25 มิถุนายน 2552 10:29 น.
พุด
ท่ามดินน้ำฟ้านภากาศ
เจ้าหวังวาดสิ่งใดในปรารถนา
เพียงสุขทุกข์พันธนา
ฤารอท่าหาความหมายลมหายใจ
ผ่านพบจบจากพรากเจ็บ
หนาวเหน็บเดียวดายนึกหน่ายไหม
วนซ้ำกรรมซัดนานเท่าใด
จึ่งเข้าใจความจริงนิ่งฟังชีวิต
มองภายในเห็นเพียงอัญมณี
ดั่งมณีดวงแก้ววับแววจิต
ปรากฏธรรมล้ำลึกไร้นึกคิด
มีเพียงทิพย์กระจ่างพร่างพราย
ปัญญาญาณฉายฉานชัด
รุ่งรัศม์เย็นว่างสว่างหมาย
สงบเงียบในเวิ้งฝันพรรณราย
สิ้นไร้กายในครองขวัญนิรันดร...
24 มิถุนายน 2552 20:42 น.
พุด
ในเดียวดายท่ามสายฝน
หนาวเสียจนขวัญคว้างบนทางฝัน
กี่ทิวาราตรีไขว่คว้าจันทร์
กี่หมายฝันพลันพรากฝากแผลใจ
ลึกลึกแลเห็นเช่นนี้โลกย์
พ้องโศกเพียงเศร้ารานร้าวไหว
แม้นผูกพันมั่นภักดิ์สักเท่าใด
เพียงผ่านมาผ่านไปใช่ช้านาน
ประดุจดั่งภู่ผึ้งหวังคลึงกลีบ
จะรุกรีบดูดดื่มน้ำผึ้งหวาน
พอดวงดอกไม้ร่วงโรยราน
ก็ถึงกาลกล่าวลาหาดอกใหม่
จากดอกนั้นไปดอกนี้พลีฝากรัก
แค่ทายทักทวงถามยามหวามไหว
ร่อนภิรมย์ดมดอมหอมทั้งไพร
ธรรมดาใจภุมรินทร์ถวิลวน
นี่คือสัจจธรรมธรรมดา
ในเงื้อมเงาเสน่หาทุกแห่งหน
มายารักวิบากกรรมบันดาลดล
อยากหนีพ้นหนี้รักรู้หักใจ...รู้ตัดใจ....!
.....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3337.html
คู่ทาษ แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์
.............................
ขอครวญคำ
ข้ามฟ้าลอยมาแด่เธอ
น้ำคำวอน คลั่งเพ้อละเมอจากใจ
รักเราสอง สัมพันธ์
แต่รักนั้นอยู่ไกล
เฝ้าหลงอาลัย ร้องครวญไป
ฝากหัวใจลอยล่อง
ขอปรานี พี่หวัง จงฟังพี่ครวญ
เสียงในใจ ไห้หวล รัญจวนหม่นหมอง
รักเราเอ๋ย แม้ไกล แต่หัวใจประคอง
พี่หวัง ใจปอง
เนื้อนวลทอง ใฝ่รักปองบูชา
เป็นกะลาให้ถือ
แม้เธอคือขอทาน
เป็นบัลลังก์ตระการ
แม้เธอเป็นนาง พญา
เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา
เป็นวิมานผ่านฟ้า
แด่เทพธิดา นงคราญ
รัก เราเป็น
เช่นเหมือนดาวเดือน เด่นตา
แสงเรืองรอง ส่องฟ้าอาภาเบิกบาน
แม้ชีพสูญลับไป แต่รักไม่แหลกราญ
ให้สองวิญญาณ
สิงสราญ อยู่วิมานดาวเดือน
เป็นกะลาให้ถือ
แม้เธอคือขอทาน
เป็นบัลลังก์ตระการ
แม้เธอเป็นนาง พญา
เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา
เป็นวิมานผ่านฟ้า
แด่เทพธิดา นงคราญ
รัก เราเป็น
เช่นเหมือนดาวเดือน เด่นตา
แสงเรืองรอง ส่องฟ้าอาภาเบิกบาน
แม้ชีพสูญลับไป แต่รักไม่แหลกราญ
ให้สองวิญญาณ
สิงสราญ อยู่วิมานดาวเดือน...
24 มิถุนายน 2552 16:37 น.
พุด
ฉันรอเธอในเรียวรุ้ง
ในจรุงดวงดอกไม้หอม
ในพฤกษ์ไพรพวงพะยอม
ในห้อมสรวงแห่งดวงใจ
ฉันรอเธอละเมอหมาย
ในแสงตะวันฉายอรุณใหม่
ในละออละอองหยาดน้ำค้างไพร
ในไม้ใบโบกระบัดพัดวน
ฉันรอเธอ ณ เรือนรัก
ฝากสร้อยภักดิ์คล้องใจไปทุกหน
ฝากความคิดถึงลึกซึ้งกลางกมล
ฝากสายฝนกระซิบมั่นคำสัญญา
ฉันรอเธอ กลางสายธาร
กลางตระการบัวบึงทุกแหล่งหล้า
กลางสายน้ำผึ้งฝันจันทร์ดารา
กลางปรอยฝนปนน้ำตาอย่างเดียวดาย....!
23 มิถุนายน 2552 12:03 น.
พุด
บนเส้นทางระหว่างเรา
งามเงาในแววตาหวานกว่าหวาน
เพราะทิ้งโลกย์โศกสุขเคยร้าวราน
ให้พ้นผ่านเพรงกรรมเคยซ้ำวน
เป็นเงียบงามร้างไร้ในรู้สึก
หากล้ำลึกด้วยจิตใสใฝ่กุศล
กุมมือมั่นฝ่าดั้นหลอมกมล
ให้ฟ้าดลเทพบันดาลสู่ธารธรรม
ดับร้อนไร้หมายฝากร่าง
ในเส้นทางน้ำค้างใสระรินร่ำ
ลบรอยเหงาในเงาใจเคยมืดดำ
ให้เย็นฉ่ำกับวันชื่นคืนสุนทรีย์
พลีกุหลาบม่วงพรายหมายปลอบขวัญ
มากำนัลแทนสร้อยภักดิ์สร้อยศักดิ์ศรี
แทนเรียวรุ้งมณีหล้าค่าชีวี
ให้คนดี...รับไว้...แทน...สายใจ....!
>
22 มิถุนายน 2552 09:36 น.
พุด
ในเส้นทางสายรวงข้าวราวสวรรค์
ยืนเงียบงันเดียวดายดูฟ้าสี
โลกสวยโศกอยากสะอื้นไห้นะคนดี
พสุธามณีในดวงใจ
ท่ามปรอยฝนที่ปรนพร่าง
หยาดน้ำค้างในเรียวตาก็พร่าไหล
สังเวยหวังสั่งลายามฟ้าไพล
วันพรากไกลอีกครารอมาเยือน
วิมานดาวพราวพร่างในยามดึก
สอนล้ำลึกสัจจธรรมเสมอเสมือน
ว่าชีพนี้มีมืดสว่างดั่งงามเดือน
พร้อมพรากเลือนแรมร้างทางมายา
อาจจะไม่มีวันฝันเป็นจริง
ทุกสรรพสิ่งเกิดดับลับสู่หล้า
ดวงดอกไม้ปลิดกลีบพร้อมโรยรา
มิปรารถนาผู้ใดในคำนึง
เนื้อแท้เนื้อทองมิหมองหม่น
กลืนกลายปนธุลีหล้าวันมาถึง
เข้าใจธรรมเข้าใจโลกโศกลึกซึ้ง
เพียงตราตรึงบุญกุศลมิวนกรรม....!
............................................
แผ่นดินสวรรค์...!
อีกคราครั้ง
ที่ดวงออกเดินทางไปกับจินตนาการฝันฝันฝัน
สู่เส้นทางสายสวรรค์หล้า
เส้นทางสายรวงข้าวกล้าสุกปลั่ง
สะพรั่งพราวดั่งทองทาเต็มท้องทุ่ง
รอประดับหล้าประดับดิน
ให้ผ่องพรายฉายฉานปานประหนึ่งนิรมิต
เส้นทางสายงามสู่ทะเลสาบสีเงิน
ณ..บัดนี้ถูกขยายออกให้กว้างขึ้น
หากทว่า..
บึงบัวยังคงไสวเคียงบึ้งนาในดวงใจ...
ที่มิผันไปดั่งรอยไถแปร
ฟ้ายังเป็นสีฟ้าอมโศก
สวยด้วยสีม่วงหม่นเทาทึมด้วยถึงวันวสันตฤดู
ฝูงนกน้ำ นกกระยาง
ยังคงบินฉวัดเฉวียนร่อนขึ้นลงในดงตาลหวาน
ที่บ้างก็แสนเดียวดาย โดดเดี่ยว
ดูแสนเปลี่ยวเหงา
บ้างก็เคียงเงาคู่
บ้างก็ดูคล้ายดั่งครอบครัวเคียง
เรียงพร้อมหน้าพ่อแม่แลลูกผูกพัน
ในท่ามม่านฝนหม่นมัว
มุ่งเข้าสู่เส้นทางอันแสนมีมนตรา
ราวพาดวงจิตดวง
ย้อนยุคสู่สมัยทวารวดี นับพันปีมาแล้ว
สู่สุโขทัย อยุธยา
ณ..หอมห้วงแห่งเวลาที่แสนสงบสุขงามงด
แสนหมดจดด้วยวิถีชีวิต
ที่ยังคงมีความเรียบง่าย
รู้ใช้ชีวีอย่างพอเพียงเพียงพอ...
และ..ในท่ามเสียงสายฝน
จากฟ้าเบื้องบนอันทรงพลังธรรมศักดิ์สิทธิ์
อันสามารถนิรมิตบันดาลดล
ให้ทั้งโลกหล้าแลผองชนเรานี้
จักมีอันหมุนไปในทิศทางใด..
อันสุดแท้ที่ใครจะหยั่งรู้
จิตดวงหนึ่งซึ่งแสนซาบซึ้ง
รู้ค่า...
ของอำนาจฟ้าดินสิ้นทั่งทั้งน้ำลมแลไฟ
จึ่งได้น้อมดวงใจ
ท่องมนตราสวดพระคาถา
เพื่อเป็นสิริสวัสดิ์มงคลแก่ทุกดวงชีวี
พลีทุกครา..
ที่มาเยือน
แดนดินแห่งวิมานมนตราทวารวดีนามนี้...
ด้วยความคิดดี คิดได้
คิดให้เมตตา
ดั่งหยาดละอองฝนใสเย็นในทุกยาม
ใกล้..ทะเลสาบสีเงิน เข้าไปทุกขณะ
เวลาที่ฟ้าคร่ำฝนครวญ
พายุแรงพัดกราวไหว
จนไม้ใหญ่ฟ้อนใบระบัด หลุดร่วง
ควงพลิ้วปลิวผลอยลอยวน
อุโมงค์ต้นไม้สานใบแผ่ปกคลุม
ดูร่มครึ้มดั่งป่าแรกแปลกปาฏิหารย์ฝัน
เสมือนหนึ่ง..
เรากำลังดั้นด้นมาค้นพบโลกที่ปราศจากมลทิน
ฟ้า..หลังฝนค่อยๆแจ่มกระจ่าง
เปรียบเหมือนจิตทุกดวง
ที่จักพบความว่างสะอาด
หลัง..
ผ่านพ้นพายุใจ..เช่นฉะนั้น
เพื่อรอรับ
พลังมหัศจรรย์รัก
มหัศจรรย์หวัง ที่มิมีวันสิ้นสุด
หากเรา..
มิหยุดยอมเพียร ยอมพ่าย
เราก็จักได้จิตดวงสดสะอาด
มาวาดวนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
หลังการพักชำระใจ
ให้ทุกสิ่งร้ายกลายเป็นอดีตอันลอยลา..
นัยน์ตาของหญิงหนึ่ง
จึ่ง...พบซึ้งเกษมในธรรม ธรรมชาติ
อันแสนบริสุทธิ์สะอาดรายรอบได้ในทุกยาม
เห็นงามจากจิตอันเลื่อมประภัสสร
เห็นใบไม้สอดซ้อนสลับระยับยิบ
กำลังพลิกพลิ้วพริบพรายฟ้อน
ออดอ้อนสายแสงสุริยา
ให้เกิด...
ภาพจรัสค่า มลังเมลืองใจ
เกินค่ำคำใดกล่าวเล่าบอก
นอกจากต่างต้องใช้จิตนิรมิตเห็น
รู้ด้วยตัวเองในดื่มด่ำอันงามอมตะนั้น
ขุนเขาในเงาฝนเงาฝัน
ยังทอดตัวเงียบงัน งดงาม
ไล่ลดหลั่นสล้างโอบกอดทุ่งหญ้า ทุ่งสัปปะรด
ทุ่งดวงดอกไม้ป่าแสนหวาน
ที่กำลังนานพร่างแตะแต้ม พื้นพสุธา
ให้แสนน่าเสน่หาเป็นที่สุด
ดงไผ่รวกยังพัดไกว
เกิดเสียงแกรกกรากฝากสอนสัจจธรรมป่า
ให้รู้คุณค่าแห่งดนตรีไพร
ดนตรีที่ต้องใช้ใจดวงนิ่งนิ่ง
ฟังทุกสรรพสิ่ง...
ที่กำลังบรรเลงเพลงพร้อง
มิให้จิตหมองหมางระบมระทม
ทุกข์ท้อ ขอเพียงแค่เงี่ยหูฟัง
นั่นเสียงเรไร จิ้งหรีด แมลงกรีดปีกร่ำ
ผสานซร้องก้องไปทั่วถิ่น
แหละนี่คือ..
กลิ่นอายแห่งความเป็นธรรมดา ใช่มายาสีสัน
อันพาให้ทุกข์จีรัง
ดวงตามืดบอดหลงทางอย่างอ้างว้าง
ในท่ามทะเลกิเลสโลกย์
หาพ้นโศกพบสุขนิรันดร์ไม่...
เสียงสายน้ำเพชร
ยังพร่างริน กระซิบ กระซิก กระซี้
ราวให้ทุกดวงชีวี
ได้ทบทวนหวนไห้ รู้ค้นหลังมาฝากฝังใจ
ตราบจนลมหายใจสุดท้าย
หมายเคียงธรรม ปฏิบัติธรรม
ในท่ามกลาง..
วิมานมนตราทวารวดีที่คงงามงด
แสนให้พลังสด ด้วยชื่นแสงแห่งอรุณอรุโณทัย
กับ..
ฟ้าใสสะอาด
กับ...
เรือนไทยพิลาสรายรอบด้วยพวงพะยอมป่า
มวลดวงดอกไม้นานาพรรณไหวกิ่ง
ทั้งลีลาวดี โมก ปีบ ลำดวน มะลินวล
พุดซ้อนอ้อนอวลร่ำ ในยามค่ำ
ที่ฟ้าคงเต็มด้วยดวงดารารายพรายกระพริบ
ราวเพชรพร่างสายแสนสุกใส
ประดับใจเราทุกดวงให้แสนสุขล้ำเกินรำพันรำพึง
มีเพียงซาบซึ้ง..
จนตระหนักว่า...ช่างแสนโชคดีนักหนา
ที่ได้ลืมตาเกิดมา
บนผืนแผ่นดินไทยแผ่นดินทองแผ่นดินธรรม
อันแสนล้ำค่านี้
ทั้งยังมีโอกาสได้พบพระธรรม
ได้นำน้อมมาสอนจิตฝึกใจ
ให้เดินไปตามรอยบาทแห่งองค์สมเด็จพระศาสดา
ไหนจะยัง..
ได้เกิดมาใต้ร่มฉัตรเพชรแห่งองค์พระมหากษัตรา
ที่ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตามหาบุญญาบารมี
ใต้ร่มธงไตรรงค์นี้
ที่แสนให้อิสราแด่ทุกชาติศาสนาอย่างเที่ยงธรรม
ใต้ผืนดินอันแสนอุดมราวทองคำล้ำค่า
ที่..
สามารถหว่านโปรยพืชผักข้าวกล้าให้ระย้ารวง
ให้ปวงประชาไทได้อิ่มไม่อดอยาก...
แล..วิมานในฝันสวรรค์หล้า
นามว่าวิมานมนตราทวารวดี
ณ..ที่แห่งนี้
ไม่นานช้านี้ที่จักพลีพบศาลาทรงไทย
มีองค์พระปฏิมาสุกปลั่ง
ให้น้อมนำจิตกรานกราบ
ถวายพวงมาลาพร้อมตั้งสัจจาธิษฐานภาวนา
ให้..
เกิดปัญญาญาณอันสว่างเรืองโรจน์
ลบลืมโศกมายาโลกย์มายาตัวตน
เพื่อ...ข้ามพ้นไปสู่ฝั่งฝัน
อันแสนว่าง กระจ่าง สงบ
ทุกภพภูมิตราบชั่วนิจนิรันดร์...!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html
สี่แผ่นดิน
คนมี ชีวิตและกายา
ถือ กำเนิดเกิดมา
เป็นหญิง หรือว่าเป็นชาย
ผู้มี พระคุณอันแสนยิ่งใหญ่
กว่า สิ่งใด ก็คือแผ่นดิน
เป็นแดน ที่ให้ชีวา
พึ่งพา อาศัยและอยู่กิน
คุณใด จะเปรียบแผ่นดิน
เอื้อชีวิน จากวันที่เกิด จนตาย
ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน
ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน
ความทุกข์เยือน เรือนกาย
หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้
สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา
ยามดี เราดีตาม
ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา
บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์
หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน
ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน
ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน
ความทุกข์เยือน เรือนกาย
หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้
สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา
ยามดี เราดีตาม
ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา
บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์
หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน
หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน...