอันมากมีค่า


ที่ต่างพากันมาอุทิศร่าง
ต่างพากันกระโดดลงไปว่ายวน
ในทะเลบ้าในทะเลน้ำตาทะเลกิเลสโลกย์
รับโศกรอ...!..ด้วยเหล้าและยาเสพติด
ให้สารพิษพึงกล่อมใจดับทุกข์ร้อน

ให้หลอมคนราวไฟลนในวังวนพาไปลงเหวลึก..
ที่ราวโคคึกในเบื้องต้น...หากหาตะเกียกตะกายพ้นไม่
ต้องไปรับวิบากกรรมจำต้องชดใช้ดั่งผีร้ายในก้นเหวนรกนั่น...!


เพราะเขาคอยคิดฉะนั้นจึงเป็นเช่นฉะนี้
ที่แม้นชีวีเขาจะขาดคนรักที่เขาแสนภักดี
เขาจึงยังคงมีความสุขในความดายเดียวเปลี่ยวร้าง
อย่างแสนอ้างว้างลำพังมาได้นานวัน


และ
พร้อมปณิธาณว่าจักดำรงตน
ให้พ้นน้ำดั่งบัวบุศย์พิสุทธิ์งามตามรอยบาทพระพุทธองค์..
ที่ทรงค้นพบทางทองทางธรรม
และ
นำมาวางทอดพลีให้แด่พุทธบุตรพุทธธิดา
อย่ามัวรอรีก้าวตาม....อย่างผู้รู้ทันโลก อย่างผู้เหนือโลก..
เพียรหนีโศกสุขสิ้นมิถวิลหวนไห้ในรักใดนาน...

รู้ตามลมหายใจรู้เติมจิตภายใน
ให้สวยใสกระจ่างสว่างสงบ
สยบทุกผัสสะมากระทบ
ที่จักพาไปพบพานกิเลสรักว่ายวนวงเวียน
...............


เขา...วูบไหวไปตามสายตา
ที่พาสายใจอันแสนดีงามตามความคิดที่ติดปีกปรุงราวจรวด
ที่กวดไล่แทบไม่ทัน
เพราะมันไวยิ่งกว่าแสง
พาให้แรงร้อนรุมเร้ารัดรึง
ตรึงจิตพันธนาวิญญาณได้อย่างหาใดทานเทียม.....
ใช่ใครทำ...หากมันซ่อนราวซาตานในร่างเรา
ราวเงากรรมกงเกวียนคอยเวียนวน
พาเราให้ลงเหวร้ายเหวรักยามเหงาดายไร้ธรรมกำกับจิตได้ทันนี่เอง
.........

เถอะนะ...
ว่าแล้ว...คนหนุ่มอย่างเขาก็ยังต้อง
ปล่อยให้เงากรรมมาทาบมาฉาบไล้บ้างอย่างปุถุชน
เพียงไม่ปรนไม่เปรอ
ไม่เผลอให้มาครอบครองทั้งใจร่างนานก็แล้วกัน
อย่าง
เพียรรักษาศีลฝึกสมาธิเพื่อมีปัญญา
พารู้ทันตามเท่าอย่างเข้าใจตัวตนเองก็พอแล้ว

ให้คิดดี พูดดี ทำดี รู้คบคนดี ไปในสถานที่ดีดี
ที่เราเลือกได้...
ใช่...!ให้ใครให้ใจกระเจิงมัวเมาเขลาโง่คอยลากชักจูงไป...ก็ใจเราเอง...
.............


กลับมากำกับกับลมหายใจปัจจุบันขณะดีกว่า
ที่ ณ...บัดนี้
เขา...
กำลังนั่งทอดตาเหนือท้องทะเลสีคราม
ที่กำลังถูกอาบไล้ด้วยดวงดอกฝนปริบปรอย
ที่คอยจะพาให้หัวใจแทบปลิดปลิวไปทั่วทั้งท้องน้ำ
บนระเบียงเรือสปีดโบ๊ท..

ที่กำลังแหวกคลื่นฝันทะเลอันแสนรัญจวนใจ
อย่างแสนเงียบงามแสนสงบสุข
ราวกับโลกนี้สิ้นทุกข์ใด
ไร้ใครคนมากมายมากมี
แบบในราวเมืองเรืองรุ่งในกรุงกรง

ราวนกหลงไพรไร้ฝั่งฝัน 
ราวชีวิต..ลอยกลางลำเรือ...ในทะเลกว้างอย่าง..*พรานทะเล*
ที่ถึงจะเหว่ว้า หากทว่าแสนเงียบงามใจในดายเดียว..ลำพังนั้น


เขา..ค่อยๆดึงหมวกสานจากใบจาก
ฝืมือชาวบ้านชาวนามาสวมใส่กันฝน

ในกมลนั้นราวได้ยินบทเพลงเนรัญชราบรรเลง
พลีพร้อมไปกับสายฝนพรำกับพระแม่คงคามหานทีทอง...
ที่ราวกำลังพาเขาลอยล่องท่องสู่แดนนิพพานปานประหนึ่งฉะนั้น........

.......................

รอติดตามภาค2  
*ผู้หญิงเหว่ว้ากับปลาทะเลค่ะ*






http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6370.html
ปลายฟ้า .....มะลิลา บราซิลเลี่ยน 

ปลายฟ้าปลายฟ้า
แค่หลับตาลง คงพบกัน
โอบกอดดวงใจ สายสัมพันธ์
ท่ามกลางความฝัน ของเรา
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล
คิดถึงเพียงเธอ
ในใจฉัน คิดถึง เพียงเธอ
ไม่มีคำใด จะแทน จิตใจ
มากมาย เท่าคำ นี้เลย
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล

คิดถึงเพียงเธอ
ในใจฉัน คิดถึง เพียงเธอ
ไม่มีคำใด จะแทน จิตใจ
มากมาย เท่าคำ นี้เลย
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล
ปลายฟ้า... 
 



				
31 กรกฎาคม 2548 23:13 น.

แด่บุญชิดใจ..นัยน์นา..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4603.html


ฟ้าไร้ดาวหนาวเมฆฝนมากี่คราแล้ว
หอมดอกแก้วยังคงพร่างกลางอุษา
มะลิวัลย์ยังพันเกี่ยวใครลับลา
ฟ้ายังคงเป็นสีฟ้าเฉกเช่นเดิม

ใครจะอยู่จะไปในโลกฝัน
คนช่างฝันสวรรค์รอพ้อพร่างเพิ่ม
ยิ่งเงียบงามทุกโมงยามวันเดิมเดิม
ถึงเหงาเพิ่มถึงเศร้าซ้ำยังย้ำคำ

โรแมนติกคนเดียวในเปลี่ยวร้าง
จุดเทียนพร่างสว่างหอมระรินร่ำ
สวดมนต์หน้าองค์พระพุทธิ์น้อมนำธรรม
ฝากน้ำคำดั่งน้ำค้างลงพร่างใจ

แล้ว...
พลีจูบกลางกลีบหอมดวงดอกพุด
หอมพิสุทธิ์ซ่อนพราวราวร้าวไหว
กลิ่นละมุนบุญเหลือพบงามใจ
สาวบ้านไพรใจบ้านนาฟ้าประทาน

สยายผมฟังเสียงฝนยามโพล้เพล้
โอ้ละเห่จำปีพรากจากกอหวาน
ลั่นทมพร้อมยอมระทมบานตระการ
ช่อเศร้ารานหากไยเล่ามิเศร้าใจ

ฟังเพลงเศร้าเคล้าบทธรรมนำมาสอน
สัจจะย้อนสอนจิตว่างกระจ่างใส
ดั่งบัวบานไกวกิ่งก้านพ้นโคลนใจ
บานไสวรอแสงทองส่องนำทาง

แล้วยิ้มเศร้าราวเย้ยโลกโศกและสุข
พบวิมุตติหลุดพ้นพบทางว่าง
กระจ่างจิตชีวิตหนึ่งซึ้งพบทาง
ค่อยก้าวย่างตามรอยมิคอยใคร

ภาวนาทุกนาทีเพียรมิท้อ
แตกยอดกอสมาธิผลิไสว
ตายก่อนตายฝึกเอาไว้รู้ทำใจ
จิตเย็นใสไม่ห่วงกายไร้ไยดี

ในราตรีที่ไร้ดาวพราวพร่างฟ้า
พบแสงจ้าดาวธรรมนำชีพนี้
ดั่งเรือน้อยลอยลำไปกลางมหานที
ฝากชีวีพลีพร้อมยอมลำพัง

จะกี่ชาติกี่ภพจบสิ้นรัก
มิหมายภักดิ์รักผู้ใดไม่ขอหวัง
หมดวิบากมิปรารถนารักใดไร้จีรัง
พบฝั่งฝันนิรันดร์สุขทุกข์ไม่มี

นี่คือปณิธาณอธิษฐานจิต
ตราบชีวิตนิดน้อยในชาตินี้
ทุกลมหายใจใฝ่บำเพ็ญแต่กรรมดี
ทอดจิตพลีมิหลงทางห่างทางธรรม

ขอชิดบุญชิดใจมิไกลห่าง
ชิดรอยธารรอยทองระรินร่ำ
ชิดสายใจสายใยรักตามรอยธรรม
ชิดสวรรค์นำจิตว่างสร้างรอยบุญ...




www.thaipoem.com/forever/ipage/song4603.html

หัวใจถวายวัด 
พุ่มพวง ดวงจันทร์ 
หลวงพ่อ เจ้าขา
ช่วยแผ่เมตตาลูกหน่อยได้ไหม
ลูกนี้อาภัพอับโชคหรือไร
มีรักครั้งใด หัวใจเหมือนไฟร้อนรน
หลายคน ที่พบ
พอเขาได้ซบต้องหนีหลบล่องหน
ขว้างทิ้งดังเศษดินข้างถนน
น้ำตาร่วงหล่น หาคนรักแท้ไม่มี
เข้าวัด ทุกวัน
ใส่บาตรทำทานบนบานขอให้โชค ดี
แต่ผียังตามหลอนหลอกย่ำยี
วันหยุดพักไม่มี บวชชีดีไหม
หลวงพ่อ เจ้าขา
ลูกหมดปัญญาเหนื่อยจังหัวใจ
สิ้นหวังรักทุกข์ครั้งสุดวุ่นวาย
จึงพร้อมมอบกาย หัวใจถวาย วัดเลย

หลวงพ่อ เจ้าขา
ลูกหมดปัญญาเหนื่อยจังหัวใจ
สิ้นหวังรักทุกข์ครั้งสุดวุ่นวาย
จึงพร้อมมอบกาย หัวใจถวาย วัดเลย... 
 


				
30 กรกฎาคม 2548 13:06 น.

เส้นทางสายสวนฝันสวรรค์ไพร..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html
(ณ..วันนี้)
 
หยดน้ำ..พาร่างในผ้าซิ่นลายดำสลับแดงราวสาวล้านนา 
กับเสื้อผ้าเปลือกไหมสีนวลไข่ไก่ไหล่ล้ำ
ค่อยๆเดินช้าๆ
ไปตาม..*เส้นทางสายสวน*สายฝันสวรรค์งาม
เพื่อไปวัด...



เส้นทางที่...
ยังพร่างไปด้วยแมกไม้ใบระยิบ
พลิกพรายพร่างฟ้อนอ้อนสายแสงตะวัน
ยามสะท้อนเสียดยอดออดอ้อนเวิ้งฟ้า

เส้นทางที่...
พาให้หัวใจดวงนิดดวงน้อยของหยดน้ำ
ยิ่งนวลใสนวลใยยิ่งแสนงามสงบสุข


หยดน้ำ... 
แหงนเงยมองยอดไม้แล้วแย้มยิ้มยินดี
ที่เกาะที่เธอรักแสนรักนี้
ยังคงมีพันธุ์ไม้เมืองร้อนนานาพรรณ
ที่พากันขึ้นเซาะซอนซ่อนซ้อนสลับราวป่าดงดิบณ..กลางเกาะ
งามอย่างพงพฤกษ์ไพรแสนเฉิดฉันท์ราวสวรรค์สรวง


ที่ยังพาให้ดวงใจได้รับพลังสดกระจ่าง 
ราวกับยังมีอัญมณีทิพย์เขียวไสไพรมณีซุกซ่อน
มิร้อนแล้งไร้ดั่งโลกรายรอบ....

เธอจึ่งรำลึกนึกถึงบทกวีที่แสนงามพอกัน
ที่พากันไหลหลั่งมาประโลมใจในนาทีนี้
................



วุ้งเวิ้งชะวากผา.....................................ฆนแผ่นศิลาสลอน 
ช่องชานชโลธร......................................ชลเผ่นกระเซ็นสาย 

ปรอยปรอยประเลห์เห-........................  มอุทกพะพร่างพราย 
ซาบซ่านสราญกาย................................กระอุร้อนก็ผ่อนซา 

ท่อธารละหานห้วย................................ ก็ระรวยระรินวา- 
รีหลั่งถะถั่งมา........................................บมิขาดผะขาดผัง 

ไม้ไล่สล้างชม........................................ขณะลมกระพือวัง- 
เวียงเสียงก็เสียดดัง.............................. ดุจซอผสานสาย 

แสนสาธรารมณ์.................................... จรชมก็ชวนสบาย 
ใจหงอยก็ค่อยหาย................................ หฤหรรษเหิมหาญ 

เซิงสนสล้างพฤก-...............................    ษพิลึกลดามาลย์ 
บงบุษยาบาน.........................................ระบุดอกระดาษไพร 

ฉุนโฉมระงมฆาน..................................สุวมาลย์จรูงใจ 
ส่งก้านตระการใบ..................................พิศล้วนพิไลพรรณ 

ริ้วริ้วพระพายพา....................................สุรภีละเวงวัน 
ผึ้งภุมรีสัญ-.............................................จรสูบสุเกสร 

ร้องร่อนวะว่อนเชย................................รสเรณุกำจร 
เกลือกบุษบากร..................................... ระกะกลีบกระหึ่มเสียง 

ที่มา อิลราชคำฉันท์ โดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ์) 


วิเวกการะเวกร้อง.......................รงมสวรรค์ 
เสนาะมิเหมือนเสนาะฉันท์.......... เสนาะซึ้ง 
ประกายฟ้าสุริยาจันทร์..................แจร่มโลก 
เมฆพยับอับแสงสอึ้ง......................อร่ามแท้ประพันธ์เฉลย



 สรวงสวรรค์ชั้นกวีรุจีรัตน์ 
ผ่องประภัสรพลอยหาวพราวเวหา 
พริ้งไพเราะเสนาะกรรณวัณณนา 
สมสมญาแห่งสวรรค์ชั้นกวี 

อิ่มอารมณ์ชมสถานวิมานมาศ 
อันโอภาสแผ่ผายพรายรังสี 
รัศมีมีเสียงเพียงดนตรี 
ประทีปทีฆรัสสะจังหวะโยน 

รเมียรไม้ใบโบกสุโนกเกาะ 
สุดเสนาะสำเนียงนกที่ผกโผน 
โผต้นนั้นผันตนไปต้นโน้น 
จังหวะโจนส่งจับรับกันไป 

เสียงนกร้องคล้องคำลำนำขับ 
ดุริยศัพท์สำนึกเมื่อพฤกษ์ไหว 
โปรยประทิ่นกลิ่นผกาสุราลัย 
เป็นคลื่นในเวหาสหยาดยินดี 

ที่มา หนังสือสามกรุง นิพนธ์ พระราชวรวงค์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ 



พิกุลบุนนาคบาน.......................กลิ่นหอมหวานซ่านขจร 
แม้นนุชสุดสายสมร...................เห็นจะวอนอ้อนพี่ชาย 

เต็งแต้วแก้วกาหลง...................บานบุษบงส่งกลิ่นอาย 
หอมอยู่ไม่รู้หาย.........................คล้ายกลิ่นผ้าเจ้าตราตรู 

มลิวันพันจิกจวง........................ดอกเป็นพวงรวงเรณู 
หอมมาน่าเอ็นดู........................ชูชื่นจิตคิดวนิดา 
ลำดวนหวนหอมตรลบ...............กลิ่นอายอบสบนาสา 
นึกถวิลกลิ่นบุหงา..................... รำไปเจ้าเศร้าถึงนาง 

..........................


หยดน้ำ..
เห็นต้นระกำ..ลูกสีแดงสุกก่ำห้อยย้อยขึ้นเป็นกอ
ที่คงอยากพ้อเพื่อนมนุษย์ว่า
*ไฉนมาตั้งชื่อพิลึกไร้มงคลแบบนี้ให้
ทั้งๆที่ใครๆยังมิทันได้ชิมหวาน
ก็พานพาให้หลงเชื่อเบื่อคำว่าระกำ..ว่าจักทำให้ช้ำใจเสียก่อนแล้ว...



และ ...
นั่นกระท้อนต้นใหญ่ใบดกสูงเสียดฟ้า
ที่ทิ้งลูกเหลืองทองผ่องสุก
ให้หลุดร่วงหล่นปนเปรอะไปกับผืนดิน
ที่นกกาก็คงกินมิหมด ถึงยอมปล่อยคว้างอย่างมิเหลียวแล


และ...
แม้กระทั่งมนุษย์ ในเกาะแห่งเศรษฐกิจการท่องเที่ยวแสนดี
ที่ทุกวันนี้
 คงไม่ค่อยมีคนละเมียด
มานั่งคว้านมานั่งทำกระท้อนทรงเครื่องฤาแช่อิ่ม
 ด้วยคงคิดว่าเปล่าเปลืองเสียเวลา..

หาได้ซึ้งค่าที่จักสืบทอด
ภูมิปัญญาการแกะสลักผลไม้ไทย
อันมีฝีมือละมุนละม่อมละเมียด
ที่แสนเลิศวิไลให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก



 ดั่งบทเห่เรือชมเครื่องคาวหวาน
 บทพระราชนิพนธ์ โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ 

เห่ชมผลไม้ 


       ผลชิดแช่อิ่มโอ้             เอมใจ  
หอมชื่นกลืนหวานใน          อกชู้  
รื่นรื่นรสรมย์ใด                  ฤๅดุจ นี้แม่ 
 หวานเลิศเหลือรู้รู้               แต่เนื้อนงพาลฯ  
               
 ผลชิดแช่อิ่มอบ                    หอมตรลบล้ำเหลือหวาน  
รสไหนไม่เปรียบปาน           หวานเหลือแล้วแก้วกลอยใจ  
 
ตาลเฉาะเหมาะใจจริง           รสเย็นยิ่งยิ่งเย็นใจ  
คิดความยามพิสมัย                หมายเหมือนจริงยิ่งอยากเห็น 

ผลจากเจ้าลอยแก้ว                บอกความแล้วจากจำเป็น  
จากช้ำน้ำตากระเด็น              เป็นทุกข์ท่าหน้านวลแตง  

หมากปรางนางปอกแล้ว         ใส่โถแก้วแพร้วพรายแสง  
ยามชื่นรื่นโรยแรง                 ปรางอิ่มอาบซาบนาสา  
 
หวนห่วงม่วงหมอนทอง           อีกอกร่องรสโอชา  
คิดความยามนิทรา                 อุราแนบแอบอกอร  
 
ลิ้นจี่มีครุ่นครุ่น                      เรียกส้มฉุนใช้นามกร  
หวนถวิลลิ้นลมงอน                 ชะอ้อนถ้อยร้อยกระบวน  
 
พลับจีนจักด้วยมีด                  ทำประณีตน้ำตาลกวน 
คิดโอษฐ์อ่อนยิ้มยวน              ยลยิ่งพลับยับยับพรรณ  

น้อยหน่านำเมล็ดออก             ปล้อนเปลือกปอกเป็นอัศจรรย์  
มือใครไหนจักทัน                   เทียบเทียมที่ฝีมือนาง  
................



หยดน้ำ....ยืนนิ่งๆกลางสะพานเล็กๆ
ที่ทอดผ่านลำธารสายงามในอดีต

ที่ณ..บัดนี้...
รกเรื้อด้วยดงหญ้า
ดงไม้นานาพันธุ์
เถาวัลย์พันเกี่ยวเลี้ยวลดแทรกซอนเซาะไซ้ไผ่กอ
ที่กำลังเสียดสีด้วยแรงลมพัดผ่านแผ่วผิวหวิวแว่ว
ให้เกิดเสียงดนตรีธรรมชาติ
ที่ดูราวกับไร้ใครสนใจเหลียวแลอยากฟัง...ในวันนี้ณ..วันนี้..!.


 ในมโนนึกของหยดน้ำ..
ได้ยินเสียงตัวเอง
และเด็กๆร้องเพลงเสียงหวานใสลอยลมมา
และ....
ก่อนที่จะพากันกรูเกรียวขึ้นไปคว้าเถาวัลย์โหนเหนี่ยว
ทิ้งตัวลงยังธารน้ำสายใสใหลเย็น ณ.เบื้องล่าง



นั่นภาพเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ
แก้มอิ่มพรื้มเพราชมพูพริ้งพราว
ผมเปียลีบลู่กวัดแกว่งไปมา
ยามใบหน้าแหงนเงยหัวเราะเริงร่าแสนสนุก
และ..
เรือนผมถูกแตะแต้มด้วยรวงละอองเกสรพราว
กราวร่วงจากดวงดอกจิกสีชมพูพริ้งพร่างพรมห่มหอมงามให้

เธอ....หัวเราะเสียงดัง
ก่อนที่จะพากันแข่งกับเพื่อนๆ
กรูขึ้นบนตลิ่งครั้งแล้วครั้งเล่า
และเฝ้าคว้ากิ่งเถาวัลย์โหนตัว
อย่างแสนสราญบานเบิกใจเป็นที่สุด



เป็นความสราญใจสนุกสนาน
ที่ทำให้หัวใจและร่างเธอได้พร่างด้วยกระแสสายน้ำเย็นใส
อย่างยากจะเลือนลืม...ลืมเลือน....

ในทรงจำ.....
เธอจะค่อยๆลอยตัวเหนือสายน้ำ
ด้วยการทำร่างให้เบาสบายราวไร้น้ำหนัก
และ...
ให้สายน้ำซัดร่าง
พาไปตามเส้นทางสายคดเคี้ยวสู่ทะเลเบื้องล่างแลละลิบ
ด้วยเวิ้งน้ำหม่นมัวสลัวรางในม่านฝน



ที่ยามนั้นด้วยกมลดวงใจใสเยาว์
เธอหาได้หวาดกลัว..หวั่นเกรงไม่
ราวเธอมั่นใจเกินร้อยว่า
*คืบก็ทะเลศอกก็ทะเลคือเพื่อนใจ*
ที่จักไม่มีวันทำร้ายกรายกล้ำเธอ
และกลืนชีวาเพื่อนเธอผู้ใด
หากชีวาชีวิตใคร ยังไม่ถึงคราวถึงฆาต  ถึงเวลาชะตาขาด 



เธอจะเฝ้านอนดูท้องฟ้า
และให้สายน้ำสายฝนในบางครานั้น....
ซัดพาร่างลอยละล่องไปเรื่อยๆเอื่อยๆอวลงาม
 ด้วยดวงดอกโพธิ์ทะเลสีเหลืองละมุนที่ขึ้นอยู่ริมตลิ่ง
 และ...



เฝ้าดูพวงเงาะ
ห้อยย้อยแดงดกไปทั่วราวกิ่งอย่างยั่วแย้มให้เด็ดมาชิม
ที่เธอ...ไม่กล้าเหนี่ยวกิ่งเก็บมากิน
 เพราะกลัวคำสาปแช่งของเจ้าของสวน

เธอ..แย้มยิ้มกับฟ้ากว้าง 
กับสายน้ำเย็นฉ่ำ กับระร่ำรื่นแห่งธารน้ำ สายสงบสุข
ที่ทำ ให้หัวใจอิ่มใส เย็นงามตาม วิถีไพร



และ
กับการกลับมาในวันนี้ที่พาลพาให้ น้ำตาเธอคนดี ปริ่มตา
เมื่อกาลเวลาล่วงผ่านเลย...

เธอ...จึงแหงนเงยขึ้นซ่อนหยาดน้ำตา
พร้อมกระซิบกับฟ้ากว้าง
กับความดายเดียวแห่งฟ้าดิน
ที่แสนรับรู้รอยอาลัยถวิลในดวงใจอ้างว้าง
ว่า...
เธอยังมิสิ้นอาวรณ์ในเงางามสงบ
แม้ในยามนี้ที่กลับมาพบโลก และวิถีผู้คนที่แปรไป



ในคลองตา...เธอ... เห็นทุเรียนต้นใหญ่สูงเสียดฟ้า
แผ่เรียวกิ่งกว้าง
 ใบกระจ่างในพรายแดดสีทอง
ทอทอดลอดโลมไล้ให้แสงเงาพริบพร่าง
 

ที่ ณ บัดนี้ ห้อยลูกเล็กๆ ใหญ่น้อย
ไปตามกิ่ง แน่นขนัด
รอเวลาทิ้งตัวหลุดร่วง หรือให้เจ้าของสวนมาเก็บไป
ทุเรียนสวนที่หอมอร่อย รสชาติแปลกดี

ที่ ณ บัดนี้ 
เธอ พิสวาสเพียงผลงามแปลก หนามแทงแยก ตะปุ่มตะป่ำ
 ทั้งลูกเล็กๆ ที่น่ารักนัก
 ที่ธรรมชาติหยิบยื่นมาให้
ไม่ว่าสี รูปพรรณ หรือรสชาติอย่างชาญฉลาด
อย่างเกินที่จะเข้าใจในมหัศจรรย์รักนี้ที่ธรรมชาติแลฟ้าดินประทาน
................


และ..นั่น!...
อีกภาพ...ที่เธอตราจำไว้ในเงางามแห่งดวงใจ



ภาพ....
บึงบัวสีขาวไสวกลางสวน
เคียงเนินทรายดอกพราว
ภาพใบบัวแผ่กว้างเขียวไพลเขียวพรายแผ่กระจายบานลอยเต็มบึง


และ...
ในท่ามแสงตะวันรอนอ่อนสร้อยเศร้าซึ้ง
กับเรือลำน้อยสีน้ำเงิน
เด็กหญิงแก้มอิ่มพริ้มเพราในชุดกระโปรงบานฟ่องสีขาวนั่งกลางลำ

และ..
มีเด็กชายผิวคล้ำเปลือยร่างท่อนบน
กำลังลอยคอช่วยเข็นเรือลำน้อย

ให้เจ้าหญิงที่มี...*มงกุฏสายบัว*ล้อมวงหน้านวลใส
ค่อยๆใช้พายพาไปกลางธารใสไหลเย็น



เธอ...
คนที่มีเขาคอยเคียงข้างมิร้างแรมไกล
ไปไหนไปกัน
อย่างพี่ชายอย่างผู้พิทักษ์
อย่างเพื่อนรักที่รู้ใจที่เข้าใจ
อย่างคนที่รอให้ที่พักพิงพึ่งใจ
คอยเอาใจราวเจ้าหญิงในทุกวันเวลา หากเธอต้องการ

ราวข้าทาสผู้ภักดีพลีรัก
ที่ขอแค่เห็นรอยแย้มยิ้มยินดีจากเธอ...ก็เป็นพอ..ก็พอใจปิติใจ....



เขา...
ค่อยคอยเอื้อมเก็บบัวดอกนั้นดอกนี้เท่าที่เธอบัญชาการ
ด้วยน้ำเสียงหวานใสอย่างออดอ้อน 
อย่างที่รู้ดีว่าเขานั่นยินดีพลีทำทุกสิ่งให้
ยกเว้น...ดาวเดือน

เธอ..ยิ้มหวานใสไร้เดียงสา
เมื่อเขาคว้าบัวมาได้มากมาย
ให้เธอนำมากองไว้กลางตักเธอ
อย่างไม่กลัวเปียกปอน



เธอยกขึ้นจุมพิตช้าๆ
ตรงกลางกลีบเกสรหวานบานพราว
อย่างมิหวั่นเกรงภู่ผึ้งภมรจะพากันร่ำร้องอิจฉา

และ
เพียรบอกให้เขาทำตาม
เขาปรามด้วยเสียงพี่ชายกำราบน้องคนดื้อ
บอกให้ระวังว่าเสื้อสวยจะเลอะหมดแล้วด้วยโคลนเลน

หากเธอยิ่งแกล้งได้แกล้งดีแทนที่จะเชื่อฟัง
กลับทำท่าเอนตัวให้เขาอกสั่นขวัญหาย
คล้ายจะกลับกระโดดลงไปในน้ำ...คว่ำเรือเสียแทน
แล้วแย้มยิ้มหัวเราะเสียงดัง
เมื่อเห็นท่าทางอันแสนน่าตลกตกใจของเขา



เธอร้องเพลงขับขานเสียงหวานใส
ลอยไปกับฟ้าสีเงินกระจ่าง
ในท่ามบึงบัวและเรือสีน้ำเงิน..

บทเพลงที่ยังคงฝังใจจำมาจนวันนี้...



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3719.html
เรือลำหนึ่ง ....

หากชีวิต เปรียบดังทะเล
ฉัน คงคล้าย เป็นเรือ ล่องไป
ให้ลมพาพัดไป
ไร้ ทิศทาง
สุดขอบฟ้า กว้างใหญ่
ใคร รู้ บ้าง
สุดท้ายหนทาง
จะร้าย หรือดี
มีความหวัง
ฝั่ง อันแสนไกล
เห็น เพียงแสงรำไร อ้างว้าง
จะมีใครสักคน
หรือ ไม่มี
หากคืนไหน ไร้ ดาว
เหงา ทุก ที
ชีวิตก็อย่างนี้
อยากมี ความหมาย
เราคงเป็นดั่งเรือน้อย ลำหนึ่ง
ในทะเลแห่งชีวิต กว้างใหญ่
ฟ้า คลื่นลมซัดมา
ก็ หวั่น ไหว
ในใจมีแต่จุดหมาย คือฝั่ง
มันจะไกลสักเพียงไหน ต้องไป
แม้ ว่าในหัวใจ ไม่มีใครเลย

ฉัน ก็คงเป็นแค่เพียง
ผงฝุ่นในสายลม ไม่มี
ไม่มีความหมายใด
ไม่ มี ใคร
มรสุม พัด ผ่าน
ทาน ไว้ ได้
ชีวิตวันต่อไป
ไม่มีใคร รู้
เราคงเป็นดั่งเรือน้อย ลำหนึ่ง
ในทะเลแห่งชีวิต กว้างใหญ่
ฟ้า คลื่นลมซัดมา
ก็ หวั่น ไหว
ในใจมีแต่จุดหมาย คือฝั่ง
มันจะไกลสักเพียงไหน ต้องไป
แม้ ว่าในหัวใจ ไม่มีใครเลย
เราคงเป็นดั่งเรือน้อย ลำหนึ่ง
ในทะเลแห่งชีวิต กว้างใหญ่
ฟ้า คลื่นลมซัดมา
ก็ หวั่น ไหว... 
........................
 


และ...

ในหนาวน้ำตา..
กับวันนี้..ที่กลับมา
เมื่อเธอคนดี...
ย้อนรอยรำลึกซึ้งค่าแห่งน้ำใจภักดีบูชาใสงาม
ที่เขาเคยพร่างรินให้กับเธออย่างมิรู้สิ้นรู้จบ
ทบทวีคูณตราบจนวันลาร่าง



ภาพเด็กชายน้อยผู้แสนรักเธอรักมั่น
คงแสนเหน็บหนาวในวันนั้นในบึงนั้น

หากทำไมเล่า....!
เธอจึงเห็นเพียงรอยยิ้มกว้างอย่างแสนรักภักดิ์พลี
อย่างแสนดีแสนเสียสละด้วยความอดทนเสมอมา
ที่เธอแสนซึ้งค่าอย่างในยามนี้ที่แสนสายเกิน...



คนดี..หยดน้ำ...
ขอพลีน้ำตานะนาทีนี้นะดวงใจ
ขอให้...
มวลเมฆและ
ดวงดาวบนฟากฟ้ากว้าง...กล่อมเห่คุณ...
ให้นำทางไปพบสวรรค์พราว...ราวเรียวรุ้งอย่างที่คุณวาดหวัง...



และ
เพียรเฝ้าเพียงสร้างกรรมดีแด่ทุกผู้คน
ตราบจนนาทีสุดท้าย
ที่
ร่างไร้สิ้นลม
แลดวงวิญญาณของคุณถูกห้อมห่มด้วยสายฝนพรำ
ในวันที่เครื่องบินตก....อย่างเหน็บหนาว
ราว
ดวงใจหยดน้ำฝนและหยาดน้ำตานางฟ้าร่ำไห้พอกัน
ผู้หญิงที่คุณแสนรักรอมานานวัน
ได้มาปันพลีโอบเอื้ออ้อมภักดิ์ให้อ้อมตักไออุ่น
ในอ้อมกอด...พร้อมปิดเปลือกตานะยอดรัก..
และ...


หวังวอนฟ้าดิน...
ได้กล่อมคุณ...
ให้นิทราหลับสบาย...ฝันดี...ไปนานเนานิรันดร์....
จนกว่า..
จะถึงวันที่เราสองจะได้พบกันอีก..ใช่ไหมเล่าคนดีที่รัก

และ...
หยดน้ำ...ยังคงวาดหวัง
ให้...ดวงดาราบนฟากฟ้า...
ทำหน้าที่แทนดวงตาแห่งรักภักดีแห่งดวงใจคุณ
เฝ้าหมุนละมุนมาคอยส่องนำทางใจ

เฝ้าปกป้องคุ้มผองภัย
แด่*เด็กผู้หญิงน้อย**เจ้าหญิงน้อยๆ*
ที่...
คุณรักแสนรัก...ภักดิ์แสนภักดิ์....ดั่งดวงใจไปตราบชั่วกาล....
...

...................................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html
ณ....วันนี้ ละครทีวี เรือนมยุรา 

ญ.... ดังมี สิ่งใดมาดลใจฉัน
ดังใจ โอ้เอยเฝ้าคอยเธอนั้น
นานแสนนาน ฮืม
จึงมาเจอกัน
คล้ายบางสิ่งผูกพัน
ร้อยใจเราร่วมกัน
ช..... ดังมี สิ่งใดมาดลใจฉัน
ดวงใจ โอ้เอย มีเพียงเธอนั้น
นับวัน ฮืมจนแรกเจอกัน
ใจฉันเพียงต้องการ แต่เธอตลอดมา
ช.... ฝากคำสัญญา ฝากวาจา
รักเธอไม่เสื่อมคลาย
ญ.... หมื่นพันสัญญา
ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ
ช.... รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน
ญ.... คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย
พร้อม นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ
และหวังเพียงได้ครอง
รักจนตราบนานตลอดไป

ช.... ฝากคำสัญญา ฝากวาจา
รักเธอไม่เสื่อมคลาย
ญ.... หมื่นพันสัญญา
ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ
ช..... รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน
ญ.... คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย

พร้อม.... นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ
และหวังเพียงได้ครอง
รักจนตราบนานตลอดไป
นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ
และหวังเพียงได้ครอง
รักจนตราบนานตลอดไป... 
................
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด