27 พฤษภาคม 2550 08:29 น.
พุด
ในอรุณละไม..
นวล..ด้วยเนียนแดดสีทองผ่องพราย
ฉายฉาน
สาดส่องผ่านม่านหน้าต่างลายลูกไม้ละเมียด
ที่กำลังพลิกพลิ้วปลิวไหวไปตามแรงลมแห่งอุษาคเณย์
ฟ้ายังคงงามด้วยเมฆนวลกระจาย
กระจ่างแจ่มแตะแต้มราวรุ้งระบาย
เหมือนเช่นทุกวัน...ทุกวัน..
เพื่อ...
รอรับขวัญทุกดวงใจฝันละเมอ...ละเมอ
ดวงดอกพุดซ้อน..
ยังบานละอออ่อนรออ้อนรับ
ทุกผู้มาเยือนแย้ม..เรือนใจ
นกเขาไพร..ยังขับขานไพเราะ
พากันเกาะเกี่ยวกิ่งพฤกษาชาติ
ที่ดารดาดด้วยมวลลดาวัลย์
ที่ผลิดอกผลดั่งเพชรประดับ
สะพรั่งพราวราวอัญมณีนิรมิตวะวิบวะวับระยับระยิบ
จาก
สวนขวัญ สวนสรวงสวรรค์ ณ..ภายใน...ดวงใจ
สวน..ภายนอก..ดวงหทัย..ในวิมานดิน
ก็ยังคงงดงาม
ในท่ามโลกแล้ง เสมือนแม้นฝากร่มอภิรมย์
ให้ผืนดิน...
ดินยังหอม..
กระท่อมหลังคาจาก ยังรอหยาดฝนริน..หยด...
ดวงดอกไม้ไทย
ยังงามงด ให้ความสวยสดชื่นไปทุกถิ่นที่..
อย่าง..ภักดี จงรัก..
มนตราแห่งสายน้ำรักนิรันดร์
ยังระรินไหลล่อง ผ่านสองฟากฝั่งคลอง
สอนเสียสละสัจจธรรม คอยย้ำเตือน
ถึงภารกิจในชีวิตอันแสนยิ่งใหญ่
ที่จักให้น้ำใจโอบเอื้อ เผื่อแผ่ แลแบ่งปัน
เพื่อ
จรรโลงโลกเรานั้น ให้ยังคงดำรง ธำรงในวิถี..
ที่ดีงาม...นิยาม*การให้มิรู้จบ*
ธรรมชาติสายน้ำ..ไหลวน..ให้มวลมนุษยชาติ
ได้คะนึงหวน..ทบทวน..บทบาทแห่งตน..
กี่..ฤดูกาลที่ยังไหลล่องหวานสงบงาม..
ให้..ทาน ดับร้อนโลกย์ ดับโศกไร้
ดับดายเดียว...แห่งผองชน...
ได้หล่อเลี้ยงกมล แล..พืชพรรณ
ให้ยังคง...
แตกยอดฝัน ฝัน ฝัน
หวัง หวัง หวัง มิมีวัน..มลาย....!
......................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song839.html
สายน้ำไม่ไหลกลับ
โอ้ความรักที่ร้าวรานไกล
ดุจสายน้ำไหลผ่านไป
ลงไหลไปแล้วไม่เคยคืน
มา หา
สาย น้ำเชี่ยวโกรกไหล
วกวนแล้วไหล ไป
ไหลไปแล้วไม่กลับมา
คิด เปรียบไปก็คล้ายเหมือนว่า
รักเอยไม่คืนหวนมา
จากลาไปยังหนใด
คิด ถึงเมื่อก่อนเคย
รักฉันเป็นสุขเอย
ไหนเลยจึงต้องจากไกล
คอย เฝ้าคอยคร่ำครวญหวนไห้
รักเอยจากไปแล้วไย
จากไปเหมือนสายน้ำวน
ร้าง ไปร้างไกลสุดหวัง
ล่องลอยไปไกลเหมือนดัง
สู่วังแม่เอยสายชล
ฉัน สิยังคร่ำครวญเพ้อบ่น
ไหว้วอนให้สายน้ำวน
ช่วยดลให้รักฉันคืน
เขา คงไม่กลับมา
หัวใจพร่ำเรียกหา
น้ำตาหลั่งนองกล้ำกลืน
นอนหลับตาต้องผวาตื่น
สายน้ำไม่เคยไหลคืน
ไม่คืนเสียแล้วรักเอย
เขา คงไม่กลับมา
หัวใจพร่ำเพรียกหา
น้ำตาหลั่งนองกล้ำกลืน
นอนหลับตาต้องผวาตื่น
สายน้ำไม่เคยไหลคืน
ไม่คืนเสียแล้วรักเอย
คงไม่คืนเสียแล้วรักเอย
25 พฤษภาคม 2550 23:53 น.
พุด
รจนาบทกวีเดียวดาย
ในคืนไร้สิ้นแสงดาวไสว
มีเพียงฟ้ามืดสนิทใจ
จันทร์ในฤทัยลาลับดับดวง..
ลั่นทมโชยกลิ่นหอมเศร้า
พุดซ้อนรานร้าวปลิดกลีบร่วง
โมกค้อมดอกพลีพวง
ดวงดอกปีบบีบหัวใจ
สิ้นเสน่หาการเวก
เลิกเสกมนตราหวามไหว
รอเพียงวันพรากจากไกล
เสมือนหัวใจ..ใครรอ
วสันต์ลากี่ฟ้าแล้ว
พร่างพรมดวงดอกแก้วผลิช่อ
กี่เดือนปีแล้วละหนอ
หวานพ้อหวานพรายในสายลม..
หลับตา..
ให้ดวงดอกไม้ในจินตนาหอมห่ม
กี่วันกี่ปีลบเลือนตรม
พรพรหมจัก...เมตตาประทาน....!!!!!
......................
ค่ำคืนที่เงียบเหงา
ฟ้ามืด..สนิท
ฝนตั้งเค้ามา..ทะมึน
ฉัน..ออกไปยืนแย้มยิ้มริมกอกล้วย
ที่ไม่นานนี้..
ฉันเพิ่งตัดเครือใหญ่
ลงมาจ่ายแจกไม่หวาดไหว
ให้ใครต่อใครได้ลองลิ้มชิมรส
หลังรอมาแสนนานเดือน
ฉันทายทักสวนขวัญในดวงใจ....
สวนที่แสนยิ่งใหญ่ภายในใจฉัน
สวนที่ฉันรดน้ำด้วยรักปลูกด้วยชีวิต
มานานเนิ่นเกินนับนึกในฤดี...
และ..กับ
รู้สึก ในราตรีนี้
ที่ดูราวทุกดวงดอกกำลังร่ายฟ้อนระบัดใบ
เพื่อไหวรอ..ออดอ้อนละออละอองสายวสันต์..
อันคือสายน้ำสวรรค์..ที่เป็นดั่งนิรันดร์รักแท้....
แด่..
พืชพรรณ แลมวลมนุษยชาติ...
ให้ยังคงดำรง...ธำรง..สืบไป
.......................
21 พฤษภาคม 2550 13:52 น.
พุด
เงินตรา..ที่รัก...
มาทายทักเพื่อสถิตต่อนิรมิตหวัง
มาแย้มยิ้มพริ้มเพราเพิ่มพลัง
รอสานฝันภาระกิจปรารถนาใด..
ฟ้าแลดิน...
ยังมิสิ้นเมตตาส่องแสงไสว
มอบโชคลาภดั่งคำอธิษฐานใจ
คือปาฏิหารย์รักยิ่งใหญ่ลูกศรัทธา..
ก้มศิระกรานกราบ..
พระพุทธไสยาสน์พิสุทธิ์ค่า
ปิติใดไหนงามเท่าเล่ายอดดวงชีวา
มหัศจรรย์ฟ้ามหัศจรรย์ฝันวันชีวี...
รจนาหลากเรื่องราว..
คลุกเคล้าทุกข์สุขชีพชนม์นี้
คือสัจจธรรมน้อมนำดวงฤดี
บทเรียนที่สอนงามโศกท่ามโลกลวง..
อาจจะเศร้าอาจจะโศกโลกเหว่ว้า
อาจเดียวดายนักหนารักแรมล่วง
ซึ้งฤาไม่ซึ้งจากจริงใจเจ้าขวัญดวง
หนึ่งในทรวงเหนือมณีพร้อมพลีใจ..
ทบทวน..ลำพัง..
ระรินหลั่งหยาดน้ำค้างน้ำใจใส
แม้บางคราดั่งฟ้าร้องไห้สะเทือนใจ
ไม่เป็นไร..
ดั่งสายฝนพรำ..ดับแล้งโลก..พสุธา...!!!!
............................
นาน..นักหนา..
ที่เพียรเฝ้าถักร้อย..สร้อยโซ่รักอักษรา
ผ่านคืนฝันวันเวลา..มานานหลายปี
พร้อม..
พลีดวงจิต..ดวงชีวาชีวิต*ดั่งมณีดิน*ล้ำเลอค่า
ที่มากรักมากเมตตาแสนปรารถนาดี
ต่อ..
ทุกผู้เป็นที่รัก ชิดใกล้..ทุกดวงใจ
ในร่มรักเรือนไทย..เรือนใจแห่งนี้..
อย่างมิยอมพ่าย..
หวัง..
เพิ่มพลังแห่งความหวัง ความฝัน
พลังบุญ พลังบวก
ให้เติมช่อแตกต่อยอด
แห่งคุณธรรม คุณงามความดี
เพื่อ..
พลีมอบแด่
แผ่นดินนี้ แลผองชน..คนไท ด้วยกัน...
ให้..ยังคงมีฝัน ขวัญ..กำลังใจ
ที่..
จักหยัดยืน..ก้าวเดินต่อไป..
รู้ดำรงตน ดำรงใจ ให้ใสงาม
ในวิถีแห่งพุทธธรรม
ที่ไม่คิดมุ่งร้ายทำลาย เบียดเบียนกันและกัน..
ให้โลกแห่งวิถีธรรม วิถีไท วิถีทอง..วิถีทุ่ง
ยังคง..ธำรงอยู่
ในคลองใจ ครรลองใจ..ไปตราบชั่วกาล...
ให้..
ผืนดินขวัญ ยังคงเงียบงัน สงบงาม
ในท่ามโลกศิวิไลซ์แล้ง
ไปทุก ทุกข์ หย่อมหญ้า
ให้ฟ้าดินยังมิสิ้นเมตตา
หยาดโปรยสายกรุณา
เพื่อหล่อเลี้ยง..ราก..
มนุษยชาติพันธุ์..*ให้*พันธุ์ฝัน
อันโอบเอื้อเผื่อแผ่แบ่งปัน..
ให้..
ยังคงมี*กล้าขวัญ*แตกกอ..ชูช่อไสว
ประดับไทย ประดับใจ ประดับไพร
ประดับโลกแล้ง....มิรู้จบ...ทบทวี..ไป..
ตราบ..นานเนาชั่วกาลกัปป์กัลป์
ชั่วนิจนิรันดร......!!!!!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3738.html
ตลอดกาล
รณชัย ถมยาปริวัฒน์
รัก แรก
แทรกความหวานฉ่ำล้ำ ทั้งมวล
เหมือน ชวน ให้ใจต้องเสน่หา
เหมือน ดั่ง สายน้ำชื่นฉ่ำเย็น
ไหลผ่านมา
สองอุรา พาให้ฝันใฝ่
รัก นั่น
ไม่มีวันเปลี่ยนผัน หัวใจ
ให้ ใคร มีใจเพียงเพื่อเธอ
แม้ โลก
หยุดหมุนรักก็ยัง มั่นเสมอ
ฟ้า มีดาว ฉัน มีเธอ
ตลอดกาล
ขอให้ รักเรา เคียงอยู่คู่ฟ้า
ไม่มีวัน ร้างรา
พลัดพรากจากไกล
ให้ฉัน ให้เธอ รักมั่นจริงใจ
ตลอดไป นานเท่านาน
ตลอดกาล
ขอให้ รักเรา
เคียงอยู่คู่ฟ้า
ไม่มีวัน ร้างรา
พลัดพรากจากไกล
ให้ฉัน ให้เธอ รักมั่นจริงใจ
ตลอดไป นานเท่านาน
ตลอดกาล...
18 พฤษภาคม 2550 10:34 น.
พุด
มองทะเลเหว่ว้าฟ้ากับน้ำ
คลื่นครวญคร่ำร่ำไห้ห่วงหา
นั่นนางนวลโผผินบินลับลา
แหละ..
นั่นฟ้าหลั่งน้ำตาด้วยอาลัย
คืนกลับเกาะบ้านเกิดดั่งเพื่อนเก่า
หากไยเหงาใจเศร้าสะเทือนไหว
เพียงลำพังดายเดียวไร้หวังใด
เมื่อไร้ใครเคียงข้างร้างแรมรัก
ให้สายฝนโลมลูบจูบรับขวัญ
ให้ดวงตะวันตกดินเฝ้าทายทัก
ให้สายลมทะเลโอบกอดแทนความภักดิ์
แทนสัจจธรรม..รักแท้..ที่มั่นคง....
ตะวันลา.....
ที่รักของผม...........
ใกล้วสันตฤดูแล้ว..อากาศที่นี่เริ่มหนาวนิดๆ.....ต้นไม้แข่งกันออกดอกพราวสะพรั่ง ...แลดูสดชื่น สดใส ผู้คน และ ทุกสิ่งรอบข้างดูสดชื่นเบิกบาน ราวกับ จะรอวันเฉลิมฉลองที่กำลังจะมาเยือน.......
.........ยกเว้น...ใจของผู้ชายคนนี้ของคุณ.......ที่เดียวดาย..หม่นหมอง....สุดจะทานทน............
ทุกเช้า....เมื่อผมตื่นขึ้นมา.....ผมจะนอนนิ่งๆมองแแลลอดบานหน้าต่างออกไป......
เห็นต้นปีบแสนรักของคุณที่กำลังออกดอกงาม...ท้าทายลมหนาว....ทองกวาวอวดดอกแดงสะพรั่ง
ลำดวนส่งกลิ่นหอม แย้มบานรับแสงอาทิตย์.....สดใส......ผิดกับใจผมที่น่าจะสดชื่นกว่านี้.......
เพียงแต่ถ้ามีคุณนอนเคียงข้าง ให้ก่ายกอด ....และชวนให้ชี้ชมทั้งเนื้อตัวคุณ.....และนวลหอมของดอกไม้ ต้นไม้รายรอบ...
ในยามเช้าที่แสนหวาน....ยากที่ผมจะลืมเลือน.....เหมือนดังเช่นคืนวันเก่าก่อน..............
ที่รัก.........คุณทิ้งผมนานเกินไป......จนใจดวงนี้เริ่มชินชา.....และตายด้าน.............
...........หลวงพ่อถามถึงคุณ...ทุกครั้ง..ที่ผมแวะเวียนเข้าไปกราบท่าน........ผมละอายใจที่จะ สารภาพว่า....ผมเซซัง มาหาท่าน และ โลกแห่งธรรมะ .....เพื่อเป็นที่ประโลมใจ......
ให้ผมประคองชีวิตอยู่ได้.....เมื่อโลกนี้สิ้นไร้คุณ............
ที่รัก........หลวงพ่อแค่มองตาผม......ราวกับท่านจะล่วงรู้ถึงใจ......ถึง..ความสับสน.....
มืดบอด....ที่ค้นหาแแสงสว่างไม่พบเจอของผม .......ท่านให้สติผม....ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน...และ ด้วยดวงตา... ที่แฝงความเมตตาเต็มเปี่ยม..........
ท่านบอกกว่า....มาที่นี่แหละ........หลวงพ่อมีหนังสือดีๆมากมาย.....ที่นี่เงียบสงบ.....
ใจจะได้สบาย....ฝึกสมาธิไว้...เพราะคุณมีศีลพร้อมแล้ว ...วันหนึ่งจะเกิดปัญญา........
ที่จะรู้แจ้ง เห็นจริง..กับโลกใบนี้ ที่ไม่มีอะไรน่ายึดมั่น...ถือมั่น.........
..........ที่รัก....ผมจะทำอย่างไรกับตัวเองดี....ให้ยอมรับความจริงของชีวิตว่าคืนวันของผม
ในโลกสับสนใบนี้..จะไม่มีคุณเคียงข้าง.... อีกต่อไป...............
ที่รัก....ทำไม....ทำไม.....ผมจึงมีใจดวงอ่อนแอ..และ...หม่นเศร้ามากมายเกินทน.....
ทั้งที่ผมแสนจะเข้มแข็งในแทบทุกเรื่องของชีวิต........เท่าที่ผ่านเลยมา..........
ทุกที่....ทุกหนแห่ง ...คุณตามติดในใจผม มิห่างหาย................
ชีวิตนี้ผมเป็นของคุณ...มิใช่เพียงเฉพาะร่างกาย.....แต่ทั้งชีวิต....ทั้งวิญญานเป็นของคุณ
...........ผมรู้....ไม่ว่าชาตินี้.....และชาติไหนๆ.....ตราบนานเท่านาน.....ที่ผมยังไม่พบแสงสว่าง....
แห่งการหลุดพ้นจากพันธนาการรัก...ทุกภพ..ทุกชาติที่เราได้ร่วมสร้างสมกันมาแต่ปางก่อน......
....................
ผมคิดถึงคุณ.....คิดถึง แม้กระทั่งยามนั่งอยู่ในวัด...ที่ๆผมพยายามหาทางหนีโซ่ตรวน..
ที่คุณพันธนาการใจของผมไว้.........
ที่รัก......คุณคงจำวันแรกที่คุณพาผมปีนขึ้นมา..จนถึงวัดเขาถ้ำ....ที่ตั้งบนชะง่อนผาสูง....
แห่งนี้.ได้.....คุณทำให้ผมตะลึงตะไล...แทบลืมหายใจ...ไปกับทัศนียภาพรายรอบที่แลเห็น..........
จากลานหินกว้าง..ที่ข้างล่างคือถ้ำ จะมีทางเล็กๆ เลาะลัดเลียบทอดลงไป........
.......แลไกลออกไป....คือโลกสีคราม...กว้าง...ไกล....สุดตา......................
เวิ้งทะเล..สีน้ำเงิน...เขียวมรกต.....และโทนสีทะเลที่ค่อยๆไล่สีอ่อนจางลงมาตามลำดับ.........
แทรกด้วยฟองคลื่นสีขาว.....เป็นระลอกงาม..............
เรือลำน้อย...ค่อยๆวิ่งฝ่ากระแสชลแตกฟองขาวนวล......ตรงมายังอ่าวท่าเทียบเรือ.........
.......ตรงหน้าจะมีเกาะสมุย.....ชิดใกล้ขนาบด้วย..เกาะแตนอก..แตใน..ราวกับจะห่วงว่าเกาะพะงัน
จะเหว่ว้า..........
แลลงไปเบื้องล่าง จะมองเห็น...ทิวมะพร้าวสลับซับซ้อนเป็นหมื่นหมื่นต้น.........
บ้านเรือนซ่อนตัวอยู่ในดงไม้..เงียบสงบ....มีก็แต่ควันไฟลอยอ้อยอิ่ง ขับฟ้างามอย่างช้าๆ..............
........บนหน้าผา..ชะโงกง้ำ..ลอยเลื่อน..ราวทายทักเมฆ....จะมีหอระฆัง...และพระพุทธรูป....
ให้กราบไหว้...อธิษฐานจิต......มีลั่นทมขาวออกดอกพราวไปทั้งต้น..บนชะง่อนผางาม..........
ส่งกลิ่นหวานเศร้า..อบร่ำให้ใจ..นิ่ง..เยือกเย็น..ล้ำลึก.....อวลมากับสายลมเย็น.......กับบรรยากาศ
เงีบบงาม..ที่รายล้อม..................
.......ที่รัก....ผมกอดคุณไว้แนบแน่น....ราวกลัวคุณจะหลุดลอยจากสรวงสวรรค์ตรงหน้า........
จากสวรรค์ในอก...ในอ้อมแขน..ในอ้อมใจของผม...............
ผมหยิบลั่นทมทัดหู..ให้คุณ..พร้อมพรมจูบไรผมงาม อ่อนหวาน อ่อนโยน เท่าใจที่ แสนสุขล้ำจะทำได้...ผมพร่ำบอกคุณว่า...สวรรค์มีจริง.....ด้วยใจทั้งดวงที่เต็มอิ่ม..จากทุกสิ่ง
ที่สวรรค์หยิบยื่นและประทานให้ผม.....ในนาทีของชีวิตที่ผมปรารถนาจะให้โลกทั้งโลกหยุดหมุน
......ผมจำ....... คืนวัน ที่มีคุณ..ไม่ว่าบนภูสูงแห่งนี้....หรือแม้แต่....กลางทะเล....ในค่ำคืน....
ที่ร่างของคุณถูกแสงจันทราอาบไล้.....นุ่มนวล..งามสล้าง..ราวกับเทพีจากแดนสรวง..........
.............ที่รัก..ทุกฉากตอน..ตามมาให้ใจดวงนี้ที่ร้าวระบม..ระทม...พร่ำวนเวียนคอยเรียกหาคุณ
อย่างไม่มีวันจบสิ้น............
และแม้แต่นาทีแรกที่ได้พบคุณ..............
ผมถูกย้าย....มารับตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ ที่ดิน..ที่นี่ อำเภอที่เป็นเกาะเล็กๆ..ไกลห่าง.....
จากแผ่นดินใหญ่...ที่งดงามราวกับเกาะในฝัน......ในเวลานั้น ผมกลับว้าเหว่....และคิดว่า.......
ทำไมนะ ....โชคชะตา..ฟ้าถึงลิขิตให้คนหนุ่มอนาคตไกลอย่างผม....ต้องถูกชีวิตราชการ....
นำมาปล่อยไว้บนเกาะแสนไกลแห่งนี้...............
ผมเพิ่งคิดได้.....และไม่เคยเสียใจเลย..ในเวลาต่อมา..ที่ชะตาฟ้าดินส่งให้ผมต้องมาอยู่ที่นี่
......ผมรู้แล้วว่า...ผมมาที่นี่...เพื่อพบคุณ....
..........สวรรค์เป็นใจ....ให้เราต้องมาพบเพื่อพราก...เพื่อเรียกคืน..........
................เที่ยงวัน....ที่แดดจ้า....ฟ้าใส.....พร้อมสายลมร้อน.....ของเหมันตฤดู........
เกาะแห่งนี้คึกคัก...คลาคร่ำ....ไปด้วยผู้คน..นักท่องเที่ยวจากแดนไกล...ที่หวังมาแสวงหาความสุข
ความเบิกบานใจ...และเติมเต็มให้โลกของตัวเองมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น.............
คุณมาปรากฏตัวที่อำเภอของผม........ราวกับฤดูร้อนได้นำดอกไม้..สดสวย...แสนงาม
มาคลี่บานในโลก..และในใจของผม...ให้มีชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน.................
ทันทีที่คุณแย้มยิ้ม....และทายทักกับเพื่อนเก่า.....กับคนที่คุณคุ้นชิน.........
โลกของอำเภอที่แสนเงียบเหงา..ก็ถูกปลุกให้พลัน....สว่างกระจ่างใส..ไปกับรอยยิ้มนั้น..........
คุณนั่งตรงหน้าผม.....เพื่อจะทำธุระเรื่องการโอนที่ดิน.....ที่คุณบอกผมถึงเหตุผล.....
ในเวลาต่อมา.........
คุณพยายามเป็นเจ้าของ....เพราะคุณเกิดที่นี่.....คุณไม่อยากให้คน..ต่างถิ่น.....และคน ต่างชาติ..ที่พยายามหาช่องว่างของกฏหมายเพื่อถือกรรมสิทธิ์ครอบครอง.........
คุณกลัวทุกคน..หวังแค่มาแสวงหาประโยชน์...แล้วลาจากไป...โดยเหลือเพียง....
ความสูญเสียของธรรมชาติ.....คุณคิดว่า....คุณรักแผ่นดินนี้..และเข้าใจ..แผ่นดินเกิดของคุณ
มากกว่าใครๆ .
ที่รัก....ผมโต้แย้งคุณ......ผมบอกคุณว่า.....คุณมองโลกในแง่ร้ายเกินไป.........
ไม่มีคนไทยคนไหน..จะไม่รักแผ่นดินไทย.....ไม่ว่าที่ไหนๆทุกตารางนิ้วในประเทศนี้.......
คุณอวดกล้า....อวดเก่ง...ว่าตัวคุณเองมีอุดมคติล้นเหลือ...ถ้าอย่างนั้นคุณมีเงินมากพอที่จะตาม เพื่อไปปกป้อง......ทุกแห่งหนมั้ยล่ะ............
คุณมองผม....นิ่งเงียบ....ตาแสนเศร้า....ราวสำนึก....คุณบอกไม่เลย....ที่คุณจะดูถูกใคร.....
เพียงแต่คุณอาจจะอ่อนไหวมากไป....และอาจจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลง......อย่างรุนแรง....
และน่ากลัว..ที่กำลังรานรุกทำลายทั้งวัฒนธรรม..และทั้งธรรมชาติที่แสนงาม..ที่คุณสัมผัสมา....
ตั้งแต่วัยเยาว์.....คุณทำใจยากที่จะยอมรับ.....คุณเสียดาย....คืนวันอันแสนงาม..ในความทรงจำ
............นาทีนั้น คุณสบตาผม....นิ่งนาน....และบอกว่าคุณคงต้องเริ่มทำใจให้ยอมรับ..........
ความเปลี่ยนแปลงของโลกที่ยากจะห้ามได้.....โลกที่คงต้องหมุนไป....ทุกเมื่อเชื่อวัน.......
ทุกอย่างคงต้องหมุนตามโลกไปไม่มีวันสิ้นสุด.......และคุณได้เพียงหวัง.......
แค่ให้มันหมุนออย่างช้าๆ........อย่างงดงาม....และสร้างสรรค์.....เพียงนั้น.........
............ที่รัก.....เพราะทุกบทสนทนาราวโต้แย้งระหว่างเรา....และจากทุกประโยคที่กลั่นออกมา จากใจดวงงามของคุณ....เพราะคำพูดที่คุณฝังฝากใจเอาไว้......ให้ผมช่วยปกป้องแผ่นดินนี้ของคุณ...
........ทำให้....หัวใจของผม....สะเทือนไหว........................
........ผมชอบคุณ......ผมชอบคุณ....ผมบอกกับใจตัวเอง.....นับเนื่องจากนาทีนั้น.................
......มิใช่เพราะคุณ..ดูน่าติดตา..ต้องใจ..ในรูปลักษณ์ภายนอก.....ที่ดูแสนเก๋....แสนมีบุคลิก....
เชื่อมั่น......แต่ผม...ชอบคุณ....และแสนประทับใจ...ทัศนในการมองโลก...และชีวิต....
จากใจดวงงาม...ดวงละมุนของคุณ...........
และด้วยคำพูดอ่อนโยน..ในวันนั้น..ที่ตามติดมาหลอกหลอน.....ให้ผม..ถวิลหาคุณ........
เฝ้าเพียรพยายาม.....ที่จะได้ชิดใกล้....และรู้จักคุณให้มากขึ้น...กว่าเดิม..ในเวลาต่อมา......
คุณบอกผมว่า.....คุณชอบชื่อผม........วันหนึ่งถ้าคุณมีลูกชาย...คุณจะตั้งชื่อนี้ให้ กับเขา.........
..............ที่รัก.....ระหว่างเรา....ไม่มีบทขึ้นต้น....ไม่มีบทลงท้าย.....ทุกอย่างระหว่างเรา..เกิดจากน้ำมือของชะตากรรม.........
ผมยอมรับความจริงข้อนี้....โดยดุษฎี........
............ที่รัก.......ผมเป็นลูกผู้ชาย....คุณบอกว่า....น้ำตาลูกผู้ชายควรเก็บไว้ให้รินรดภายในใจ....
.......มิใช่หรือ............
แต่คุณรู้ไหม.....ทุกยามเย็น...ใกล้อาทิตย์อัสดง....ผมจะขับรถจิ๊ปคู่ใจ..พร้อมกับเจ้าลิเดย์
เพื่อนคู่ทุกข์..คู่ยากของผม......มานั่งเดียวดายตรงโค้งอ่าว..ที่จะมองเห็นพระอาทิตย์ลาลับ
ลงผืนน้ำ...................
............และลูกผู้ชายคนนี้ของคุณ.......จะสั่งลากับพระอาทิตย์...ผืนน้ำ...และแผ่นฟ้า
ไปถึงคุณให้รับรู้.....รับทราบถึงใจที่ร่ำร้อง....เรียกหาคุณทุกทุกนาทีแห่งลมหายใจ.........
.........เพื่อให้นำคุณ....กลับมา.... พร้อมอรุณรุ่งแห่งวันใหม่...........และ........
.............ด้วยน้ำตาที่หลั่งล้นท่วมท้นใจ......ราวกับสิ้นไร้แสงตะวันแห่งชีวิตนี้....
ตะวันลา... ณรังษี
ตะวันลาฟ้าหมองครองความหม่น
ผ่านเวลามาจนใกล้พลบค่ำ
กายที่แกร่งเริ่มอ่อนแรงแฝงความช้ำ
ใจที่ตรำตรากการงานถึงกาลโรย
มองลำแสงสุดท้ายที่ปลายฟ้า
เอ่ยคำลากับดวงใจที่แห้งโหย
อย่าสิ้นแรงพร้อมตะวันที่ร่วงโรย
เจ้าจงโปรยรัศมีที่งดงาม
ยังมีผู้มืดมิดไร้ทิศหลง
และบุกฝ่าป่าดงกลางพงหนาม
ในคืนค่ำราตรีที่คล้อยยาม
รอรับความช่วยหลือเกื้อชีวี
อย่าเสียดายมาลีที่กลีบท้อ
และพันห่อเกสรซ่อนลายสี
จงไปดอมบุปผาราชาวดี
ส่งกลิ่นหอมย้อมเสรีราตรีกาล
ตะวันเร้นเช่นหลบหน้าอย่าท้อทอด
จงโอบกอดบุหลันไว้ด้วยใจหาญ
ทุกนาทีมีค่าเอนกการณ์
ใช่ทุกสิ่งจะอวสานต์เพระตะวัน
จะขืนดวงจันทราอย่าปรากฏ
จะรั้งรถทินกรอย่าคลอนฝัน
ไม่อาจรั้งหรือขืนได้ดุจเดียวกัน
ต่างเส้นทาง..ต่างความฝัน...ถึงวันลา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2461.html
ทะเลไม่เคยหลับ
มอง ซิมองทะเล
เห็น ลม คลื่นเห่จูบหิน
บาง ครั้งมันบ้าบิ่น
กระแทก หินดัง ครืน ครืน
ทะเล ไม่เคยหลับไหล
ใครตอบ ได้ไหม ไฉน จึงตื่น
บาง ครั้งยังสะอื้น ทะเลมันตื่น อยู่ร่ำ ไป
ทะเล หัวใจของเรา
แฝง เอา รักแอบเข้าไวั
ดู ซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดัง ทะเล ครวญ
ยาม หลับไหล ชั่วคืน
ก็ถูก คลื่นฝัน ปลุกฉัน รัญจวน
ใจ รักจึง เรรวน
มิเคย จะหลับ เหมือนกับ ทะเล
ทะเล หัวใจของเรา
แฝง เอา รักแอบเข้าไว้
ดู ซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดัง ทะเลครวญ
ยาม หลับไหล ชั่วคืน
ก็ถูก คลื่นฝัน ปลุกฉัน รัญจวน
ใจ รักจึง เรรวน
มิเคย จะหลับ เหมือนกับทะเล...
13 พฤษภาคม 2550 11:13 น.
พุด
แสนเอยแสนคิดถึง
ลึกซึ้งในดวงใจยามเงียบเหงา
ในเส้นทางสู่ไพรกว้างกลางลำเนา
เมื่อไร้เขาไร้ใครในวันนี้....
นั่นดงตาลหวานเหว่ว้ารอท่ารัก
นั่นเรียวกล้าทายทักฟ้าเปลี่ยนสี
โน่นวัวควายเลาะเล็มหญ้าริมนที
แหละ...
ตรงนี้ที่อกซ้าย..คล้ายฝนพรำ...
ดั่งวสันต์ปลิดโปรยยามพรากฟ้า
เหมือนร่วงลากระซิบระรินร่ำ
สอนฤดีนี่คือบทเรียนสัจจธรรม
ไม่มีวัน..สุนทรีย์ใด..ดำรง...
เสมือนเสมอความภักดิ์แห่งรักนี้
รอวันที่แปรผันอย่าลุ่มหลง
ถึงสัญญามั่นฝันเพียงใดใจซื่อตรง
ก็มิคงยืนนานกัปป์กาลเวลา..
หาก..
หัวใจใช่เพชรแท้..หนึ่งในร้อย..
ที่เฝ้าคอยอธิษฐานเพ้อละเมอหา
แค่กลีบดวงดอกไม้ร่ายมนต์รักเล่ห์มายา
เพียงเสน่หาวูบวับ..จึ่ง..ดับไป..!!
ขวัญหล้า..กำลังยืนอยู่ริมทะเลสาบ
ที่รายรอบงามไปด้วยดงดอกหญ้าและ
ต้นไม้ไร้ใบ
มีเพียงกิ่งก้านเส้นสายพรายแผ่ออกมา
ราวกับต้นกัลปังหาสีดำ..
สายวสันต์หลงฤดู
กำลังรินร่ำหยาดละออง ฝอยฝอย
พร้อยพร้อยพร่างพลิ้ว ปลิดปลิวโปรยปรายลงมา
กระทบ..กับ.
แสงตะวันยามบ่ายให้ดูราวรัศมีอัญมณีเพชรรุ้ง
ลดหลั่นคือลาดเนินซ้อนสลับด้วยดงมันสำปะหลัง
และดงสัปรดพันธุ์ดี
เคียงข้างมีสวนยาง
ที่บัดนี้กำลังยืนต้นสูงไสว
เขียวไพลเขียวพร่างอย่างมีระเบียบ
แน่นขนัด ราวทหารในกองทัพธรรมชาติ
ที่แดดทอกระจ่างสว่าง
กระทบได้เพียงปลายยอดใบละออละอ่อนเบื้องบน
ให้พลิกพลิ้วระยิบระยับ
ราวใบไม้เงินใบไม้แก้ววะแวววับวะวูบไหว
ระบัดใบไหวไปตามแรงลม
ขวัญหล้า...ใส่หมวกสานใบสวย
ลงไปยืนทอดร่างระทวย
รับสายลมระรวยระริน..สดฉ่ำ
และ
กับธรรมชาติรายรอบเงียบงามนิ่งงัน
ราวกับแม่ดวงดอกทองกวาว
นางเอกสาวในตำนานหนังรักอมตะ
*มนต์รักลุกทุ่ง*ก็มิปาน
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3102.html
มนต์รักลูกทุ่ง
หอมเอยหอมดอกกระถิน
รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง
เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาหญ้านาง
มองเห็นบัวสล้างลอยปริ่มริมบึง
อยากจะเด็ดมาดอมหอมหน่อย
ลองเอื้อมมือค่อยค่อย
ก็เอื้อมไม่ถึง
อยากจะแปลงร่างเป็นแมลงภู่ผึ้ง
แปลงได้จะบินไปคลึงเคล้าเจ้า
บัวตูมบัวบาน
หอมดินเคล้ากลิ่นไอฝน
อวลระคนธ์หอมแก้มนงคราญ
ขลุ่ยเป่าแผ่ว
พริ้วผ่านทิวแถวต้นตาล
มนต์รักเพลงชาวบ้านลูกทุ่งแผ่วมา
ได้คันเบ็ดสักคันพร้อมเหยื่อ
มีน้องนางแก้มเรื่อนั่งเคียงตกปลา
ทุ่งรวงทองของเรานี้มีคุณค่า
มนต์รักลูกทุ่งบ้านนา
หวานแว่วแผ่วดังกังวาน
โอ้เจ้าช่อนกยูง
แว่วเสียงเพลงมนต์รักลูกทุ่ง
ซ้ำหอมน้ำปรุงที่แก้มนงคราญ...
ขวัญหล้า...แหงนเงยดูฟากฟ้ากว้าง
ที่งามกระจ่างด้วยสายแสงแดดสีทอง
เธอ..ยิ้ม...
กับ...ดวงดอกหญ้า
กับกระท่อมหลังคาจากวิมานคนยาก
กับสายชลสายกมลแห่งรักนิรันดร์
กับสายฝนสายฝันสวรรค์หล้าตรงหน้า
กับฟ้ากว้างกระจ่างสดใส
และ..
กับโลกไพรตรงหน้า
ที่..
แสนงามเงียบเรียบง่ายสงบสุข
บริสุทธิ์สมถะในวิถีชีวีชีวิตดิบเดิมเรียบง่าย
พอเพียงเพียงพอ
และ..
กับหัวใจดวงมิท้อ
มิยอมพ่าย หมายฝากกล้าหยัดยืน
รู้กลืนกล้ำ รู้อดทน
ที่ณ..บัดนี้ดวงกมลภายใน
ราวกับมี..
รัศมีเพชรไสวทอแสงพร่างละออ
เป็นพลังใจ
ให้...ยังคงก้าวเดินต่อไป....
ใน...
เส้นทางทอง เส้นทางธรรม สัจจธรรม ธรรมชาติ
อันคือ..
หลักชัยยิ่งใหญ่
แห่งความวาดหวัง กำลังใจ
พร้อมพลีเพียร..
ตราบชั่วชีวีจะหาไม่.....นะ..ยอดดวงใจ..
ที่รักแห่งรัก..ภักดิ์แสนภักดิ์ของขวัญหล้า......!
........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song101.html
หยาดเพชร
เปรียบ เธอเพชรงามน้ำหนึ่ง
หวาน ปานน้ำผึ้งเดือนห้า
หยาด เพชร เกล็ดแก้ว แวว ฟ้า
ร่วง มา จากฟ้า หรือไร
หยาด มาแล้วอย่าช้ำโศก
ปล่อย คนทั้งโลกร้องไห้
หยาด เพชร เกล็ด แก้ว ผ่อง ใส
นั้นอยู่ไกล เกิน ผูก พัน
แม้ ยามเพชรหยาดจากฟ้า
ร่วงลงมา ฟ้าคง ไหว หวั่น
ดวงดาวก็พลอยเศร้า โศก ศัลย์
มิอาจกลั้น น้ำตา อา ลัย
เอื้อม มือคว้าหยาดเพชรแก้ว
เผลอ รักแล้วจึงฝันใฝ่
หยาด เพชร หยาดละออง ผ่องใส
แม้นอยู่ใน ความ มืด มน
แม้ ยามเพชรหยาดจากฟ้า
ร่วงลงมา ฟ้าคง ไหวหวั่น
ดวงดาวก็พลอยเศร้า โศก ศัลย์
มิอาจกลั้น น้ำตา อา ลัย
เอื้อม มือคว้าหยาดเพชรแก้ว
เผลอ รักแล้วจึงฝันใฝ่
หยาด เพชร หยาดละออง ผ่อง ใส
แม้นอยู่ใน ความ มืด มน...