11 กุมภาพันธ์ 2550 09:25 น.
พุด
ยามเช้าเจ้าพุดซ้อนนอนฟังเสียงหัวใจเต้น..!
ฟังเสียงหัวใจนิ่งนิ่งในยามเช้า
แล้วก็เฝ้ารออรุณอุ่นอุษา
ดวงดอกไม้แย้มหวานเต็มนัยน์ตา
งามนภาเริ่มวันใหม่ให้ยิ้มรับ
ดอกมะม่วงร่วงพรูพรายพร่างหอม
พรรณพะยอมคลี่กลีบน้ำค้างจับ
รอระเหยหายมลายแดดวะวาววับ
ชีพลาลับประดุจเดียวสัจจธรรม
คิดถึงเอยแสนคิดถึง
ในคะนึงถึงดวงใจเกินคำพร่ำ
คนละทิศคนละทางอ้างว้างระกำ
กี่คืนค่ำพร้อมหน้าฟ้าตอบที
ดอกลั่นทมในดวงตาพาว้าเหว่
เหมือนรักเร่แรมร้างตราบชีพนี้
มีเพียงฝันวันรอตราบชีวี
หวังคนดีคืนให้ชื่นตื่นมาในอ้อมทรวง...!!!!
....................
ยามเช้าเจ้าพุดซ้อนจะไปไหน
นกเป็นเสียงนาฬิกาว่าเช้าแล้ว
พวงดอกแก้วร่วงพรูคู่ฟ้าสาง
เสียงไก่ขันกระชั้นถี่บนลานกว้าง
โลกสว่างดาวแขวนฟ้าราตรีนวล..
รับอรุณกับราตรีที่หอมเศร้า
หอมข้าวเช้าตัดใบตองร่องท้ายสวน
โรยมะลิในขันข้าวขาวใจนวล
ผลไม้สวนเอื้อมเด็ดมาใส่ตะกร้างาม
นุ่งผ้าซิ่นผืนสวยลายดอกไม้
ริมแก้มซ้ายทัดชวนชมให้วาบหวาม
เด็ดดอกไม้รายรอบสวนผูกช่องาม
อธิษฐานตามให้งามใจละไมละมุน..
พระ.พายเรือ มารอ รับบิณฑบาตร
ขอทุกชาติสร้างผลบุญได้เกื้อหนุน
เป็นสาวนารักสายธารหวานดอกไม้ลมละมุน
ตราบโลกหมุนสร้างศรัทธาพาดวงใจพบสุขจริง...
พบสุขใจ....
..........................
ชอบนอนนิ่งนิ่งเฝ้าดูฟากฟ้านภาสีนวลนวล
หวานหวานแอร่มแจ่มจรัส
ด้วยพลังรัศมีสายแสงแดดสีทองอันอ่อนอุ่น
ให้ละมุนละม่อมในหอมห้วงใจในยามเช้า..วันหยุด
แล้ว...
พาให้ดวงใจที่แสนใสพิสุทธิ์แท้
ได้รำลึกด้วยความรู้สึกคิดถึงคิดถึง
ถึง...
ยอดดวงหฤทัยคนที่รัก รัก รัก มากมาย
ที่จำต้องพรายพลัดพราก จำใจจากกัน
ด้วยบทบาทหน้าที่...ไปตามเพรงชะตา
ไปตามวาสนา...ฟ้าดล ดินบันดาล..
จนพาให้ทุกข์ ทุกรักนั้น
ทำให้...
ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งหลงรักสายธารทะเลสาบสีเงิน
รักดวงดอกไม้ป่า...รักภูเขา รักท้องฟ้า
รักสายฝนพรำกระทบหลังคาจาก
รักมากมายในวิถีธรรมชาติไพร
รักดวงใจที่รู้นิ่งเงียบงามสงบ
รักดวงตะวันตกดินยามพลบยามโพล้เพล้
รักความว้าเหว่ ดายเดียว
รักเส้นทางสายเปลี่ยวยามเดินลำพัง
รักลำคลอง ท้องร่องสวน
รักกล้วยกอ รักบึงบัวบูชา
รัก...
รัก...
และ..รักรจนางานหวานหอม
ได้น้อมนำ..มารจนาเป็นสร้อยโซ่อักษรา
ภาษาไทย
มาน้อมนำสอนสัจจธรรม สัจจะใจ..แด่ทุกดวงใจ
ในร่มรักแห่งเราค่ะ..นะคะ...!
..................
10 กุมภาพันธ์ 2550 10:16 น.
พุด
ฟ้าใกล้ค่ำแล้ว
แสงสนธยา กำลังพรายพร่างจากรัศมีดวงสุริยา
ที่กำลังค่อยๆทิ้งตัวให้สายธาราโอบกอดอย่างอ้อยอิ่ง
พาให้นวลนภาระเรื่อด้วยแสงสีส้มอมชมพูพริ้งพราว
ราวภาพวาดของจิตรกรชื่อ*ธรรมชาติ*
ในความพิไลพิลาสแห่งความงามนั้น
จักเห็นร่าง ร่างหนึ่ง
นั่งเอนอิงในเก้าอี้ สี..น้ำทะเลสด
บนระเบียงตึกสูง ชั้นที่ยี่สิบ
ของที่พักหรู..เคียงทะเล...
ในท่านั่ง...
ที่ตกอยู่ในภวังค์ฝันอันแสนดื่มด่ำนั้น
พลัน...ราวกับมี..อีกใครอีกคน
ค่อยๆก้าวเข้ามานั่งชิดเคียงใกล้
แล้ว..
ใช้มืออบอุ่นแข็งแรง
ประคองไหล่บอบบางของเธอเอาไว้
อย่างทะนุถนอม แสนรักใคร่
แล้วค่อยไล้รอยจูบแผ่วเบาไปตามริมหูเรียวแก้ม..
อย่างอ่อนโยน..ละมุน..
เธอ..เบือนหน้ากลับมา..
ใช้สองมือ..ตระกองแก้ม
แล้ว..
ดอมดม..พรม..จูบตอบ
ที่คางแก้มสากไล้
อย่างแสนรักใคร่อ่อนหวาน..เฉกเช่นกัน..
โลก..ตรงหน้าที่แสนสงบ
จึงเงียบงาม....นิ่งงัน
ราวสวรรค์เบื้องบนเฝ้ารับรู้ เป็นพยาน
ให้กับคู่..*รักแท้นิรันดร์ทั้งสอง..!*
ตาสบตา และล้านถ้อยคำเจรจา
ก็คงมิอาจเทียบ..เทียมเท่า ถึงความรักมากมาย
ที่...
ต้องใช้ใจ..สัตย์ซื่อถือตรงคงมั่นหนักแน่น..เท่านั้น..
แลกมา..ถึงได้มา.....
และ..
หากว่า..นาทีนั้น...
มิใช่..*เป็นเพียง..แค่ความฝันฝันฝัน.*..ของเธอ
เพียงลำพัง...อย่างดายเดียว..!!!!
ฟังสิฟังเสียงทะเลเห่จูบหิน
ในสายถวิลแห่งรักภักดิ์เพียงขวัญ
คลื่นรักเอ๋ยมิเคยเลยทิ้งหาดให้เงียบงัน
คือคงมั่นเฉกรักเรา...ในรอยกาล...หวานเช่นนั้น..!!!!
7 กุมภาพันธ์ 2550 12:28 น.
พุด
ผม..กำลังเหม่อมอง
จ้องดูดวงดาวบนท้องฟ้าระยิบระยับ
ณ..ราตรีริมชายชล
วันนี้...
กลุ่มเพื่อนผมก๊วนออกกำลังกายด้วยกัน
ต่างพากันลงขันและพากันมาที่นี่..ร้านริมน้ำ
ทั้งๆ..ผม..เบื่อการสังสรรค์แบบนี้เสียเต็มประดา
การสังสรรค์...ที่...
ในมือทุกคนต่างพากันมีแก้วน้ำสีอำพัน
พร้อม..
ที่จะยกมาชนกันแล้วก็พากันสรวลเสเฮฮา
แต่...
ผม..จำต้องมา...
เพียงเพื่อรักษาสัมพันธภาพ..ไมตรี
หาก...
ตราบใดที่ผมยังต้องมีเพื่อน...
เพื่อน...ที่ผมมิได้คาดหวัง
ให้เขาต้องแลเห็นดาวเดือน
แล้วจินตนาไปไกล...อย่างที่ผมเป็น
เพื่อนที่อย่างน้อยก็แสนน่ารักนัก..
ที่ยังมีความรักความปรารถนาดีจริงใจ
มอบให้กับผมเสมอมา
ใน...ท่ามความดายเดียวเหว่ว้า
ที่ผมสลัดมันไม่เคยออกจากบึ้งทรวงใน
ที่ยากยิ่งจะมีผู้ใดจะหยั่งถึง
อาจจะเป็นเพราะผมมีเกราะ
เกราะ...
ที่สร้างเพื่อปิดบังรักษาความเป็นส่วนตัวของผมเอาไว้
ตราบใด...
ที่ผมยังไม่มั่นใจว่า..
จักมีใครสักคนสามารถกระเทาะเปลือกใจผม
และค้นพบ*บ้านภายใน*ผมได้อย่างถ่องแท้
ผม...แหงนเงยมองดวงดาราบนฟากฟ้ากว้าง
ในความรู้สึกอ้างว้างแสนเปลี่ยวเหงา
ผมกลับรู้สึกดี
ในท่ามเวิ้งฝันอนันตกาลนั้น
ผมคิดว่าดาวเคราะห์ดวงนี้ที่ผมอาศัยอยู่
อาจจะเป็น...ดาว...ที่ถูกลงทัณฑ์
ส่งคนมากหน้าสารพัน
ให้มาเรียนรู้พัฒนา *ดาวแห่งปัญญา*
โดย..
ส่งมากผู้มีบุญญาลงมาเป็นผู้อบรมสั่งสอน
และ...
เหล่าคนใด ชนใด ที่สามารถเรียนรู้เท่าทัน
สามารถ...
ค้นพบดวงตะวันนำทางตามอย่างองค์พระบรมศาสดา
ที่เรียกว่า..*อริยสัจจ์สี่*
และ..
สามารถพลีชีวี ทั้งชีวิตมิให้หลงผิดติดในเปือกตม
ให้ตรมตรอมยอมเป็นเหยื่อ เต่าปลา
ก็คงมากมีค่าพอที่จะเรียกว่ามนุษย์ผู้พิสุทธิ์ผ่องแผ้ว
และ.....
หลังจากนั้น....
วิญญาณอันราวแก้วประภัสสร
อาจจะ..ลอยล่องท่องไปสู่ดาวอีกดวงหนึ่ง
ที่เรียกว่า
*ดาวสวรรค์ *
มิจำต้องถูกกักขัง..
ณ..โลกแห่งความเดียวดายอีกต่อไป
ทุกครา..
ที่ผมสบตาผู้คนทุกที่บนผืนโลกนี้
ทำไมนะ...
ที่ดวงตาภายในผมกลับเห็นในบางสิ่ง
มากกว่า...ความจริงที่อยู่ตรงหน้า
ดวงตา..
ที่เห็นความทุกข์ทนเหว่ว้า แล้งไร้
เสมือนชีวิตจักสนิทชิดใกล้
ความเป็นมนุษย์เครื่องจักรเข้าไปทุกที
ผม..เคยอ่านบทความ
*ของคุณหมอวิทยา..นาควัชะ*
ที่..
ท่านกล่าวไว้อย่างน่าสนใจมาก
ในเรื่อง*คนพันธุ์ฉัน *(Generation ME)...
ว่า....
*เป็นพวกที่ไม่สนใจใครนอกจากตัว *ฉัน*
คิดถึงแต่ตัวเองเป็นหลัก
รู้จักการเรียกร้อง เอาแต่ได้
ไม่คิดจะให้อะไรใครอื่น
ไม่นึกถึงอกเขาอกเรา...
สนใจแต่เทคโนโลยี่ เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่...
สามารถใช้คล่อง
แต่..
พูดกับคนธรรมดาไม่เป็น
ใช้ภาษาคนไม่คล่อง ไม่เข้าใจจิตใจเพื่อนมนุษย์
พูดขาดเป็นตอนๆพูดต่อเนื่องยาวๆไม่เป็น
สมาธิสั้น
เวลาทำผิดไม่รู้จักเสียใจ
ขอโทษไม่เป็น...
จะกล่าวขอบคุณใครแบบซาบซึ้งก็ไม่เป็น
แต่..
เวลาไม่พอใจใครจะรู้สึกว่า
ทำไมเขาทำอย่างนั้น
และ..
ไม่อดทนที่จะคิดให้ได้คำตอบต่อไป
ไม่รู้จักการวิเคราะห์หาเหตุผล
ห่างไกลจากจริยธรรมและคุณธรรม
มีชีวิตอยู่เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์
ที่กินอาหารง่ายๆเช่นฟาสต์ฟู๊ดเป็นหลัก
ขาดอารมณ์สุนทรีย์ และความลึกซึ้ง
ขาดความคิดที่เป็นมิติ
แต่จะมีอารมณ์โกรธ ผิดหวังได้รุนแรง
ถนัดแต่จะโกรธคนอื่น
สุดท้ายจะโกรธตัวเอง
เมื่อผิดหวังรุนแรงจะฆ่าตัวตายได้ง่าย
เจรจาต่อรองไม่เป็น ออมชอมไม่เป็น
ไม่ยืดหยุ่น เจ้าอารมณ์
ภาษาพูดและเขียนภาษาได้ห้วนๆสั้นๆ
เขียนยาวๆเป็นจดหมายหรือรายงานไม่ได้
ไม่เป็นเรื่อง
พูดจาให้สละสลวยก็พูดไม่เป็น ขาดลีลาและเทคนิค
ของการสื่อความหมายกับเพื่อนมนุษย์..*
..................
.........................
สิ่งที่ท่านเขียนไว้ยังมากมีค่า
ท่าน..
กล่าวถึงการศึกษาสูงของ*คนพันธุ์ ฉัน*(Generation ME)
ที่กำลังมากมีขึ้นในสังคมทุกวันนี้
ที่มีไอคิวสูง..
จบการศึกษาจากสถาบันต่างประเทศ การงานดี
แต่..
กลับมีชีวิตที่แสนโดดเดี่ยวในห้องสีเหลี่ยมแคบๆ
ในอพาร์ตเมนท์ในบ้าน
ที่ไม่อยากเกี่ยวพันลึกซึ้งกับใคร
เหงาเสียจนชิน จิตใจกระด้าง
ไม่บ่น แต่จะแสวงหากิจกรรม
ที่ทำให้ตื่นเต้นกับตัวเองได้แบแปลกๆมากขึ้น*
.......................
.................
ผม..อ่านแล้ว..
ได้..แต่..สะท้อนสะเทือนใจ
ในเมื่อชีวิตผม..
แม้จักยังห่างไกลกับคำว่าจิตใจกระด้าง
และ..
ในทางกลับกัน
ที่ถึงมาตรแม้น..ผม..จักแสนรู้สึกอ้างว้าง
ในบางหนบางครา
แต่ทว่า..กลับมีเพียง..
ความรู้สึกเอื้ออ่อนโยนในหัวใจ
ที่อยากช่วยเหลือให้อุ่นไอ
กับเพื่อนพ้องน้องพี่ มวลมิตร
ให้ได้เดินไปพบกับ
*ทางสายเอก ทางสายธรรม*ด้วยกัน..
ที่..
อยากให้ทุกคนน้อมนำ
มาระร่ำรินดับทุกข์เศร้าเหงาใจ
แต่...
ทำไมนะที่..ทุกคนกลับพากันปฏิเสธ
และ..
แถมมองผมเสมือนกับสมภารนอกวัด
แต่...
ช่างเถอะนะ..
ผม..กลับปล่อยวาง..และแหงนมองฟ้าอีกหน
ในดวงกมลภายใน...
ผม..กลับพบเพียงความเงียบงาม
ใน..
ท่ามความวายวุ่นแห่งจิตวิญญาณทุกผู้คน
ที่..
กำลังต่างถูกรัดร้อยด้วยสร้อยโซ่พันธนาแห่งกิเลสวัตถุ
ให้เปลือกนอกหรูดูดี
หากกลับหามีความสุขอย่างจริงแท้..ฤาก็หาไม่
คืนนี้...
ผม..กลับมานอนนอกชานเรือนไทย
เรือนไม้หลังเล็กๆ
ที่ผมเก็บหอมรอมริบ สร้างเป็นรังรักจินตนาการ
ในท่ามทุ่งนาสีทองผ่องพรายใกล้ชานเมือง
ที่..
ยังคงมีหวานหวามของกิ่งไม้ใหญ่ไหวระยิบ
มีหอมอวลของมวลดวงดอกไม้ไทย
ลอยละล่องท่องมาในยามฟ้าใกล้ค่ำย่ำสนธยาต่อราตรี
ให้หอม หอม หอม อวลในทุกนวลอณูนึก
และ..
ในทุกยามดึก น้ำค้างพรม
ที่ดวงดารารายยังพรายดวง
ให้หอมห่มห้วงหัวใจผมกลับแสนยิ่งงดงาม
ผม..เปิดวิทยุสถานี*สังฆทานธรรม*
ฟังบทสัจจธรรมที่หลวงพ่อสนอง
เฝ้าพร่ำสอนในทุกยามค่ำคืน
ที่..
ล้นค่า...ราวกับหยาดสายปรายโปรย
*แห่งพระพิรุณเพชร *
น้ำ...อมฤต
ที่จักสถิตให้หอมพรมบ่มพร่างลงณ..กลางดวงจิต
ที่...คือเพื่อนแท้เพื่อนสนิท
จักแนบเนาไปตราบจนชั่ววันตาย...
ให้หัวใจดวงนี้ ดวงที่สิ้นไร้คนในใจคู่เคียง
มีก็เพียง..
*เส้นทางไสวสีทอง*คอยส่องนำทาง
ตราบจนกว่า...
จะ..ล่วงพ้นผ่านมหานทีสีทันดร
ไปสู่ฝั่งแห่งความว่าง..
กระจ่างแจ่มด้วยโชติรัศม์
รัศมีแห่งความเย็นร่ำ
ฉ่ำเกษมไปตราบจนชั่วนิจนิรันดร....!!!!
6 กุมภาพันธ์ 2550 09:11 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html
บทเพลง*บ้านเรา*
ลืมตาตื่นช้าช้ากับฟ้าหวาน
ลั่นทมบานเคลียหน้าต่างพร่างกลิ่นหอม
มาลัยเกลียวริมหมอนเคียงพุดซ้อน
ราวออดอ้อนลืมเหว่ว้าฟ้าชมพู
โลกภายใจใจดวงน้อยแสนชื่นฉ่ำ
แว่วเสียงพร่ำกระซิบอยู่ริมหู
ไม่กี่วันพี่คืนหลังนะโฉมตรู
มาเคียงคู่มาเคียงข้างมิร้างไกล
ดวงดอกไม้สยายกลีบคลี่ทายทัก
แกล้มลมภักดิ์ลมเพ้อจนหวามไหว
เหมือนลมรักคอยพัดหวนจากคนไกล
สู่เรือนใจไม่ช้านาน..มิรานรอ
จูบจากใจฝากกลับไปกับมวลเมฆ
ท่ามวิเวกอวลอุ่นขวัญฝากพ้อ
อ้อมอกนวลคงมิหนาวคลึงเคล้าคลอ
รอและรอ...นะยอดดวงใจ....ในรอยกาล....กลับบ้านเรา..!!
........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html
บ้านเรา
บ้าน เรา แสน สุขใจ
แม้จะอยู่ ที่ไหน
ไม่สุขใจ เหมือนบ้านเรา
คำ ว่าไท ซึ้งใจ เพราะใช่ ทาสเขา
ด้วยพระบารมีล้นเกล้า
คุ้มเรา ร่มเย็น สุขสันต์
รุ่ง ทิพย์ ฟ้า ขลิบทอง
พริ้วแดดส่อง สดใส
งามจับใจ มิใช่ฝัน
ปวง สตรี สมเป็นศรีชาติ เฉิดฉัน
ดอก ไม้ชาติไทยยึดมั่น
หอมทุกวัน ระบือ ไกล
บุญ นำพา กลับมาถึงถิ่น
ทรุดกายลงจูบดิน ไม่ถวิลอายใคร
หัว ใจฉัน ใครรับฝาก เอาไว้
จาก กัน แสน ไกล ยังเก็บไว้ หรือเปล่า
เมฆ จ๋า ฉัน ว้า เหว่ ใจ
ขอวานหน่อยได้ไหม
ลอยล่องไป ยังบ้านเขา
จง หยุดพัก แล้วครวญรับฝาก กับสาว
ว่าฉันคืนมาบ้านเก่า
ขอยึดเอา ไว้เป็น เรือน ตาย...
เธออยู่ไหน
ดึกแล้ว
จันทร์ดวงงามลอยเด่น
นภานวลสว่างกระจ่างแจ่ม
ดวงเดินเดียวดายหนาวใจ
ไปเด็ดดวงดอกลั่นทมมาแซมผม
และ
แหงนเงยดูดาวประจำเมือง
แล้วก็เฝ้าพ้อถาม...เพ้อถาม..ด้วยน้ำตาปร่าปริ่มเต็มเรียวตา
.........
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song304.html
เธออยู่ไหน
ญใครคนนั้น ที่ ฉัน ฝันถึงเขา
ใครคนนั้น ยิ้มเศร้าเศร้า เขาอยู่ไหน
ใครคนนั้น ที่ฉันรัก เหมือน ดวงใจ
อยู่ที่ไหน นะจันทร์ ฉัน หลงคอย
ชอยู่ที่ไหน ไม่สำคัญ หรอกขวัญ จิต
โปรดจงคิด ถึง กัน สักวันละหน่อย
อาจแทรกอยู่ กับน้ำค้างตาม ดาวลอย
อาจจะยิ้ม อย่างละห้อย คอยสัมพันธ์
ญเธออยู่ไหน
ชฉันอยู่นี่ ที่รัก จ๋า
ญเธออยู่ไหน ชในดาราคือตาฉัน
ญเธออยู่ไหน ให้ฉันเห็น เป็น สำคัญ
ชที่กลางใจ เธอ นั้น คือฉันเอย
ญเธออยู่ไหน
ชฉันอยู่นี่ ที่รัก จ๋า
ญเธออยู่ไหน ชในดาราคือตาฉัน
ญเธออยู่ไหน ให้ฉันเห็น เป็น สำคัญ
ชที่กลางใจ เธอนั้น คือ ฉัน เอย...
..........................
ดาวประจำใจประจำเมืองเมินหน้าหนี
เดือนดาราพลอยหลีกลี้พราย
หลบหายเข้าไปในม่านเมฆ
ทิ้งวิเวกหวานเศร้า
ให้ยิ่งหนาวแสนหนาว
หนาวในนวลเนื้อใจ..นวลเนื้อจิตนี้เป็นยิ่งนัก
เธอ..อยู่ไหน เธอ อยู่ไหน เธอ อยู่ไหน
ที่รัก ที่รัก ที่รัก เธออยู่ไหน เธออยู่ไหน......
ฉันอยู่นี่ ที่รัก จ๋า
เธออยู่ไหน
ในดาราคือตาฉัน
เธออยู่ไหน ให้ฉันเห็น เป็น สำคัญ
ที่กลางใจ เธอนั้น คือ ฉัน เอย...
.............
ใช่ละหรือ...คนดีที่รัก..ยอดดวงใจ
หวังว่า
นี่คือคำตอบอันคิดชอบคิดเข้าข้างตัวเอง
อันคือบทเพลงรักนิรันดร์
ที่บรรเลงฝากความงามงด
พิสุทธิ์ใสให้รับรู้ในดวงใจแห่งสองเรา
ดั่งคำมั่นสัญญาก่อนลาพราก
ก่อนกระซิบฝากคำริมแก้มริมหูให้รู้ถนอมใจ
รอวันที่ยอดดวงใจจะคืนกลับมา..
ดั่งสายแสงแสนรักแห่งนภา
ดั่งดาราจักร
ดั่ง
ความหนักแน่นคงมั่นแห่งแผ่นผาผืนใจ
ดั่งเดือนดาวบนฟากฟ้าไกล
ที่จักหมุนวนกลับมาใหม่
พราวพร่างไสวมิร้างแรมลา
ดั่ง
สายธารธาราแห่งรัก
อันจักหยาดสายหวานหอม
ห่มห้อมในห้วงหฤทัย
ในดวงชีวี
ให้ปิติเกษมใจ
ให้กระจ่างใจ
ให้มีพลังใจไฟฝัน
ให้หัวใจเอิบงามให้ท่ามท่วมท้น
ล้นด้วยแรงรักแรงคิดถึงคะนึงหา
ให้ดวงวิญญาญ์สุกใสแสนงามพอกัน
กับ
ดาราขวัญดาราฝันบนฟากฟ้า
ในทุกครายามแหงนเงยมอง
ในทุกห้วงหอมแดน
ดวงกำลังนอนซุกตัวนิ่งๆ
ในโซฟาขาวนุ่มแล้วหลับตา
ได้ยินเสียงกระรอกกระโดดไปมา
พร้อม
ฟังเพลงบรรเลง*สายน้ำนิรันดร์*
พร้อมพาใจดวงฝันฝันฝัน
หวานหวานหวาน
ดวงจิตวิญญาณ
รับหยาดสายหวานของ
น้ำผึ้งฝันพระจันทร์งาม
ในยามนี้มาประโลมใจ
ให้อย่าหวั่นไหววาบหวาม
ด้วยคิดถึงใครบางคนที่รักสุดหัวใจ...
และห่วงใยสุดจะทนแล้ว
ฝากผ่านดวงตาดารากาล
ผ่านฟ้ากว้างขุนเขาและเงาเมฆ
ถึงคนดีนะยอดรัก
หากทว่า
ไปที่ไหนเล่า..คนดี
เหนือ หรือว่า
ใต้ที่กำลังร้อนรุ่มดั่งไฟรุมน่าห่วงใย
หรือ
บนภูสูงสวยใส
ด้วยสายหมอกสายเหมยราวสายไหม
ที่กำลัง
หยอกสายเย้ยฟ้าท้าดิน
ในถิ่นอิสาน
หรือ
แดนดินไหนเล่า
โอพระเจ้า..
กระซิบบอกลูกที
จงปรานีมีเมตตา
อย่าราแรม..ร้างเลือน
ให้ติดเตือนใฝ่หา
ใช่เลย!....ระหว่างเรา..
ดวงไม่รู้ ว่า
*เธออยู่ไหน..เธออยู่ไหน*นะที่รักนะยอดรัก
...................
จันทร์ครึ่งดวงใจดายเดียว! พุดพัดชา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song973.html
คืนนี้กางเต็นท์นอนบนระเบียงบน
กับฟ้ากว้างกับจันทร์ครึ่งดวงนวลผ่องผุด
สวยสุดใจ กับดวงดาวสุกใส
กับหอมอวลของการะเวกที่ปล่อยให้เลื้อยพันชูช่อ
กับหอมละออจากมวลหมู่ดวงดอกไม้นานาพรรณ...
ตื่นขึ้นมา
เพราะเจ้าแมวน้อยกระโจนจนกระถางตกแตก...
จันทร์สาดส่อง แสงนวลใย
ประกายทองทาทาบ วะวาบวะวับวาว..
ทายทักปลุกให้ตื่นจากหลับไหล..
มารับหวานหยาดราวหยาดน้ำผึ้งจากพระจันทร์ดวงสวยสีทองสุกปลั่ง...
จันทร์ครึ่งดวง.... จันทร์ครึ่งเดียว.... จันทร์ดวงเดิม..จันทร์ใจดี..
ที่คอยเติมใจไฟฝันให้กับผู้หญิงคนนี้ เสมอมา ตลอดไป
และหวังใจตราบนานเนา ชั่วฟ้าดิน...
นอนนับดาว รับหนาวจากหยาดน้ำค้าง
กับหยาดน้ำผึ้งพระจันทร์ กับหยาดน้ำตานิดนิด
ในยามนี้ที่ใจนิ่งๆ เมื่อมองเห็นรวงดาวราวกระพริบล้อเลียน
รับรู้ว่ากำลังดายเดียว....
บรรยากาศเป็นใจ..ความห่างไกล
และความคิดถึงเป็นแรงฝันบันดาล ให้ใจดวงนี้อยากจับปากกา
รจนาเรื่องนี้ ที่คงเป็นแค่อารมณ์ธรรมดาๆที่เดียวดาย
เกิดมาคู่ใจกับฉัน กับคนที่ยังมีฝัน ให้เพ้อ
มีคนดีที่แสนรักให้ละเมอห่วงหา
มีความหลังฝังฝากใจ ให้อาวรณ์ อาลัย..จนกว่าใจดวงนี้จะสิ้น...
หมดไฟรัก...ไฟฝัน หมดสิ้นเสน่หาผูกพัน
ไร้เยื่อขาดใย ไม่อาลัยอีกเลย..แล้ว...
นอนร้าวระบมกาย พลอยพาให้ร้าวระบมใจ
ด้วยความกลัวที่อยู่ดีๆ แขนขวาและมือนี้ที่ช่าง
ขีดเขียนเรื่องเพ้อเพ้อ เรื่องฝันฝันเรื่องหวานหวาน
มีอันยกไม่ค่อยขึ้น..
นอนน้ำตาไหล ใจยิ่งเหน็บหนาว...
กับดาวพราว กับหยาดน้ำค้าง
กับความหวั่นกลัว กลัวจะเขียนไม่ได้..อีกนาน...
ค่อยค่อย จุดเทียน วะวับแวมแกล้มคลอกับลมหนาวพรู
วางไว้ในตะเกียงโบราณคู่ใจ แล้วพยายาม
จับปากกาออกมาเขียน..ด้วยใจดวงนี้
ที่อยากระบายสีให้พระจันทร์อยากระบายฝันให้ดวงใจ คลายหม่น
ในความหมองหม่นของใจ
ในความกลัวว่ากายจะผิดปกติ
กลับมองเห็นความหมดจดของจันทร์ดวงแจ่ม
ทำให้แฝงความสุขเล็กๆหวานล้ำลึก
สุขกับจันทร์สุขกับใจ ที่ยังมีไฟฝัน
ที่รู้ว่ายังมีวัน มีหวัง มีหวาน มิมอดสิ้น...นานเนา.....
เปิดเพลง คลาสสิค บรรเลง เคล้าลมหนาว
ให้ดวงดาว บนฟ้าหม่น เริงระบำ..แย้มยิ้มยั่ว ให้กำลังใจ
ทุกดวงใจบนผืนโลกที่กำลังโศกเศร้าตรม
ที่กำลังเฝ้ามอง ได้เบิกบาน ยิ้มหวานรับกับจันทร์กับดาวกับ
ฟ้ากว้างในยามนี้ ลบหมองหม่น..
หวังมวลผกา ทุกถิ่นที่
ทุกดอกดวง แย้มหวาน บานรับหยาดน้ำค้าง...
กุหลาบงาม ค่อยค่อยคลี่กลีบเผยอแย้ม
ฟังเสียงเพลงหวานแว่วลอยล่องมาตามสายลมแห่งวสันตฤดู...
ปลุกมวลหมู่สรรพสัตว์ร้องก้องพงไพร
กับดาวสวย ฟ้าใส ในค่ำคืนนี้..ไปด้วยกัน...
ในเงาไม้ ในเงาเงียบ ในใจนิ่งงัน...
ในดวงใจฉันกลับแสนนิ่มนวล เงียบงาม อ่อนโยน..
ค่อยๆให้ธรรมชาติ ไหลริน สัมผัส ขัดเกลา .
.ความละมุนจากบทเพลงฟ้า เพลงฝัน เพลงธรรมชาติ
รินรดสู่อ้อมใจ สู่อ้อมฝัน สู่ทุกคน
ทุกธุลี ทุกผืนดิน ทุกถิ่นที่ ให้รัก เข้าถึงงามง่าย..ไร้มายาที่รายล้อม
ฉากฟ้า ฉากฝัน ในคืนเงียบงาม ..
เคยบ้างไหม มีใครแหงนมอง รอคอย เห็นค่า รอคืน ตื่นขึ้นมาชื่นชม
หรือให้ผ่านเลย ลาลับ จนวันหนึ่งอยากจะซึ้งค่าก็สายเกิน....
ค่ำคืนแสนงาม มิได้มีให้กับพวกผีเสื้อราตรี
ที่แค่ใช้แสงสีมอมเมา แปลกปลอม ย้อมใจ
จนเร่าร้อน ราโรยไร้งาม เป็นเหยื่อเกมกามแผดเผา
หลงผิดบินไปติดกับไฟโลกีย์
ที่เผาไหม้มอดหมดสิ้นดวงชีวี
มิทันได้เห็นงามตามใจสวยใสแสนบริสุทธิ์
ในชีวิตหนึ่งนี้ที่โชคดีได้เกิดมาบนผืนหล้า....
ให้ธรรมชาติหวานหวาน....ปลุกดวงใจ
ให้ละมุนใจ ละไมฝัน ให้มีรักสวยใส ให้มีใจเมตตา
อยากแบ่งปัน กันและกัน
และให้อยู่กับโลกฝันที่เป็นจริงได้
เพื่ออยู่กันอย่างกลมกลืนไม่เบียดเบียน...
ในโลกแสนสวยนี้ ที่ทุกคนแค่มาฝากร่าง
ฝากรัก ฝากใจ กับใครสักคนเพื่อเคียงข้างกันไป
ตราบลมหายใจสุดท้ายแห่งชีวิตนี้ ที่แสนสั้นยิ่งนักแล้ว....
ฉันรจนาเรื่องนี้ ที่หวังวาด ฝากฝัง
ให้ทุกดวงใจรู้ค่าเงียบงามง่ายใกล้ตัว ใกล้ใจ
เพียงเปิดใจ เปิดดวงตา
ไขว่คว้า นำมาประโลมใจ ลดเร่าร้อน รุนแรง...
ที่รัก คนดี และเพื่อเธอ...
คนพิเศษ ในฝัน ในใจเสมอมา..
ลูกผู้ชายที่เกิดมารู้ค่าของการใช้ชีวิตบนผืนโลก
หวังเคียงฝันฝากใจกาย คู่กัน ตราบวันตายของสองเรา........
.......................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1933.html
วิมานดิน นันทิดา แก้วบัวสาย
ฝากรักเอาไว้ ฝากไปในแสงดวงดาว
ที่ส่องประกายวับวาว วาว อยู่บนฟากฟ้า
ให้แสงสุกใส ได้เป็นเสมือนดวงตา
คอยส่องมองเธอด้วยแวว ตา แห่งความภักดี
เก็บฟ้ามาสาน ถักทอด้วยรักละมุน
คอยห่มให้เธอได้อบ อุ่น ก่อนนอนคืนนี้
ให้เสียงใบไม้ ขับกล่อมเป็นเสียงดนตรี
คอยกล่อมให้เธอฝันดี ดี ให้เธอเคลิ้มไป
เป็น วิมานอยู่บนดิน
ให้เธอได้พักพิง พิง และนอนหลับไหล
เก็บ ดาว เก็บเดือนมาร้อยมาลัย
เก็บหยาดน้ำค้างกลางไพร
มาคล้องใจเราไว้รวมกัน
ก่อนฟ้าจะสาง ก่อนจันทร์จะร้างแรมไกล
ยังอยู่กับเธอข้างเคียง กาย อยู่ในความฝัน
ฝากเสียงกระซิบ ฝากไปในสายลมผ่าน
ข้ามขอบราตรีที่ยาว นาน ให้เธอฝันดี
เป็น วิมานอยู่บนดิน
ให้เธอได้พักพิง พิง และนอนหลับไหล
เก็บ ดาว เก็บเดือนมาร้อยมาลัย
เก็บหยาดน้ำค้างกลางไพร
มาคล้องใจเราไว้รวมกัน
ก่อนฟ้าจะสาง ก่อนจันทร์จะร้างแรมไกล
ยังอยู่กับเธอข้างเคียง กาย อยู่ในความฝัน
ฝากเสียงกระซิบ ฝากไปในสายลมผ่าน
ข้ามขอบราตรีที่ยาว นาน ให้เธอฝันดี
ให้เธอได้อบ อุ่น และนอนฝันดี
ให้เธอได้อบ อุ่นอยู่ใน วิมาน...
5 กุมภาพันธ์ 2550 09:26 น.
พุด
ดอกวาสนาผลิพราวเช้าวันนี้
เหมือนมณีดวงดอกไม้ทายวาสนา
ใครบางคนเคยฝากคำนำชี้เพรงชะตา
หากวาสนาบานคราใดไสวมงคล
ฤาแค่คำทำนายให้ไร้หมอง
ไยจะต้องยึดมั่นฝันสับสน
กี่ฤดูที่วาสนาหวานบานเต็มต้น
ดวงกมลเจ้าของยังครองราน...ยังรับราน..!
...................
กี่ฤดูกาลแล้วที่หนาวกราย
ว่ายเวียนวน...
ใน...
ท่ามโลกสับสน
ด้วยมากมายหลากเรื่องราวรายรอบตัว....
กี่ฤดี..
ที่ได้พานพบ จบด้วยการพรากจากลา..ไกล....
กี่ดวงหทัย...ที่จักรับโศกสุข
ทุกข์ไปกับทุกนาทีแห่งโลกหมุน...
กี่คนคนคน
ที่ยังว่ายวนกับการค้นหาตนเอง
กี่บทพระธรรมที่จักน้อมนำมาระร่ำริน
ดับจิตร้อนให้ผ่อนเพลา
กี่เงียบเหงา ให้จักคลายได้เติมเต็มด้วย
หยาดน้ำอมฤตธรรม
กี่ชีวิต..
ที่จักได้พร่ำบ่มเรียนรู้*คู่มือมนุษย์*
เพื่อพัฒนา
ให้สมค่าที่ได้เกิดมาเป็น*มนุษย์*
ผู้ค้นพบวิมุติให้หลุดพ้นจากทุกข์พันธนา
กี่ดาวดวงในฟากฟ้าจักรวาล
ที่มลายหายดับลับลาไป ในท่ามเวิ้งกาล
ชีวิต..
ยังต้องการอะไรกันอีกเล่า..เจ้ายอดดวงใจ..!
ในคำนึง..!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song401.html
(ฟ้าแดง)
..................
เสียงฝนพรำสายตอนใกล้รุ่ง
ปลุกให้ใจดวงหนึ่ง
ลุกขึ้นมาแหงนเงยมองม่านฟ้ามืดหม่น
ด้วย..
ใจดวงระทมด้วยบาดแผลที่มือระบมยังมิหายดี
ในราตรี
ที่ไร้ดาวเดือน
มีเพียงลมหนาวเคล้ากลิ่นไม้ไทยรายรอบเรือนต้นไม้..
วิมานดินวิมานจำปีเป็นเพียงพื่อนเพียงนั้น..
เสียงโทรมือถือดังเตือนว่ามีข้อความจากโพ้นฟ้าไกล
แดนดินในฝัน*ฟ้าจรดทราย *
ที่กำลังหมายรอให้ไปเยือน
บทกวีแสนงามในจินตนาก็พลันผุดพร่าง...
อย่างเงียบงาม....
ในสงบเงียบแห่งบรรยากาศยามเช้า
เคล้าด้วยกลิ่นกรุ่นละมุนหอมหวานแห่งดวงดอกไม้
ที่....
กำลังสยายกลีบระรินพร่าง
มาโอบเอื้อนวลเนื้อใจที่แสนเหน็บหนาวอ้างว้าง...
มานานเนิ่นเกินนับ..ทุกนึก..ในคำนึง..!
..................
นาฬิกาโลกบอกเวลาว่าเช้าแล้ว
ดวงดอกแก้วร่วงพราวคราวได้ฝน
มะลิลามาลาลีชีวีคน
ดอกจำปีหล่นจำปีผ่านมิหวานลา
มือระบมใจระทมเจ็บแสนเจ็บ
ดวงดอกเล็บมือนางร้างรอท่า
โมกค้อมดอกสะอื้นกลืนน้ำตา
ลั่นทมเหว่ว้าออกพวงพราวหนาวเหน็บใจ
วันเหมือนเดิมเพิ่มมาใจมีแผล
อย่ายอมแพ้เพียรสร้างเส้นทางไสว
ใจดวงเดิมเริ่มต้นใจดวงใหม่
ให้คนใครผ่านไปในวังวน...
ไม่มีแล้วไม่มีวันขวัญสะอื้น
หลับฤาตื่นแค่หมายใจไม่สับสน
ทิวาวันราตรีหวานซ่านกมล
แค่คำคนคำลามาเชือดใจ
แบ่งลั่นทมจากช่อในกอเศร้า
ทัดผมเกล้าแซมริมแก้มแกมหวามไหว
ไร้นำตาไร้อาวรณ์อ้อนอาลัย
มีใจใหม่ใจแกร่งกล้าท้าตะวัน
อีกไม่นานดอกไม้หวานตระการช่อ
ให้เฝ้ารอเชยชมดั่งใจฝัน
มีสายใยสายใจมั่นผูกพัน
คือสายฝันสวรรค์ไพรรอคืนหลัง
ไปสู่...
*แดนดินแห่งฝันสวรรค์วนา*
.........................
ลุกขึ้นตั้งใจจุดเทียนหอมๆให้ไสววับแวม
แกมเสียงสายฝนพร่าง
พลางต้มน้ำร้อนชงชาหอมๆดื่ม
แล้วทำแซนวิชเแกมกินกับผลไม้หลากพันธุ์
ทั้งกล้วยน้ำว้าสวน
ที่เพื่อนนำมามอบให้
เมื่อไม่กี่วันที่กำลังสุกได้ที่...
ทั้งลางสาดแสนดีที่แสนจะหวานหอม จากบันนังสตาร์
ที่....
เพื่อนบอกว่ามาจากสวนเพื่อนเองที่ยกมาฝากเป็นลัง
หากทำไมเล่า....ใจจึงคิด..สิ้นหวังไร้หวาน..
เมื่อคิดถึงสถานการณ์ภาคใต้
คิดถึงสวนผลไม้
ที่เคยกรายพวงระย้าย้อยห้อยนวลไปกับความ..ร่มรื่น
มากลายเป็นสวนเรื้อรก ไร้ แรมร้าง...
มิมีใครกล้าย่างกรายไปใกล้...ด้วยหวาดกลัว
เมื่อวานทั้งวัน..
ที่ฟังการอภิปรายในสภา
ถึงการลงมติที่จะยอมรับพระราชกำหนดหรือไม่
และ
ทำไมหัวใจจึงนิ่งอึ้ง นิ่งอั้น...
ยามได้ฟังคุณโต้งคุณไกรศักดิ์ ชุณหวัณ
กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ที่ตอนนี้
แม้นกระทั่งองค์การสหประชาชาติยังพากันหวั่นวิตก
มิอยากให้เราใช้กฎหมายรุนแรง
เพราะ
โลกนี้จะยิ่งแล้งไร้ และจะทบทวีความแรงร้อน
และอย่าลืมว่า...รายรอบประเทศเรานั้นคือพี่น้องมุสลิมทั้งนั้น
และ
ในโลกนี้มีมากกว่าสองพันล้านคน...จงจำจดไว้ให้ดี
ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร...
ประเทศเล็กๆอย่างเรา
จึงควรคิดถึงการสมานฉันท์อยู่กันแบบพี่น้อง
ในร่มเงาแห่งความเอื้อโอบ
รู้ปันแบ่งรู้รักสามัคคี
ในเงื้อมเงาแห่งผืนดินทองแผ่นดินธรรม
อันแสนอุดมนี้
ที่ใครๆต่างพากันจ้องมองด้วยอิจฉา
และ...
ในท่ามสถาบันหลัก
อันคือหลักชัยแลร่มฉัตรแห่งความยุติธรรม
ไม่กีดกันแบ่งแยกแผกผิวผิดพรรณ
ไม่ว่าชนชาติศาสนาใดใดก็ตาม
และ...
เป็นประเทศเดียวอันแสนงามอุดมด้วยทรัพยากร
ที่มิแร้นแค้น
ทั้งๆที่แผ่นดินอื่นยังมิมากมีผู้คนที่ยังอดหยากหิวโหย..
มินับถึงความโชคดี....
ที่เราทุกผู้มีโอกาส
ได้เลือกนับถือศาสนาอย่างมีอิสรภาพ
ได้พบน้ำพระอมฤตธรรมอันแสนใสเย็นฉ่ำพิลาสพิไล
ให้ได้น้อมนำมาสอนใจ
มานำเส้นทางใจเพื่อมุ่งไปสู่ฝั่งฝันพระนิพพาน
ที่หวังรอให้เราคนไทยทุกพุทธศาสนิกชน
ดั่งบัวบานเหนือน้ำ
และเพียรภาวนาสมาธิอธิษฐาน
หวังหลุดพ้น....
ได้พบสายแสงทองแสงธรรม
มารินร่ำมาอบร่ำพร่ำบ่ม...
จนกลายเป็นคนเต็มคน
เป็นมนุษย์เหนือโลกย์
มิหวังว่ายวนเวียนโศก..ไร้สุข
เพิ่มทุกข์ให้โลกยิ่งวิโยคสะเทือน..
จนแทบมลายแหลกราญ..
...........
น้ำตาแห่งความรานร้าวระบม
กับมือที่บาดเจ็บ
ในนาทีนี้ยังน้อยไป
เมื่อค้นพบหนาวเหน็บในจิตวิญญาณเสียยิ่งกว่า
กับความห่วงใยชาติ..บ้านเมือง
เมื่อคิดถึงผู้คนในโลกอันแสนกว้างใหญ่ไพศาลนี้
ที่...
นับวันจะสิ้นไร้สามัคคี
ราวไม่เคยมีสติปัญญาพากันเบียดเบียนกันและกัน
เสมือนไม่เคยรู้ค่าคำมรณาณุสติ
ไม่เคยคิดว่า..แท้แล้วชีวาชีวิตเรานิดหนึ่งน้อยนี้นั้น
*ช่างแสนสั้นนัก*
และ
รู้ไหมว่า กว่า 1400ชีวิตรอเยียวยา
*เด็กกำพร้าจากความพลัดพรากจากความไร้รักสามัคคี*
ในความแตกแยกทางความคิด
และ...
ในแต่ละชีวิตแสนเยาว์วัยไร้เดียงสานั้น
เคยมีใครหันไปคิดบ้างว่า
ในทุกก้าวย่างแห่งหนทางชีวิตข้างหน้า
จะมี...
รอยแผลร้ายติดไปในใจยาวนานสักแค่ไหน...
ที่จะ...
ไม่มีวันลบลืม...เลือนลาง..จางหาย..ไป...
ตราบจนกว่าลมหายใจจะสิ้น.....
กับ..เช้านี้
ที่ฟ้ายังสลัวเลือนราง
ในม่านหมอกแห่งการเมืองและชีวิตที่กำลังวายวุ่น
กรุ่นด้วยกลิ่นสงคราม
เราเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า..
ประวัติศาสตร์
อยุธยาที่ไร้ร้างเกิดจากสิ่งใด...
และ
กับเรื่องราวในวันนี้
ราวรอยไร้รักสามัคคี..
กำลังค่อยๆย่างกรายมาเยือนแผ่นดินอีกคราแล้ว
อย่างช้าช้า..
อย่างที่ประชาชาติไทย
อย่าเมามัวประมาท
และ
เยาวชนแห่งชาติ
อย่าหลงเพียงวาดหวังรักสนุกสุขเพียงลำพังอยู่เลย...!!
.......................
หัวใจดวงไพร
ดวงไหวระบม..ระทมจากบาดแผล
จึงพร่างสลัวมัวหม่นราวหมอกเมฆในยามเช้า
กับ...
เศร้าล้ำลึกในทุกข์อณูนึกอรุณอุ่นไอ..ที่มิอิ่มใจเอิบงาม
ในยามกมลร้าว..ด้วยเศร้าแสนเศร้า..ในคำนึง...
...............................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song401.html
ฟ้าแดง.... สุนทราภรณ์... อโศก สุขศิริพรฤทธิ์
สนธยาฟ้าแดง
สุรีย์ร้อนแรงโรยอ่อนรอนแสงหม่นมัว
สกุณาเรียกหารังตัว
ชะนีเรียกผัว รัวเร้าร่ำกำสรวล
โอ้ชีวิตชีวิตจิตใจ มันหนาวเย็นเป็นไข้
พิไลพิลาศครวญ
สิ้นตะวันสรวลสันต์จาบัลย์รัญจวน
เห็นลางพบพรางร่างนวล
ให้โหยหวนชวนเศร้า
สิ้นแสง สิ้นสีโศลกแดงแฝงแทงใจเรา
สายัณห์เงื้อมเงา
ลบล้างสล้างเสลา จางห้วงหาวพราวใจ
ฟ้าแดง ฟ้าแดงผันแปรเปลี่ยนแปลงแผลงไป
ตราบอาสัญฉันยังฝันใฝ่
จูบแดนฟ้าอาลัย ฝังรอยรักใคร่ฝากเธอ
สิ้นแสง สิ้นสีโศลกแดงแฝงแทงใจเรา
สายัณห์เงื้อมเงา
ลบล้างสล้างเสลา จางห้วงหาวพราวใจ
ฟ้าแดง ฟ้าแดงผันแปรเปลี่ยนแปลงแผลงไป
ตราบอาสัญฉันยังฝันใฝ่
จูบแดนฟ้าอาลัย ฝังรอยรักใคร่ฝากเธอ