ปีเก่าผ่านไปแล้ว แก้วหน้าบ้านปลิดกลีบร่วง จำปีรอรับเจ้าขวัญดวง กี่ปีล่วงกี่วันลาตั้งตารอ... .......................... ปีใหม่ปีนี้ คงเป็นปีที่...ทุกดวงใจคงหวังตั้งใจ กราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมอธิษฐานจิตขอพร ให้แผ่นดินธรรมแผ่นดินทองของเรา ได้ผ่านพ้นความหมองเศร้า ให้เรืองรองด้วยพลังรัศมีบุญ แห่งการรู้รักสามัคคี มีเมตตา ลดมิจฉาทิฏฐิ เพื่อสร้างศานติสุขสงบเย็น รู้ทำใจให้เป็นสุข เลิกรานรุกกันด้วยถ้อยคำ ที่นับวันจะยิ่งกระพือโหมเพลิงกิเลส ให้มีแต่การแตกแยก ที่ท้ายสุดแล้วหมายถึงการ*สิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน* สิ้นสุขไปทุกหย่อมหญ้า... และกว่าจะซึ้งค่าคำ *เราต่างก็เกิดมาร่วมแผ่นดินแม่มาตุภูมิเดียวกัน* ก็สายเกิน.. หยุดคิดร้าย หยุดทำลายชาติด้วยน้ำลาย หยุดการใช้กำลังเข่นฆ่า ใช้สติมีปัญญา เพียรเจริญสติภาวนา เพื่อพัฒนาจิตตัวเอง ให้รู้ผิดชอบชั่วดี รู้พลีเสียสละ ลดละอัตตา อันคือกิเลสตัณหาที่พาลพามวลมนุษย์ ให้รบรากันมิสุดสิ้น เพราะ.. ความอยากมีอยากเป็น... ปีใหม่นี้... เป็นปีที่ดวงหวังตั้งใจ จะเจริญสติให้มากขึ้นมากเข้า ตราบเท่าที่ลมหายใจยังมี และ.. ตั้งใจว่าจะตัดสินใจทำโครงการบางสิ่ง ที่ประวิงเวลาไว้นานมากแล้ว.... ให้ฝันอันแสนสงบงามนั้นพลันเป็นจริงเสียที หลายวันมานี้ ตั้งใจอ่านหนังสือธรรมะ ประดับสติปัญญา สร้างอัญมณีใจ ชื่อ*Snow in the Summer* *หิมะกลางฤดูร้อน* เป็นหนังสือธรรมะที่ทำลายทุกสถิติ ด้วยยอดพิมพ์กว่าหนึ่งล้านเล่ม ในสิบภาษาทั่วโลก รวบรวมจากการเขียนจดหมาย ของท่านสยาดอ อู โชติกะ พระอาจารย์พม่ากับลูกศิษย์ของท่าน ที่สำหรับดวงแล้วช่างงดงามและให้ความล้ำค่า ทางจิตวิญญาณเสียเหลือเกิน น่าแปลกใจ.. ที่ท่านเลือกวิถีศึกษาธรรมจาก การปลีกวิเวก เป็นพระป่าคล้ายกับท่านเรียวกัน ที่ดวงเคยอ่านบทกวีที่แสนละไมละมุนใจ ตรึงตราประทับใจในความเดียวดายล้ำลึก มานานหลายปีแล้ว ใจดวงจึ่งประดุจดั่ง กำลังได้รับละออละอองหยาดน้ำค้าง ที่ใสเย็นดังเช่นหยาดฝนที่พรมพร่าง ให้ได้พบทางสว่าง ได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ผ่านธรรมชาติชีวิตของพระป่า องค์นี้ ที่ท่านน้อมนำคำสอนสัจจธรรม ด้วยการบ่มร่ำ ให้เราเพียรเจริญสติ โดยการเลือกมีวิถีชีวี อย่างสงบสมถะ มีอิสระดั่งพญาราชสีห์แห่งขุนเขา..เช่นฉะนั้น .............. *คัดความบางตอน จากประวัติพระโชติกะที่แนะนำตัว* *อาตมาจบวิศวกรรมไฟฟ้า อ่านทฤษฏีวิทยาศาสตร์ที่ล้ำยุคมามากมาย รวมทั้งเรื่องหลุมดำ จึงเข้าใจแจ่มแจ้งเลยทีเดียวว่า คนเรามั่นใจในทุกๆอย่างน้อยนิดเพียงใด ใช่อาตมาต้องการอิสรภาพมาก เรื่องนี้เราต้องเข้าใจกันตั้งแต่เริ่มต้น อิสรภาพของอาตมามิได้มีไว้ซื้อขาย การต้องใช้ชีวิตที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ทำให้รู้สึกเหมือนถูกจองจำ อาตมาก็คือราชสีห์ตามประเพณีของพม่า ชอบที่จะท่องไปบนขุนเขาที่กว้างใหญ่ เยี่ยงสิงโตภูเขา อา อิสรภาพ อาตมาทนข้อจำกัด ความผูกพันหรือการผูกมัดใดใด ไม่ได้ทั้งสิ้น แม้แต่การยึดติดก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยชื่นชอบ เพราะมันจำกัดอิสรภาพ ผู้คนมักยึดติดกับอาตมา จึงเป็นอันตรายต่ออิสรภาพของอาตมาอย่างยิ่ง อาตมาไม่คิด จะยอมแลกเปลี่ยนอิสรภาพกับอะไรได้ ตอนนี้อาตมา*ตามรู้* สิ่งที่เป็นคุกจองจำจิตใจของตัวเองได้มากขึ้นทุกทีๆ แม้จะศึกษาพระไตรปิฎกมามาก แต่ทุกครั้งที่เข้าไปหยั่งรู้ หรือ เข้าใจสิ่งใดในใจได้กระจ่างแจ้ง อาตมาก็ยังรู้สึกตื่นเต้น เหมือนนักสำรวจที่ค้นพบอะไรใหม่ๆอยู่นั่นเอง การค้นพบสัจจธรรมอันเรียบง่ายเหล่านี้ ด้วยตนเองช่างเป็นความสุขล้น ยูเรก้า (ภาษากรีกแปลว่าฉันพบแล้ว) อาตมาพบแล้ว อาตมาแทบจะทนผู้คนที่พูดราวกับว่า รู้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งๆที่แค่อ่านมาจากตำรับตำรา ไม่ได้เลย แต่บางครั้งก็จับได้ว่าตัวเอง ก็ยังทำอย่างนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่ทำน้อยลงเรื่อยๆ อาตมาคือราชสีห์แห่งขุนเขา เดียวดายแต่ไม่เหงาอีกต่อไป เพราะเรียนรู้แล้วที่จะอยู่ตามลำพัง บางครั้ง อาตมาเคยอยากเล่า ความเข้าใจอันลึกซึ้งให้คนอื่นฟัง แต่ยากจะพบใคร ที่ฟังแล้วรู้เรื่องในสิ่งที่อาตมาเล่า ว่าควรจะเข้าใจและเห็นคุณค่ามันอย่างไร ส่วนใหญ่อาตมาเป็นฝ่ายฟัง เพราะคนชอบมาคุยด้วย ความต้องการอิสระและเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่พึ่งพิงใคร คือความปรารถนารุนแรงที่สุดของอาตมา อิสรภาพมีมีหลากหลายรูปแบบและระดับ อาตมาคงต้องยอมเดินไปตามทาง ที่ธรรมชาติของตัวเองนำไป ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม อาจต้องยอมให้หมู่มิตรผิดหวัง มีคนคาดหวังในตัวอาตมามากมายเหลือเกิน แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะช่วยให้ความคาดหวัง ของเขาสัมฤทธ์ผล อาตมากำลังมุ่งหน้าไปสู่อิสรภาพของตัวเอง มิใช่หันย้อนกลับไปหาการอยู่ร่วมในกรอบ ของสังคมอีก อาตมาเคยอ่าน *Memories, Dreams, Reflections ของ คาร์ล จุง * ความคิดของเขาน่าสนใจดี บางอย่างที่เขาพูดเกี่ยวกับตัวเอง ช่างเหมือนกับตัวอาตมา นี่คือข้อความบางตอนของเขา *เมื่อตอนเป็นเด็กฉันรู้สึกเดียวดาย แม้ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ เพราะฉันรู้แจ้งในสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าคนอื่นไม่รู้ และคนส่วนมากก็ไม่ได้อยากรู้ ความเปล่าเปลี่ยว ไม่ได้มาจากการไม่มีผู้คนรายล้อม แต่หมายถึง การสื่อสารสิ่งที่ตนเห็นว่าสำคัญยิ่งกับผู้อื่นไม่ได้ หรือหมายถึง การยึดมั่นในความเห็นที่ผู้อื่นไม่ยอมรับ ดังนั้นใครก็ตามที่*หยั่งรู้*มากกว่าผู้อื่น ย่อมต้องเปล่าเปลี่ยวเดียวดายกันทุกคน แต่ความเปล่าเปลี่ยวนี้ ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับการสร้างมิตรภาพแต่อย่างได เพราะไม่มีใครอ่อนไหวกับมิตรภาพ เกินกว่าคนเปล่าเปลี่ยวหรอก อีกทั้งมิตรภาพ จะเติบโตงอกงามได้ต่อเมื่อแต่ละฝ่าย ระลึกว่าต้องจดจำความเป็นตัวของตัวเองไว้ให้ได้ โดยไม่พลั้งเผลอคิดว่าตนเป็นคนอื่น (เมื่อพูดถึงการกลับมาเกิดใหม่ ในกรณีของอาตมา เหตุปัจจัยของอาตมาที่มาเกิดใหม่ น่าจะมาจากแรงผลักดันที่ต้องการรู้แจ้ง เพราะดูจะเป็นองค์ประกอบที่เข้มข้นที่สุด ในธรรมชาติของอาตมา ................. ............................ อีกตอนจากคาร์ล จุง ที่ท่านโชติกะยกมา *ฉันเคยอยู่มาแล้วโดยไม่มีไฟฟ้าใช้ เราก่อเตาผิงและเตาไฟเอาเอง ยามค่ำคืนเราจุดตะเกียงใบเก่า ไม่มีน้ำประปา ฉันสูบน้ำจากบ่อขึ้นมาใช้ ผ่าฟืนเอง ปรุงอาหารเอง การดำรงชีวิตอย่างง่ายๆแบบนี้ ทำให้ชีวิตของเราเรียบง่ายตามไปด้วย ความเรียบง่ายนี่มันเอาการอยู่นะ ที่ Bollingen เราแทบจะสำเหนียกความเงียบ ที่รายล้อมเราได้ ที่นั่นฉันใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย กลมกลืนไปกับธรรมชาติ ท่ามกลางความสงบสงัดที่เหนือคำพรรณนาใดๆ.. .................... ........................... ......................... นั่นคือเสี้ยวนึงในหนังสือ *Snow in the Summer* *หิมะกลางฤดูร้อน* ที่หวังจักช่วยผ่อนเพลา ให้ทุกท่านได้พบกับละอองงามเงา แห่งความใสฉ่ำเย็น ในวันปีใหม่นี้ หาซื้อมาอ่านและกำนัลแด่ทุกดวงใจ ผู้เป็นที่รัก ให้ได้พบกับตัวตนที่แท้จริง ชีวิตที่แท้จริง อันประดุจดั่งดวงมณีที่พรายพร่างสว่างโรจน์ อยู่ ณ กลางใจเราเอง นี่เอง ใช่ไกล..ไหนเลย...! ด้วยรัก...
ปีเก่าผ่านไปปีใหม่ก็เท่านั้น แค่วนฝันวันโศกโลกฝันใฝ่ สัจจรรมชีวีเพียรสร้างอัญมณี ณ กลางใจ จักสว่างไสวนำทางชีวิตนิจนิรันดร์.. สนามบินสุวรรณภูมิ เช้าตรู่วันที่ 30 ธันวาคม ก่อนดวงใจพรากลาที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเดินทางไปยังแดนดิน*ฟ้าจรดทราย* เราสองคนต้องร่ำลาด้วยดวงใจอาลัยอาวรณ์ ที่ผสานเป็นหนึ่งเดียว..เสมอมา และจักเป็นเช่นนี้นิรันดร... ในอ้อมกอดที่แสนบริสุทธิ์อบอุ่น..เป็นสุข. มากมายสิ่งงดงามระหว่างเรา ที่อาศัยกาลเวลานานเนิ่นเติมเต็ม.. ความรักความเข้าใจ การอภัยรู้เมตตา และ.. การยอมรับซึ่งกันและกัน อย่างไม่คาดหวัง.. เพียงสร้างพลังให้ยังมิสิ้นไฟฝัน ที่จักยังมีลมหายใจ *สร้างอัญมณีภายในให้เจิดจรัส* มากกว่าการสะสมทรัพย์อนันต์นับภายนอก ที่ท้ายสุดทุกดวงชีวิตมิอาจนำตามติดไปด้วยได้ ........................ เป็นประเพณีที่เรามักเดินเข้าร้านหนังสือ เธอจะเลือกซื้อกลับไปอ่านยามไกลบ้าน เพื่อเกี่ยวเก็บประสบการณ์ นอกเหนือจากงาน ที่ต้องเดินทางรอนแรมราวแม่นกไพร สู่ทุกมุมโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล เธอ..จะมาเล่าให้ฟังด้วยดวงใจเบิกบาน ถึง กระท่อมในฝันมหัศจรรย์รัก *ราวสวรรค์แสนสงบสุข* บนเทือกเขาไกลห่างความศิวิไลซ์ *สวิสเซอร์แลนด์* ที่ตื่นมาราวกับว่าเธอฝันไป เส้นทางสู่ป่าเมืองหนาว สวยพราวด้วยไม้ใบสล้างสลับสีสัน เส้นทางที่ยังดูราวเสมือนโลกนี้ มิได้มากมีด้วยผู้คนวายวุ่น โลกแสนสงบสุข ที่เพื่อนเธอรอรับ พร้อมกับ..มอบ ความอบอุ่นมากล้นด้วยน้ำใจไมตรี แสงไพฟืนเหนือเตาผิง พร้อมกับฟองดูรสกลมกล่อม ที่ทำให้เธอลืมคำว่าผอมไว้ชั่วคราว ....... มากมาย..ที่เธอถ่ายทอด.. ที่ฉันกำลังบอกให้เธอรจนา พร้อมภาพประกอบ ถึงเรื่องราวมากมายที่เธอผ่านพบ กี่เมืองกี่ประเทศ.. ที่คงตราไว้ให้หวานหอมงดงาม ทุกยามแห่งความทรงจำ ยามย้อนหวนกลับ.. ............... นั่นคือ..เธอ..คนดี.. คนที่ฝากเพียงความดีความงาม ในทุกโมงยามแห่งการรำลึก คำพูดสุดท้ายก่อนพรากจากคือ *เรารวยที่ใจคงมากค่ายิ่งใหญ่กว่าใดปาน* และนั่นคือ.. พรขวัญจากใจฉันและเธอ ที่จักมอบให้คุณเป็นของขวัญวันปีใหม่นี้.. ................ด้วยรัก
งดงามในยามนึก ล้ำลึกดื่มด่ำทุกคำหวาน ในเส้นทางสายรุ้งดอกไม้บาน ทิวาวารตราตรึงซึ้งใจจำ ราตรีที่ดารารายพรายดวง เรียวรวงริมทางพิรุณร่ำ ดวงดอกหญ้าสีทองเริงระบำ รับแสงก่ำยามอาทิตย์สนธยา ใบไม้ป่าสอดสีซ้อนสลับ กระท่อมทับงามเงียบในเงาฟ้า เสียงเรไรหรีดหริ่งกล่อมวนา หนีมายาเมืองลวงหอมปวงไพร น้ำพุร้อนในอุ่นอวลสายลมหนาว ทิ้งเรื่องราวร่างรานเคยหวั่นไหว หลับตาลงผสานจิตยามฟ้าไพล สุขเกินใดกับวันดีที่เลือกเดิน.... .................................. ดวงแลเห็นสุริยากำลังจะลาลับฟ้า ผ่านผืนนาสีทอง ที่กำลังถูกสายแสงสนธยาสาดส่อง จนเกิดประกายผ่องพรายไปทั่ว ดวงรักเส้นทางสายนี้ สายที่ดวงแอบตั้งชื่อให้ด้วยใจดวงทั้งดวง ที่แสนอวลอุ่นอ่อนหวาน ว่า*เส้นทางสายรุ้ง สู่ทุ่งข้าว* สารภาพว่าเป็นเส้นทาง สายงดงามสายหนึ่งในพสุธาไทแห่งนี้ ที่ดวงมีโอกาสพานพบ และ...คงไม่มีวัน ลบลืมเลือนไปจากนวลใจดวงนี้ได้ และ... คงมีมากมายหลากหลายเส้นทางสายสวยธรรมชาติ ที่คงฝากฝังความงดงามให้เบ่งบานในดวงจิต แด่ทุกชีวิตนักเดินทางผู้รักการผจญภัย ให้เกิดความละไมละมุน ในหัวใจ ให้หลงใหลในความเป็นธรรมชาติอันแสนสุนทรีย์ บางครั้งครา..ดวงไม่สามารถหาคำมาพรรณนา เท่าตาเนื้อเห็นได้ เพราะดวงใช้ดวงตาภายใน ดวงตาที่ผสานกับดวงใจที่รับรู้แลเห็นธรรม ธรรมดา หากทว่าแสนพิเศษพิสุทธิ์ในความรู้สึกลึกล้ำของดวง เสียนี่กระไร.. วันเวลา..ผันผ่านไป มากเรื่องราวของผู้คนผองชนบนแผ่นดิน เดียวกันที่พากันมืดบอดห้ำหั่นกัน ด้วยความแลไม่เห็นโลกอย่างเที่ยงแท้ เที่ยงตรง หลงอยู่ในวังวนมิจฉาทิฏฐิ พาให้ต้องออกมารบราวี แข่งดีชิงเด่น ต่างพากันอ้างประเด็น ความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นที่ตั้ง.. หากทว่าเส้นทางแห่งความรักชาติเช่นเฉกนั้น ช่างน่าเศร้าเสียนี่กระไร เพราะต่างพากันทำให้ไทยแตกแยกสามัคคีกัน อย่างยากประสาน.. ปีใหม่แล้ว.. ทบทวนเสียใหม่ รักชาติ ต้องรักด้วยสติ รักด้วยดวงปัญญา รักด้วยการสร้างสรร ปันพลี ทำดี มีเมตตากันและกัน รู้ให้อภัย ไม่ใช่แค่หวังชัยชนะบนทรากปรักหักพัง ดวง..ขออธิษฐานจิต ด้วยแรงใจ...อันใสว่างสว่างสงบ หวังว่าในปีใหม่นี้เราทุกคนจักพบกับ *ปีวัว * ปีที่ทั่วโลกต่างเจ็บช้ำระกำด้วยพิษเศรษฐกิจ จะสะกิดให้คนไทยได้คิดถึง.. *ไร่นาป่าสวน* ที่รอให้ลูกหลานไทยได้หวนหันไป รู้คุณค่า รู้จักคำว่า *ทฏษฎีเศรษฐกิจพอเพียง*ให้เลี้ยงชีพชอบ..ชีพรอด* ว่าช่างยิ่งใหญ่ งดงามมากล้นค่า ล้ำค่าเพียงไร..ก่อนสายเกิน ..................... คิดถึงทุ่งข้าวสีทองผ่องพรรณราย วัวควายเลาะเล็มหญ้าเคียงบึงใส บัวชูช่อรับแสงตะวันริมกระท่อมไพร ดอกโสนไสวแม่กลีบบาง สรรพสัตว์ร้องเพลงรับสายฝน หอมมะลิปนมากับฟ้าสาง ไก่ขันกระชั้นถี่รับรุ่งราง ฟ้าสว่างพระอาทิตย์ส้มอมชมพู ดอกสายน้ำผึ้งควงฟ้อนอ้อนสายน้ำ ดอกน้ำค้างรินร่ำยามเช้าตรู่ นอนซบหมอนในมุ้งขาวฟังนกเขาคู ไร้ใครคู่หากเงียบงามท่ามกลางธรรม เป็นชีวิตชิดธรรมะธรรมชาติ บริสุทธิ์สงบสอาดทุกคืนค่ำ เลิกเวียนว่ายรับวิบากรักระกำ ที่วนย้ำพบเพียงโศกโลกเดิมเดิม...! ในท่ามโลกแล้งทุกแหล่งหล้า ฟ้ายังเป็นสีฟ้าให้เราฝัน น้ำยังคงไหลระรินทุกทุกวัน ดินยังมั่นซื่อสัตย์ให้หยัดยืน ลมยังพัดโบกสอนโศกสุข ให้รู้ทุกข์รู้ทันเศร้าหนาวสะอื้น ให้ยอมรับความจริงทุกวันคืน ว่าชีพชื่นฤาช้ำทำความดี เธอคนดีที่รัก ไม่นานนักพบพรากยากหลีกหนี ลมหายใจเราแสนสั้นวันชีวี เพียงพร้อมพลีเคียงคู่กันสู่ฝันไกล ฝันสู่เส้นทางแห่งสายรุ้ง ราวอรุณรุ่งเริ่มต้นชีวิตใหม่ ให้มาลัยธรรมมาลัยทองคล้องดวงใจ สว่างไสวนำทางชีวิตนิจนิรันดร์... .............................................. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3387.html หนทางสู่รัก แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ แม้หัวใจยังใฝ่สุขสม อย่าระทม ถึงรักจะไม่ แลเหลียว รักมอบไป เพียงข้างเดียว ถึงไร้เสี้ยว รักตอบแทน อันใด ใคร หากทำได้เช่นนี้ ดุจสวรรค์นั้นบ่งชี้ ทางยิ่งใหญ่ ทุกแห่งหน จรดลอย่างสดใส เพราะจิตใจกว้างไกล ใหญ่เหลือ เส้นทาง แต่รักในใจ ใครจะแลเห็น ทุกข์ยากลำเค็ญ ก็ไม่แปรเปลี่ยน เจือจาง รักลอยไปใจอ้างว้าง อย่าหลงทาง สร้างความหวัง นำไป ใคร ที่ใจหักเห เพราะทุ่มเท ให้รักไป จนล้นใจ คาดคะเน ผิดพลาดไป ผลจึงครองหมองใหม้ ไป่ชั่วนิจนิรันดร์ เมื่อฉันรักเธอ เธอก็รักฉัน เราบอกรักกัน ไม่มีวันจืดจาง แล้วเราไย ต้องเหินห่าง ปล่อยฉันหลงทาง เสาะหารัก หลายปี ฉัน ต้องหม่นหมาง หาหนทาง คืนกลับสู่รัก ไม่พบสักที โปรดเถิดรัก โปรดบ่งชี้ หนทางที่ ครองชีพนี้ รื่นรมย์ โปรดเถิดรัก โปรดบ่งชี้ หนทางที่ ครองชีพนี้ รื่นรมย์...
เหมือนโลกนี้มีสองด้านหวานอีกหน เหมือนทุกข์ทนลาลับมิดับฝัน เหมือนราตรียังมีดาวพราวนับพัน เหมือนสวรรค์ลอยลงหล้ามาเยือนใจ เหมือนภพเก่าเราก่อนอธิษฐานรัก เหมือนจิตภักดิ์พันผูกแต่ปางไหน เหมือนหลอมรักหลอมรวมพลังใจ เหมือนท่องไปในมหานทีรักนิรันดร์ เหมือนขุนเขาหนักแน่นด้วยแผ่นผา เหมือนศิลาวางทอดให้ยอดขวัญ เหมือนราตรียังมีแสงงามแห่งจันทร์ เหมือนตะวันส่องสว่างนำทางใจ.. เหมือนดอกไม้หวานหอมยอมผีเสื้อ เหมือนเหลือเชื่อมหัศจรรย์รักพิสุทธิ์ใส เหมือนน้ำค้างพรมพร่างกลางกลีบใจ เหมือนนกไพรผกโผผินบินคู่กัน เหมือนสายธารระรินไหลคู่ไพรโศก เหมือนดั่งโลกธรรมทองครองคู่ขวัญ เหมือนหยาดน้ำอมฤตหยาดสายจากพรายจันทร์ เหมือนเงาฝันเงาใจใฝ่เฝ้ารัก เหมือนดวงใจเดียวกันในวันนี้ เหมือนความดีฝากไว้ให้ประจักษ์ เหมือนเกิดมาชาตินี้คุ้มค่านัก เหมือนสายใยรักสายใยธรรมน้อมนำมา เหมือนรอยบุญรอยธรรมนำรอยรัก เหมือนสลักตราไว้ให้ห่วงหา เหมือนผูกพันดั่งคำมั่นคำสัญญา เหมือนยอดชีวายอดชีวิตสนิทเนา และ คนดีนาทีนี้นาทีไหนแม้ไกลร่าง จะอ้างว้างดายเดียวมิเปลี่ยวเหงา ด้วยคำรักคำสัญญาระหว่างเรา เป็นดั่งเงาใจเงาฝันตราบวันตาย แม้ปราณแยกแตกดับลับแต่ร่าง จิตกระจ่างพร่างดั่งเพชรคือจุดหมาย ให้สว่างวางว่างตายก่อนตาย สองจิตได้รอเคียงกันปันแบ่งบุญหนุนนิพพาน..!
รจนารักร้อยสร้อยดอกไม้ ร่ายมนตราให้ทุกดวงใจพบไหวหวาม เสกมนตราหอมละมุนแทนนิยาม ให้งดงามประดับทรวงละมุนใจ เป็นดวงดอกมณีศรีแห่งชาติ พุดพิสุทธิ์สะอาดอวยพรพลีจากใจใส ใกล้วันดีปีใหม่แล้วนะดวงใจ ในร่มรักเรือนไทยเรือนแห่งรัก หลอมรวมจิตอธิษฐาน ให้สายธารน้ำใจยังแน่นหนัก ให้พสุธามาตุภูมิเทิดเหนือภักดิ์ ใต้ร่มรัตน์ฉัตรกษัตราเมตตาธรรม เรียวรวงยังระย้ารับฟ้าทอง พรายผ่องรับอรุณทุกเช้าค่ำ พระพิรุณหยาดละอองลบมืดดำ ระรินร่ำในแผ่นดินไทยให้ใสงาม.... ......................................