29 มีนาคม 2547 00:31 น.

แม่น้ำตาลก้นแก้ว

พุด


url=http://www.thaipoem.com:8000/web/songshow.php?id=4842
แม่น้ำตาลก้นแก้ว 

แม่น้ำตาลก้นแก้ว.... 
เขาชิมเจ้าแล้ว จึงหยดถึงมือพี่
ถ้าหากเป็นแหวน ก็เปรียบดังแม้นเจ้าโดนสวมฟรี
เพชรที่งามหรือจะมีค่าสูงกว่าดรรชนีของนาง.... 

แม่น้ำตาลก้นแก้ว.... 
เขาชิมเบื่อแล้ว จึงถูกเขาทิ้งขว้าง
สูญสิ้นความสาวแล้วเจ้าจึงรู้ว่าเดินหลงทาง
พี่ไม่โกรธเจ้าดอกนาง ยังรักไม่จางรักนางเสมอ.... 

ถึงพี่เป็นสองรองคนอื่น.... 
พี่ก็ยังยิ้มชื่น ต้อนรับการกลับของเธอ
ตักพี่ยังว่าง อกพี่ยังอุ่นเสมอ
ตาลจ๋า กลับมาเถิดเธอ พี่หลงละเมอ เพ้อเฝ้าใฝ่ฝัน.... 

แม่น้ำตาลก้นแก้ว.... 
เขาชิมเจ้าแล้วพี่ก็ขอรักมั่น
ถึงจะเหลือเดนเพราะผ่านคนชิมมานานแสนนาน
พี่ก็ยังต้องการ รอรับรสหวาน น้ำตาลก้นแก้ว.... /font>
**********


ผมฟังเพลงนี้แล้ว
และขอมอบให้กับคนดีของผม   แม่น้ำตาลก้นแก้ว.... 
และของใครต่อใคร อีกหลายๆคน.... นะครับ.... 

เพื่อนผู้ชายบางคน หลายคนในโลกนี้ 
อาจจะหัวเราะเยาะผม 
ที่ต้องมาชิมน้ำตาลก้นแก้ว 
แทนที่จะได้ชิม.... น้ำตาลต้นถ้วย.... 



แต่ช่างเถอะครับ.... จะน้ำตาลไหนไหน.... 
ใจผมก็กว้างพอ 
ที่จะคิดว่า ว่ามันก็คือน้ำตาลเหมือนๆกันนั่นแหละ 

ของอย่างนี้ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจของเรา.... ซะอย่าง.... 

ที่ผมพยายามคิด อย่างนี้.... 
เพราะผมรักแม่ผมนะครับ.... 
มิได้หมายความว่า.... 
แม่ผมเคยเป็นน้ำตาลก้นแก้ว ให้ใครมาก่อน นะครับ... 
.



แต่ผมอยากจะบอกว่า.... เพราะแม่เป็นผู้หญิงไงครับ.... 
ผู้หญิงเป็นเพศที่น่ารัก น่าทะนุถนอม 
น่าสงสาร อ่อนแอ อ่อนโยน อ่อนหวาน 

และมีใจแสนงดงาม และเข้มแข็ง จนน่าทึ่ง....
 ยามที่เผชิญ กับอุปสรรคของชีวิต 

เป็นเพียงความอ่อนแอด้านสรีระ.... 
แต่มิใช่จิตใจนะครับ.... 
อย่า...ให้ผมเล่าประวัติศาสตร์เลยนะครับ.... 
จะยาวย้วยอีก....


ทุกท่านคงเคยดู
หนังประวัติศาสตร์ชาติไทยอันยิ่งใหญ่เรื่อง.... 
สมเด็จพระศรีสุริโยทัย...แล้วนะ
เรื่องที่ท่านมุ้ยกำกับ.... 
ร่วมกับผู้กำกับดังๆทั้งหลายนั่นแหละครับ.... 

นี่.... แค่เพียงหนึ่งวีรสตรีไทยนะครับ.... 
ทั้งประเทศทั้งโลกมิรู้ปาเข้าไปสักกี่ล้านคน.... 

และเพราะผู้หญิงมิใช่.... ดอกหรือครับ 
ที่ร่วมด้วยช่วยกันปรบมือคนละข้างกับผู้ชาย 
จึงทำให้ ก่อเกิดเสียง.... อุแว้.... อุแว.... 
ออกมามากมายเป็นพันๆล้านมนุษยโลกเลย.... 
รวมทั้งคุณ ทั้งผมด้วยนั่นแหละครับ....




และก็ด้วย สองมือแม่นี้อีกนั่นแหละ.... 
ที่ไกวเปล เห่กล่อม 
เหลือบไม่ให้ไต่ ยุงริ้นไร...มิให้ตอม.... 
อดนอนจนผอมโกรก 
เพื่อนั่งให้น้ำนมลูก

ซึ่งเหมือนสายเลือดทุกหยาดหยด 
ที่กลั่นออกมาด้วยใจ 
ด้วยวิญญาณที่แสนรัก 
แสนปรารถนาดี ให้ลูกได้ดื่มกิน....


ทะนุถนอม อุ้มชู ให้เติบโต 
จากเด็กน้อย เป็นหนุ่มน้อย และเป็นหนุ่มใหญ่.... 
และ.... 
คงไม่มี แม่คนไหนในโลก 
ที่หวังให้หนุ่มคนนั้น 
กลายเป็นบุรุษที่กลับมาเหยียดหยาม 
เหยียบย่ำ ทำลาย ทำร้าย จิตใจ ของเพศแม่.... 



วันนี้ผมแค่อยากเขียนถึง 
ความรักตามแบบฉบับอีกแบบหนึ่ง.... 
ของลูกผู้ชายอย่างผมนะครับ.... 

สำหรับผมพร้อมเสมอที่จะปกป้อง 
ให้เกียรติ ผู้หญิง ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ทุกคน.... 
ผู้หญิง คงไม่ต้องเศร้า ต้องโศก วิโยค รำพัน 
จนน้ำตาแทบจะท่วมโลกอยู่.... อย่างนี้ทุกวี่ทุกวัน เลยนะครับ.... 

ผมอยากให้ผู้ชายไทย เปลี่ยนค่านิยมเสียใหม่.... 



ความรักคือ ความเข้าใจ.... 
อภัย.... ยกย่อง.... ให้เกียรติ.... 
คนที่เรารักในฐานะมนุษย์ 
ที่จะต้องมีประสบการณ์ชีวิต.... 

ทุกคนคง ไม่มีใครอยาก มีชีวิตที่ผิดพลาด 
ที่ผิดหวัง หรือถูกลวงล่อเชยชมดมผ่าน 
ด้วนน้ำมือชายไร้รับผิดชอบ.... 



แต่มีเหตุผล.... 
ในโลกนี้มากมายที่เกิดขึ้น
กับเรื่องรักของหญิงชายเหมือนดังกลอนบทนี้..




ร้อยคู่ พันรัก มากนักในโลก
ร้อยคู่ พันโศก คู่โลกคู่รัก
ร้อยเรื่อง ร้อยราว ร้อยเศร้าอกหัก
รู้จำ รู้จัก เรื่องรักเรื่องยาว.... 

ร้อยคู่ ร้อยใจ ร้อยใฝ่ร้อยฝัน
ร้อยความ สัมพันธ์ ใจอย่ารานร้าว
ร้อยหวัง ร้อยหวาน ผ่านเรื่องมากราว
ร้อยคน พันเศร้า คู่โลกคู่เรา.... 
**********



และเหตุไฉนเล่า.... 
เราจึงยกความผิดนั้นให้แก่ฝ่ายหญิงฝ่ายเดียว.... 
ไม่ยุติธรรมเลย 
ยามร่วมสุขเราเสพ ด้วยกัน.... 
แต่พอยามเลิกฝันใจเบื่อหน่าย.... 
ใจอยากร้างรา ผู้ชายทุกผู้กลับคิด.... 
และสร้างค่านิยม.... รังเกียจ เดียดฉันท์.... 
ทั้งๆจากน้ำมือเพศเดียวกันเอง ไหนเลย.... 
จะเห็นแก่ตัวปานนั้นละครับ.... 



ผมคิดว่า.... 
ถ้าผมจะรักใครสักคน 
ผมคงต้องรักด้วยความรัก 
ด้วยความเข้าใจก่อน.... เข้าใจ.... 
ในชีวิตของคนดีของผม.... 



และผมยินดีอภัย.... เพื่อเริ่มต้นใหม่.... 
ผมคิดว่า.... คนสองคนควร จะมีพื้นฐาน สำคัญนี้.... 

และทุกสิ่งที่งดงามของชีวิต จะตามมามากมาย.... 
ต่อจากนั้น.... 



ผม.... ไม่แคร์โลก.... ไม่แคร์สังคม.... 
ผมกล้าเย้ยทั้งฟ้าท้าทั้งดิน 
ถ้าเพียงแต่ผมมีคนดี ที่ผมรัก ยืนเคียงข้าง....

 ตราบเท่าที่ผมมั่นใจว่าเราทั้งคู่.... 
มีใจดวงงาม.... ที่คงสำคัญยิ่งเหนือสิ่งใดใด...

. 

เรา.... ให้สังคมในสิ่งที่ดี.... ไม่เบียดเบียนผู้ใด....
 แล้วเหตุใดเล่าเราจะต้องให้สังคมมา 
มีบทบาทพิพากษาชีวิตของเรา.... 
ให้ก้าวเดินไปในทิศทางที่สังคมยอมรับ.... 

แต่ ต้องแลกกับใจเราที่แสนเจ็บช้ำ.... 



ผมอาจจะมองชีวิต.... 
อย่างแปลกแยกแตกต่างไปจากค่านิยมยาวนาน.... 
ที่เรา ผู้ชายได้สร้างมันขึ้นมา.... 

ผมอาจจะคิดอย่างผู้ที่อยู่เหนือโลก.... 
เหนือค่านิยมจอมปลอม.... 

มีใจดวงงาม.... ที่คงสำคัญยิ่งเหนือสิ่งใดใด...

. 
สำหรับผม.... 
แบบฉบับรักจึงใช้ใจ ตัดสินอย่าง ยุติธรรม
ทั้งต่อตัวเองและคนดี ที่ผมรัก.... 

ความสุขของผมมิได้ขึ้นอยู่กับร่างกาย
ที่วันหนึ่งจะร่วงราโรย.... 
ยึดมั่น ถือมั่น.... มิได้.... 



เธอจะเก่ามาจากไหน.... 
ก็จะสดใหม่เติมใจไฟฝันของผมให้งดงามหวานหอม.... 
ด้วยใจต่อใจ ถึงกันแนบแน่น ยาวนาน....



ถ้าใจเราสองคิดเป็น.... อยู่เป็น.... 
เลือกที่จะเป็น.... จนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่.... 

				
28 มีนาคม 2547 21:13 น.

มังกรรอนภิรมย์

พุด


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=219
**********

ใช่เลย..ครับ
ผมชื่อมังกร..
มังกร..ที่ฟื้นจากนิทรา จากฝันร้ายกรายร่าง
กลางกรุงกรง มุ่งค้นหาเส้นทางแห่งชีวีชีวิต
และราวกับได้มาใช้ชีวิตแสนงามราว*โรบินสัน ครูโซ*
กลางเกาะมหัศจรรย์รักแห่งนี้ ที่เพียงยังมิไร้ร้างถึงอย่างนั้น
ที่ผมเองยังคิดว่าราวฝันไปไม่อยากเชื่อเลยว่า*ชะตาฟ้าดิน*
จะบันดาลชักนำให้ผมได้พบฝั่งฝันอันแสนสุขสงบแห่งนี้


ที่มาตรแม้นทุกวันนี้..
จะมีนักเดินทางมายมายตะกายมาจากทั่วทุกมุมโลก
พยายามหนีโศกสับสนมาค้นหาความสุข 
ปลดเปลื้องเหงาทุกข์ดายเดียวกับ
หาดทราย สายลม สองเราและ
กับแสงอาทิตย์สะท้อนเงาทะเลงามสีมรกต
กับพระจันทร์ดวงโต ที่แทบทุกคนต้องร้องโอ้โฮ
ยามได้พบประสบพักตร์ได้ถูกทักทายทายทักในยามราตรียันสว่าง
กลางโค้งอ่าวกับหาดทรายเนียนนวลนุ่มเท้าราวแป้งเนื้อดี
แถมยังมีอาหารอุ่นอุ่นทะเลสดสดรสเลิศให้อิ่มปากอิ่มท้อง
ราวน้องน้องพระราชา..เลยทีเดียว
ขอแค่มีเงินแลกค่าอาหารและค่าบริการซึ่งก็มิได้แพงหูฉี่
แต่กลับจะได้รับอภิสิทธิ์แสนงดงาม..
มากกว่าคนไทยด้วยซ้ำ น่าช้ำใจเสียจริงๆ



และผมค้นพบความจริงบางอย่างว่า
คนเรานั้นไม่มีวันที่จะหลีกลี้หนีพ้นกระแสบ่าโหมของโลกทุนนิยมได้
ที่กำลังพากันกระหน่ำย่ำเข้ามาทั่วทิศทุกทาง
มิว่างเว้นสักตารางนิ้วในผืนดินไทยแล้ว
บนยอดดอย..กลางทะเล ที่เหว่ว้า
ยังอุตส่าห์มีเครือข่าย
ให้ลืมหน้าปลาชั่วคราว
ได้โทรหาน้องนาง เพียงจ่ายเงินงาม
ก็สามารถพูดๆๆๆๆได้
จนลืมว่าสิ้นเดือนต้องกินลมแทนข้าว ทั้งเช้าเย็นไปตามๆกัน..
ทุกถิ่นที่ ทุกประชาชี ประชากร
ยิ่งเหงางันยิ่งงอกงามค่าโทรศัพท์..นับไม่ถ้วนทุกข์เลยทีเดียวเจียว
เป็นการเวียนว่ายอยู่กับเทคโนโลยี่ ที่แสนเสียดุลย์ชีวิต 
มิรู้คิดผิดหรือถูก
..



และมนุษย์ที่ขี้เหงาทั้งนั้นทั้งนี้มากมีมากมาย
ที่ต่างยากจนกระเสือกกระสน
ทนทำงานก็เพื่อไว้แลกค่าน้ำลายส่วนหนึ่ง
มิใช่ค่าใช้จ่ายจำเป็นไว้ประทังชีวิตทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว
สโลแกนใหม่ต้องบอกว่า
*อดพูดสิถึงตาย
อดข้าวได้หากได้ยินเสียง..หนุ่ม..เสียงนาง..*


นี่คือโลกสดฉ่ำ ธรรมชาติกำลังจะถูกดูดกลืนหายไป 
ไม่มีเวลาที่จะเสพสุนทรีย์
เพราะมีอันต้องถูกแย่งยื้อถือครอง
จากเครื่องประเทืองสมองกลทั้งสิ้นทั้งปวงในโลกเทคโนโลยี่
ที่มีแต่จอจอจอ..จ่อปากจ่อตาแทบทุกนาที
จนจะกลายกันเป็นมนุษย์เครื่องจักร 
เข้าไปทุกวันกันเข้าไปทุกที..แล้ว


ผม..มังกร..คนช่างฝัน คนช่างคิด คนรักลิขิตรจนา
จะขอข้ามขั้นตอนที่จะก้าวก่าย
การใช้ชีวิตของคนเมืองเรืองรุ่งรุ่นปี2004นี้ไป
เพื่อเคารพสิทธิมนุษยชนคนเดินดินด้วยกัน

ด้วยการต้องเคารพความคิดการเลือกใช้ชีวิต การตัดสินใจ
ที่ยังไม่ทำให้ใครเดือดร้อน 
นอกจากโลกเท่านั้นจะร้อนยิ่งขึ้นทุกวัน
เพราะสารกัมมันตรังสีต่างๆที่ใช้ในโรงงาน..
เพื่อสนองวัตถุเหล่าที่มากมีมากมายที่กลายมาเพื่อบริการพลเมืองโลก
ที่นะวันนี้กลับลอยวนในอากาศ
หรือไม่ก็กลายกลับเป็นกากขยะรกโลก 
หาที่ทิ้งได้ยากลำบากจัง



สำหรับผม..ได้แต่หวังและฝัน
ให้มนุษย์หันมาปลูกต้นไม้
รักษาสายธารน้ำใสไหลเย็นไว้
เพื่อถนอมรักษ์ ถนอมโลกให้อยู่นาน 
ได้เกิดมาพบหวานหวังกันมิรู้สิ้น


มิใช่เกิดมาอีกทีมีแต่ดินแดนทะเลทราย..
ไร้ซึ้ง  ละมุนไพร..ละมุนใจ
แต่ทำไงได้นะ..
นอกจากผมจะรำงับใจ ไม่คิดไกลคิดมาก ไม่ฝากหวังใด
นอกจากใจและตัวผมเองที่เป็นเฟืองตัวน้อยๆ
กระจ้อยกระจิ๊บ หวังจะมีคนสักหยิบมือ
ช่วยกันรักธรรมชาติอย่างจริงแท้
แม้ว่าเราจะแค่มาใช้ชีวิตชั่วครู่ชั่วคราวก็ตามที..
ขอแค่อย่าอยู่แบบขอไปทีตัวใครตัวมัน
ทำอะไรได้ช่างฉัน คือไท..แท้..ก็น่าจะพอเพียงเพียงพอ


เอาเถอะนะ
เพราะแค่ผมคนเดียว ความคิดเดียว
กับคนใกล้ชิดไม่กี่คน 
ก็พาให้ใจผมห่อเหี่ยว เหลียวพบเศร้าจะแย่แล้ว
กับการต้องอดต้องทนได้ในบางสิ่งบางอย่าง
ที่เห็นตรงหน้าที่กำลังถูกกระแสบ่าโหมกลืนกิน


ในวันนี้..
ผม..ผู้ชายชื่อมังกร
จึงได้แต่พาตัวเองมานอนเขลง ราวหนีโลก
อยู่ใต้เงาดาว ร้าวดวงใจ
ให้ฝันไพรงามพร่าง
ท่ามกลางไพรรกโตรกธารละหานห้วย
ที่ยังสวยใสเย็นฉ่ำ
ราวมีม่านบังตา รอเวลาคนมาเปิดบริสุทธิ์


ที่ผมแสนหวงโลกใสพิสุทธ์นี้
ราวอยากหยุดป่าใหญ่ไพรกว้างนี้ให้มีไว้ให้ผมเพียงผู้เดียว
เหลียวหาก็ให้เห็นแค่ เก้งกวางค่างบ่างชะนี และ
ได้ยินเสียงดนตรีไพรจากสรรพสัตว์สรรพเสียงธรรมชาติ
ยามกระซิบกระซาบกัน
ให้ผมฟังราวเสียง
ทิพยดนตรีจากสวรรค์วิมานแมนสรวงก็มิปาน


ในยามค่ำ ..
ผมดีใจจังที่ยังได้ยินเสียงน้ำค้างระริน
ได้ยินเสียงสัตว์ป่าก้องร้องคำราม อยุ่ไกลๆ
ได้ยินเสียงนกไพรดุเหว่าหวานแว่ว
ได้ยินไก่ป่าขันกระชั้นถี่ 
ได้ยินเสียงสายน้ำนิรันดร์ในลำธารสายฝันระรินไหลเอื่อยๆ
จากเทือกสวรรค์ไพรไหลซอนเซาะเกาะแก่ง
ซัดสาดแผ่วๆเหนือชานระเบียงไม้
ที่ยื่นลงไปให้ได้สัมผัสงามในยามราตรี 
พร้อมมวลหมู่ดวงดาริกาพาพลีแสงสุกใส
ในคืนฟ้าหนาว ในคืนที่จันทร์เสี้ยวดวงเศร้าแรมดวง
หรือจันทร์งามดวงโตได้โผล่พ้นขอบฟ้าสีกำมะหยี่มาทายทัก 


ที่แทบทำให้ผมอยากหยุดพักหายใจ..และฝันไกล
ว่ามีดวงใจคนดีมานอนซุกไหล่ยิ้มอิ่มเอมในนิทราในอ้อมกอดดาว
กับพราวเดือนดวงนวลดวงงาม ในทุกยามยลเยือน เลยทีเดียว
ยามที่ผมนี้จะเปิดเพลงบรรเลง*ริมฝั่งฝันเนรัญชรา*
มาคลุกเคล้าให้ยิ่งหวานเศร้าดายเดียวดื่มด่ำ ดิ่งด่ำ ล้ำลึก..เป็นยิ่งนัก


และในยามนั้น...
ผมจะหลั่งน้ำตา มิอายฟ้าดินปล่อยให้งามถวิลพร่างสาย
มิอายลิงค่างบ่างชะนี 
ที่บางทีอาจจะแอบจ้องมองทำตากลมโตด้วยสงสัย
ไยผู้ชายชาติไพรถึงไหวครวญถึงหลั่งน้ำตา นะ


เพราะ
สำหรับผม..ค่าน้ำตา มิใช่เพียงว่าเป็นตัวแทนค่า
แค่ความสูญสิ้นเสียใจ หรือผิดหวัง
เพราะทุกคราที่หยาดน้ำตาผมหลั่งระริน
มันหมายถึงความสงบสุขสุดยอดแห่งงามดวงใจใครจะรู้นี้
เป็นความงามที่ผมยากจะตีแผ่อธิบายพรรณาออกมา
เป็นภาษาพูดภาษารจนาเพียงไม่กี่บรรทัด..
เพราะว่ามันคือภาษาใจภาษาจิตวิญญาณ ที่ต้องผ่านการกรองซึ้งซ่าน
ซึ้งซาบด้วยนวลใจดวงละเมียด..ละมุนไหว..พอกัน


คงต้องใช้ภาษาจรัสมลังค่า 
ที่ตีค่าคำเพียงอักษราแค่ไม่กี่คำ
มิมีวันหมดมิมีวันสิ้นถวิลถึงรู้สึกลึกล้ำนี้ได้

เป็นความงามไหวที่ต้องใจเดิมพันใจ
ใช้ใจเสมอใจ จิตเสมอจิต เพียงนั้น
ให้รับซึ้งถึงงามไหวละออ
แตกช่อละมุนกรุ่นกลีบรักพราย
แตกพรายแสงจรัสพร่างได้กลางใจเนียน..นวล..เพียงนั้น..เพียงนี้ 
..

จะมีสักกี่คนที่เราค้นพบในโลกพิภพ
ที่กำลังจะจบโลกแห่งหวานงามลง ในเนื้อใจเนื้อจิต 

มีเพียงแค่คนที่คอยแต่จะคิดจะติดค่าเงินงาม
ชอบความเป็นอยู่หรูหราอลังการเท้าไม่ติดดิน 
วิญญาณไม่  แม้ รู้จักถวิลไพร
 ไม่เคยพบดิน เพราะอาศัยในป่าปูนปานวิมานหอคอย..น่าละห้อยละเหี่ยใจ


สำหรับผม..ผู้ชายชื่อมังกร
พอใจและแสนสุขใจเคารพการตัดสินใจในทุกสิ่งในวันนี้

ที่ผมยินดีเลือกลิขิตเอง 
มิหวั่นเกรงสิ่งใดไม่หวั่นไหวคำคนคำใครพิพากษา 
เพราะว่า..
..

ผมคือผม..ชื่อว่ามังกร..
หัวใจสะออนเกิดมากับเนื้อใจอย่างนี้
ที่แสนภาคภูมิใจ
ยิ่งเสียกว่าคาบช้อนเงินช้อนทองออกมาเสียอีกนะครับ


ผมรัก จิตวิญญาณไพร..บ้านภายในของตัวผมเอง
ที่พระเจ้าให้มา
พร้อมกับดวงตาดวงที่สามดวงงาม
ที่ผมให้นิยาม
ให้คำอธิบายไม่ได้..กับทุกดวงใจ..


มีเพียง..หญิงหนึ่งหญิงเดียว ในดวงใจในฝัน
ที่มิมีวันมอดดับ รับไฟฝันผมได้ทุกเรื่องราว
และราวกลับ  มีแต่จรุงพร่างสว่างไสว
นำทางใจผมเสมอไปตราบชั่วกาล..เป็นงามชั่วนิจนิรันดร
ไม่มีวันไม่มีคืนไม่มีตื่นไม่มีหลับ..ไม่มีนานนับกัปป์กาลเวลา


มีเพียงหนึ่งเดียว 
ที่เกี่ยวกระหวัดรัดร้อยถ้อยความได้งามงดทุกแง่มุม
ไม่ว่าผมจะกลุ้มจะฝันจะรัก..
สมกับที่ผมรอคอย
และเพียรตามหามายาวนานแทบชั่วชีวาชีวิต
ดั่งพรหมลิขิตสววรรค์แกล้ง..
และมิเสียแรงรักรอ..
ที่ผมเคยพ้อ..เคยกระซิบบอก*สำหรับผมถือเป็นโชค*


และ..
ไม่ว่าร่างใจผมจะอยู่ที่ไหนในหล้าโลกนี้
ยามที่หัวใจดวงงาม
ยามผมได้สัมผัสธรรมชาติ
และทุกสรรพสิ่ง 
ที่แสนงามหรือแสนโศก 
ที่พาใจผมพบโลกเงียบงามใจนิ่งงัน
พาใจฝันลอยควะคว้างท่ามกลางงามเงียบเรียบง่ายสงบสุข


ผมจะ..คิดถึงเธอ 
อยากกระซิบริมแก้มและบอกความงามนั้นแด่เธอให้เพ้อตาม

ในท่ามกลางดวงดอกไม้ปลิดกลีบหวาน
ที่พากันบานตระการพรั่งพรายสยายกลีบรับฤดูร้อน
ที่มีทั้งชมพูพันทิพย์ ละลิ่วลิบ
ตะแบกม่วงควงพลิ้วพราย


ปาริชาตแดงฉายฉาดแสงแรงก่ำ 
คูนพิร่ำพิไรราวสายฝนสีทองห่มห้อมหอมใจ

ที่พาให้ดวงใจผมดวงฉ่ำซึ้ง
ถึงกับตะลึงลานกับทุกเรียวหวานละมุน
ที่กำลังปลิดกลีบพร่างร่วงควะคว้างตามแรงลมพรมพราย..


ให้ผมต้องแหงนเงยค้างแล้วเงียบงัน
ในขณะที่แทบทุกคนจะพากันเดินผันผ่านเฉย ราวไร้อารมณ์
ไม่รู้ด้วยซ้ำเท้าตัวเองกำลังย่ำบน
พรมลายดวงดอกไม้ละมุนม่วง ควงสายปลิวละล่อง
ราวพรพรหมประทาน  หวานแสนหวาน  เกินจะเปรียบประมาณ..


และดังนี้..ประมาณนี้
เธอ..จึง..เป็น คนดี คนเดียวในดวงใจ
ที่ผมไม่เคยผิดหวัง
ทุกคราที่ร่างเราไกลกันดั่งดวงอาทิตย์ไกลกลางคืน..
ผมก็ยังได้ชื่นได้ฉ่ำใจ
จากหยาดน้ำคำดั่งหยาดน้ำฝนพรมพร่างกลางใจ
หล่อเลี้ยงดวงใจให้หอมใสหอมเย็นเสมอมา..ทุกคราคราว..


และ
แม้กระทั่งฉาก...
ที่ผมพบภาพโหดร้าย สลดใจ 
เมื่อหัวใจผมพบผู้ยากไร้สิ้นหวัง
ที่ทำให้พลังใจผมท้อแท้ ด้วยมิอาจจะแก้ได้..ช่วยได้..ดั่งใจคิดอยากให้เป็น
ผมก็ยังมีเธอ ผู้มีใจดวงงาม 
พลีพร้อมจะเคียงข้างรับรู้ทุกข์ทน
ที่เราสองคน
อยากหยิบยื่นน้ำใจรักหลั่งรินเมตตาตามประสาเพื่อนมนุษย์..ให้.


ผมจึงมีความสุขกับความฝันแสนงาม
กับเธอคนดี ในดวงใจ ที่ผมใฝ่ที่ผมฝัน
และบางครั้ง ผมคิดว่าราว*มหัศจรรย์รักก็มิปาน*..
ที่ผมอาจหาญ กล้าเผชิญความดายเดียวเปลี่ยวเหงาในชาตินี้ 
เพื่อพลีรอ เมตตาจากฟ้าดินในชาติหน้าในภพหน้า ท่ามี


ผมจึงมีความสุขทุกอณูนึก
และในทุกยาม กับความงามเงียบ
กับเสียงธรรมชาติไพรที่ดวงใจเพรียกหา
เสียงใบไม้ป่าร่วงหล่น
เสียงผมย่ำเท้ากรอบแกรบลำพังในราวไพร
เสียงลมพัดไหวเหว่ว้าวู่หวิว..
เสียงดอกไม้ปลิดกลีบปลิว
ลอยตามสายธารแสนสวยแสนใสฉ่ำเย็น


ทุกเสียงที่ระรินจากงามง่ายงามเงียบ
ยามที่ลัดเลาะเลียบไปตามเทือกเขา ลงสู่ห้วยละหาน
ที่หวานสายใสไหลซัดเสาะเกาะแก่งหิน
ที่ทิ้งตัวโยนลงมาจากผาสูง
สีนวลพร่างกระจ่างขาว
ราวสายน้ำนิรันดร์จากสวรรค์สรวง..เลยทีเดียว


ให้เห็นกรวดทราย
ใต้พื้นน้ำงามพราวราวเพชรพร่างราวมณีล้ำค่า
ที่บางครา
ผมต้องพาตัวเองลงแหวกว่าย
รับสายซัดเย็นดับร้อนผ่อนใจ
ได้แย้มย้มกับมวลพฤกษ์ไพรพนา
ที่หลิ่วตาล้อร่างเปลือยเปล่า ของผมยามเหงาใจ 
และต้องรักษาผ้าให้แห้งไว้
ก่อนจะกรายร่างลงไปริมทะเล
เพื่อหาข้าวปลาภักษาหาร
มายังชีพชอบประกอบปากท้อง*นักอยากจะเขียนเพียรรจนา*


ที่บางคนกล่าวขวัญในทางลบ
ที่ผมสยบข่าวลือแบบปิดปากเงียบ 
ราวบุรุษไพรในความคิดทิ้งปริศนาน่าสนใจใคร่รู้
และแนวโน้มดูดูจะพิพากษาแนวเดียวกัน
 *ไม่บ้าก็บ๊องส์ น้องน้องสมทรงเมียฟัก*


เพราะลงมาแค่ขอซื้อกับข้าว
กับข้าวของจำเป็นพอยังชีพได้นานนับเดือนในบางที
ที่จะมีสิ่งขาดไม่ได้นอกจากข้าวสารอาหารสดแห้งแล้ว
ก็คือเทียนกับน้ำมัน


ที่ใครๆพากันบอกว่า 
ทำไมต้องผันตัวเองไปลำบากลางป่าเขาประมาณนั้น
ทั้งๆที่ริมฝังทะเลฝันอีกด้านนั้นแสนเรื่องรุ่ง 
สนุกกันได้ยันรุ่งสว่างหากเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง
โชติช่วงชัชวาลย์
ปานประหนึ่งสวรรค์สรวงที่เลยล่วงด้วยการเต้นๆๆเต้นกัน
อย่างเมามันส์ ดื่มกินมิอั้นมิอิ่มจนอรุณรุ่งอุ่นไอ
ให้เหลือร่างราวอุสภยามหมดแรง..
นอนกอดก่ายเกยกัน..ช่างน่าเวทนานัก


เพราะคิดอย่างนี้ใช่ไหมเล่า...
 ชีวิตผมจึงมิได้ถูกดูดไป
ราวแมลงเม่าบินเข้าไปหลงไฟโลกย์โลกีย์เผาผลาญ 


หากหัวใจดวงหวานดวงดีรู้รำงับได้ 
และใช่...เลย..
ผมทนทุกสายตาที่เป็นคำถามได้เสมอ
หากชีวิตผมยังพอใจสุขใจ
ที่จะเหลือโลกส่วนตัวไว้งามเงียบในใจลำพัง
มิหวังวุ่นวายวนเวียนกับผู้คนกับคำคนคำใคร
ที่ร้อยพ่อพันแม่ทั้งแย่และดีปะปนคนคนคนกันเข้ามา


บางครา..บางราตรี 
ที่มิใช่คืนหมาหอนคืนพระจันทร์เต็มดวง
ผมจะพาร่างไต่เขาลัดเลาะลงมาเสพสุนทรีย์
ที่ชายหาดกว้างไร้ร้างผู้คน
กับเจ้าผักกาด
ที่ชอบอาบน้ำทะเลกลางแสงจันทร์พร้อมกัน


และเราจะพากันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างแสนสนุกสุขใจ
ผมจะมานอนนับดาริกาพรายพร่างกระจ่างดวงสุกใส
ดวงโต  ที่ดูใกล้เสียจนราวจะคว้าไขว่ได้  
ช่างใกล้แสนใกล้  ราวแค่เอื้อม..เสียจริงๆ



และจะก่อกองไฟ เพื่อฟังเสียงฟืนหอมปะทุ
อาจจะมีปลาทะเลเสียบย่าง
เป็นอาหารค่ำอันล้ำรสสดจากทะเล..


ผมจะนอนฟังเสียงเห่กล่อมของคลื่นทะยอยทอยทอดสาดซัดฝั่ง
ฟังเสียงสะอื้นครางครวญของสนซัดส่ายใบ
ฟังเสียงมะพร้าวไหวเล่าเรื่องราวพรานทะเลที่หายสาบสูญไป
ให้นางรอ
ฟังเสียงทรายพ้อต่อว่าคราคลื่น
ที่ซัดสาดหาดทรายคล้ายหันหลังลาลับมิกลับมายืนยาว
เพียงชั่วครู่ชั่วคราวระลอกแล้วระลอกเล่าราวไร้อาวรณ์อาลัย


ดูประภาคารกลางทะเล
ที่เงียบเหงารอนำทางใจผู้หลงทางห่างฝั่งฝัน
ดูทุ่นแห่งความฝันลอยพะเยิบพะยาบ บอกทิศทาง
อย่าได้อ้างว้างเข้าอ่าวอารมณ์ให้ถูกช่อง..ล่องเรือให้ถูกทิศ


ดูดาวเหนือกระพริบดั่งเข็มทิศแด่ผู้พรากฝั่ง
รอนแรมห่างตาเหว่ว้าห่างฝั่งราวดายเดียวเดียวดายปลายโลกร้าง
และจะรอจนกว่าน้ำค้างยามดึกจะกระทบร่างจนหนาวสั่น
ถึงจะหันหลังลากลับกระท่อมไพร..ไปอีกคืนอีกครา
..


ในยามตะวันรอนรอนอ่อนอ่อนแสง
รอเวลาสายัณห์ตะวันลาลับเหลี่ยมเขา
ทิ้งเงาโศกไว้เบื้องหลังในใกล้ค่ำย่ำรอต่อราตรีหนึ่ง


นะที่ผมนั่งอยู่ตรงเนินผาเหมือนเดิม
พลันเห็นควันไฟสีเทาลอยอ้อยอิ่ง
ทิ้งแสงสวยรำไรรำไร
ราวเรียวเมฆหมอกหม่น
โผล่พ้นยอดไม้เบื้องล่างห่างกระท่อมไพรผมไม่ไกลนัก
กับตะวันสีไพลชิงพลบ กับงามสงบสุขแบบทุกวัน


นาทีนั้นผมรู้ด้วยสัญชาตญาณว่า ..
ผมมีเพื่อนไพรหัวใจดวงคล้ายกันแล้ว
กลางหุบเขาไพรพะงันในยามนี้
ที่หายากยิ่งนักราวงมเข็มในมหาสมุทร


ใจผมตึกตัก ตึกตัก นึกรักเจ้าของกระท่อม
ตั้งแต่ยังไม่เห็นตัวเสียด้วยซ้ำ
ที่ยอมมาใช้ชีวิตดิบเดิมแบบเดียวกัน..


ที่พลันผมค่อยๆพาตัวเองลัดเลาะป่าละเมาะ
และลำห้วยลงมาทายทักฉันท์มิตร


ผมพาตัวเองมายืนหน้าบ้าน
สีเทอร์ควอยซ์ที่มีเชิงชายเป็นลายลูกไม้อ่อนหวาน
มายืนแอบรับอวลหอมงามของดวงดอกไม้ไทย
ได้กลิ่นปีบหวานใสพร่าง
และท่ามกลางเสียงนกไพรร้องรายรอบ
กับโลกสีไพล
ที่พรายตะวันดวงไสวกำลังหรี่แสงสลัวสลัวเลือนลาง
ร่างงามหนึ่งพลันปรากฏกาย
ดูสว่างกระจ่างพร่างพรายใจแม้นในความมืดมน


เธอ..ผู้งามล้ำล้นราวเทพธิดา นางไม้ นางฟ้า 
ที่พาให้หัวใจผมแทบหยุดเต้น
นิ่งอั้นงึมงำหาคำทายทักเธอเพียงสักคำมิได้เลยแล้ว


เธอ..เป็นฝ่ายส่งยิ้มหวานเศร้าละมุนมาให้
และบอกว่า  มีคนเล่าว่า
ผมมาอยู่ก่อนหน้าแล้วแถวนี้
ที่เธอแสนยินดี และโชคดี 
ที่มีเพื่อนบ้านในท่ามกลางป่าแห่งนี้
ที่ได้รู้จักกันไว้ อย่าง
ผู้รู้รักไพรพงเฉกกัน...


และ
ในท่ามกลางแสงแห่งตะวัน
ที่จับงามพรายใบหน้านวลละออละอองผ่องผุด
ราวภาพวาดอาบทองทา
ผมคิดถึงบทกวีที่อยากอ่านให้เธอฟังว่าดังนี้..
*เหมือนอย่างตอนที่พระรามเห็นนางลอยปลอมมา
แล้วพระรามคลั่งเสียดายเมีย ผวาวิ่งประหวั่นจิต 
เทียบนางสีดาว่า..*
*มาตรแม้นจะหาดวง วิเชียรช่วงเท่าคีรี
หาดวงพระสุรีย์ศรี ก็จะได้ประดุจใจ
หาโฉมให้เหมือนนุช จนสุดฟ้าสุราลัย
ตายแล้วเกิดใหม่ ก็ไม่เหมือนเจ้านฤมล*


เธอผู้งามดั่งหยาดจันทร์เย้ยหล้า
ยิ่งงามกว่างามเมื่อผมได้ยินเสียงเธอ
แว่วหวานระรินสู่ดวงใจอันแห้งผากนี้
ที่ไม่เคยได้ยินเสียงอิสตรีใดมาแสนเนิ่นเกินนับ
หัวใจผมพองโตกับความดีใจในเมตตาที่ฟ้าดินบันดาล
ส่งเพื่อนไพรที่งามดวงใจงามดิบเดิมติดดินมาให้ผมได้รู้จัก


แม้ว่า
ระหว่างเรานั้น
แค่มองตาผมก็รู้ว่า
ผมพบอะไรบางอย่างที่แอบแฝงแรงรักเศร้านะกลางใจ
และแสนน่าแปลกใจ


ว่าไยกันเล่า..
ดวงตาหวานเศร้าคู่นั้น
ราวกับกำลังสะท้อนดวงตาดวงใจของผมเอง..
ที่ชาตินี้
หัวใจดวงหนักแน่นซื่อตรงยังคงยอมบรรเลง
บทเพลงแห่งชีวิตบทเพลงแห่งรักได้แค่บทเพลงเดียว..				
28 มีนาคม 2547 00:39 น.

ด้วยปีกแห่งรัก

พุด


URL http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=82

ความรัก ทำให้โลกหมุนได้หรือไม่ก็ตาม.....  
แต่..ความรักก็สามารถ เดินทางได้รอบโลก...  
คำกล่าวนี้น่าจะจริง สำหรับฉัน..
เพราะ...
ทุกคืนวัน  ฉันได้เดินทางด้วยปีกแห่งรัก 
ไปตามหาฝัน หาความรัก ได้อย่างง่ายดาย.....   

ฉันมี กล่องเก็บรัก เก็บฝัน เก็บเรื่องราว 
เป็นกล่องไม้ แสนสวย แสนพิเศษ ...
ที่ฉันอบร่ำด้วยดอกไม้แห่งรักดอกไม้แห้งหอม..  

และ
ยิ่งหอมมีค่า เพราะว่า มันเป็นดัง กล่องดวงใจของชีวิตนี้  
ที่มากมี เรื่องราว รัดร้อยใจ 
ในทุกห้วงกาลหวานหวัง
แห่งความรักความทรงจำ. มากมีมายมาย  
ลองดูซี..
สร้างกล่องเก็บรัก ขึ้นมาสักใบ 
เพื่อเก็บเกี่ยวใส่ความรัก  
อันงดงาม หวานหอมของคุณ 
ไม่ว่าในวันนี้ หรือวันที่ผ่านเลย..  

ที่มันอาจจะ ล้นทะลักออกมาจาก..... ลิ้นชักดวงใจ........ 
ที่คุณไม่สามารถจะเปิดเก็บได้อีก...   

วันนี้... ฉันดีใจ 
ที่ฉันมี ที่เก็บสิ่งดีๆ ไว้เป็นสมบัติทางใจ 
ที่ไหลรินออกมา  ด้วยรัก เป็นข้อคิด ข้อเขียน 
อย่างพิเศษ พิสุทธิ์ใส 
ที่มีค่า ต่อ ความภาคภูมิใจของตัวเอง.....   

เขียนสั้นๆเรื่องนี้ 
เพราะอยากบอก คนดีที่รัก ทุกคน 
ให้สะสมความรักจะดีกว่า  สะสมวัตถุมากมี 
ที่คงตามติดตัวเราไปไม่ได้ ในวันหนึ่ง...   

ฉัน..จะเฝ้า เก็บดอกไม้รัก จากต้นไม้แห่งชีวิตของฉันนี้ 
และจาก  ทุกชีวี ผู้ที่มอบรักให้ฉัน 
ด้วยใจ ด้วยปรารถนาดี เอาไว้ในกล่องใบนี้... 
ที่เรียกว่า กล่องเก็บรัก นะดวงใจ
*********



ดวงใจ...
ดวงเขียนเมล์นี้ ตอนประมาณ 4 ทุ่ม บนระเบียง...

คืนนี้...
ดวงนอน..มองดาวบนฟ้า 
และดูแสงเทียนวับแวมรายรอบแล้วทำให้
ดวงคิดถึงใครคนหนึ่ง ที่ดวงแสนรัก 
คนที่ดวงอยากให้กลับมาแชร์ความสุขด้วยกัน..
ในค่ำคืนที่แสนโรแมนติก...

ที่ดวงอยากให้มาเห็น ความสุขง่ายๆของดวง
ความง่ายๆ..ธรรมดาๆ  
ที่คุณเคยบอกว่าทำให้คุณรักดวงไงคะ จำได้ไหม!....

คืนนี้ดวง..นอน ..เดียวดายบนระเบียงบน
ดูจันทร์ดวงเศร้าที่ยังแสนงาม

และดวงเพิ่งซื้อต้นไม้มาเพิ่ม
ทั้งๆที่ดูแลแสนยากเพราะมันร้อนมาก..
และเต็นท์สีขาวแบบปาร์ตี้ที่กะจะมาบังแดด 
ยังกางไม่ได้เพราะใหญ่เกิน..
จะทำให้มองไม่เห็นดาวเดือน...

ดวงซื้อไฟฉายแบบเวลาไปแคมป์มา..
และคืนนี้เอามาฉายใต้ต้นไม้ของดวง.
ทำให้เกิดฟิลลิ่งของแสงเงาสวยมากเลยค่ะ คนดี..
ฤดูร้อนนี้ คงอีกไม่กี่วัน
ถึงเวลาแล้วที่จะบินลงไปยังดินแดนแห่งรักแห่งฝัน
ไปทำสิ่งที่ดวงอยากทำ เสียที
และราตรีนี้ทำไมดวงนับดาวผิดๆถูกๆก็ไม่ทราบค่ะ
เมื่อคิดว่า
คุณก็กำลังจะลาพรากจากดวงไปยังอีกที่ที่ไกลแสน
แต่ระหว่างเรา..
คนดี..ไม่ว่าจะไกลสักเพียงใด
ดาวประจำเมืองเดือนประจำใจจักฉายโชนแสง
แห่งรักเรา..ให้รับรู้ในรักนิรันดร์..



ไล้รอยจูบ  ฝากรอยใจ ในวันจาก
วันจำพราก จากไป จนไกลแสน
แนบหน้าจูบ แก้มสาก ฝากไว้แทน
ไกลต่างแดน ถนอมใจ ยามไกลตา

ขอสัญญา จะกลับมา ฝากรอยต่อ
เพียงใจรอ รับรู้ ว่าห่วงหา
คืนและวัน ไม่นาน จะกลับมา
รอเวลา ฟ้าดิน จะเป็นใจ

รักของเรา  เกิดมา  เพื่อจะรัก
รักแน่นหนัก หนักแน่น ไม่หวั่นไหว
โชคชะตา เพียงทดสอบ ให้ห่างไกล
สัญญาใจ รอไม่นาน วันหวานเรา...


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=82

รักข้ามขอบฟ้า.... ศรีไศล สุชาติวุฒิ : : Key F  

ขอบฟ้า เหนืออาณาใดกั้น
ใช่รักจะดั้น ยากกว่านก โบยบิน
รักข้ามแผ่นน้ำ รักข้าม แผ่นดิน
เมื่อความรักดิ้น ฟ้ายังสิ้นความกว้างไกล
ขอบฟ้า ทิ้งโค้งมาคลุมครอบ
อ้าแขนรายรอบโอบโลกไว้ ภายใน
เหมือนอ้อมกอดรัก แม้ได้ โอบใคร 
ชาติภาษาไม่ สำคัญเท่าใจตรงกัน
รัก ข้ามขอบฟ้า รักคือ สื่อภาษาสวรรค์
อาจมีใจคนละดวง ต่างเก็บอยู่คนละทรวง
ไม่ห่วงถ้ามีสัมพันธ์
ขอบฟ้า แม้จะคนละฟาก
ห่างไกลกันมาก แต่ก็ฟ้าเดียวกัน
รักข้ามขอบฟ้า ข้ามมา ผูกพัน
ผูกใจรักมั่น สองดวงให้เป็นดวงเดียว

รัก ข้ามขอบฟ้า รักคือสื่อภาษาสวรรค์
อาจมีใจคนละดวง ต่างเก็บอยู่คนละทรวง
ไม่ห่วงถ้ามีสัมพันธ์
ขอบฟ้า แม้จะคนละฟาก
ห่างไกลกันมาก แต่ก็ฟ้าเดียวกัน
รักข้ามขอบฟ้า ข้ามมา ผูกพัน
ผูกใจรักมั่น สองดวงให้เป็นดวงเดียว...

 


				
26 มีนาคม 2547 13:20 น.

ปลายฝนต้นหนาวกับทุ่งข้าวแห่งความฝัน

พุด


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=196
ขอฝากเรื่องแสนรักไว้อีกคราในหน้าส่วนตัวค่ะ..นะคะ

*************

 พราว คิดตัดสินใจซื้อ..บ้านน้อยริมเชิงเขา หลังนี้..
ทันทีที่.ขึ้นมาเห็น ทัศนียภาพ รายรอบ อันงดงาม....

บ้านน้อยริมเชิงเขา
ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ลาดหลั่นลงมา                
ในป่าลึกเมืองร้อนของเกาะพะงัน 
ที่ยังมีสภาพป่าอันสมบูรณ์เขียวชะอุ่ม


มองลงมาจากเนินนั้น..
มีนาข้าว..ลดหลั่นลงมาตามลาดเนิน..คล้ายนาข้าวขั้นบันได...
เป็นท้องทุ่งนา ที่งามดั่งภาพฝัน ..ของเกาะสวรรค์แห่งนี้                                  
ที่แสนเงียบงาม สงบสุขราวไร้ผู้คน...

รายรอบบ้านนั้น...
คือ...สวนผลไม้ เมืองร้อน..มีเงาะ กระท้อน ลางสาด                                        
และทุเรียน พันธุ์พื้นเมืองที่มีลูกเล็กๆ ดกเต็มไปหมดทั้งต้น...

ทุเรียนพันธุ์นี้มีคนเปรียบเทียบว่า.
.เป็นทุเรียนพันธุ์โป๊ ไม่ยอมนุ่งกางเกงใน
(คงเป็นเพราะเนื้อน้อยมาก จนเห็นเม็ดทุเรียนโผล่ออกมา)

ตอนพราวยังเป็นเด็ก..
จะได้ยินเสียงทุเรียนหล่น ในยามค่ำคืน 
และเป็นประเพณี
ที่ทำให้คนที่อยากรับประทานมากๆไปนั่งเฝ้า 
และคอยใส่หมวกออกไปเก็บมาปอกอย่างทันที่ทันใด ทันใจ 
แม้จะต้องเสี่ยงกับการที่ลูกทุเรียนจะหล่นใส่ศีรษะก็ตามที
เพราะที่บ้านพราวสมัยนั้น
ยังไม่มีทุเรียนที่ชื่อว่าหมอนทองหรือพันธุ์อื่นๆ...



นอกจากทุเรียน....แล้ว...
ยังมีสีเขียวแซมแดงของพวงเงาะที่ห้อยย้อย 
จนแทบถึงดิน ชวนเชิญให้อยากเก็บมา
อมรสหวานกลมกล่อม จนแก้มบวมตุ่ย...

ลางสาด..ที่เป็นพันธุ์ดีลูกดก 
ขึ้นชื่อว่าหวานหอม อร่อยล้ำ 
ก็พากันออกพวงพราว ระย้าย้อย
ห้อยเต็มต้นจนมองแทบไม่เห็นใบ.....



ไหนจะมะพร้าว..
ที่ขึ้นลดหลั่น ไปตามโขดหินงาม ที่สูงชะลูด                       
และพาให้...ในฤดูฝนนี้ที่มีลมมรสุมพัดผ่านมา 
จะทำให้ไหวเอนลู่ลม ที่กระหน่ำหนัก
และสู้กับสายฝนพรำ ทั้งวันทั้งคืน.....

พราว..ลงสับปะรด พันธุ์พื้นเมือง ไว้ด้านหนึ่ง 
ที่กำลังออกลูก และมีตาเล็กตาน้อยน่ารักน่าชัง...



แล้วยังมีพันธุ์ไม้เมืองร้อนอื่นๆอีก เช่น...
กล้วยกอใหญ่ ที่เรียกกันว่า กล้วยเล็บมือนาง
กล้วย ที่ออกหวีเล็กๆ มีลูกงอนงามอ่อนช้อย
ราวกับมือน้อยๆของน้องนาง...

และ..พราว..ยังแบ่งผืนที่ดินเป็นบางส่วน
ปลูกพืชผักสวนครัว..ปลอดสารพิษ...
ไว้กินเล่น แสนหวานล้ำยามเคี้ยว 
ด้วยอุดมสมบูรณ์แร่ธาตุตามธรรมชาติ..ที่ยังมากมี...


.
บางครั้ง...บางคราว....
พราวจะเดินดายเดียว ลงไปนั่งดู พระอาทิตย์ขึ้น 
และพระอาทิตย์ตกดินยามเย็นย่ำ..ลำพัง...

ในยามเช้านั้น..
ประกายน้ำค้างจับรวงเรียวสีทองของยอดข้าว 
ราวหยาดน้ำตาของนางฟ้า
จากสวรรค์ ผู้แสนใจดี มีเมตตา หลั่งรินมาให้ผืนดิน
และมวลหมู่พืชพรรณไม้..นั้น ได้สดชื่น..แสนงาม.



พราว....ลงทุน ปลูกพันธุ์ไม้ไทยหอมๆ รายรอบบ้าน
และในยามปลายฝน ต้นหนาวอย่างนี้
..ปีบ..จะอวดดอกขาวบานพราว เต็มปลายกิ่ง ล้อลมไสว 
ส่งกลิ่นให้หอมรำเพย อวลไปในทุกอณู
ของสายลมเย็นยามค่ำ พิร่ำพิไร 
พาดวงใจโหยไห้ราวคิดถึงใครบางคนจนสุดทน..นะใจ..


..
ดอกเข็มป่า..พันธุ์ดั้งเดิมที่คู่กันมากับป่าชื้นแห่งนี้ 
ที่พราวนำมาปลูกเพิ่มเติม จนเป็นดงดอกเข็มดก
ชูช่อออกดอกแดง ตัดกับเขียวละออของใบไม้ 
ที่ขึ้นเคลียเคล้าใกล้ลำธารและเสียงน้ำซัดเซาะแก่งหิน
หลังสายฝนพรำ...ฉ่ำชื้น....



พราว..ค่อยๆเปลี่ยนสีบ้านหลังน้อย 
ที่มีเชิงชายรายรอบ..ราวบ้านโบราณหลังนี้ที่มีจั่ว
ทายทักตะวันยามยอแสง ให้ลอดซี่ไม้ลงมา 
เป็นแสงเงางามสวยล้ำ..จับผนังปูนที่เป็นสีชมพู
ตัดกับสี..เทอร์ควอยซ์ของโถงทางเดินเล็กๆ..

ราวกับ..บ้านในฝัน ในใจของจิตรกรเอกที่สรรสร้าง                      
อิงอยู่กับลำธาร..สายเล็กๆ จากยอดเนิน..
ที่ไล่เลาะเลียบลงมาตามปุ่มปมแก่งหิน 
จนเกิดเป็นโตรกธาร สาย สะอาด ใส ไหลเย็น...
พราว...จะเปิดบานหน้าต่างโล่ง ......กว้าง....
รับ..ละอองฝน และสายลมเย็น.....



และ.....ในบางค่ำคืน.........
พราว..จะออกไปนอนนับดาว..ตรงชาน ที่ทอดตัวเหนือลำธาร                     
เพื่อฟังเสียงน้ำเซาะผ่านซอกหินเบื้องล่าง 
ที่ฟังเพราะพริ้งหวานเศร้า ราวเสียงดนตรี
จนพาให้เคลิ้มหลับไหล ไปกับแสงดาวเดือน อย่างฝันดี....



พราว เนรมิตร สวนไม้เมืองร้อน ให้โอบรายรอบ
เลื้อยไล่ไต่ตาม ไปทั่วอาณาเขต ของบ้านให้
งดงาม ราว..สวนสวรรค์ 
และนอกหน้าต่างนั้น 
บางครั้งพราวนั่งนิ่งดื่มด่ำ 

ในยามที่สายฝนพรำ
และยามที่สายหมอกโรยตัว ได้นานนับชั่วโมง มิรู้เบื่อ 



และ.....ในบางทีพราวนี้...คิดว่า พราวฝันไป..

มิได้อยู่ในโลกแห่งความจริง แต่อยู่กับโลกแห่งความฝัน
กับสวนสวรรค์ที่แสนสวยงามอ่อนหวานเลอล้ำ 
ตระการตา ตระการใจ พาให้ไหลหลง..เป็นยิ่งนัก...
จนไม่อยากเชื่อเลยว่า....พราวนั้นจะได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ                       
และสัมผัสดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์นี้ ในโลกมนุษย์....



ทุก...ปลายฝน..ต้นหนาว..ทุกคราคราว 
ที่ใจของพราวเหว่ว้าและร้าวระบมกับผู้คน
ที่หมุนวนแปรผันยอกย้อน จนยากจะยอมรับ 
ในสังคมเมือง บนผืนโลกกว้างใบนี้

พราว.....จะละทิ้งเลิกสับสน..ทุกข์ทนหม่นหมาง..
และหาทางกลับบ้านของเรา..ที่นี่..สวนสวรรค์....
ที่คอยปลุกปลอบให้กำลังใจ..เสมอมา..และคงชั่วนิรันดร....



และสำหรับใจดวงงามของพราวนั้น.........
แม้บางครั้งจะไม่มีเวลาเดินกลับมาตามหาฝันวันแสนดีจาก
บ้านน้อยริมเชิงเขาหลังนี้
และกับทุ่งข้าวสีทองแห่งความฝันที่แสนงาม....


                                                                                                            
แต่...รู้ไหม...
ทุกสิ่งอยู่ที่ใจดวงนี้ของพราว ราวซ่อนซุกไว้ ภายใน 
มิให้ใจดวงร้าวเงียบเหงาหมดงาม
กับปลายฝน ต้นหนาว 
และกับทุกฤดูกาลแห่งชีวิตนี้ ที่แสนดียิ่งนักแล้ว
				
25 มีนาคม 2547 23:06 น.

ผมชื่อมังกร!

พุด


URLhttp://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=200
(ในฝัน)

แด่มังกรนิทราด้วยรัก

ผม..ชื่อมังกร กำลังนอนนับดาวสุกใส
เต็มอ้อมใจเต็มอ้อมฟ้าเต็มอ้อมฝัน
กับสุนัขพันธุ์บาวาเรียนตัวโต 
หมอบพิทักษ์ราวองครักษ์ผู้ภักดี ที่ชื่อเจ้าผักกาด

ที่มิเคยหวาดกลัวภัยใด 
และมิหวั่นไหวจะพร้อมพลีชีวีเพื่อเจ้านาย..

กับพรายพระจันทร์หยาดสายหวานหว่านแสงสวย
ริมฝั่งฝัน ทะเลงาม
กลางเกาะมหัศจรรย์รักมหัศจรรย์ใจ
*ไข่มุกกลางอ่าวไทย*  
ไกลผืนแผ่นดินใหญ่หลายร้อยไมล์เลยทีเดียว


ในความเงียบเหงางาม อันแสนว่างเปล่า 
ที่มีเพียงเงาดาวและพรายเดือนสาดส่องประดุจดั่งเพื่อนใจ
หัวใจดวงดีดวงใสของผมก็แสนสุข สงบล้ำ เกินรำพันรำพึงแล้ว

ผมคิดและตัดสินใจไม่ผิด
ที่ยอมหันหลังลาหวังเลิกฝันหวาน
ที่มาพร้อมกับอาการเหนื่อยเหน็ดแบบสังคมเมืองมายา

ลาโลกแห่งแสงสีทิ้งโลกวายวุ่นของผู้คนที่ต่างพากัน
เดินตามตามกันไป ในเส้นทางสายโศกสายโลกย์ที่แสนคราคร่ำ
และกำลังกระหน่ำกันไปตามกระแสโลก กระแสโศกสะสมเปลือกนอก
ไว้อวดไว้หลอกว่ามีบารมี ..



จริงๆผมจะอยากหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงชีวิตคนเมืองผู้เรืองรุ่ง
ที่กำลังทำงานกันหามรุ่งหามค่ำในห้องแอร์ เย็นฉ่ำ
ที่วันวัน ต้องเอาแค่ก้มหน้าก้มตาแบบมิกล้าทายท้าฟ้าดิน
จนกว่าจะถึงเวลา เลิกงาน
และต้องฝ่าเส้นทางจราจรนรกรถติด 
หรือแออัดยัดเยียดเบียดเสียดราวปลากระป๋อง
ต้องห้อยโหนรถเมล์..
ที่บางครามิแม้สามารถจะหา
ที่พอแหย่เท้าได้ด้วยซ้ำ


ต้องห้อยโหนโยนตัวลอยลมแบบลิงลิง
ให้ไปถึงจุดหมายปลายทาง อย่างทุลักทุเล
และ..
จะโอ้ละเห่เตร็ดเตร่เที่ยวท่องลอยละล่อง
ลำธารหวานหว่านหารัก มิพักใจร่างก็มิได้
เพราะร่างกายอันเมื่อยล้าจะพากันประท้วง
ให้รีบกลับมาบ้าน ได้นอนนานนาน 
ได้ผ่านการนอนก่อนสี่ทุ่ม แบบทารกน้อย
อย่างน้อยให้ได้ครบ8ชั่วโมง
เพื่อใบหน้าจะได้ไม่โกงอายุ..ให้ไปตามวัยตามวัน



และหากใคร จะยังยอมตามใจ ไปหลงแสงสีศิวิไลซ์
ก็จงอย่าชะล่าใจเพราะจะสิ้นแรง
จน..น้ำหล่อเลี้ยงใจจิตวิญญาณจะพลันราน แห้งเหือดหาย
และบางที
มิอาจจะให้สมอง สั่งร่างให้ลุกได้ในยามเช้า..
ให้พร้อมตะเกียกตะกายตามวัฎฏจักรหนูถีบจักร
มิได้พักมิได้ว่าง
ไปตามร่างทุรนวนเวียนกันมาชดใช้กรรม 


และธารน้ำใสที่คอยหล่อหลอมใจให้ใสให้งาม
ให้มีดวงจิตวิญญาณดวงดี
ที่มีความรักแผ่ไพศาล
ก็มีอันต้องแพ้พ่ายเกิดมาชดใช้ไปตามบุญตามกรรม
ที่ได้ทำๆกันมาแต่ปางก่อน
หมดแรงฝันหมดแรงใจ..จะฟันฝ่าไป
ต้องยอมลื่นไหลไปตามคำเพื่อปากท้อง
เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของชีวิต


สำหรับผม..
ผู้ยังพอโชคดี ที่มีทางออก พบทางออก
หลังจากเพียรเฝ้าถาม เฝ้าขอคำตอบจากใจตัวเองมานานแสน
ว่า*หนึ่งชีวิตนี้ ผมเกิดมาเพื่อพลีเพื่ออยากพบอยากใช้ชีวีอย่างไร
ให้ธรรมดาใจที่รักธรรมชาติงาม ได้อย่างต้องการ
ก่อนตะวันแห่งชีพนี้จะพลันรานลา..


และพลันพาให้ได้คำตอบ
ที่พาให้ผมต้องหอบหิ้ว สัมภาระ ที่พยายามตัดพารก..รก
ให้เหลือแค่ลังใหญ่ใบเดียว
หลังจากได้เที่ยวแจกจ่ายของนอกกายไม่กี่ชิ้นในห้องเช่า 
ให้กับเพื่อนคนดีที่ยังมีความอยากความต้องการวัตถุ


ที่ผมนี้พยายามคิดทุกครั้ง
ที่จะสร้างจะซื้อ..ว่าคือขยะรกบ้านรกใจ

ผมนะวันนี้ในวันนี้
จึงแทบเหลือเพียงตัวเปล่าเปล่ากับใจดวงดีดวงงาม 
ที่คงไม่ยอมขายให้ใคร
นอกจากมีความภูมิใจที่ยินดีจะจ่ายแจก
น้ำใจรักรินรดหยาดหยดให้
อย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง


และ
เพื่อเก็บไว้เป็นพลังสร้างสรรงานงาม
คืนตอบแทนผืนแผ่นดินเกิด
ในฐานะ*นักอยากจะเขียนเพียรฝันค้าง*

ที่รอความว่าง ความงามแห่งใจสรรสร้างไฟฝัน
อันงามอะคร้าวคลุกเคล้าทุกข์สุขของเพื่อนมนุษย์
ให้หยุดสุขโศกเหลือเพียงความว่างความพอดี 
จะได้มีชีวีอย่างสุขใจไปด้วยกัน ไปตามหาฝัน
วันแสนดีที่แสนสั้นเป็นยิ่งนักในหล้าโลกนี้
ที่เรามิอาจจะกำหนดชะตาได้ ให้ยาวยืนฝืนทน.



ผมจึงมีเพียงจิตวิญญาณกับร่างกายที่ยังเปลือยเปล่ามิได้
ต้องมีอาภรณ์คลุมร่าง ห่างคำอุจาดตา
เหลือเพียงเสื้อผ้าเก่าๆมีเสื้อยืดสีขาวตราห่านคู่
กับกางเกงยีนส์ที่ทนทาน
กับรองเท้าคู่ชีพที่ผ่านการใช้งานสมบุกสมบัน
พาร่างผมให้ตระเวณไปในทั่วโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้
มานานนับปี..นาน..หลายปี..


และโชคดี..ที่ผมพอมีเงินออมถนอมเก็บมาก้อนหนึ่ง
ไว้ยังชีพชอบประกอบกินไม่ประกอบกามไปได้จนกว่าชีวีจะสิ้น
หากรู้ประหยัดอดออมถนอมใช้อย่างรู้ค่าคำสมถะ
พอเพียงเพียงพอพอเลี้ยงตัวรอด..เอาตัวรอดได้.
.มิให้กลายเป็นภาระสังคมและใครในครอบครัว



ผมแค่เพียงตั้งใจหวัง
จะใช้ชีวิตอันน้อยนิดนิดน้อยนี้พาตัวเองไปถึงฝั่งฝัน
อันแสนสงบงาม ให้พบงามเงียบเรียบง่าย
ไร้ทุรนร่างทุรนร้อนผ่อนนั่นนี้ไปตามกระแสโลก..หลงวัตถุ
ผมเพียงอยากพบว่าง วางไว้ 


แม้จะไร้ร้างไร้ร่างไร้ตัวตนราวล่องหนหายยิ่งดีนัก
ผมเพียงอยากเพียรฝากกมล
ที่พระให้พร...พรหมให้เกิด
สั่งตรงส่งผมลงมา
ให้มีเนียนเนื้อใจดวงนี้ ดวงใสดวงดีดวงงาม
ให้ได้ใช้คุณความดี ความงามสร้างนิยามรักนิยามใจ
ปลอบประโลมเพื่อนมนุษย์ให้วางโศก รู้หยุดโลกย์ครวญคร่ำ
หากผิดหวังในรักอันจักหนีไม่พ้นเพรงกรรม
ที่ทำๆสร้างกันมาแต่ปางก่อน

ให้มาวนหลอนหลอกยอกย้อนใจจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน
ผมอยากทำสิ่งแสนดีผ่านงานงามนามธรรมะธรรมชาติ
หวังฝากรักรจนาอักษราภาษาใจให้เนียนเนื้อนวลใจ
มอบหอมหัวใจหอมยิ่งกว่าหอม
น้อมนำผู้คนมากมีมากมายที่มีทั้งดีชั่วปะปน
ที่ยังหลงวนได้หลุดพ้นรู้รำงับดับทุกข์ทันทุกข์
บนผืนโลกนี้ที่มากมีมากมายปัญหากรายกล้ำหลายล้านเรื่องราว
ให้เศร้าใจให้ไหวครวญ..หาทางออกมิพบเจอนับพันล้านคน..
..


ผมค้นพบตัวเองมานานแล้ว
และเฝ้าวางแผนชีวิต
ที่จะขอลิขิตวาสนายามบั้นปลายด้วยตัวเองมิพักเกรงดินฟ้า
ขอแค่เพียงเมตตา ให้ผมพบพลังงามเงียบมีสมองแสนเฉียบคม
ไว้สรรสร้างงานดีดีมีพลังศรัทธารักศรัทธาใจ
ก่อนที่แสงแห่งตะวันใจจะพลันหรี่ลง
และดับวูบไหวไปกับสายลมในยามค่ำ ไร้เสียงร่ำไห้ของผู้ใด


และ
ก่อนหน้าที่ผมจะค้นพบ ดินแดนแห่งความฝันนี้
ผมได้ใช้เวลาและคืนวันที่จะแสวงหาโดยการเดินทางอย่างโชกโชน
และราวกับเสียงร้องตะโกนก้องภายในใจอันงามเงียบ
ให้ได้ยินไปถึงฟ้าดินยามผมสิ้นคำอธิษฐานใจ..
ให้รับรู้และมีเมตตานำพาผมไปพบ
สถานที่ในดวงใจ..

ให้ร่างและจิตวิญญาณผมได้สิ่งสมหวังสมพลังปรารถนา
แน่นอน..
ผมอยากกลับคืนไพร คืนใจคืนเรือนรังแห่งรักแรกในวัยเยาว์
แต่..ผม จักมิห้ามดวงชะตา โชคชะตา หากพลัดพาให้ผมได้พบ
ที่แห่งหนไหนก็ได้ 
ที่ผมคงใช้ดวงใจรักดวงใจฝันเพียงนั้นพลันตัดสิน
ได้เลยว่าจะ..ใช่เลย!มิใช่เลย!


และ
ในฤดูร้อนหนึ่ง
ที่ผมตามหาฝัน 
ตามหาใจจิตวิญญาณไพรใครคนหนึ่ง
ที่ผมหลงซึ้งหลงรักในโลกฝันโลกอักษราภาษาธรรมะธรรมชาติเฉกกัน
ที่ผมใช้เวลารอสวรรค์สรรส่งเธอมาให้โดยแทบต้องใช้เวลาชั่วชีวีชีวิต
และถึงสองปีเต็ม..ที่ผมเพียรพยายามตามหาเธอคนดีที่แสนรัก..


ผม..
เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไกลทะเลใจทะเลโลกย์ทะเลโศกสุข
มาถึง..จนได้..นะแดนดินแห่งความหวัง
ราวฝั่งฝันที่ผมเฝ้ารอมันมาทั้งชีวิต
*เกาะแห่งมหัศจรรย์รัก*
ราวไข่มุกเม็ดงามวะวามวาววะวาววับจับดวงจิตดวงใจทั้งไทยเทศ
กลางอ่าวไทย อ่าวใจ อันแสนงามนามเพราะ..ชื่อเกาะพะงันงาม..
***

มาตรแม้นว่ายามนี้..
อีกด้านหนึ่งริมฝั่งฝันทะเล สวยใสสีมรกต
ที่งามงดจะเริ่มสกปรกด้วยเงื้อมมือผู้คนจากนานาจากอารยะชาติ
หลายประเทศที่ไหลบ่าพาร่างใจมาใฝ่หางามเลื่องถึงเมืองไทยเรา
ที่แสนดีแสนมีน้ำใจและ
กับคนไทยที่มีวัฒนธรรมใจใสเย็น
ดั่งหยาดฝนพรมพรำให้ชื่นฉ่ำใจตามคำ
โฆษณา ที่ว่าTAKE HOME A THOUNSAND SMILE
ที่หวังวาดได้รับรอยยิ่มอบอุ่นด้วยไมตรี
ที่เรามีที่เราสืบทอดประเพณีมายาวนานสมดั่งคำ
**ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ*


มิใช่ไปฝากทรามไว้ด้วยการข่มขืนใจนักท่องเที่ยว
หรือเที่ยวชิงหลอกปล้นทรัพย์ให้เสียชื่อประเทศ..
จนเกรงขามสร้างนิยามน่ากลัวน่าเกลียดราวโลกล้าหลังด้อยอารยะ
ทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวที่ได้เงินงามนับพันๆล้านบาท..


ที่นี่งามพราวด้วยจันทร์ฉายที่ลื่อลั่นสนั่นโลก
ว่างามยิ่งกว่างาม
และ


ผมขอเล่าข้าม
หากอยากทราบว่างามจันทร์งามจริงงามใจเป็นไฉน
ให้หาอ่านได้ในงานงามเฉิดไฉไลของคุณพุดพัดชา
ผู้ฝากเรื่องรักรจนาเกี่ยวกับงามพะงันไว้มากมาย
ที่ร่ายมาไม่รู้จะสักกี่เรื่องต่อกี่เรื่องให้ประเทืองฝันบันดาลใจ
ดังตัวอย่างเหล่านี้


ที่ผมอยากให้อ่านก่อนที่จะกลับมาอ่านบทความนี้ของผมต่อ
http://www.thaipoem.com/web/poemdata.php?id=49582
http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_32353.php
 
เพียงเพื่อจะพลันให้ได้เข้าใจว่า
ทำไมผมถึงตัดสินใจซื้อกระท่อมในหุบเขาไพรพะงัน
ไว้นอนฝันนอนนับดาวเล่นและรอรจนางานงาม


นะวันนี้
ผมแสนมีความสุข
ทุกทุกเช้า 
ผมจะตื่นพร้อมเสียงดุเหว่าแว่วหวานขานปลุก
กับเสียงไก่ขันกระชั้นถี่
กับดาวสวยดวงสุกใส
กับพงไพรไพรพฤกษ์


ที่ยังมีหยาดลออละอองน้ำค้างในยามดึกร่วงพร่างพรม
ห่มหอมอวลให้นวลใจพร่างหอมยิ่งกว่าหอม
เฝ้ารอดูพรายน้ำค้างพร่างบนยอดทะเลหญ้า
ราวเพชรกลิ้งกลางใบใสสวยกระจ่างงาม
ค่อยค่อยจางระเหยหายวับ
ไปกับเรียวแดดอ่อนอุ่นในยามอรุณรุ่ง

ที่พระอาทิตย์จะค่อยค่อยชักรถ
โผล่พ้นเหลี่ยมเขาลบเหงางามยามราตรี
ที่ดวงนี้โตแสน...เกือบเทียบเท่ากระด้งฝัดข้าว 
ที่ซ้อนซับสลับสล้างพร่างแสงสีราวเรียวรุ้ง
ในกลางทุ่งเรียวเมฆหมอกเหมยงามราวสายไหม


ท่ามกลางดงยางใหญ่ยอดสูงเทียมฟ้า..
กลางนาเขียวสะพรั่งสลับรวงเรียวสีทองผ่องผุดพิสุทธิ์ล้ำ
แบบนาขั้นบันไดที่ซ่อนตัวอยู่ในกลางหุบไพรงาม 
ที่ราวป่าดงดิบลี้ลับในนวนิยายของ
นักเขียนเรื่องไพรไพร..พนมเทียน 
ที่พระเอกนามไพเราะว่าระพินทร์ ไพรวัลย์

แสงงามสาดส่องส่งพลังใจพลังไฟฝันให้มวลมนุษยโลกได้ฟื้น
คืนมารับเริ่มต้นในเช้าวันใหม่ให้หัวใจได้มีพลังใจจะสู้ต่อมิรอราแพ้พ่าย
ราวแสงตะวันฉายอันทรงพลังงาม..
เกื้อโลกอย่างเสมอต้นเสมอปลายนานเนานิรันดร์กาล
ให้หอมในหอมของตะวันอ้อมข้าว
ในฤดูหนาวยามสายหมอกไล้โลม
มาปลอบประโลมใจทุกดวงรับงามงด


และ

ผมจะค่อยๆไต่เทือกเขาไปกับสุนัขคู่ใจ
ไปตามกลิ่นฝันอันแสนรัญจวนใจ
กลิ่นสดชื่นของใบไม้ในราวป่า
กลิ่นนาข้าวใหม่พร่างพราย



กลิ่นรากไม้หอมอวล
กลิ่นความเศร้าแสนสุขด้วยบรรยากาศดายเดียวเหว่ว้าลำพัง
ที่ผมพึงฝันพึงใจในงามเงียบไร้ร้างผู้คน
ให้ว่างเปล่าไร้สับสนอลหม่านแบบสังคมเมืองมายา
เป็นอารมณ์พรูพร่างสร้างอ่อนหวานอ่อนไหว
ให้ใจดวงงามของผมราวต้องสายฝนพรมพรำให้ชื่นฉ่ำเยือกเย็น
ในไร้ร้างในอ้างว้างห่างไกลโลกแห่งแสงสีศิวิไลซ์
ที่ผมทำยังไงๆก็ไม่มีวันคุ้นชิน..



ผมจะมีเส้นทางพิเศษพิสุทธิ์
เส้นทางใจในฝันในใจในงามง่าย
เป็นเนินผาสู่ไพรรกโตรกธารละหานห้วย
ที่ยังหอมด้วยกลิ่นกล้วยไม้ป่ากล้วยไม้ล้ำค่า
ที่งามสง่าบานชูช่อล้อสายลมไหว
นาม มงกุฏไพร คู่เทือกเขาไพรพะงัน
มีกระรอก บ่างชะนี ที่ยังมีให้เห็นประปราย
มิใจหายเหี่ยวตามความเจริญรุกบุกสู่ไพรถึงไพร
ไปทำลายๆและทำลาย
ยังมีเสียงนกไพรทายทักดังก้องร้องระงมไปทั้งราวป่า


บางครา
ผมจะนั่งนิ่งงันตรงเนินหญ้าบนผาสูง
และรอท่าเวลานับถอยหลัง
สั่งพระอาทิตย์อัสดงลาลับดับดวงไปทีละนิดๆ
ที่จะตกลงระหว่างเกาะสองเกาะที่เคียงคู่หมอบกัน..
ในยามสายัณห์ให้ขวัญฝันยิ่งเหว่ว้าในดวงใจ



ที่ผมจะอยากทั้งหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน
ทั้งในฤดีฝันฤดูฝน



บางทีที่ผมยินดีจะนั่งตากฝนพรำ
ให้ฉ่ำชื่นเย็นจากราวรวงหยาดลออละออง
ให้ล่องสายซัดสาดร่างผมให้เปียกโชกเปียกปอน
เป็นความฉ่ำร่ำรื่นรสอภิรมย์ใจ
ที่ผมยากยิ่งจะอธิบายใจให้ใครเข้าใจ
ในงามล้ำดำดิ่งในรู้สึกวิเศษพิเศษพิสุทธิ์นี้
ที่ใจดวงดีดวงเดิมดวงดิบดวงดายเดียวของผมเพียงนั้น
พลันรับรู้รับงามได้เพียงผู้เดียว



ผมสุขในในทุกโมงยาม 
ในทุกนิยามกับความงามเงียบเรียบง่าย
ที่ใช้เพียงเนียนเนื้อนวลใจเพียงนั้น
รับฝันรับหวานได้อย่างอ่อนโยนที่สุดแล้ว
ราวแก้วกลางใจกระจ่างใสวาบวาม
ในทุกยามที่ผมได้ดายเดียวเดียวดายใช้สายตาสายใจสายใยรัก
ดื่มด่ำกับธรรมชาติงามล้ำลึกตามลำพังเกินรำพันรำพึง


ผมสุขใจกับฟ้าใสครามงามเข้ม
กับเต็มนัยน์ตามีเขียวไพร
กับใจปล่อยวางว่างว่างราวไร้ตัวตนทั้งร่างใจ
มิไหวครวญไปกับเกมกลเกมคนเกมใครในโลกลวงโลกสมมุติ



ผมสุขสมกับทุกลมหายใจสดชื่นนี้
ที่ยินดีพลีพร้อมจะยอมรับความเศร้า
ที่ใครใครกล่าวขานว่าแสนน่าเบื่อ
แต่สำหรับผมเหลือที่สงบงาม..ในทุกยามแห่งชีวีชีวิตเลยทีเดียวแล้ว!
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด