11 สิงหาคม 2549 00:25 น.

ดวงจำปา..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song484.html


ดึกดื่นกับดายเดียว
ดวงฟังบทเพลง *ดวงจำปา*

พร้อม...อ่านบทกวี..ท่านเรียวกัน

"ชีวิตฉันอาจคล้ายจะเป็นทุกข์
แต่เมื่อท่องเที่ยวไปในโลกนี้
ฉันก็ยิ่งมั่นใจในสรวงสวรรค์
ในย่ามของฉันมีข้าวอยู่สามโช
ข้างเตาไฟของฉัน มีฟืนอยู่มัดหนึ่ง

ถ้ามีใครสักคนถามฉันว่า
อะไรคือเครื่องหมายของการรู้แจ้งหรือมายา
ฉันย่อมไม่อาจตอบได้

สำหรับฉัน ความมั่งคั่งและเกียรติยศ
หาใช่อะไรไม่ หากแต่คือฝุ่นธุลี
เย็นย่ำ สายฝนปรายโปรย
ฉันนั่งอยู่ในกระท่อม
เมื่อยนักก็เหยียดขาออก
นี่ไงคือคำตอบของฉันล่ะ

..........................

(โช..คือมาตราตวงโบราณของญี่ปุ่น)



สายลมพัดผ่านกระท่อมน้อยของฉัน
ภายในกระท่อมโปร่งโล่งไร้ทรัพย์สิน
นอกกระท่อมคือป่าซีดาร์ยืนรายเรียง
ที่ฝากระท่อมมีบทกวีปิดเรียงราย
ยามนี้กาต้มน้ำเขลอะไปด้วยฝุ่น
ไม่มีควันไฟจากเตาหุงข้าว
ใครกันนั่นกำลังดุ่มเดินมาที่ประตูกระท่อม
ที่อาบไล้ด้วยแสงจันทร์ของฉัน
อ๋อ..!ชายชราจากหมู่บ้านตะวันออกนั่นเอง..



คืนนี้อากาศเย็นยะเยือกยาวนาน
เป็นคืนฤดูหนาวที่ยาวนาน
เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อไหร่จะสว่างเสียทีหนอ

ไม่มีแสงไฟจากตะเกียง
ไม่มีถ่านในเตาผิง
ฉันนอนอยู่บนที่นอน
ฟังเสียงสายฝนหิมะ..."



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song484.html
ดวงจำปา คาราวาน 

โอ ดวงจำปา
เวลา ชมดอก
คิดถึงบ้านซ่อง มองเห็น หัวใจ
เฮานึก ขึ้นได้ ในกลิ่นเจ้าหอม
เห็นสวน ดอกไม้ บิดา ปลูกไว้
ตั้งแต่ ใดมา เวลาหงอยเหงา
ยังช่วย บรรเทา ให้หายโศกา
โอ ดวงจำปา คู่เคียงเฮามา
แต่ยาม น้อยเอย
กลิ่นเจ้าสำคัญ ติดพันหัวใจ
เป็นตาฮักใคร่ แพงไว้เซยซม
ยามเหงา เฮาดม
เอ๋ยจำปาหอม
เมื่อดม กลิ่นเจ้า
ปานพบ เพื่อนเก่า
ที่ได้พราก จากไป
เจ้าเป็นดอกไม้
ที่งาม วิไล ตั้งแต่ใดมา
โอดวงจำปา มาลา ขวัญฮัก
ของเรียม นี่เอย

โอ ดวงจำปา
บุปผาเมืองลาว
งามดั่งดวงดาว
ซาวลาว ปลื้มใจ เมื่ออยู่ ภายใน
แดนดิน ลานซ้าง
เมื่อได้ พลัดพราก
อดีต พลัดจาก บ้านเกิดเมืองนอน
ข้อยจะเอาเจ้า
เป็นเพื่อน ฮ่วมเหงา เท่าสิ้นชีวา
โอดวงจำปา มาลา งามจริง
มิ่งเมือง ลาว เอย... 
 


				
10 สิงหาคม 2549 18:18 น.

ดนตรีฝนบรรเลงเพลงซ้ำรอย..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song19.html
(อาลัยรัก)


ฝนกำลังพรำสายนอกหน้าต่างกระท่อม
หยาดหยดเป็นเพชรรวง
ร่วง..จากชายคาหญ้าแฝก...ไม่..ขาดสาย..
ดั่ง..
สายน้ำตานางฟ้าพลีแด่ทุกมวลมนุษย์ในโลกหล้า
ยามพบ..มายาโลก..มายาลวง

นอนงีบหลับไปกับจิตวิญญาณพเนจร
รอนแรมดั่งนกไพรเดียวดายดายเดียว
 คล้ายคล้าย..
ไร้..สิ้น..อ้อมรัก..อ้อมภักดิ์ใคร

ความฝันลอยล่องจากหมอนนวลนุ่ม
ไปท่องในกลุ่มเกรียวเมฆแสนหวานปานวิมานสายไหม

ราตรีมืดมนยาวนาน....
จันทร์หวานไร้สิ้นแสงสวย

ปวงดวงดอกไม้เลิกร่ายระบำชั่วครู่
ดาวรุบหรู่ ใจริบหรี่

ดนตรีฝนบรรเลง
บทเพลงธรรมซ้ำรอย

ในมหัศจรรย์ใจ ดวงน้อยๆ
ราวได้ยินเสียง*สายน้ำในดวงใจ*..รำพัน
บทเพลงฝันแห่งฤดูกาล..พรากลา....!

........................

ตะวันรอนนิ่งเงียบเกินเปรียบได้
ในหัวใจนิ่งงันราวฝันสลาย
เหมือนจะหลุดเหมือนจะร้างไร้
กลับทอใหม่วันรุ่ง..จรุงจรัส

ความเกิดดับในอารมณ์ชมแล้วปล่อย
ความเศร้าสร้อยจรมา..เพื่อลากลับ
ความงดงามเบ่งบานขึ้นขานรับ
ปล่อยจิตจับรับใจ....ก่อนไม่คืน..........
.......................................






วันฝนพรำ กับ..เสียงร่ำไห้..มิอายฟ้าดิน..




ผม...กำลังพายเรือ
อยู่ในท่ามกลางสายฝนพรำกับบึงบัวสีขาว
พราวดอกยังมิคลี่แย้ม 

ในวันที่ริ้วฝนฟ้าฉ่ำด้วยม่านหมอกสลัวมัวหม่น
เป็นสีขาวพราวพร่าง..มาทุกทิศทาง


และ...
ที่นี่คือริมลำน้ำโขง
*สายน้ำรักนิรันดร์*
ที่เชื่อมโยงหัวใจไทยลาวมานับนานวันอนันต์ปี

วันที่เรียวฟ้าไร้กระจ่างมาตั้งแต่เช้า จนถึงยามนี้
ยามที่
ฟ้าใกล้ค่ำ..ตะวันลา ใกล้โพล้เพล้เหว่ว้าเต็มทีแล้ว


ใจดวงแก้วดวงแหลกรานร้าวเศร้าสุดแสนทานทน
กำลังหลงทาง.... 
กำลังหนีห่างร้างเมืองมาแรมไกล
พาใจดวงบอบช้ำร่ำไห้ 
ยิ่งกว่าสายฝนตกต้อง ณ ภายใน
ให้หนีไกลมาถึงที่นี่



ที่ที่เพื่อนคนดี บอกว่า
*เผื่อบางทีอาการผมจะดีขึ้น*

ให้สายน้ำโขงที่ทอดยาวไกล อย่างเงียบงามสงบใจ
ได้พลีปลอบประโลม

ให้ลำน้ำโล่งลิ่ว 
ได้ทอดทอก่อความสุขสงบ ขึ้นบ้าง
ณ.. กลางใจผม...
ให้สายฝนพรมพรำราวพร่างพร
ให้หัวใจอ่อนแอแพ้พ่าย ได้ยอมลุกขึ้นมาสู้ใหม่อีกคราครั้ง


ผม..จึงได้มานอนฝากฝันปันพลีใจ 
ใน..*กระท่อมไพรสไตล์ลาวโซ่งกึ่งบาหลี..*นิดนิด

ที่มีหลังคาจาก 
ให้ฝากชีวิต  พักพิง อิงใจไปสักสัปดาห์ 
จนกว่า
ดวงชีวาชีวีผมจะเข้าที่เข้าทาง
ให้กลับมาเหมือนเดิม 

ให้มิหวังเพิ่มรัก..รอหวังหวาน..จากร่างและดวงใจใคร
ที่ช่างไม่แน่ไม่นอนเอาเสียเลย



ฉะนั้น...
จึงเป็นเช่นฉะนี้...!
ที่ผม..คนหัวใจไม่รักดี
ต้องมานอนคะนึงครวญ
รัญจวนจิต
ไปกับชีวาชีวิต...ที่แสนดายเดียวเปลี่ยวเหงาเหว่ว้าสิ้นดี

กับวันที่ฟ้าฉ่ำไปด้วยไอฝนพรำพราว
กับหนาวในเนื้อใจ
ราวปีศาจวสันต์มาร่ำไห้อย่างโศกสะเทือนแทน



ราวกับมาตกตี  ณ..กลางใจผม 
ให้ระบมระทมด้วยพิษรัก

ทั้งๆที่ผมหักใจตัดใจหนีภักดิ์รักใคร 
ก็ยังมิวายได้มาได้มีวิบากกรรม
มาตอกย้ำซ้ำเจ็บให้ยอมชดใช้ แด่คุณ


คนดี ..ในดวงใจ
ที่ถึงวันนี้คุณจะทำให้หัวใจผมแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี

ผมก็ยังฝังใจจะเรียกคุณ 
ว่า..*คนดี..*ไปตราบจนชั่วนิจนิรันดร์

ระหว่างเรานั้น
ผมไม่โทษคุณ โทษใคร
ที่ฟ้าดินอินทร์พรหม
มิพากันเสริมส่งดวงชะตา
จัดสรรให้เรามาพบกันช้าไป
ราวบทเพลง


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6727.html
บอกอะไรป่านนี้...

ฉัน นั้นเคยรัก
ทุ่มเท ให้กับเธอ
รอ คอยให้เธอ ใส่ใจ
เธอ เคยตอบแทน
ด้วยการ มองผ่านไป
เหมือน ว่าโลกนี้ ไม่มีฉัน
แล้ว ถึงวันหนึ่ง
เธอนั้น ก็เดินมา
พูด ว่ามีใจ ให้กัน
รู้ ว่ามันจริง
แต่ฉัน ก็ไม่ดี ใจ
เพราะ มันสายไป สำหรับฉัน
มาบอก อะไร ป่านนี้
รู้ไหม ว่านาน เท่าไหร่
ที่ เธอเคย ละเลย
ปล่อย ใจฉัน ให้ตาย
ตายด้าน จนเกิน จะรัก ใคร
เธอ จะเปลี่ยนใจ
มารัก ฉันวันนี้
ทำ ดีต่อกัน เพียงไหน
คง มีให้เธอ แค่คำ ว่าขอบใจ
คง ไม่มากมาย ไปกว่านั้น
ฉัน ก็ต้องการ
อยากรัก และให้ใจ
เหมือน เคยให้ไป ในวันก่อน
แต่ฉัน รู้ตัวดี
ตอบได้ชัด เจนและแน่ นอน
ว่า มันสายเกิน จะกลับไป
มาบอก อะไร ป่านนี้
รู้ไหม ว่านาน เท่าไหร่
ที่ เธอเคย ละเลย
ปล่อย ใจฉัน ให้ตาย
ตายด้าน จนเกิน จะรัก ใคร
โฮ่ โฮ๊ โฮโฮ่โฮ๊ โฮ

มาบอก อะไร ป่านนี้
รู้ไหม ว่านาน เท่าไหร่
ที่ เธอเคย ละเลย
ปล่อย ใจฉัน ให้ตาย
ตายด้าน จนเกิน จะรัก ใคร
บอก อะไร ป่านนี้
มาบอก อะไร เมื่อสาย
ที่ เธอเคย ละเลย
ปล่อย ใจฉัน ให้ตาย
จนไม่ มีทาง จะเหมือน เดิม
รู้ ไว้เลย ว่าสาย ไป
ไร้ อารมณ์ จะรัก เธอ...

................



ราวหนึ่งหญิงสองชายหมายใจ
ที่ไม่ก็ใครคนใดคนหนึ่งต้องจำบอกลา

ที่คุณละล้าละลังทำใจมิได้ว่าจะหันไปหาใครดี
คนนี้ก็ใช่คนนั้นก็รัก...
ช่างแสนวายวุ่นนักเจ้าคำว่ารัก..รักเอย



 ไม่เป็นไรครับผม
คนดี ผม..เข้าใจ 
เข้าใจครับว่า....
ในความรักนี้
จักไม่มีคำว่าเสียใจไม่มีใครถูก..ผิด

แม้นดวงใจและดวงชีวิตผม
จะแสนปวดร้าวราวกับกลัดหนอง


ผมก็จะบ่มร้าว คัดเลือดคัดหนองเอง  
อย่างมิเกรงกลัวเจ็บใดใดทั้งสิ้น
จนกว่า.....
จะสิ้นถวิลโหยหา 
สลัดตราแอกแบกรักอันหนักแสนหนักออกไปได้

ให้ผมได้พบเส้นทางธรรม 
นำเอาน้ำอมฤตธรรมอันแสนใสฉ่ำเย็น
มาเป็นดั่งยารักษาใจ 

ให้เดินตามรอยบาทพระศาสดาไป 
อย่างประจักษ์แจ้งแทงตลอด
ถึงค่าคำว่า*ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์*



ผม..จึงรอเวลาให้หัวใจหยุดรักได้ด้วยตัวมันเอง
หากถึงเวลา
ที่ฟ้าเลิกลงฑัณท์ สวรรค์เริ่มปรานี
ให้ผม..ได้หมดเคราะห์กรรมสิ้นทุกข์เทวษเสียที

ผม..
คนที่หัวใจล้วนล้วนยามนี้ราวกับมีเข็มคอยทิ่มแทง
ราวกับแกล้งลวงหลอนหลอกใจ
ในยามที่ใจไหวหวั่นวอกแวกแหกสติสมาธิ 

ให้มีเพียงเสี้ยวหน้าคุณมาลอยคว้าง
มาแย้มหัวระรัวยิ้มพริ้มเพรา 
ราวกับวันแรกที่เราได้พบรัก



คนดี
ฝนยังพรำสาย ในท่าม..*สวนสีขาว*
ริมสายน้ำโขง

สวนไม้ดอกที่มีแต่ดวงดอกสีขาว ขาว ขาว
ไม่ก็พราวนวล นวล นวลพร่าง
กลีบหวานบานสะพรั่งพรึบไปหมด

สวน...ที่มีลั่นทม แก้วแพรวดอกพร่างกระจ่างงาม
จำปีนวล พุดซ้อนอวลกลิ่น ระรินด้วยมะลินานาพรรณ
กับ  กุหลาบพันธุ์นอก 
โมกที่ยังสะพรั่งดอกค้อมดวงลงสู่ดิน



และอีกหลายๆขาว
ที่ระรินปลอบใจให้แสนไหวหวาม 
แวววาวพราวด้วยเกสรงาม

และ
ที่แสนทำให้โลกในนิยามคนเศร้าหนาวใจอย่างผม
ได้หยุดระทมทับชั่วคราวคือ
บึงบัวพราวด้วยดอกขาวล้วนล้วน


ที่เพื่อนผมเจตนาขุดเป็นบึงกว้าง
ให้ได้คลี่กลีบแย้มหวานไหวสล้างหลายไร่

ให้หอมชื่นใจ ในยามฝนพรำพรม 
ที่พรายอวลอบมากับสายลมในยามค่ำ
ที่ราวกับภาพฝันของจิตรกรเอกของโลก
.............



ฝนพรำสายหนักหน่วงขึ้น 
ให้ผมนอนมองดูรวงฝนด้วยเรียวฝันอันแสนบางเบา
ในเหงางามเงียบเฉียบเย็นรายรอบ

ผมเห็นสายฝน
ราวสายฝันสวรรค์พลีในนาทีนั้น
ราวดวงดอกน้ำค้างจากสวรรค์
จากฟ้ากว้างพร่างใสสด 
หยดแตะแต้มให้โลกหล้าได้แย้มยิ้มปรีเปรมด์เกษมสุข

ให้ลบโศกรานในทุกถิ่นฐาน 
ที่หว่านหวังเพาะพันธุ์ข้าวกล้า
ให้ หัวใจชาวนาไทยแสนเอิบงาม



ให้ดวงดอกไม้ได้คลี่กลีบแย้มบาน...
รอมวลหมู่ภู่ผึ้งภุมรินทร์

ให้ชาวดินได้มีน้ำมิสิ้นแล้ง 
ให้แรงน้ำค้างจากฟ้า..กรายพร่างลงณ..กลางใบบัว
กลอกกลิ้งพริ้งพราวราวหยาดเพชร
และ...



ทันทีนั้น 
พลันผมก็ตัดสินใจ 
ที่ใครๆอาจจะคิดว่าผมบ้า
ที่พยายามพายพาเรือมาดลำน้อย
ออกมาค่อยๆไกลจากฝั่งแลละลิบ
และ...
ลอยละลิ่วปลิวไปท่ามกลางสายฝนพรำ
ไปลอยลำในท่ามกลางบึงบัวอ้างว้าง


ที่ผมรู้สึกดีกับความหนาวเหน็บในยามนี้ 
ยามที่
แหงนเงยใบหน้าทายท้า
ชะตาทั้งกับพสุธาฟ้าดินสิ้นอินทร์พรหมยมพญา

ให้สายฝนพรายพร่าพร่างพราวลงกราวกรายฝากเจ็บ

ให้ใจดวงหนาวเหน็บเจ็บร้าว
ราวได้ยินบทเพลง*เย้ยฟ้าท้าดิน*ขึ้นมาทันที



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song175.html
เย้ยฟ้าท้าดิน

ฟ้าหัวเราะเยาะข้า ชะตาหรือ
ดินนั้นถือ อภิสิทธิ์ ชีวิต ข้า
พรหมลิขิต ขีด เส้น เกณฑ์ชะตา
ฟ้า อินทร์ พรหม ยมพญา ข้า หรือเกรง
ฟ้า หัวเราะ เยาะเย้ย เหวยเหวยฟ้า
พสุธา อย่าครวญว่า ข้า ข่มเหง
เย้ย ทั้งฟ้า ท้าทั้งดิน สิ้น ยำเกรง
หรือใคร เก่ง เกิน ข้า ฟ้า ดินกลัว
ข้า ขอ ลิขิต ชีวิตข้าเอง ไม่เกรง ดิน ฟ้า
อีก พื้นพสุธา พญายม พรหมอินทร์ ทั่ว
ข้า กระทำ แต่กรรมดี มีหรือจะกลัว
มิใช่ใจชั่ว ลืม ตัว หลง ลำพอง
อัน สวรรค์ อยู่ในอก นรก นั่น หรือ
ข้า ก็ถือ อยู่ในใจ ไม่ หม่น หมอง
ละ การ ทำ ชั่ว ควรหรือจะกลัว นรก มั่นปอง
หาก ทำดี ฟ้าดินต้อง คุ้ม ครอง เอย...
......................


ผมรู้สึกชาชิน
จนความหนาวเหน็บเจ็บที่ไหนไม่ว่าร่างรานหรือใจร้าง
กลับชาเฉยไปกับความอ้างว้าง เปลี่ยวเหงา ลำพัง
ที่พังสิ้นแล้วทั้งหวังหวาน

ไปกับม่านฝน ม่านฝัน
ไร้ใครมาปันพลีหัวใจ มาคอยห่วงใยโอบเอื้อให้อ้อมอุ่นไอรัก

ผมตระหนัก..ในนาทีนั้น 
ถึงความหมดทุกข์ สิ้นทุกไฟฝัน
เหลือเพียงความว่าง อันคือ*ความหนาวนิรันดร์สำหรับผม*


ผม..นอนพาดตัวไปกับลำเรือ
เกลือกตัวไปมาราวสัตว์บาดเจ็บ 
ราวกับเด็กสิ้นไร้ อ้อมอกแม่
และ...
กับ....พรายพร่าแห่งสายฝนพรำ
ที่พาให้ผมร่ำไห้ อย่างมิอายฟ้าดิน...!!!!!!!
.........................................
.........................................





http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1931.html
อายฟ้าดิน

จะบอกรักใครก็อายฟ้าดิน
ความหวังพังสิ้น ทางรัก มืดมน
เกิด มา ร่างกายเท่านั้นเป็นคน
แต่หัวใจปี้ป่น โดนรักขยี้แหลกราญ
จะเอ่ยรักใครให้เอือมระอา
เมื่อไร้คุณค่า จนมิ ต้องการ
ตราบ จน สิ้นคนมั่นรักยืนนาน
ต้องทุกข์ทรมาน ร้าวราน ฤดี
ชีวิตต้องสิ้น ความหมาย วิง วอน ไหว้
ฟ้าดินก็ไม่ปราณี เจ็บ ปวด รวดร้าว ชีวี
ดวงฤดี มีแต่ ชอกช้ำเรื่อยมา
ไม่อยากรักใครให้อายฟ้าดิน
กลัวเขาจะสิ้น ความรัก เมตตา
สู้ กลืน เก็บความชอกช้ำอุรา
ไม่รักใครดีกว่า เดี๋ยวเขาจะอาย ฟ้าดิน

ชีวิตต้องสิ้น ความหมาย วิง วอน ไหว้
ฟ้าดินก็ไม่ปราณี เจ็บ ปวด รวดร้าว ชีวี
ดวงฤดี มีแต่ ชอกช้ำเรื่อยมา
ไม่อยากรักใครให้อายฟ้าดิน
กลัวเขาจะสิ้น ความรัก เมตตา
สู้ กลืน เก็บความชอกช้ำอุรา
ไม่รักใครดีกว่า เดี๋ยวเขาจะอาย ฟ้าดิน...



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song19.html
อาลัยรัก

ฉัน รักเธอ รักเธอ ด้วยความไหวหวั่น
ว่า สัก วัน ฉัน คง ถูกทอดทิ้ง
มินานเท่าไร แล้วเธอก็ไป
จากฉันจริงจริง
เธอ ทอด ทิ้ง ให้อาลัย อยู่กับความรัก
แม้ มีปีก โผบิน ได้เหมือนนก
อก จะต้อง ธ-นู เจ็บปวดนัก
ฉันจะบิน มา ตาย ตรงหน้าตัก
ให้ยอดรัก เช็ด เลือด และ น้ำตา

แม้ มี ปีก โผบิน ได้เหมือนนก
อก จะ ต้อง ธ-นู เจ็บปวดนัก
ฉันจะบิน มาตาย ตรงหน้าตัก
ให้ยอดรัก เช็ดเลือด และน้ำตา... 
 



				
9 สิงหาคม 2549 20:30 น.

ฤาจักพึงซับเพียงภาพฝันอันอ่อนหวาน...!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song198.html
(ปรารถนา)


วันที่ฟ้าครึ้มฝน
ให้บรรยากาศเทาทึมทอดทับไปทั่วทั้งท้องนภางค์

ในวันที่...
ฟ้ากว้างแสนกว้าง...
ที่พระอาทิตย์แสนสว่างกระจ่างแจ่ม นั้น
พลัน....!
ราวตกอยู่ในม่านหมอกสลัว 
เสมือน.*.ภาพฝัน*
ที่รอเวลาลีลาวสันต์พลันพร่างให้ความสุขสงบร่มเย็น

ให้ทุกดวงใจใต้ผืนหล้าฟ้าไทยที่เป็นทุกข์ 
ดิ้นรนเร่าร้อนได้ผ่อนคลายลง


ผม..ได้รับโทรศัพท์จากเธอคนดี ที่มีมา
เพื่อขอคำปรึกษาจากสำนักงานสถาปนิกของเรา
ให้ไปดู....
*บ้าน*ฤา*วิมาน*หลังใหม่ให้กับเธอ 
ที่..
ผมเพียงได้ยินได้ฟัง..เสียงเธอเสมอเสมือนละเมอ
เพ้อมาสั้นสั้นอย่างฝันฝันซึ้งซึ้ง 
แค่ว่า...
เป็นห้องชุดหนึ่งเดียวในอพาร์ตเมนท์เก่าชั้นที่สิบ
ที่มีรายละเอียดงดงามมาก
หากทว่า..
ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้
เพราะ..
เจ้าของเก่าแค่หวังมาจับจองไว้ปล่อยขายต่อทำกำไร
และ...
วันนึง เมื่อเธอไปเยี่ยมเยือนเพื่อนสนิทของเธอ 
จึงถูกนำเสนอ..
ให้เธอเกิดไอเดียสว่างวาบ ขึ้นมา
ที่อยากซื้อและนำมาดัดแปลงตกแต่งเสียใหม่
ให้พิไลพิลาสพอที่จะเป็นที่อยู่อาศัย
ตามประสาสาวโสดแบบเธอ..เพียง..ลำพัง



เธอ ..นัดผมในวันถัดมา 
และนั่นหมายถึงเวลาย้อนกลับไป...เมื่อ6เดือนที่แล้ว
และ...
มาจนถึงวันนี้ ..
วันที่ไม่แคล้วผม  ผู้เป็นสถาปนิก 
ที่จำต้องเวียนวนเข้าออก
เพื่อ 
มาบอก..มาดูงาน 
ที่ให้ช่างมีฝีมือได้เสกสรร 
ดัดแปลงแต่งโฉมเสียใหม่
ให้..
งามประทับใจ ประโลมใจเธอ ให้สมกับราคาค่าจ้าง 


และ..
น่าแปลกดีที่งานนี้ ผมยินดีพลีใจ ทำให้เธอ 
ผู้หญิงที่..
เพียงแวบแรกแวบเดียวที่เห็น
ก็ทำให้หัวใจผมเต้นไม่เป็นส่ำเอาเสียเลยทีเดียวเชียว


เธอ..ผู้งามแผกงามพิศ งามน่าสนิทเสน่หา
งามตรงนัยน์ตาราวมฤคาใสซื่อ 
ที่ดูราวแย้มยิ้มได้...
ให้
ทุกชายชาติได้หมายมาดอยากมากรายใกล้ ได้ชิดใกล้
ได้หว่านเสน่หาพิสวาท..
อยากพิชิตเอาชนะใจเธอไปตราบชั่วกาล...


และ...
สำหรับผม... ยิ่งนานวันเข้า
กลับยิ่งได้ค้นพบความพิเศษ
ในดวงจิตเธอ ...
ผู้ต้องนำเสนอ ให้ผมสนอง ไอเดีย ที่แสนงามล้ำ
ตรงที่เธอ พยายามเน้นย้ำ 
ให้รู้ว่าชีวาชีวีเธอนั้นรักความเรียบง่าย
และ..
เพียรอธิบายให้ผมพยายาม 
ออกแบบตกแต่งเติมเพิ่มรายละเอียดวิมานเธอ 
ให้แสนเรียบง่าย
แสนสบายๆสะอาดๆโล่ง ด้วยโถงเพดาน 
ที่ยังมี..
ลวดลายปูนปั้นลายดอกไม้ผีเสื้อ
ให้ยามพบแสงไฟพลัน 
จะยิ่งงามเหลืองามล้ำ
ให้อารมณ์อันแสนสุนทรีย์นุ่มนวลอ่อนหวาน


วิมาน...
ที่เธอ ตั้งใจให้ใช้ไม้กระดานแผ่นโต
ที่ให้สีสันดั่งไม้เก่าซีดหากดูยิ่งอบอุ่น 
เมื่อทอดรับกับสไตล์...  บ้าน...
ที่...
เธอต้องการมีเพียงเฟอร์นิเจอร์
ตู้โต๊ะ ไม้เก่าโบราณไม่ขัดเงาดูดิบเดิม 
และแสนให้ความนิ่งงันอลังการ
ที่เธอใช้สำหรับนั่งทำงานเขียน ในยามกลางวัน 

บ้านฤาวิมานฝัน
ที่เธอทาฉาบสีขาวธรรมดาๆ...
ประมาณว่าคล้ายๆผนังหิน
ที่ให้ช่างสาดสีทิ้งทีแปรงแฝงความเก่าคร่ำฝากเอาไว้ 


และ
มี...ห้องหับว่างเปล่า...กับที่นอนหนานวลนุ่ม
พร้อม..
เครื่องนอนสีขาวที่ดูแสนอบอุ่นสบายๆ
ที่วางไว้ ณ กลางห้อง เพียงสิ่งเดียว
พร้อม..
ตั่งวางเชิงเทียนทรงสูง 
ที่..
พร้อมจะจุดใช้งาม ยามเธอจะประหยัดไฟ
ให้ก้าวพร้อมไปกับทิศทางของบ้านเมือง 
ที่...
ทุกคนพลเมืองไทยประเทศ  
กำลังต้องช่วยกันหันกลับ
มายึดถือตามรอยพระบรมราโชบาย
แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ทรงมีพระราชดำรัสทรงตรัสฝากไว้
ให้...
รักความสมถะพอดีพอเพียง 
พยายามเลี่ยงกิเลส เหตุแห่งทุกข์อยาก 
ที่แสนมากมายมากมี
อย่าง..
ที่ไม่มีวันสิ้นสุด 
และ..
จักก่อทุกข์ถนัดอย่างใหญ่หลวง
เมื่อต้องตกเป็นทาสแห่งหนี้สิน



แสงไฟจากเทียนแท่งที่คงงามพร่าง
ใน...
ท่ามม่านเมืองมนตรา 
ที่คงพาให้...
อารมณ์แสนไสวโรแมนติก ในยามคืนค่ำ
 ที่เธอจะนั่งรจนางานเขียน
ด้วยพลังไฟฝันอันแสนบรรเจิดจิต
ด้วย..
ได้ใช้ชีวิตแสนชิดใกล้ธรรมชาติ
ความสมถะอย่างชาญฉลาด
แม้นจะดั่งปลาผิดน้ำ ในยามนี้
ที่เธอ..ยังจำต้องอยู่สู้ทน
วนว่ายในบึงคลองหนองเมืองก็ตามที
อย่างน้อย..
ก็ยังให้ชีวีชีวิตได้พบความประเทืองประทับใจบ้างก็ยังดี


และ..
ในห้องเรียบโล่งโถงห้องหนึ่งนั้น
 ตรงผนัง
เธอจะมีหิ้งไม้ หลายชั้น สำหรับแค่วางหนังสือแสนรัก 
ที่จำจักต้องเก็บไว้ค้นคว้า 
หลังจากได้บริจาคไปตามโรงเรียนต่างๆ
หาก..
ไม่จำเป็นต้องใช้งานแล้ว


และ..
กับบานประตูที่เธอให้เขาเปลี่ยนวงกบ 
ให้ดูดีมีความเรียบง่ายมากขึ้น
รับกับผนังและเพดาน
และ..
กับช่อโคมไฟ ในยุคซิกส์ตี้ 
ที่แสนให้ความหวานอบอุ่น
ราวย้อนยุค...
 ไปพบกับความละมุนละไมละเมียดใจมากขึ้น


ตรงระเบียง..ที่มีลายเหล็กดัดอันงดงามอ่อนช้อยนั้น
เธอ หาเพียงต้นพุดซ้อน
ที่มีดวงดอกดั่งกุหลาบขาวพราวพรรณ
มาวางเคียงกัน สี่ห้าต้น 
ที่จักปันปรนผลิดอกให้หอมเศร้าเร้าใจไม่เว้นแต่ละวัน
ให้เธอ 
ยิ่งมีอารมณ์ฝันฝันฝัน หวานหวานหวาน บานเบิกใจอย่างที่สุด
................


และ..
ในท่ามทุกวัน 
ที่ผมต้องผายผันร่างมาตรวจงาน
ที่ดูคล้ายจะทำง่าย 
หาก..
คงมิใช่เพราะมากความละเอียดละออพิถีพิถัน
อย่างที่เธอ เจ้าของวอนขอร้อง 
ให้เราช่วยกันทุ่มเทสร้าง*รวงรังแห่งรักแห่งฝัน*
ให้พลันวิจิตรใจ พลีแด่เธอ..
โดย..
ราวดูไม่มีอะไร 
หาก..
ในความว่างเปล่านั้น
กลับให้สัจจธรรม ที่ถึงพร้อมในวิถีเซน 
ที่..
ให้รู้รักความเย็น ความสมถะพอดี พอเพียง
เลี่ยงการสะสม สรรพสิ่ง 
ให้รู้รักความนิ่ง ความสงบเงียบ
ที่จักเปรียบประดุจดั่งจักหล่อหลอมให้ จิตยิ่งมีพลังสมาธิ 


และ..
ยิ่งมีการรู้สละออก...
มิเพียรพอกสะสมอุดมด้วยนานาสารพันสารพัดวัตถุ
ไม่ว่าจะเลิศหรู ดูดีสักแค่ไหน
หากจริงๆแล้ว..
ทุกชีวิต แค่มาอาศัยโลกใบใหญ่นี้
เพียงแค่ชั่วครู่ 
ใช่มาลบหลู่เบียดเบียนทรัพยากรธรรมชาติ
ดิน น้ำ ลมไฟ อย่างมิฉลาดใช้ 
อย่างราวกับอยากให้โลกได้พบ
ความแล้งไร้ ภัยพิบัติ 
ให้ได้พบ..
*ความสูญเสียเอนกอนันต์*อันแสนยากจะย้อนแก้คืน


ผม..
จึงชื่นฉ่ำใจ เกิดศรัทธาใจ ปิติเกษมใจ 
ที่ได้พบเธอ 
ที่ทุกคราพาให้ผมคิดถึงบทกวีบทหนึ่ง
ที่แสนซึ้งซาบใจ...


ซ่อนความลึกซึ้งไว้ทุกส่วน
ซ่อนเสน่หานิ่มนวลมิเสแสร้ง
ซ่อนอำนาจดูดดึงไว้รึงแรง
ซ่อนแววเสาะแสวงมิรู้วาย
อยู่ในห้วงคิดของคนอื่น
เป็นความเช่มชื่นที่แผ่ขยาย
อยู่อย่างต้นแบบที่แยบคาย
เป็นเชิงอรรถอธิบายแห่งบรรพชน...
..................


และ..
สำหรับวันนี้ 
ที่งานผมที่รับผิดชอบเสร็จสมดั่งจำนงหมายแห่งเธอแล้ว
และ..
ต้องเดินตามดู
*นางแก้วนางที่อยากให้แนบชิดสนิทเนาในดวงใจ*
ค่อยๆเ
ดินเยื้องกรายไปมา
พร้อมกับดวงตาใสเป็นประกายราวเด็กน้อย
ที่ได้มี*รวงรักแห่งรัก *
ได้ฝากภักดิ์พลี พิงพักเอื้อโอบใจ


ให้..
หัวใจผมแสนผ่องแผ้วใสเกษมพร่างสว่างไสวตามไปด้วย
อย่างแสนยินดี
ที่สู้เพียรพลี ได้ชิดใกล้ ได้ทำงานให้เธอ
 และ..
ได้พบเธอ 
ที่ราวฟ้าสรรสวรรค์ส่ง..สั่งตรงลงมาเสนอฝัน
สนองวันคืน...
ให้ผมได้พบความสดชื่นระรื่นร่ำแสนฉ่ำใจ เสียไม่มี
จน....
ผมนี้...อยากให้มีวันทอดไกล........
ขอวอนอธิษฐานใจ....
ให้ได้เป็น*ประดุจดั่งหนึ่งเดียวในดวงใจของเธอ*
ไปตราบชั่วกาล....นานเนานิรันดร์
..............................
 


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song198.html
ปรารถนา ทูล ทองใจ 

หากแม้นเลือกเกิด เองได้ 
คนทุกคนเลือกเกิดอย่างไร
ตามใจเขา ปรารถนา 
แต่ตัวฉัน นั้นขอตั้ง สัจจะวาจา
ถึงชาตินี้ ชาติหน้า ปรารถนาเกิดมาใกล้คุณ
หากร้อนผิวกาย ใจระทม
ตัวฉันยอมเลือกเกิดเป็นลม
เฝ้าลูบชมเนื้ออ่อน ละมุน
หากหนาวนัก ขอเอารัก วางไว้เป็นทุน
ขอเกิดมา เป็นผ้าอุ่น
เกิดเป็นหมอนหนุน สำหรับนาง
อยากเกิดมาเป็น สีแดง
แต้มแต่งสองริมฝีปากคุณ
อยากเกิดเป็นแป้งหอมกรุ่น
ลูบไล้เนื้ออุ่น สองปราง
อยากเกิดเป็นสร้อยห้อยคอไว้
อยากเป็นดอกไม้ที่ทัดหู
อยากอยู่ร่วมหอ ไม่ห่าง
จะขอเป็นแหวนสวมก้อย 
เป็นกำไรสวมใส่มือน้อย 
เกิดเป็นรอยรับบาทของนาง
อยากแนบเนื้อ ขอเป็นเสื้อสวมใส่สรรพางค์
ขอเกิดเป็นหมอนข้าง
เพื่อนางนวลน้อง ได้กอดนอน...


				
8 สิงหาคม 2549 16:52 น.

ฝนหยาดสุดท้ายหมายพรากลาจากเรียวแก้ม..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song90.html


ฝนหยาดสุดท้ายหมายพรากลาจากเรียวแก้ม
ให้เราแย้มเรายิ้มเริ่มวันใหม่
สกุณายังคงร้องเพลงหวานเบิกบานใจ
ดอกไม้ไพรยังไหวกิ่งฝันเช้าวันนี้

นอนนิ่งนิ่งในที่นอนหอมหอมอุ่น
โลกละมุนลมหายใจแสนมีค่านาทีนี้
อิสราว่างกลางดวงใจแล้วคนดี
นับแต่นี้ใจอิ่มสุขไร้ทุกข์รัก

ดอมดอมดอกพุดซ้อนเคลียหมอนซ้ำ
กลีบจะช้ำยังให้หอมหวานยิ่งนัก
สัจจะธรรมคืองามดวงใจนะที่รัก
อัญมณีภักดิ์อัญมณีพุทธพิสุทธิ์ใจ

วาสนาใครเล่าจะเข้าถึง
ให้พบซึ้งพบซ่านหวานหวามไหว
หากบุญไม่พอพรหมบันดาลพรากแรมไกล
รอหัวใจใครคนดีหากมีบุญ

ไม่เสียใจไม่ไหวหวั่นไม่ขวัญหาย
ไร้คนใกล้ไร้คนชิดหอมแก้มกรุ่น
รอเวลาอิงอ้อมใจหวานละมุน
ทุกอุทัยโลกหมุน..หวังฟ้าสรรสวรรค์รอ...
.....................






วสันต์สอน! 


ฟ้ายามเช้า..แจ่มสวย..
หลังฝนพรำพรำทั้งคืนเมื่อคืนนี้
เพื่อนสีเขียวของไพลรายรอบบ้าน
ระบัดใบเริงร่ารับหยาดฝน
ใบเขียวจึงดูสล้าง สดชื่น สวยใสกว่าทุกวัน..

ไพลมองผ่านกระจกใสแจ๋ว
ที่ถูกสายฝนชะล้างเมื่อคืนนี้
แล้วยิ้มออกมาอย่างยินดี..
ที่เห็นดวงดอกไม้นานาพันธุ์ของไพลนั้น
กำลังบานชูช่อ ล้อสายลมสะอาดหอม 
กับสายลมยามเช้าที่พัดไหวระริน..

กุหลาบดอกตูมตั้งเผยอแย้มหวานบานอีกคราแล้ว
หางนกยูงฝรั่งก็ออกดอกแดงพรืดเต็มต้น
ไหนจะพุดเวียตนามที่บานพราวจนเก็บไม่หวาดไม่ไหว

ไพล..ดีใจที่วันนี้ไพลมีดวงดอกไม้หลากสี
ประดับโต๊ะเขียนหนังสือ ให้หอมจรุงไปทั้งวัน
จนถึงยามค่ำถึงดึกดื่น..
ที่ที่ไพลจะนั่งอ่านหนังสือหรือเขียนหนังสืออยู่ตรงนี้
ที่เป็นมุมสงบสุข แสนดี อย่างเหลือเกิน..

แต่พอยามเย็นมาเยือน..
พลันฟ้าที่แจ่มสวยนั้นก็พลันหม่นมัวราวใจคน
ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะสลับกันสุขทุกข์
เป็นสัจจธรรมเฉกเช่นเดียวกันกับธรรมชาติงาม
ที่หมุนวนหมุนเวียนเปลี่ยนผันมาเยือนมาสอนใจ...

ฟ้าสวยกลับเศร้าเทาทึมราวร้าวรานจนอยากร้องไห้
ยามแหงนเงยมอง..ไปรายรอบทุกทิศทาง..
ลมพายุพัดแรง น่ากลัว
จำปี ที่เชยชิดถึงชายคา สลัดใบร่วงกราวปลิวว่อนไปตาม
กระแสลมแรงที่พัดกระโชกกระชั้น..
ร่มสีเหลืองคันใหญ่ ที่กางไว้ใต้ต้นก็พลันราวจะปลิวไปตามแรงลม..

ไพล..ใส่เสื้อฝนสีฟ้า รีบพาร่างออกไปนอกชายคา
ไปดูแลอ่างปลา..และ
เร่งมือกวาดใบจำปี มิให้พัดไปไกล กลัวว่าจะไปอุดท่อระบายน้ำ
นี่คือความรับผิดชอบของคนรักต้นไม้ ที่ต้องขยันหมั่นเก็บกวาด
มิใช่แค่..ปลูกหวังเชยชมเพียงอย่างเดียว..
แต่ต้องเอาใจใส่ดูแลต่อส่วนรวมมิให้ไปตกตามถนนและหน้าบ้านใคร..

กล้วยกออวบงาม ที่สูงใหญ่แทงใบโชว์ความเขียวอ่อนสวยใส
แทบถึงชั้นสองริมหน้าต่างห้องนอน..
บัดนี้ออกเครือมากมีหวีงามห้อยต่องแต่ง 
หวาดเสียวว่าจะหักราญลงมา จนต้องไปหาเชือกมาผูกไว้

ในท่ามกลาง สายฝนกระหน่ำหนัก ที่พรมพร่างฝอยฝน
ราวธรรมชาติประทานฝันให้หัวใจไพลพลันสะอ้าน...
หวานไปกับฝนแรกแทรกบทเรียนสอนใจนี้ที่เวียนวน
ให้ผู้คนบนผืนโลกยอมรับโศกสุขราวฤดูกาลที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป..
ตราบใดที่หัวใจยังไม่ว่าง..วาง
เพื่อหนีห่างหนี้กรรม..หนี้รักนี้  ที่คู่โลก คู่คน  วนย้อนรอยมิรู้จบ.....
 
 



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song90.html

ฝนหยาดสุดท้าย

ฝนหยาดสุดท้ายหัวใจหวั่นไหวให้ตรม
ซ่อนรอยน้ำตาขื่นขม ร้าวระบมสุดที่จะฝืน
ถึงคราวจำพราก โศกช้ำกล้ำกลืน
ฉันนอนซบหมอนสะอื้น
ค่ำคืนผวาโศกศัลย์
ฝนหลั่งสั่งฟ้านิจจาจำร้างห่างกัน
อย่าลืมรักเคยผูกพัน ทุกคืนวันอย่าลืมเสน่หา
ถึงกายจะห่าง แต่รักอย่าลา
เธอเคยสัญญาไว้ว่า 
จะมาเมื่อฝน เยี่ยมเยือน
จงหมั่นจำความหลังอย่าลืม
สองเรา เคยรักเคยปลื้ม
ด่ำดื่มจำไว้อย่าเลือน
คอย ฉันคอยจนฝนใหม่เยือน
หวั่นเกรงรักลวงลอยเลื่อน
เพื่อนใจอยู่ไหนไม่มา
ฝนหยาดสุดท้ายเขาใยปล่อยฉันให้คอย
ส่งกระแสใจเลื่อนลอย
หลงรอคอย คอยร่ำเรียกหา
ฝนเอยอย่าด่วน สิ้นร้างสร่างซา
เพราะชื่นหัวใจของข้า
ไม่มาฝนจ๋า ข้าตรม

ฝนหยาดสุดท้ายเขาใยปล่อยฉันให้คอย
ส่งกระแสใจเลื่อนลอย
หลงรอคอย คอยร่ำเรียกหา
ฝนเอยอย่าด่วน สิ้นร้างสร่างซา
เพราะชื่นหัวใจของข้า
ไม่มาฝนจ๋า ข้าตรม... 

				
7 สิงหาคม 2549 21:29 น.

มฤคาน้อยบริสุทธ์ใส..ฆ่าเลือดเย็น..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song255.html
(สายสร้อยร้อยใจ)



แว่วบทเพลงสายสร้อยร้อยใจในกระท่อม
แล้วก็นอนหอมดอกจำปีคลี่เหว่ว้า
เห็นจันทร์ดวงงามลอยท่ามนวลนภา
ฝันฝันว่ามีอ้อมใจใครสักคน

แสงเทียนในตะเกียงแก้ว..ริบ..ริบหรี่แสง
ดั่งฝากแฝงรอยรักร้าวเศร้าอีกหน
ไม่เป็นไรแม้นมีสายฝนตกกระหน่ำกลางกมล
เจ็บจนทนร้าวจนชินคนสิ้นรัก

เปิดดวงใจแค่ไม่นานพรานหมายฆ่า
เชือดช้าช้าทาเกลือเกินเจ็บหนัก
ไร้น้ำตารักคนผิดแสนช้ำนัก
ถอดใจภักดิ์แล้ววันนี้..ไม่มีใจ..

ลั่นดาลรักครั้งสุดท้ายให้ทานเธอ
หลงละเมอเชื่อคำมั่นด้วยใจใส
หารู้ไม่โลกนี้หนามากพรานไพร
มฤคาน้อยบริสุทธิ์ใส..หลงศรัทธา..ฆ่าเลือดเย็น..!
...........................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song255.html
สายสร้อยร้อยใจ ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ 

สายสร้อยร้อยใจสายไยสวาท
หมายขาดหลุดสุดหนทาง
รักจางตรอมตรมไม่หาย
โอ้ใจเอ๋ย ไหน เลย มาหน่าย
ฟ้า ดินแม้สิ้นสลาย รักมิคลายรักสุดบูชา
สายจิตร้อยทรวงไยลวงหลอกหลอน
อกสั่น หวั่นรักรอน ยามกินยามนอนผวา 
ภาพความหลัง นั้น ยัง เตือนตา 
น้อง คงมิปรารถนา จึง ลาระทมตรมใจ
พี่ แพ้ เจ้าไม่แลเหลียวมองมาเลย 
อก เอ๋ย ไปชื่นชมหลงคารมใคร 
พี่ รัก ใช่หลอกลวงรักเต็มทรวงใน
รัก ซ่อนซ้อนใจ ห่วงหรือไรทิ้งพี่ให้ตรม
สายโซ่คล้องใจสายไยสวาท
พี่อยู่ ก็เหมือนคน ไม่กายไร้ใจชื่นชม 
สร้อยใจหาย รัก กลาย เป็นลม 
เหลือรอยสายสร้อยขื่นขม 
ร้อยอารมณ์ระทมตรมทรวง... 
 

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด