7 พฤษภาคม 2549 22:37 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song336.html
ปีศาจวสันต์
ใจหาย..ขวัญคว้าง
รอร้างแรมไกล..เกินฝัน
ไม่เหลือเยื่อใยผูกพัน
ปล่อยฉันเดียวดายปลายฟ้า..
ไร้เพลงชื่นในคืนช้ำ
ระกำเหน็บหนาวหนักหนา
อ้างว้างร้างไร้แรมลา
กาลเวลารอลงทัณฑ์
อกเอ๋ยกรรมใดเคยก่อ
รอนรกฤาสวรรค์
ไกลเกินเอื้อมนิรันดร์
โศกศัลย์สิ้นไร้หนทาง
ซุกตัวเหน็บหนาว
ฝนพราวเหว่ว้าอ้างว้าง
น้ำตารินไหลพรูพร่าง
ร้างไร้..รักใด..ใครรอ...!
..................
ได้โปรด...
อย่า...คิดว่าพุดไพรหัวใจช้ำนะคะ
เพียงวันนี้ฝนพร่างสาย
เลยวิ่งกลางสายฝนจนเปียกปอนเหน็บหนาว
เลย..
รู้สึกเศร้าดายเดียวไปตามฟ้าฝน..เพียงนั้น..
และ..
ในรอยกมลถวิล
กลับคิดถึงหลายที่ในฤดูวสันต์ให้ฤดีขวัญคว้าง
ไม่ว่า..
จะที่เซนโตช่า สิงคโปร์เหนืออ่าวพราวพริบระยิบระยับ
ไปด้วยแสงไฟ จากเรือเดินสมุทรลำใหญ่
ที่พุดไพร
นั่งเดียวดาย คิดถึงบ้าน...เมืองไทยอย่างเหลือเกิน
ฤา..
ที่พีพี เกาะไผ่
หนาวเหน็บในดวงใจ
ยามนั่งเรือไปกลางทะเลแสนกว้าง..ท่ามฝนพรำ
ดำน้ำ
แบบไม่อยากโผล่ขึ้นมารับรู้โลกแห่งความจริงอีกเลย..
แล้ว..
ที่กระท่อมริมแคว
ในวันที่ม่านหมอกสลัวมัวหม่นพอกับ
หัวใจคนที่แสนรานร้าว เศร้าพอกัน..
เกาะเต่า..
บนเนินผาท้าสายแสงจันทร์
พลันฝนพรูลงมารับรู้บาดแผลใจ
และ...
คงอีกมากมายนัก..
สถานที่รัก
ที่ล่วงลาเลยเลือนลับ...
ไปกับ...
อดีตอันยากย้อนหวนคืน....
.................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song336.html
ปีศาจวสันต์ สุนทราภรณ์ บุษยา รังษี
เรา จากกันวันนั้นยังจำ
จากกันวันนั้นฝนพรำ
พรางม่านกรรม คล้ำครึ้มคลุมเวร
ลมครางฝนครวญ ไพรสั่นชวน รวนระเนน
ความกดดัน ขั้นเดน เหมือนจะเค้น ฆ่า กัน
เรา จากกันวันนั้นนานมา
แต่เมื่อวสันต์ลีลา ฤาสร่างซาฝนฟ้าฟูมฟาย
ฤดู ฤดี มันไม่มี วันคืนวาย
มันสาปใจ สาปกาย คล้ายมนต์ร้าย พรายผี
ผี วสันต์ มันหลอก มันหลอน
ปีศาจวสันต์วันก่อน ยังสังวรณ์ เวรนี้
ฟัง โถฟัง ฟังฝนตกซี เหมือนนรกตกตี
ย้ำ ขยี้ ใจ ตรม
ไป จากไป ไปแล้วไปเลย
อย่ามาชวนชิดชวนเชย
ปีศาจเอย ร้างเลยอารมณ์
ลมมา ฝนมา จงอย่ามา พาระทม
เพียงโศกทราม เศร้าซม ฉันจะล้ม ตายแล้ว...
7 พฤษภาคม 2549 14:44 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song287.html
(นัดพบ)
บัวแก้ว...ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา
กับ...
พร่างแสงตะวันระยิบ..
ที่กำลังพริบพรายวะวิบวับ
ส่องผ่านม่านใบไม้ลายดอกแก้ว
เข้ามาแยงตาเธอถึงเตียงโบราณ
เธอ...ยิ้มหวานรับอรุณรุ่ง...เช้าวันใหม่..
และ...
แทบหัวเราะกับตัวเอง
เมื่อแลเห็น...
ลายมือเธอบรรเลงตัวโย้เย้เท่าหม้อแกง
ที่..
เขียนแฝงฝากไว้ด้วยความง่วงงุน
เผื่อเตือนความจำ
เสียบไว้ตรงโต๊ะเครื่องแป้งกลิ่นร่ำ
ตำแหน่งที่...
กะว่าจักพอดิบพอดีสายตา
ก่อนจะยุรยาตรลีลาไปถึงไหนต่อไหน...
*ไปวัด.*
ใช่แล้ว..
วันนี้เธอ..*มีนัด *
นัดครั้งที่เท่าไรแล้ว ก็มิอาจจำได้
รู้เพียงว่า..
ผ่านกาลเวลามานานหลายปี...
กับ..
ทุกค่ำเช้าราตรีในดวงชีวี
ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ
ที่..
ยังจำต้องทำหน้าเวียนว่ายวกวน
ปนเปปลอมแปลกมิอาจแยกออก...
ไปกับ...
เส้นทางสายโศก...
สายโลกย์ร้อนหนาวเคล้าทั้งสุขทุกข์นี้
ที่..
เรียกกันว่า*โลกภายนอก*
หากจริงแท้แล้ว
เธอคนดี .....
กลับมีโลกภายในที่แสนเงียบเรียบง่ายสงบงาม
ราวกับมี...
*เกราะแก้วกำบัง *จากกำลังข้าศึกแห่งกิเลสทั้งปวง
ที่เธอมิยอมให้ล่วงล้ำเข้ามาทำอันตรายได้
ถึง..บึ้งดวงใจอันไสวเกษม ให้แสนนาน..รานนัก..
เธอ...
จึงสามารถจัดการ..กับทุกข์สรรพสิ่ง
ยอมหยุด..ยอมนิ่ง.. ยอมทิ้ง
และ...
ยังแย้มยิ้มทายทักธรรมชาติรายรอบ
ที่แสนพิลาสพิไลได้ในทุกยาม
มาตรแม้นในยามเศร้า
ที่...
บางครั้งคราวมารุกร้าวรานโหม
ด้วยแรงวิบากกรรม วิบากเก่า ทั้งเขาเรา
ที่..
ยังต้องเวียนวนผ่านภพ มาให้ต่างพากันชดใช้
หากยังมิให้...
อภัยอโหสิกรรม กันและกัน..
วันนี้ ...
แม่ดอกบัวแก้ว..คนดี
จึ่งมานั่งนิ่งนิ่ง...ทิ้งทุกทุกข์ห่วง...บ่วงใจ
มา..นั่งใต้ร่มไทรย้อยห้อยระย้า
ที่..
แผ่สาขาราวกับรากไม้ม่านมนตราในเทพนิยายไพร...
ร่มไม้สูงใหญ่รายล้อมเธอ....
จึงดูราวองครักษ์ธรรม..ธรรมชาติ..
ที่...
แสนบริสุทธิ์สวยใส
ไสวในท่ามสายสายแห่งดวงตะวันแรกแย้ม..
เธอ...
กวาดตา...
ไล่ละเรื่อยสูงขึ้นไป..สูงขึ้นไป..สู่ดงดวงดอกไม้ใบ
ทุกไหวกิ่งก้านกอพ้อพรายสายแสงแดดร่ายเริงระบำ
รับ..
ดวงดอกแดดอันแสนอ่อนอุ่น.เอื้ออรุณจากอาทิตย์ดวงโต
และ..
เธอ...แสนมีความปิติเกษม
หลัง..
ได้ใส่บาตร ถวายสังฆทานกราบกรานอธิษฐานจิต
และ..
ได้อุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาให้แก่..
เพื่อนร่วมหล้าฟ้าเดียวกัน
ที่..
อันร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
แถม..
ยังได้สละสินทรัพย์ช่วยค่าน้ำค่าไฟ
ถวายปัจจัยแม่ชี ...
ให้ดวงใจเธอนี้...
ยิ่งแสนสวยใสไสวสว่าง
กระจ่างแจ่มกว่าดวงแก้วแววประภัสสรเสียอีก
เธอไม่รีบร้อน..
นั่งพิจารณาฉากตอนแห่งบุญใจ
เมื่อแลเห็น...
แสงสุริยาพรายพร่างลงมา
พาให้พระสงฆ์ในลานธรรมนับร้อยรูป
ดูราวมี...
รัศมีสีทองจรัสจ้าจากจีวรใหม่มลังเมลือง...
ดูรองเรืองในร่มเงาไม้...
คล้ายย้อนรอยถอยหลังไปในสวนลุมพินีวัน
ใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ ใน*วันวิสาขะปุณมี*
ที่...
คงมากมีพระสงฆ์กว่านี้
มาน้อมชุมนุมแบบมิได้นัดหมายกัน
ในท่ามคืนวันเพ็ญเด่นดวง
ที่ทั้งปวงเทพเทวามาพร้อมประชุมฟังธรรม...
....................
ละอองฝน..
พลัน...ปรายโปรยพร่างพรม
ลงมาห่มหอมให้หัวใจใจดวงอรชร ยิ่งงามเงียบนิ่งนิ่ง
ทิ้งร่างนั่ง ..ติดฝนในร่มเงารัตน์ เงาวัด เงาไม้
อันแผ่สยายกางกั้นเกศ
ให้ไร้ทุกข์เทวษใดใด
เมื่อ..
ดวงจิตดวงใสแสนปิติเกษม..สงบสุข
ไร้...ทุกข์ทนหม่นหมองหมาง ...
ในท่าม...สายฝนอันแสนสวยใสฉ่ำเย็นพอกัน...
และ..
ในท่ามดวงดอกลั่นทม..
อัน...
ค่อยๆพรายพร้อยลอยละลิ่วปลิดปลิว
ลงมาบนพื้นหญ้าพื้นพสุธา
เสมอเสมือน...
ยอมพลีพร้อม....
ฝากสอนสัจจธรรมใจ...ไปตราบชั่วนิจนิรันดร์
.......................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song287.html
นัดพบ...
ถ้าเราจะนัดพบ กัน
เมื่อตะวันลับไม้
ฉันไม่หลอกจะบอกให้ อย่าเอ็ดไป สิจงฟัง
ฟัง สิฟัง สัก นิด
แล้วอย่าคิดว่าฉันสอน ว่าฉันสั่ง
ฟังสิฟัง ฟังกันเล่นเพลินเพลิน
แต่มันสุขเหลือเกิน ไม่เชื่อเชิญ ลองจำ
ถ้าเราจะนัดพบ กัน
เมื่อตะวัน พลบค่ำ
ธรรมชาติชุ่มฉ่ำ ฉ่ำชื้น ชื่น ใจ
ใต้ ร่มไม้ใบบางบาง แสงสว่างรำไรรำไร
ไม่ต้องระวังไม่ต้องระไว
จะอายทำไมกับพระจันทร์
ถ้าเราจะนัด พบ กัน
ควรให้จันทร์ เห็น ใจ
ลมอ่อนอ่อนพัด ผ่าน
ชูกิ่งก้านช่อใบ
บ้างก็แกว่งบ้างก็ไกว
บ้างเขยื้อนสะเทือนไหว
สะบัดใบไปตามลม
ผสมน้ำค้าง พร่าง พรม
เรไรจิ้งหรีดหวีดผสม
ต่างคลอต่างคล้อต่างล่ออารมณ์ เรา
ให้ชมให้ชื่น ใจ
นี่แหละถิ่นนัดพบ
แต่เราไม่พบกับใคร
เพียงแต่พบกับธรรมชาติ
แล้วเราก็อาจจะสุขใจ
ไม่ต้องไปพบ กับใคร ที่ไหน
เพลินใจ เพลิน ตา...
6 พฤษภาคม 2549 20:26 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1376.html
(เหนือกาลเวลา)
ราตรีนี้...
ทั่วนภาระดะด้วยดาว
ดวงจันทราสีทอง
ลอยล่องส่องพราวพรายเหนือราวฟ้าไพร
และ..
กำลังเสกสายแสนหวานราวหยาดน้ำผึ้งรวง
ลงมาประโลมไล้...
*ร่างสองร่าง*
ที่...กำลังเอนอิงกันใน*ห้องหับเรือนลั่นทม*
เรือน..
ที่ซ่อนงามในท่ามดงลำดวน
และ...
มวลแมกไม้ไทยในสวนหลากพันธุ์
พะยอม แก้ว กาหลง จำปี
ลีลาวดีทุกสีทุกดอก
ที่..
กำลังบานพราวจนแทบแลดูไม่เห็นใบ
*งามเศร้าโศกไสว*
ในท่ามสายแสงจันทราสีทอง
ที่..
แสนอ่อนหวาน
ทอทอดลอดสาดลงมาอาบไล้..
ให้...ทุกสรรพสิ่งนิ่งงัน
ราว...
ปวงเทวัญกำลังรอรับรู้
ทุกสิ่งที่กำลังเกิดตรงหน้า...
ใน..*มหัศจรรย์รักนิรันดร์*นี้
ที่..
เพียงเกิดมาแค่พบกันเพียงพันผูกชั่วครู่ชั่วคราว
เพียงแค่นั้น..เพียงเท่านั้น
หาก...ทว่า
จำต้องตัดใจ..หักใจ..ลา........
ไม่...
อาวรณ์อาลัย
และ..
ด้วยพลังปาฏิหารย์รัก*เหนือโลกย์เหนือโศกสุข*
อันแสนยิ่งใหญ่..
ที่รู้ทิศทางที่เลือกจะดำเนินไปอย่างมิท้อรอลา..
ผู้ชายผิวสี..ออกคร้าม
และ..
ในยามนี้ยิ่งดูสุกปลั่งราวสีทองแดง
ใน..
ท่ามแสงเทียนวะวับแวมเหนือหัวนอน
จากเชิงเทียนหอมไม้ไผ่
เคียงกัน...
หญิงหนึ่งผิวสีน้ำผึ้งรวง
นัยน์ตาโศกซึ้ง
ดั่งหยาดเพชรพราวเต็มนัยน์ตา
และ..
กับใบหน้าหวานนวลงามแจ่ม
ราว..ปวงพวงพะยอมไพรมาหลอมรวมกัน...
สองร่าง..
นอนสบตาซึ้งกันอย่างไร้คำพูดใด
ปล่อยให้...
ความเงียบงันในหัวใจ..
ถ่ายทอดผ่านอ้อมกอดร้อยรัด
อันคือ..
สัมผัสที่แสนพิสุทธิ์ใส...
จาก...
ใจถึงใจ ใจเข้าใจ..ใจรู้ใจ ..ในทุกสิ่ง
แม้นในความนิ่งเงียบ..นั้น
ฝ่ายชาย...
เอื้อมมือไล้ลูบเส้นผมดำขลับราวแพรไหมเบามือ
พลาง...กระชับอ้อมกอดแน่นเข้า
ราวกับ..
จะเทใจบอกแทนบางสิ่ง
*ความจริง*
ที่อัดแน่นในดวงใจมาแสนนาน
หากทว่า...ไร้คำพูดใด
มีเพียง..
เสียงหัวใจสองดวงเต้นประสานผ่านความเงียบ
เขา...เคลียแก้ม..
แล้ว...
จูบประทับรับขวัญนวลตรงหน้าผากอย่างทะนุถนอม
เสียงจั๊กจั่นจิ้งหรีด เรไรร้องลั่นระงม
ประสมประสานเสียงขึ้นมา
ใน...ท่ามความมืดรายรอบเรือน
เดือนดาวดาราราย...
พรายแสงส่องกระพริบวะวิบวับผ่านหน้าต่างลงมา...
ราวกับ....จะรับรู้ในทุกราวเรื่อง...
แสงเทียนทองทอมลังเมลือง
พาให้..
สองร่างหวามไหวในอ้อมอกกันและกัน
และ..
ราว..
ยากหยุดนาทีสวรรค์แสนหวาน
ผ่าน..
รานรักที่จำต้องพรากจากไกล
ไม่มีวัน..
ได้พบฉากฝัน..เฉกเช่นนี้อีก...นับเนานานเนิ่นนิรันดร์...
ไม่นานนี้..แล้วสินะ
ที่เขาจัก..
ก้าวพ้นล่วงผ่าน..ชีวิตสี..สู่ผ้าขาว..และสู่ร่มกาสาวพัตร์
อย่าง...
ตัดสินใจดีที่สุดแล้ว กับชีวิตนิดน้อยหนึ่งนี้
ที่..
ล่วงเลยผ่านอย่างยากหวนย้อนคืน
แม้น..
จะมีวันชื่นคืนสุขสักเพียงไรในโลกมายาใบนี้..
หาก..ทว่า..
สองดวงใจเห็นพ้องต้องกันว่า
ที่สุด..
สิ่งแท้เที่ยงดั่งสัจจนิรันดร์..สุขนิรันดร์นั้น
คือ ร่มธรรม ร่มรัตน์
ร่ม..
ที่จักสกัดกางกั้น ให้พ้นภัยผอง
จากหลุมพลางแห่งเนื้อหนัง
อัน..
จักผุเปื่อยเน่าพังสลายคล้ายซากสัตว์ในวันหนึ่ง..
หาก.
มิได้พึงฝึกการรู้ทันเท่า
เฝ้าเพียรสอนจิตให้รู้ละวาง
ให้พบทางทองทางธรรม
เรียนรู้วิธีวิปัสสนาลัดสั้น
ตัดทอนกิเลสวน..ที่คงพาให้หลงทางเสียเวลา
หาก..
ยิ่งผัดวันประกันพรุ่ง..ด้วยความประมาท
ขาดความรำลึกรู้ในมรณานุสติ..
เพราะ..
ชีวีชีวิตที่แสนพิลาสพิไล
ดู..
ราวแสนสุขสดใสใน*โลกวัตถุมายา*นั้น
ทุกดวงชีวันต่างก็...
กำลังค่อยๆ..ผันร่างพาให้มิห่างเชิงตะกอน
ที่..
ถึงแม้นทุกคนอยากจะวอนไหว้
ติดสินบนพญามัจจุราชสักเพียงใด
ก็มิอาจหลีกลี้หนีพ้นแม้นสักคนเดียว..ในไม่นานช้า..
และ..
กับป์กาลเวลา...
ในเส้นทางชีวิต..
ทางสายโลกย์โศกสุขคลุกเคล้า..แสนหนาวร้อน
ก็...ช่างแสนสั้น..!
และ..
ยังมิทันเพียรพบภาวนา
ก็..
พาให้ลมหายใจไร้ค่าพบกับจุดจบเสียก่อนแล้ว
*เขา.*.ทอดถอนใจ
ในมโนนึก
เมื่อ...
ความคิดนึกพาย้อนวน
ให้เขาสุดทนกับการเรียกร้องทางจิตวิญญาณ..
ที่.
อาจจะด้วยกุศลบุญทานบารมี
ที่พาให้เขาอยากหนีให้พ้นจากวังวนวิบาก
ยอม..
พรากจากพันธนารัก..ที่แสนสุดต้องหักห้ามใจ
ในเมื่อ ชีวิตนี้
เขายังมีเธอคนดี
ที่แสนงามจิตงามใจงามร่างคอยเคียงข้าง
ให้..
วาบหวามหวั่นไหว หากมิหนักแน่นใจ
ก็..
จักมีห่วงบ่วงรักนี้ที่พาให้เขาติดตมจม
ลงในเหวห้วงแห่งรัก
อันแสนยากนักที่จักป่ายปีนขึ้นมา
อย่างที่...มนุษย์มนาทั่วหล้าเขาพึงเป็นกัน
และ...
แสนแปลกดี..
ก่อน...นิทรารมย์ทุกค่ำคืน
หลังใช้ชีวิตชื่นบานในรสรักอักแสนเกษมซ่าน
ผ่าน..
คืนวันมายาวนานนับเนื่องหลายปี
เขา...
ก็ยิ่งค้นพบว่า แท้แล้ว..
ชีวีเขาช่างแสนเบื่อหน่าย
ในวงวัฏ ในรสรัก..
ที่ก็ซ้ำวน และในตัวตนที่ซ้ำวันวัย..ด้วย..
ตราบ...
จนกระทั่งวันหนึ่งราวสวรรค์มีตาฟ้ามีใจ..
ส่ง..
พระภิกษุชรามาธุดงค์แถวถ้ำ..
อันไม่ไกลจากนิวาสสถาน
วิมานไพรเรือนไทยในฝันของเขา
ถ้ำที่แสนลี้ลับ
ถ้ำที่เกิดท่ามกลางความมืด
ที่..
เนิ่นนานราวอสงไขยชั่วกาลกัปป์กัลป์
คล้าย..
มีความมหัศจรรย์ เสมือนยังคงมิหยุดนิ่ง
ราว..
มีชีวิตเคลื่อนไหว
หลายสิ่งแปรเปลี่ยน อยู่ภายในอาณาจักรแห่งนี้
ที่มีหินรูปร่างแปลกๆ ที่เรียกว่า
หินงอกและหินย้อยมาบรรจบกัน
คล้ายเสาค้ำเพดาน ก่อให้เกิดเสาหินวะวิบวับ
ราวกับมี..
เก็จแก้วแพรวเพชรพลอยนับแสนแตะแต้ม
ให้..
แอร่มเรืองรองผ่องพรายฉายฉานโชติช่วงอย่างแสนงาม
หากใครเข้าไปพบเจอ..
และ..
สำหรับ..ช่วงเวลาสามปี
ก็..นานพอ..กับการได้สนทนาธรรมในทุกยาม ค่ำเช้า
หลังจาก..
ที่เขาจักผ่านเข้าไปแวะเวียนถวายข้าวใส่บาตร
พร้อมรับศีลรับพร..ฟังธรรม...
อันแสนทำให้เขาดื่มด่ำล้ำลึก
ท่าน..
ฝึกให้เขาเพียรสมาธิ วิปัสสนา
และ..
ให้รู้คุณค่ากำหนดลมหายใจ
ในทุกนาทีปัจจุบันขณะ
รู้ทันเท่าทุกข์ผัสสะในความคิด
ให้..
ปล่อยวางไม่ว่าเศร้าสุข..ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ไม่กักกันให้หยุดคิด
เพียงวางจิตความรู้สึกตัวให้ทั่วพร้อม
แล้ว..
ยอมรับการเกิดดับ นับเนื่องดั่งสร้อยโซ่กรรม
แล้ว..
จึ่งน้อมนำจิตภาวนา ให้พบความกระจ่างจ้า
ดั่งสายแสงมณีสว่างพร่างพราว
ราวมี..
*อัญมณีแห่งปัญญา*พาให้พบความเย็นฉ่ำใส
ราว..
ได้พานพบสายธาราธรรมเกษม
เกินกว่าหาคำใดมาพรรณา
นอกเสียจากว่า ...จำต้องค้นหาพาร่างเพียรพบเอาเอง..
และ..
นี่คือที่มาแห่ง*บัญชาสวรรค์*
ที่ราวกับสรรส่งมาให้เขา
คนที่..
แสนเบื่อโลกอยากพบสุขเกษมไปตราบจนชั่วนิจนิรันดร์
และ
พลันพาให้ดวงจิตเขานั้นคิดหันหน้า ตัดสินใจ
เดินเข้าสู่เส้นทางธรรม..
อัน..
แสนเรืองรองไสวพร่างสว่างเย็น
อย่าง..มิลังเลสงสัยอีก ...
ในชีพชนม์อันแสนสั้น...วันมิรออีกต่อไป..แล้ว..!!!
.......................
ทิพยนิรมิตจิตเหนือโลกย์
ลอยพ้นโศกพ้นเศร้าหนาวเหน็บฝัน
ทรุดร่างลงเบื้องหน้าเทพเทวัญ
พร้อมได้ยินบัญชาสวรรค์เผยเมตตา
เจ้าคนดี..
อย่ารอรีสร้างทางทองสู่แดนฟ้า
โลกแห่งชนช่างแสนสั้นนะขวัญชีวา
เนานิรันดร์สุขกว่า..ทางสายว่าง..กระจ่างใจ
พลันเธอเห็นดอกบัวสวรรค์บานเทียมฟ้า
แปลกนักหนาสูงชูช่องามไสว
จากบึงทองไยผ่องผุดเป็นไม้ไพร
งามเหลือใจเกินฝันรำพันรำพึง
น้ำตาใจจึงหลั่งพรูรู้ทันเท่า
จิตสกาวพราวกระจ่างแสนซาบซึ้ง
กำหนดรู้ปล่อยวางแม้นตราตรึง
ไม่ว่าซึ้งว่าสุขทุกข์ใดใด
บัวทองในนิมิตสถิตสูงอยู่เทียมเมฆ
ปลีกวิเวกงามเหนือหล้าพิสุทธิ์ใส
คือทิพย์นิมิตขวัญท่ามคืนวันนะดวงใจ
ค้นด้วยใจจึ่งจักพบสงบงาม...
เพชรภายในใสกระจ่างโชติจรัส
สว่างชัดสุกพราวเหนือโลกสาม
นิพพานังสุขขังหวังทุกยาม
คอยติดตามเตือนตนจนพ้นภัย
ท่ามแสงเทียนทองทอวันธรรมสวนะ
กราบองค์พระพุทธิ์พิสุทธิ์ใส
ภาวนาอธิษฐานจิตนะดวงใจ
สว่างไสววิปัสสนา....ฟ้าอวยพร...
....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1376.html
เหนือกาลเวลา
หาก ว่าใจ เรารัก กัน
อย่าหวั่นกลัว
กับเรื่อง ใดใด
อาจ ไม่มีใคร เข้าใจ
แค่มี เพียงเรา เข้าใจ ก็พอ
อยากให้รัก ของฉัน และเธอ
อยู่เหนือ กาลเวลา
แม้ ความจริง ต้องห่าง
แสนไกล
ให้ความรัก ของเรา คงอยู่
ยาวนาน ในหัวใจ
ไม่ มีใคร จะเปลี่ยน ใจเรา
หาก ว่ามอง ไม่เห็น กัน
อยาก ให้เรา ผูกพัน ด้วยใจ
เพียง แค่หลับ ตาครั้งใด
แค่เพียง ปล่อยใจ
ให้ส่ง ถึงกัน
อยากให้รัก ของฉัน และเธอ
อยู่เหนือ กาลเวลา
แม้ ความจริง ต้องห่าง
แสนไกล
ให้ความรัก ของเรา คงอยู่
ยาวนาน ในหัวใจ
ไม่ มีใคร จะเปลี่ยน ใจเรา
แม้ ไม่อาจ รู้วัน ข้างหน้า
ว่าต้องพบ ต้องเจอ สิ่ง ไหน
สิ่งเดียว ที่ฉัน
นั้นอยาก ให้ เธอ มั่นใจ
รู้ไว้ว่าฉัน รัก เธอ
อยากให้รัก ของฉัน และเธอ
อยู่เหนือ กาลเวลา
แม้ ความจริง ต้องห่าง
แสน ไกล
ให้ความรัก ของเรา คงอยู่
ยาวนาน ในหัวใจ
ไม่ มีใคร จะเปลี่ยน ใจเรา...
5 พฤษภาคม 2549 14:39 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song11.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3349.html
(เสน่หา..เต็มใจให้)
ใกล้สว่างแล้ว..
ฝนพร่างสายลงมาราวฟ้ารั่ว
อวลดอกแก้ว ลั่นทม ริมรั้ว
ต่าง..
พากัน...ชันชูช่อ
รอรับหยาดสายพระพิรุณเมตตา
ใน..
ค่ำคืนแห่ง*ปาฏิหารย์รักมหัศจรรย์รอ*
อย่างมิพ้อ..ท้อแท้มานานหลายปี
และ..
จักเป็นเช่นนี้ตราบนานเนา..นิจนิรันดร์...
เสียงไก่ขัน..
มาจากกระท่อมทับชาวสวนหลังวิมานดิน
ใน..
ท่ามเสียงสายฝนหยดเผาะๆกระทบหลังคาเรือนจำปี
ที่กำลังพลีดอกหอมกระจายพรายพราวทั่วทุกราวกิ่ง
เธอคนดี..
เปิดบทเพลงไพเราะอิงคลอใจรับอุษาสาง
และ..
รอรับพร่างแสงนวลจากดวงตะวัน
ที่กำลังจะสาดสายสีทองอันแสนอ่อนอุ่นอ่อนหวาน
ส่องผ่านลงมาโอบอุ่น...เอื้อใจ..ในแสงอรุณรำไรรำไร..
ที่..
กำลังค่อยๆเรื่อรางๆ
ให้ความกระจ่างสว่างสงบ
พบกับฝันดีไปอีกวันและอีกวัน..
ตราบจนกว่า..
ชีพชนม์ที่สั้นแสนสั้น
จะถึงวันลมหายใจจะสิ้น...ไปกับสายแสงสุริยา
ที่..
รอเวลาอำลาโลกโศกสุขไปอย่างไม่หวนคืน....ย้อนคืน...
....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song11.html
เสน่หา
ความ รัก เอย
เจ้า ลอยลมมาหรือ ไร
มาดลจิต มาดลใจ เสน่-หา
รัก นี้จริงจากใจหรือเปล่า
หรือ เย้า เราให้เฝ้าร่ำหา
หรือแกล้งเพียง แต่แลตา
ยั่วอุรา ให้หลง ลำพอง
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
ฮื้อ ฮือ ฮือ หื่อ ฮือ
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
หื่อ ฮือ หือ ฮือ ฮือ ฮื้อ
สง สาร ใจ ฉันบ้าง วาน อย่าสร้าง
รอยช้ำซ้ำเป็นรอยสอง
รักแรกช้ำ น้ำตานอง
ถ้าเป็นสอง ฉันคงต้องขาดใจตาย
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
ฮื้อ ฮือ ฮือ หื่อ ฮือ
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
หื่อ ฮือ หือ ฮือ ฮือ ฮื้อ
สง สาร ใจ ฉันบ้าง วาน อย่าสร้าง
รอยช้ำซ้ำเป็นรอยสอง
รักแรกช้ำ น้ำตานอง
ถ้าเป็นสอง ฉันคงต้องขาดใจตาย
.................
และ..
กับในค่ำคืนนี้..
ที่มาตรแม้นราตรีไร้สิ้นแสงดาว
มีเพียงหนาวลมอวลไอฝน...
หาก...ไยเล่า...
ในดวงกมล..
ราวกับมี..ดารารายพรายพราวนับหมื่นพัน
ฉายโชนโชติช่วง ดั่งรวงเพชรพลอยในสร้อยสายใจ..
ไสวสว่าง...กระจ่างแจ่ม..จรัสชัชวาลย์
และ..
ดั่งดวงดอกไม้ในดวงใจ
ก็กำลัง..
แย้มคลี่..ผลิช่อบาน..สะพรั่งพรึบ
จากกอรักหวาน...
บานเบ่งตระการพอกัน
เป็นดั่ง..นิรันดร์รัก..นิรันดร์ภักดิ์...
ดวงดอกพุดซ้อน..
ดอกไม้ไทยอรชรเรียบง่ายหอมเย็นๆ
เริ่ม...เผยกลิ่นละออ
ช่อมาลีมากมาย..
รายรอบวิมานดินร่ายมนต์หวามไหว
คลี่กลีบบริสุทธิ์ใสบานรับ..
สลับสีสลับวัน...มิมีวันราโรยแรมร้าง
ให้...ดวงใจโหยหา..อ้างว้าง อาวรณ์..
เสมอเสมือน..
ดอกรักร้อยสร้อยเสน่หา
ที่จักผลิในดวงวิญญาญ์..ไปตราบชั่วกาลกัปป์กัลป์
หากเพียง..
เราสองนั้นศรัทธาเชื่อมั่นในคำว่า*รักแท้..
....................
ดึกดื่นคืนนี้ดอกไม้หวานบานรับฝน
ท่ามลมบนพัดหวนทวนรอยหวาน
ดอกรักร้อยสร้อยเสน่หาผลิกลีบบาน
ผ่านกัปป์กาลเวลามาเนานัก..
*จำปี*ปิติพลีกระซิบกับ*ดอกโมก*
เจ้าของสวนโศกแย้มยิ้มมาทายทัก
นานเท่าไร*ผกาแก้ว*พ้อ*กอดอกรัก*
*กุหลาบ*ภักดิ์จึงผลิบานตระการใจ...
*มหาหงส์*คงศักดิ์ยิ่งชีวิต
ไม่อยากชิดดั่งดอกไม้ริมทางแม้นหวามไหว
กลัว*สายหยุด* มิหยุดหอมเสน่หากลางดวงใจ
ให้หวั่นไหวไม่สราญดั่ง*บานบุรี..*
*กล้วยไม้ไพร*ไหวพรายร่ายมนต์รับ
ใช่..ติดกับพันธนารู้หลีกลี้
ใช่ไหมแม่*ดอกพะยอม*หอมทั้งปี
รักศักดิ์ศรีดั่ง*พุทธรักษา*วอนฟ้ารู้
หาก*ดอกวาสนา*เกิดมาใช่คู่ทาษ
พิสวาทไม่ร้างราชาติหน้าคู่
ถึงพระพรหมกั้นสวรรค์เมินมิเอ็นดู
ยอมระทมอยู่คู่*ลั่นทม*ตรมเพียงใด..
แล้ว..
เหตุใดไยคืนนี้คนดีจึงยิ้มหวาน
ยอมรับรานได้แล้วฤาไฉน
ดวงดอกไม้รายรอบวิมานไพรไม่เข้าใจ
ด้วยเหตุใดจึงเลิกเศร้าหนาวกมล
ราวรับรู้เสียงกระซิบห่วงปวงดอกไม้
เธอยิ้มพรายท่ามละอองดวงดอกฝน
ดอกไม้ใดไหนเล่าจักหวานเท่าดอกกมล
รู้อดทนรู้ภักดิ์รู้รักแท้....!
..................
นาที...
ที่รจนาบทนี้ ..
สายฝนกำลังพร่างลงมาค่ะ
เป็นละอองพรายพราว
ราว..
กระแสกระสานซ่านเซ็นมาจากน้ำตกเล็กๆ
ที่ซ่อนซุกในราวป่าราวไพรที่ไหนสักแห่งในหล้าโลก
ที่..
ไกลห่างเมืองโศก..โลกมายาแห่งความวายวุ่น
วุ่นวายอันเรืองรุ่ง..
หาก..
คงมิใช่..*รุ้งเรือง*ในหอมห้วงแห่งดวงใจ
ที่ให้ความเยือกเย็นฉ่ำใส ได้เสียยิ่งกว่า..
พุดไพร..จึ่ง
แหงนเงยมองฟ้า
ที่กำลังฉ่ำฝน.
ด้วยหยาดน้ำนัยน์ตาซึมซึ้งจากบึ้งทรวง
ที่..
ห่วงหา โหยหา รอท่าคืนหลังกลับ
ไป..รับหวานหอมแห่งดวงดอกพะยอมไพร
ในท่ามกระท่อมปลายนา
ไป...นอนเหว่ว้า
ดูม่านฝนหม่นมัวสลัวรางเลือน
ราวม่านหมอกหยอกนาทิพย์สุกสีทอง
ที่..
กำลังครองเมล็ดหนักพร้อยคล้อยลงทายทักระเรี่ยดิน
ในรอยถวิล..
ได้ยินเสียงสายฝนหล่นลาลงบนหลังคาจาก
ท่าม..ควันไฟ ในเตา
ที่สาวนา..คนยาก..กำลังสาละวน..คนข้าวใหม่หอมๆ
และ..
กับนวลแก้มสาวไพร
ที่ดูสุกปลั่งดั่งลูกตำลึงริมรั้ว...รับอรุณ
นี่คือ..
กรุ่นกลิ่นในจินตนาอันแสนหอมหวานแห่งธรรมชาติ
ที่..
จักพิลาสพิไล ในเนื้อนวลใจดวงนี้
และ..
ให้รู้รักรจนาปันพลี..แด่ทุกดวงใจ..เพื่อนใจ
ในร่มรักเรือนไทยเรือนทองแห่งผองเรา..
แม้นจักพลีย้ำวน...
เพียง เพื่อ..ทนรอวัน...ฝันเป็นจริง..
สิ่งสุดท้าย..
ก่อนหมายลาไกลไปตราบชั่วนิจนิรันดรค่ะ...!
....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3349.html
ฉัน รู้ ควร รัก เธออย่าง ไร
เพราะ รู้ ความ จริง เป็น เช่น ไร
ฉัน รัก รัก เธอ
เพราะ ใจ อยาก ให้
ใช่ รัก เพียง เพื่อ ครอบ ครอง
ไม่ เคย ร้อง ขอ รัก ตอบ
ไม่ เคย เรียก ร้อง สิ่งใด
เพียง เธอ รับ รู้
มี ฉัน คอย ห่วงใย
สิ่ง นั้น มัน มาก มาย เกินพอ
ขอ เพียง ได้ คิด ถึง
แค่ นี้ ก็ สุข ใจ
แม้ เธอ อยู่ ไกล แสน ไกล
แม้ ใคร อยู่ ข้าง เธอ
ฉัน รู้ ควร รัก เธอ อย่างไร
จึง ยอม เข้า ใจ ทุก อย่าง
ไม่ ช้ำ ไม่ เสีย ใจ
ไม่ เคย บาด หมาง
ทุก อย่าง เต็ม ใจ ให้ เธอ
ขอ เพียง ได้ คิด ถึง
แค่ นี้ ก็ สุข ใจ
แม้ เธอ อยู่ ไกล แสน ไกล
แม้ ใคร อยู่ ข้าง เธอ
ฉัน รู้ ควร รัก เธอ อย่าง ไร
จึง ยอม เข้า ใจ ทุก อย่าง
ไม่ ช้ำ ไม่ เสีย ใจ
ไม่ เคย บาด หมาง
ทุก อย่าง เต็ม ใจ ให้ เธอ
ไม่ ช้ำ ไม่ เสีย ใจ
ไม่ เคย บาด หมาง
ทุก อย่าง เต็ม ใจ ให้ เธอ
3 พฤษภาคม 2549 13:28 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3684.html
(ดั่งดวงหฤทัย)
*เราสอง*กำลังนั่งสบตากันอย่างแสนซึ้งใจ
ในร้านอาหารเล็กๆมุมสงบๆในยามพลบค่ำ
ที่..
ท่าอากาศยานดอนเมือง
เคียงข้าง..
มีร้านหนังสือแสนแพงแพงแสนกว่าร้านธรรมดา
ด้วยคงเป็นเพราะว่า..
เป็นภาษาต่างชาติ..ไว้บริการคนชาติต่างๆ
และ..
มีร้านสปาแสนหวานหอม..
น่าไปนั่งนอนให้นวดร่างยามเครื่องดีเลย์
เธอ..
ผู้หญิงตรงหน้าผม... มิใช่..คนสวยหากคือคนงาม
ตาม..นิยามความคิดนึกของผมเอง
ที่..
คิดเอาเองว่า
คำว่างามนั้นย่อมหมายรวมถึง..ความละเมียดละไม
แบบ ..กุลสตรีไทยโบราณๆ
ที่..
ดูแสนอ่อนหวาน..อ่อนโยน
หาก..
แต่ในขณะเดียวกันกลับ
ซ่อนความมาดมั่นหนักแน่นเข็มแข็งเด็ดเดี่ยวเอาไว้
แบบ..
ภาษิตโบราณ...
ที่ว่า
* มือก็ไกวดาบก็แกว่ง*..มิเสียแรงเกิดมาเป็นหญิงไทย
ในแผ่นดินสุวรรณภูมิ ที่ทั่วโลกต่างรู้จักดี
ว่า..
งามกิริยาพาทีแสนมีเสน่ห์สักปานใด
จน..
เลื่องลือไปไกล
ให้เราแสนภาคภูมิใจจนตราบเท่าถึงทุกวันนี้...
กลับมาที่เธอ..จะดีกว่า
ผู้หญิงงามตรงหน้า
ที่..
กำลังเล่าบางสิ่ง..
ทิ้งทัศนะบางอย่างไว้ให้ผมต้องตั้งคำถามกับตัวเอง
ว่า..
โลกเรานั้นช่างเต็มไปด้วยความเหว่ว้า อ้างว้าง
และ..
เต็มไปด้วยผู้คนที่อดอยากยากไร้ จนน่าตกใจ..
คุณ..คงฉงนใจนะว่า..
ทำไม
บทสนทนาระหว่างเรา
จึงไม่มีเรื่องรักหรือแฟชั่น
อันคือเรื่องความงามภายนอกใจ..
หาก..
เราสอง..กำลังคุยกันถึงเรื่อง จิตวิญญาณภายใน
และ.
ในนาทีนั้น..
เธอ ...คนดีที่มีดวงตาแสนงาม
กลับ..
ยิ่งเพิ่มงามซึ้งเศร้ายิ่งขึ้นกว่าเดิม
เมื่อ..
เธอเริ่มบทสนทนาด้วยหยาดน้ำนัยน์ตาเอ่อซึม
ถึงโศกนาฎกรรมอันแสนสะเทือนขวัญสะเทือนใจ
เธอ..เล่าว่า..
*คนจากแดนดินอัฟริกา*ประเทศเอธิโอเปีย*
ที่สู้หนีความอดอยากบากบั่นฟันฝ่า
จะข้ามน้ำข้ามทะเลมาสู่แดนดินแห่งยุโรป ..
ด้วยเรือลำน้อยลำเล็กๆด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น
ยอมทิ้งถิ่นแผ่นดินแม่มาเพื่อแสวงโชค
กลับ..
ต้องเผชิญวิปโยค
พบพายุจริง พายุร้ายพรายพัดถล่ม
พาให้เรือที่บรรทุกผู้คนที่ผอมโซ
ล้มคว่ำลงกลางทะเลลึก ก่อนถึงฝั่งฝัน
อันคือ...
ความเศร้าเกินบรรยาย
เมื่อพากันล้มตายเป็นร้อยศพ
และก่อน..
จะได้พบกับชีวีที่วาดหวังแค่ว่า..
จะมีอาหารพอกิน..อิ่มท้อง
และ..
นี่แหละคือครรลองโลกย์แสนโศกทุกข์เทวษ*
เธอ..
บอกเพราะอาชีพเธอ
พาให้...
ได้สัมผัสกับคนมากมายหลายชาติหลายภาษา
ทั้ง..
บรรดานักธุรกิจระดับ..วาสนามีบารมีล้น
ไปจน..
ถึงคนที่ยอมไปตายเอาดาบหน้าขายแรงงาน
ที่..
เธอบอกว่า จากการพบพาน
พาให้เธอแสนโศกแสนวิปโยคใจ
ที่เห็นชีวิตในสองด้านที่ต่างกันจนสุดขั้ว
คนรวยที่ตีตั๋วรวมทั้งครอบครัวเป็นล้าน
เพื่อความสราญรมย์ยามเดินทางในชั้นธุรกิจ
และ..
มีกระเป๋าเดินทางแบรนด์เนมสุดฮิตตามติดมา
นับเป็นพวงราคามหาโค...แพง
ในขณะ..
ที่คนจนมีกระเป๋าแหกๆ
ต้องคอยแบกหามใช้ผ้าปูที่นอนร้อยรัดกันไว้มิให้หลุด
ภาพ...เพื่อนมนุษย์ร่วมโลก
ที่..
ดิ้นรนไปทำงานแสวงโชคในแดนดินทะเลทราย
ที่..
สายน้ำบริสุทธิ์แสนหายาก
เลยกอดถังแกลลอนน้ำแนบแน่นราวอัญมณีมีค่า..
เพราะ..
แสนซึ้งค่าคำว่า...หิวน้ำจนตาลาย
และ..
เขาอาจชีวีวายตายแบบน่าอเนจอนาถใจ
ด้วยโรคร่างกายขาดน้ำ..ได้
ในขณะที่..
ยามนี้...
คนไทยในแดนดินอุดม
ด้วยพลังทรัพยากร..ทั้งดินน้ำลมไฟ..
ที่แสนพอเหมาะพอดี
กลับ..
ใช้ชีวีกันอย่างเปล่าเปลือง
อย่าง..
ไม่รู้ค่าทรัพย์อนันต์อันเรืองรองราวทองทา
อันคือ..
สิ่งที่ดินฟ้าเบื้องบนได้เมตตาปรานีประทานพรให้มา..
และ..
ช่างมีโชคนักหนา..
ที่ได้เกิดมาใต้ผืนหล้าฟ้าไท
ใต้ร่มรัตน์ฉัตรทองอันแสนงามยิ่งใหญ่
เหนือแผ่นดินใด...ในหล้าโลกแล้ว...
ผืนดิน
ที่งามทั้งวัฒนธรรมประเพณี
มีร่มพุทธรัตน์เป็นดั่งรัศมีแก้ว
ที่ช่างแสนงามเพริศแพร้ว..แววประภัสสร
มาสอนจิตวิญญาณให้ยิ่งงามกว่างาม
เกินกว่าชนชาติใดในผืนพสุธา
แถม..
ยังมีผืนนาดินอุดม ให้ไม่มีวันอดตาย
ขอเพียงแค่ให้..
รู้ใช้ชีวิตอย่างขยันสมถะพอดีพอเพียงเพียงพอ...
และ..
นี่คือ..
หัวข้อสนทนาในทุกข์สัจจธรรม
ในเส้นทางแห่งโลกย์กว้างทางไกลที่เธอผ่านพบ
ที่...
คงมิจบด้วยความสุข
หากทว่า..
คงคลุกเคล้าด้วยความหนาวร้อน
นำมาสอนใจเธอ...ให้ยิ่งมีปัญญา
บทเรียน..
จากผองเพื่อนมนุษย์ผู้เหว่ว้า
ผู้...ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
แล้ว..
นำความทุกข์โศกแสนวิปโยคใจนั้น
มา...รู้ปรานีปันพลีเผื่อแผ่ ด้วยเมตตา
ในยามที่เธอไกลบ้านราว*แม่นวลนางนกไพรพเนจร*
ต้อง..
รอนแรมร้างรังรวงแห่งรัก..
*แม่เพื่อนรักทางจิตวิญญาณของผม*
ที่ให้หอมห่มร่มเงาแห่งรักนิรันดร์...
อันจักเกินกว่าจะหาค่าคำรักใดมาจำนรรจ์
และ..
เธอ..คนดีที่ผมหวังว่า..
จะเป็นดั่งเพื่อนแท้..
ที่คอยเคียงข้างร่างใจผมไปทุกยาม...
และ..
มาตรแม้นในยามที่...
ลมหายใจสุดท้ายของผม..กำลังจะพลีปลิดปลิวลิ่วลอย
เธอ...คนดี
ที่เปรียบประดุจ*ดั่งดวงหฤทัย*แห่งผม
ก็คง..
เฝ้าคอยปิดเปลือกตาให้..ด้วยหยาดน้ำตา
ด้วยดวงใจรัก...
ให้..
ผมจักได้พบกับนิทราฝันดี
ก่อนที่...
จำจักกระซิบกล่าวคำลาเธอ...ตราบจน..ชั่วนิจนิรันดร..!
..........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3684.html
ดั่งดวงหฤทัย
ดั่งดวงตะวัน
ยามทอแสงสีทองที่ขอบ ฟ้า
ก่อความหวังในใจ ที่อ่อนล้า
ให้ลุกขึ้นมา ก้าวต่อไป
จากวันวาน
เธอคือตะวัน
ที่ใจฉันเฝ้ารอ และต้องการ
ดั่งดอกไม้ งดงามและอ่อนหวาน
เป็นน้ำในลำธาร แห่งความรัก
ที่ไหลผ่านหัวใจ
มีเธอคนเดียว
เพียงพอตลอดกาล
ความรักจากใจฉัน ให้เธอตลอดไป
เธอเพียงคนเดียว ดั่งดวงหฤทัย
ทุกอย่าง หมดความหมาย
ถ้าขาดเธอ
หากมีสิ่งใด
ที่เลวร้าย ไม่ยอมให้เจอะเจอ
หนึ่งชีวิต ทุ่มเทให้กับเธอ
ชั่วนิจนิรันดร์ นานเสมอ
แต่ฉันรักเธอ นานกว่านั้น
มีเธอคนเดียว
เพียงพอตลอดกาล
ความรักจากใจฉัน ให้เธอตลอดไป
เธอเพียงคนเดียว ดั่งดวงหฤทัย
ทุกอย่าง หมดความหมาย
ถ้าขาดเธอ
หากมีสิ่งใด
ที่เลวร้าย ไม่ยอมให้เจอะเจอ
หนึ่งชีวิต ทุ่มเทให้กับเธอ
ชั่วนิจนิรันดร์ นานเสมอ
แต่ฉันรักเธอ นานกว่านั้น...