ยังคงนั่งอยู่ตรงนี้ ณ ที่เก่า กับแววเหงาเข้าใจโลกโศกสับสน เข้าใจในทุกข์ชีวิตที่ดิ้นรน ของผู้คนล้วนเกิดแก่แลเจ็บตาย ยังคงนั่งตรงนี้ทอดตาเศร้า ใจหอมพราวดอกบัวบุญกุศลสาย ในอ้อมภักดิ์ยังงดงามดั่งดาวราย ยังหวังให้หยาดน้ำค้างใจไม่ร้างลา ยังคงนั่งตรงนี้ ณ ที่เดิม วันผ่านเพิ่มจารจำความเหว่ว้า ซึ้งสัจจะคำพบพรากแล้วจากลา กับทุกข์เสน่หาแห่งวิบากฝากสอนใจ ยังคงนั่งตรงนี้ ณ ที่เก่า มองจิตเราอาวรณ์สะท้อนไหว เพียงทิพย์ธรรมเท่านั้นนำทางไป สู่เส้นทางไสวกระจ่างจิตนิจนิรันดร์...! ................................................. แรกราตรี ที่ผ่านมา พายุพัดกล้า ไกวกรรโชก ลมแรงพิโรธโบยโบกกิ่งไม้ใหญ่ไหวเอนโอน ราวจะถอนรากโคน... วิกฤตพายุฤดูร้อนวนมาสอนบทเรียนใจ ว่าธรรมชาติยังคงยิ่งใหญ่เหนือใดปาน เหนือความขัดแย้งทางการเมืองเรื่องวุ่น ที่กรุ่นด้วยอำนาจการแย่งชิง สาดโคลน ป้ายสี ใครดี ใครชั่ว มั่วไปตามเกมกรรมแห่งกิเลส บ้านเมืองมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีทิพย์เทพสถิต ณ เบื้องบน ที่ทรงคอยเฝ้าปกบ้านป้องเมือง เฝ้าจ้องมองดูด้วยสายพระเนตรแห่งความยุติธรรม เหนือฟ้าดิน ทุกสรรพสิ่งมิอาจรอดพ้นจากน้ำพระทัย ที่ใสเย็น รู้สว่างกระจ่างแจ้งแทงตลอด มวลมนุษย์มากหน้าในหล้าโลก ต่างชาติ ต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม ต่างศรัทธา ต่างความเชื่อ หากมีเพียงสิ่งเดียวที่เรานั้นคงเหมือนกัน คือ*ความฝันอันยิ่งใหญ่* ที่จักปรารถนาให้โลกนี้มีความสงบสุขไปชั่วกาล ใช่เกิดมาเพียง... พร่าผลาญทรัพยากรธรรมชาติอย่างเมามัน ทิ้งให้โลกแลผู้อยู่เบื้องหลังพบฝันร้าย แล้วพรากจากอย่างเห็นแก่ตัว... นับวันที่จิตมนุษย์ สุดจักยากหยั่งถึง ซึ่งจักพัฒนาความฉลาดพาโลก ไปสู่ความพินาศ ฤาสร้างสรร อันยากจะคาดเดา หากเราทุกคนในฐานะพลเมืองหนึ่ง..ในชาติ เรายังมีสิทธิ เสรีภาพ ที่จักช่วยกันหยุดวิปโยคโศกเศร้าสะเทือนแด่โลก ก่อนสายเกิน.... หากเราไม่มัวเพลินหลงวนจนเป็นทาสอารยะธรรม ทางวัตถุ จนกู่ไม่กลับ จนติดกับพันธนา พาให้โลกนี้ล่มสลายหายวับไปกับตา...! ............................................... ด้วยแรงโศกฝันบันดาลใจ จากข่าว ข้าวแพง ชาวนาชาวไร่อาจทิ้งนาข้าวปลูกพืชไบโอดีเซล* http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song30.html ทุ่งรวงทอง ทุ่ง เอ๋ย ทุ่งรวงทอง เห็นข้าวออกรวงน่ามอง ดุจแสงทองสีแห่งศรัทธา พี่มาได้ยล นฤมลนวลน้องบ้านนา ถึงจะสวยตามประสา ก็โสภาเหนือกว่านางใด ทุ่ง เอ๋ย ทุ่งรวงทอง น้ำเปี่ยมอยู่ริมฝั่งคลอง เช่นพี่รัก น้องเปี่ยมฤทัย สะพานเชื่อมคลอง เหมือนพี่กับน้องเชื่อมใจ ถึงอยู่แสนไกลแค่ไหน เชื่อมหัวใจให้สมปอง พี่ เยือน ถึงถิ่น น้องเอยอย่าหมิ่น น้ำใจเพื่อนใหม่ จะหมอง ขออยู่ ขอตายจนวันสุดท้ายกับน้อง ให้ทุ่ง รวงทองนี้เป็นเจ้าของ เรือน ตาย ทุ่ง เอ๋ย ทุ่งรวงทอง แม้นหากขาดพี่ ขาดน้อง ทุ่งรวงทองก็หมดความหมาย พี่มาจากกรุง หมายมุ่งมาหาเพื่อนตาย รับปากรักพี่ได้ไหม โอ้ขวัญใจ ทุ่งรวงทอง ทุ่ง เอ๋ย ทุ่งรวงทอง แม้นหากขาดพี่ขาดน้อง ทุ่งรวงทองก็หมดความหมาย พี่มาจากกรุงหมายมุ่งมาหาเพื่อนตาย รับปากรักพี่ได้ไหม โอ้ขวัญใจทุ่งรวงทอง...
ประดุจดั่งเดือนเพ็ญในดวงใจ ส่องแสงเย็นใสเป็นมิ่งขวัญ เป็นความงดงามยิ่งใหญ่นิจนิรันดร์ กี่กัปป์กัลป์สถิตทอดตลอดกาล ดั่งแสงธรรมนำทางสว่างจิต ดั่งแสงทิพย์ดลใจคอยสร้างสาน ดั่งดวงประทีปชัยป้องภัยพาล โชติตระการประดับหล้าเหนือธาตรี คือแสงจันทร์นวลทองผ่องพิสุทธิ์ สอนวิมุติหลุดพ้นกุศลศรี คืองามเย็นงามเมตตารัตนมณี เฝ้าพร้อมพลีแด่โลกลบโศกราน เดินตามรอยบาทพระศาสดา เมื่อเกิดมาเป็นชายให้โลกขาน ใต้ร่มผ้ากาสาวพัตร์ดั่งบัวบาน ฝากตำนานลูกผู้ชายหมายสืบทอด ยอดพุทธธรรม...! .............................................
คิดถึง..... ดวงตะวันสีทองอาบไล้ทุ่งดอกหญ้า วันที่ฟ้าสนธยาราวภาพฝัน วันที่โลกสวยพราวมหัศจรรย์ วันที่ฝันเป็นจริงใจนิ่งงัน ในนวลนภาดารารายพรายแสงพร่าง แจ่มกระจ่างทางช้างเผือกสู่สวรรค์ งามเกินงามเกินหาคำมารำพัน คือนิรันดร์ธรรมชาติสอาดใจ เงียบจนได้ยินเสียงดาวกระซิบ กระพริบสอนว่าอย่าหวั่นไหว อย่าโศกศัลย์รานร้าวเศร้าเรื่องใด ไม่ว่าใครย่อมทุกข์ทนหนทางชีวิต เกิดและดับนับเนื่องดั่งสร้อยกรรม เฝ้าเพียรพร่ำภาวนารักษาจิต วันเวลาแสนสั้นเพียงน้อยนิด ฝืนลิขิตชะตาพรหมพร้อมบ่มธรรม....!
จันทร์โศกโลกเลยแลดูแสนเศร้า หนาวแสนหนาวมวลมนุษย์มิจบสิ้น พรหมชะตาขีดเส้นน้ำตาริน ทั้งฟ้าดินสิ้นเมตตาฤาว่าไร เดียวดายไร้คำรำพันอ้าง เคว้งคว้างเสียขวัญหวั่นไหว กอบกู้สู้ทนประคองใจ รานร้าวแค่ไหนไม่นาน ทำดีที่สุดหยุดคิด รักษ์จิตดวงใสพ้นผ่าน คืนวันทุกข์ท้อทรมาน ดอกไม้จักบานในดวงใจ กี่ครั้งกี่คราวหนาวร้อน กี่ฉากตอนน้ำตาร่วงไหล กี่บทโศกโลกสอนสัจจใจ กี่หนในชีวิตลิขิตชะตา เพียงแค่สุขทุกข์หมายรู้ วนคู่กันมานานช้า เสมือนรอยเกวียนเวียนมา ตราบจนกว่าสิ้นไร้ลมหายใจ.... แหงนเงยเห็นพระจันทร์มิผ่องเพ็ญเฉกเช่นเคย ด้วยมีเทาทึมแห่งเมฆหม่นบดบัง ราวกับชีวิตมากมวลมนุษย์ที่สิ้นหวังทุกข์ทน หาก.. กลับกัน... แค่เรารู้รักษ์ดวงกมลให้เย็นใส ทุกข์จากผัสสะใดใด ก็คงไม่ทำให้รานร้าวเศร้าใจได้นาน...ดอกนะ..! ....................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song973.html ดวงใจในฝัน รำพึงรำพัน ฝันรัก รักเอยใฝ่หา ยังจำติดตาชวนปลื้ม ฉันลืมไม่ลง เป็นรอยพิศวาส ปักใจมั่นคง ฝังใจพะวง หลงรอคอย อาวรณ์ใจครวญ หวนคิด คิดจนพร่ำเพ้อ พาใจละเมอหมองหม่น คิดจนเลื่อนลอย ยามนอน ถอนสะอื้น ตื่นตาแลคอย คิดจนดาวลอย คล้อยเมฆา ฝันกอดเชยชม ภิรมย์รื่น พี่ชื่นตื่นผวา จนใจ ไม่มีใครเมตตา เพียงนิทรา นิจจานึกว่าสุขเอ๋ย บางคืนมองจันทร์หรรษา นิจจาอกฉัน บางคืนขาดจันทร์เยือนหล้า น้ำตาหลั่งเลย ลมเอยพริ้วยังแผ่ว ไม่มีแววเลย เหงาใจจริงเอย หลงเชยแต่เงา บางคืนมองจันทร์หรรษา นิจจาอกฉัน บางคืนขาดจันทร์เยือนหล้า น้ำตาหลั่งเลย ลมเอยพริ้วยังแผ่ว ไม่มีแววเลย เหงาใจจริงเอย หลงเชยแต่เงา...
เด็ดดวงดอกพุดซ้อนมาหนึ่งดอก กระซิบบอกกับจันทร์แรมในคืนฝัน โลกเรานี้มีหรือรักนิรันดร์ แค่คนผันวันเปลี่ยนเวียนมายา ชั่วพริบตาภาพชีวิตเราก็หายวับ วนเกิดดับนับไม่สิ้นเสน่หา ไร้ตัวตนให้ยึดมั่นพันธนา ลองสมมุติสิว่าไม่มีเรา เมื่อไม่มีเราก็ว่างเปล่าจากผัสสะ ได้ลดละเลิกกิเลสหลงแห่งความเขลา เพียงสมมุติธรรมเท่านั้นมานานเนา เสมือนเงาแห่งรอยเกวียนเวียนมา เกิดมาพบพสุธาทองแสนงามนัก ได้พบรักได้พบชาติศาสนา ได้พบพระรัตนตรัยใสล้ำค่า พบฉัตรฟ้ากางกั้นเกศสิ้นทุกข์เทวษ..นิรันดร์....! ..........................