9 พฤษภาคม 2547 23:09 น.

สายฝนสายฝันนิรันดร์รัก

พุด


url=http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=129
(หยาดฝน หยดน้ำตา)
....................

ฟ้าเศร้า..งามด้วยเงาเมฆเทา 
ทอทอดหมองครองระทมทุกทิศทาง

ผู้หญิง..ในชุดขาวยาวกรอมเท้า 
สวมหมวกลายลูกไม้
ปล่อยผมยาวสยายรุ่ยร่าย
ให้สายลมพัดพาปลิวไปเบื้องหลัง
ราวไม่ใยดี ราวกับโลกนี้มีเธอเพียงลำพัง..ลำพัง
ในยามฟ้าโพล้เพล้เหว่ว้า..สนธยาเงียบงาม

เธอ..
ยืนทอดร่าง 
อย่างอ้างว้างดายเดียว เดียวดาย.........
ใต้ต้นหางนกยูง
ที่กำลังอวดดอกแดงสะพรั่งพรึบไปทั้งต้น
กับลมพัดใบไม้ไหวกระจาย
คล้ายพัดพาใจเธอกระเจิง..


งามดวง..ดอกไม้..ธรรมชาติ
ข้างทางสายเก่า สายเคยคุ้น
ที่กำลังหมุนละมุนวันคืนแสนหวาน
ที่ตระการตาตระการใจ
ด้วยดวงดอกไม้ฟายฟ้อน
ที่เคยออดอ้อนละเมอเพ้อรำพัน
ฝากฝันฝากใจฝากสายใยรัก
มากับสายวสันต์งาม
ราววันนี้
ลมพัดหวลอวลย้อน
ให้คืนฝันวันแสนดีแสนหวาน 
นานนับปี..คืนกลับมา

ดูราวกับว่าเหมือนเดิม..
แต่
ไม่เหมือนเดิม!
เพราะ
เพิ่มจำนวนนับมากขึ้น..
และคงมากขึ้นทุกปีทุกทีนะทุกดวงใจนะยอดดวงใจ

ฤดูกาล..ก็เหมือนฤดีคน 
ที่หมุนวนหมุนเวียน
เปลี่ยนผันแปรฝันแปรหวังแปรหวาน
เป็นรานร้าว
อาจจะ
มีร้อนหนาวเคล้าคลุก
สุขเศร้าเหงาเปลี่ยว..ตามกรรมตามกาล

เปลี่ยนก็เพียงฉากตอน...
สุดแล้วแต่ใครจะนำมาสอนใจ..
ไขว่คว้าคว้าไขว่มาใส่ร่างใส่ใจใส่จิตวิญญาณ
ให้งามพร้อมพลี..
ที่จะเลือกรัก..หักใจ..ตัดใจ..หรือ..ยอมรอ..รอและรอ..

มีเพียงบางใครบางคน
ไม่แปรใจไม่แปรพรากจากลา..ไม่..ไม่..
เพราะว่ามีใจดวงหนักแน่นมั่นคงซื่อตรงในรักดั่งภูผา

ที่รับรู้รับรักรับรสระหว่างกันและกัน..
ระหว่างคนสองคน..
มิปนมีแปลกมิเปลี่ยนไป
ตามคำตัดสินของใจของใครของคน..
ที่
คือใจเขาก็ใจเขามิใช่ใจเรา..มิใช่ใจรัก..ภักดิ์พลี
และ
มี
หวัง..ฝัน
ฝัน..หวัง
สำหรับเรา..นะคนดี..นะดวงใจ
ว่า
ยังคงมี
ใจเดิมพันใจ
ใจเข้าใจในมหัศจรรย์รัก
ใจรู้จักวางใจ
ใจเชื่อใจ
ใจมั่นใจ
ใจรู้ใจ
ใจให้ใจ
ใจเติมใจ
ใจ..จึงได้ใจ
และใจก็จะหลอมละลายกลายเป็นใจดวงเดียวกัน
เป็นขวัญพร่างกระจ่างใจ
ผูกพันกันไปเป็นพิสวาทมิคลาดคลาทุกชาติภพ
รอบรรจบเกาะเกี่ยว
เป็นพลังจิตพลังใจพลังวิญญาณดวงใสดวงงาม
ตราบชั่วกาลชั่วกัปป์กัลป์ชั่วนิจนิรันดร....

มาสร้างงามหอมด้วยดวงดอกความดี
ดอกธรรม นี้ที่รู้พลีดำรงร่างอย่างคนเหนือโลก
รู้ลบโศกลบเศร้า อุทิศร่างร้าวใจไร้
ให้ร่มธรรมเป็นร่มใจ
นำทางใจให้สวยใสสะอาดสว่างสงบ

รอพบเพียรสร้างกุศล
รอวาสนา  รอ..รอ..และจะรอ..จนกว่า

สักวัน..ต้องมีสักวัน..
ที่พระเบื้องบนจะเห็นใจคนดี
นะคนดี..
อย่าท้อใจหากใครผิดหวังในรัก..
จง
รู้จักสร้างพลัง
ด้วยดวงดอกความดี ความดี และความดี
พลี...พลีและพลี..
สู่ทางวางแอกใจ..ไม่ท้อใจไม่ทุกข์ทน..
ไม่..สับสน..หากรักให้เป็น
ให้เย็นให้ใจ..
ให้น้ำใจหยาดสายใสสู่กัน
ดั่งหยาดฝนพรำ..พรม...

............
ฝนเทลงมาแล้ว
เธอ..แหงนเงยหน้ารอหยาดทิพย์โปรยหล้า
จากฟ้าสู่ผืนดิน มิรู้สิ้นรู้จบ

แม้นใจไร้..ร่างร้าว..จะหนาวแสนหนาว
ราวรอ..นกปีกหัก
กลับมาซุกซบสู่อ้อมอกอ้อมตักอ้อมใจ
สู่รังรักอันอบอุ่น..รอ..รอ..และ

จะรอทุกอุทัยโลกหมุน..
นับนานผ่านปี..ปี..และ..
จะสักกี่ปี..กี่ภพ
ก็จะไม่จบสิ้นรักนับ
จากวันนี้นาทีนี้
จนตราบถึงวันสิ้นลม..

...........................


อ้อนใจ! 

ขอเขียนกลอนอ้อนใจใครคนหนึ่ง
คนฝากซึ้งตรึงใจในวสันต์
คำคิดถึงซึ้งรุนแรงแข่งแสงจันทร์
นำทางฝันส่องสว่างกลางนวลใจ..

มองแมกไม้กับเงาจันทร์ขวัญฝากพ้อ
และอ้อนขออย่าแรมไกลใจหวั่นไหว
ในโลกฝันฉันมีเธอเพ้อเพ้อไป
เป็นเงาใจรจนาฝันวันแสนดี..

สายวสันต์พาฝันเก้อเพ้อกลอนหวาน
แม้นร้าวรานหวานดวงใจใครคนนี้
ฝากคิดถึงซึ้งเศร้าถึงคนดี
ในฤดูมีฤดีมีรักรอ..

เด็ดดอกไม้หอมหอมกล่อมหลับฝัน
ขอฝากจันทร์ฝากใจใครละหนอ
วางเคียงหมอนราวนอนใกล้หอมละออ
สวดมนต์ขอรอชาติหน้ามาคู่เคียง! 
.............




แถมอีกเรื่องแสนสุดรักค่ะ
*********
พ้นพันธนา!    
พุดพัดชา  


พ้นพันธนา.
หัวใจของฉัน ผู้หญิงคนนี้ 
ที่คิดว่าน้อมรับธรรมชาติมาแต่อ้อนแต่ออก 
บอกใครถ้วนถี่ก็มิได้หมดใจ 
นอกจากพยายามรจนาออกมาได้บ้าง 
เป็นบางส่วนเสี้ยวของชีวิต...  

ตอนเป็นอาจารย์ มักจะยกตัวอย่างธรรมชาติงาม
มาน้อมนำใจให้ลูกศิษย์ สาวชาวกรุง 
ผู้มิเคยได้สัมผัสของจริงได้รู้ว่า ฟ้างาม นั้นน่าตะลึงหลงเพียงใด 

มันเปลี่ยนสีไปราวเวทีธรรมชาติ 
ที่เล่นแสงสี แสงสวยโดยไร้มือผู้ใดบังคับควบคุม 
ทุกสิ่งที่ฉันได้ซึมซับ กลับรื่นรินไหลให้กับดวงใจอ่อนเยาว์ 
ให้อ่อนโยนที่ละนิดทีละน้อย อ้อยสร้อย รวมเป็นกอบกำ 
จนยึดครองสี่ห้องหัวใจของฉันไปหมดสิ้น...

จนถึงวันนี้ นาทีนี้..  
ฉันเคยมียามเช้าที่แสนดี มียามเย็นที่แสนงาม 
มีพระจันทร์ให้ฝันในยามค่ำ 
มีพระอาทิตย์เริงระบำ ตั้งแต่เช้าจนตกเย็น
เป็นราวเพื่อนใจในทุกโมงยาม 

มีหาดทรายกว้าง มีน้ำทะเลสวย 
มีดวงดาวสุกใส สว่างระยิบระยับ 
ใกล้จนแทบเอื้อมมือคว้าไขว่ได้ นับดาวแทบไม่ทัน 

เป็นคืนฝันวันงดงามแจ่มกระจ่างใจ 
จนเขียนออกมามิได้หมดสิ้น..  

เมื่อย่างสู่วัยสาว วัยร้าวไหว กับคนและความรักเพรียกหา 
สองตาจะมืดบอดสนิท ลืมคิดลืมมอง ธรรมชาติ 
เฝ้าโศกตรม รำพึงรำพันฝันหาบ้าๆบอๆ กับพิษรัก 
ที่หลงลมคว้าไขว่ ให้ใจมีพันธนา 
แทบเป็นบ้าเป็นหลังไม่เป็นอันกินอันนอน..

และในยามนั้น ใช่จะมีไทยโพเอมให้ฝากฝันฝากรักระทม 
ถ่ายเท ใจอย่างในยามนี้เสียที่ไหนกัน 
ที่มากมีคนหัวอกเดียวกัน มากมายมากมีมาปลอบประโลมใจ..  

วิธีหนีทุกข์ ยามอกหัก ยามนั้นคือ...
ได้พักใจนั่งรถไฟซมซานกลับบ้าน 
เสียงรถไฟชึ่กชั่ก ๆๆ กับเส้นทาง สายงามทอดยาว 
จะช่วยลดร้าวระบมใจลง และค่อยๆลืมหมองหม่น
ไปจนตลอดทาง..ยาวไกล......... 

เคยนั่งอ้างว้าง บนเรือโดยสารยามเย็นกลางทะล 
และยามอาทิตย์ใกล้จะลาลับฟ้า
เป็นภาพ ที่สวยจนพรรณาไม่ออกบอกไม่ถูกเอาเลยที่เดียว 
ได้แต่นิ่งงันฝันคว้างลอยเลื่อนราวมีวิมานตรงหน้า 

และทุกคราครั้งเมื่อถึงบ้าน..ฉันจะกระโจนลงทะล 
ให้หายว้าเหว่ เปล่าเปลี่ยวใจ   ไปลอยคอกลางทะเล
มีพระอาทิตย์เป็นเพื่อน มีดาวเดือนเห่กล่อม..
บางทีดำลงไปนิ่งนานให้น้ำเค็มขมของทะเลสอนใจ 
ยามที่รักแบบโงหัวไม่ขึ้น

เพื่อรอคำถามว่าจะเลือกโผล่ขึ้นมาหาหวานมันส์ให้กับชีวิต
หรือว่าจะโง่งมงายให้ขมปี๋กัดกินใจและร่าง.....ต่อไป.... 
และบางทียามที่ไม่มีน้ำทะเลช่วยเห่กล่อม 
จะมีแต่น้ำตาเป็นสายเดียวกับน้ำจากฝักบัวพรูพร่าง 
ยามตรอมตรม..ฉันจะพุ่งดิ่งตรงไปใต้ฝักบัวปล่อย
ให้สายน้ำพรูพร่างหยาดรด.. เปียกโชกแล้วนั่งค้างนิ่ง 
รอให้สายน้ำใสรุนแรงละลายหยาดน้ำตาไปกับสายน้ำราว.. 
ประโลมร่างไร้ใจให้คืนกลับ......ด้วยใสเย็น..  

เคยร้องไห้ กลางสายฝนเดียวดาย 
กับยามไกลบ้าน เคยข้ามเคเบิลคาร์
พาร่างบอบช้ำและใจมืดหม่น เดียวดาย 
ไปนั่งดูไฟพริบพราวจากเรือในโค้งอ่าวสิงคโปร์ที่เกาะเซนโตซ่า.....  

เคยและเคยมาทุกรูปแบบ 
ที่ระบมกับพิษรักที่หนักยิ่งกว่าพิษไข้เสียเป็นไหนๆ.. 

แต่มาวันนี้..ใจดวงนี้ ถึงที่สุดแล้ว 
แม้จะมีน้ำตา แต่คงแค่ไหลออกมาระบาย
ใช่จะยอมรับไม่ได้ กับความผันแปรมิแน่มินอน
ของเกมรักซ่อนเงื่อน..ซ่อนใจ..

รู้ระกำ รู้ทำใจ ปล่อยวาง รู้ว่าง รู้ปลดปล่อยจิตให้อิสระ 
ไร้พันธนาด้วยโซ่ตรวนแห่งกรรม 
ไม่ว่าจากใคร จากใจต่อใจ จากเขา จากเราเอง.. 
ไม่มีอะไรแน่นอน..เท่ากับความว่างความพอดี 
ความรู้ทัน....รู้เท่าทุกสิ่ง..ที่เป็นธรรมดาๆโลก 
ที่มนุษย์มากมีต้องเวียนว่าย หนีไม่พ้นเพรงกรรม
ที่เคยร่วมสร้างกันมาแต่ภพก่อน ปางก่อน.. 

เวลาผ่านไป ไม่ช้านาน ทุกร่างรัก 
ที่แย่งชิง ริษยา เสน่หา มืดบอด หวงแหน
ก็จำต้อง โรยรา ร่วงหล่น ปนเปื้อน คืนกลับสู่ผืนดิน..ทุกตัวตน...
ยามสนธยาแห่งชีวิตมาเยือน.. 
....................
 



http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=129
หยาดน้ำฝน หยดน้ำตา   
ดาวใจ ไพจิตร : : Key Gm  

หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
หลั่งความขื่นขมที่ถมอยู่ใน ใจตน
หยาดย้อยจากปรางสวรรค์เบื้องบน
สู่กลางแก้มดินในฐานถิ่นคน
นั้นคือหยาดฝน ฉ่ำใจ
สาดสายพร่างพรายพรมผืนไร่นา แนวเนิน
ป่าดอนโขดเขินคลองขลุงทุ่งหนอง นองไป
หล่อเลี้ยงพืชพันธ์ มีผลดอกใบ
โลกเคยหลับไหล พลันฝืนตื่นใจ
สวยงามสดใส จริงเอย
ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา
พลันน้ำตานางฟ้าระเหย
เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย
ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน
แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล
ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน
ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ

ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา
พลันน้ำตานางฟ้าระเหย
เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย
ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน
แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล
ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน
ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ... 


				
2 พฤษภาคม 2547 20:44 น.

รอดวงดอกฝนไร้ดวงดอกฝัน!

พุด


URLhttp://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=496
(หยาดรุ้ง)
*********

ดอกดวงใจแตกพรายราวเพชรพร่าง
งามกระจ่างกลางใจไม่ชอกช้ำ
ดอกความดีที่เคยให้ได้รินร่ำ
คือดอกธรรมดอกจริงใช่สิ่งลวง..

ดอกน้ำใจใสเย็นเช่นหยาดฝน
หวานหอมหล่นผ่านปีที่ลาล่วง
ให้พลังให้ความหวังให้ความห่วง
แล้วก็ร่วงแล้วก็ร้าวไร้เข้าใจ

ดอกข้าวหอมน่าจะตอมตามมาติด
มาสถิตดอกดวงใจในแน่นหนัก
น่าเสียดายคล้ายเสียใจดวงดอกภักดิ์
หลงนานนักหลงลืมนึกลึกซึ้งลวง..

ดอกตัดใจแตกกอรอฝนใหม่
หวังผลิใจราวผลิช่อรอหยาดสรวง
ให้ฝนใหม่ล้างใจลืมลมลวง
ราวกับรวงร้างเคียวเลิกเกี่ยวใจ

ขอดายเดียวเดียวดายทางสายโศก
เหมือนกับโลกแสนว่างวางหวั่นไหว
นับแต่นี้ไม่มีขวัญบ่มหอมใจ
เหลือเพียงใจกลางกลางร้างไร้รอ..

****************


น้ำตาดวง...น้ำตาดาว......


ค่ำคืนนี้
ดวงมีเวลา  
ทอดน่องทอดอารมณ์ทอดใจทอดสายตา........ 
ไปตามถนนสายงามเส้นเล็กๆ  
หน้าบ้านของดวงซึ่งแสนเงียบสงบ
มีแต่เงาไม้...งามเรียงราย.....สองฟากฝั่ง........ 

สิ้นสุดซอย....
จะมีบ้านงาม..หลังใหญ่..ราวปราสาท....แทรกในดงไม้.. 
ตะคุ่มพุ่มพฤกษ์สูงลิบ..คลอรั้วสูงลิ่ว ..ปานกัน......... 

ดวงชอบที่จะเดินผ่าน..ต้นไม้ที่รายเรียงเหล่านั้น...... 
และสมมุติตัวเองว่า....กำลังเดินในป่าใหญ่....ที่ไหนสักหนแห่ง....... 

แลลอด..แมกไม้ ใบบัง.....
ดาวประจำเมือง....โผล่พ้นทิวไม้..ใสสุกปลั่ง..... 
ราวราชินีดาว...รายเรียงด้วยรวงดาราดารดาษ....พริบพราว..
ล้อเลียนให้ดวงแย้มยิ้ม........ 
เลิกหม่นเศร้า......ร้าวรานใจ

ทุกคราครั้ง..
ที่..สายตา..สายใจงาม 
แลลืมไปเห็น...ฟ้ากว้าง....
ในยามมืดหม่นพาใจ..ไหวหวั่น..
อ่อนโยน..เดียวดาย....ประหลาดล้ำ

น้ำตาจากใจดวง...ร่วงพราวพร่าง....
ราวน้ำตาดาวร่วงหล่น.....ยามจากลาลับฟ้างาม....... 
ในคืนฟ้ามืด...ที่ไร้สิ้นแสงแห่งเดือน.............. 

น้ำตาดวงกับน้ำตาดาว.....
ใครกันเล่า...จะร้าวระบม.....กว่ากัน...ในค่ำคืนเดียวดาย 
โดยลำพัง.....ณ..ยามนี้........ 


แก้ว...หน้าบ้านยืนต้นหม่นเศร้า....
ไร้ร้างราดอก..นับจาก..ฝนลาฟ้าหม่น...
ทิ้งใบเหลืองพราว 
เกลื่อนกล่น..ให้กวาดเช้า... เย็น 

กล้วยกองาม...อวดใบสล้าง....แม้ในเงามืด
อิ่มเอิบราวสาววัยผลิบาน.... 
รอรับสายฝน....ยามวสันตฤดูเยือน
รูปทรง...งาม.....เรียบง่าย...ไร้มารยา....
มากล้นคุณค่า...จากรากลึก..สู่ใบ..ไปถึงผลงาม.... 

ไม่ช้านานใบเขียวอ่อน...งามสล้างเผยอ..
รอรับหยาดน้ำค้างอรุณรุ่ง..ที่โลมไล้...พาใจให้ใสสดตาม 

กลิ่นดอกวาสนา....ใกล้ราโรย......
หอมอวลลอยลม.....ชวนดอมดม
มิพักรอ..วาสนาอื่นใด ใจก็ชื่น..ก็ฉ่ำพอแล้ว

กลิ่นหอมแผก...พันธุ์ไม้นานา...ยามทิวาลาลับไป


ราตรี...โมก....เล็บมือนาง...มิหลับไหล...
ล้วนส่งกลิ่นฟุ้งหวาน.แทรกลมเย็นยามค่ำ 
อบร่ำให้ใจแสนเศร้า..
เฝ้าถวิลถึง...ใครบางคน....ที่แสนไกลห่าง.. 

การะเวกเหลืองอ่อน..นวลนุ่ม..บอบบาง..
ราวผิวสาวไร้มือชายเชย..... 
แค่สัมผัสพลัน...ร่วงหล่นพราวพื้น....พ้อลา
อยากดอมดม...พรมจูบ...ให้ชื่น..
ต้องเหนี่ยวโน้มเบามือ

ไม้คู่สุข....คู่เศร้าเคล้าใจดวงงามตลอดปีเดือน...
ทนทาน...หวาน..หอมลึก
ประโลมใจ....ม่เคยหวั่นไหว.....แม้แดดลม

ดวงดาริกา.กระจ่างใสในห้วงนภา....
แม้ฟ้าหม่นมัว....


พันธุ์ไม้ไทย...แย้มกลีบหอม... 
ทายทักราตรี...สงบงาม.....
พาใจทุกดวง...ให้ไหลหลง...ลุ่มลึก.

แม้ในความมืด..
มีความงามงด....ซ่อนเร้นทุกอณู

เพียงใช้ใจสัมผัส..แผ่วเบา...ไม่รานรุก.. 
เปรียบดังยามชีวิต..และใจ..สิ้นไร้หวัง...
หมองหม่น...ราวเมฆมืดบัง


ทอดน่องช้าๆ   ชายตา   ชายใจ....สัมผัสทุกสรรพสิ่ง
พลังธรรมชาติ..แฝงฝัง ..เรียบง่าย สงบงาม 
ตามพุ่มพฤกษ์ไพร ในโลกกว้าง 


หยาดน้ำค้าง....ดวงดารา....ฟ้ามืดหม่น 
ด้วยใจทั้งดวงที่..สงบนิ่งล้ำลึก......... 

ปิติใจ ปิติงาม ปิติเงียบ 
เปิดประตูใจให้กว้างกับโลกใบนี้
ที่มีสองด้านเสมอ 

ใช้สายตา สายใจ
ที่มีเยื่อใย เกี่ยวพัน .....
ถึงน้ำ... ถึงดิน..ถึงลม .....
เติมไฟฝัน....มิมีวันมอดสิ้น

ฝากใจ ดวงงามล้ำค่า 
ยามราตรีนี้ ผ่านสายลมหนาว ฟ้ากว้าง 
ขุนเขาลิบลิ่ว ทิวเมฆสล้าง 

เพื่อเคียงชิดใกล้ ห่มใจด้วยใจ....ให้คนไกล.. 
ได้ไออุ่น....หนาวคลาย....
เพื่อเร่งวันรอคืน กลับสู่ผืนดินเกิด แสนงาม

ที่มีผู้มากล้นใจรักภักดี...ร่ำร้อง.เรียกหาทุกนาที
ที่ผันผ่านแม้นานนับ......นะดวงใจ... 

				
2 พฤษภาคม 2547 14:01 น.

ในว่ายเวิ้งฝันนิรันดร์งาม!

พุด


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=420
(รางวัลชีวิต)
URLhttp://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=594
(วันคอย)
*************

สนธยา..แล้ว..
ตะวันดวงสีทองผ่องผุดราวสีหมากสุก
กำลังระดะสาย..พรายแสงเรียวงาม
ราวเรียวรุ้งในทุ่งดอกไม้เมฆ..งามระยับยิบ
เหนือเจดีย์องค์ใหญ่วัดใหญ่ชัยมงคล..อยุธยา

ที่ฟ้าสีไพลงามฉ่ำดวง
กำลังระร่ำแสงรอนรอนภิรมย์อาบห่ม
ลอยดวง..เหนือยอดเจดีย์ 
ที่ช่างเป็นภาพแสนงามในดวงใจ


ที่ลดหลั่นละไล่
งามคล้ายดั่งเมืองแมนแดนสวรรค์
ในตรึงขวัญงามเงาในอดีตลาเลือนเลยลับ
และ
ราวบท*เห่ครวญ*แสนโศกใจไหวงามของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์
ลอยหวานเศร้าอะคร้าวโศกร้าวสะเทือนโลกสะเทือนฟ้า
สะท้านใจไหวแว่วแผ่วมาพร้อมกับ
วะแว่วเสียง
มโหรีบรรเลงขับกล่อมเพลงเสภาโศกสะเทือนคลอ

***********************


รอนรอนสุริยคล้อย  สายัณห์ 
เรื่อยเรื่อยเรื่อแสงจันทร์  ส่องฟ้า 
รอนรอนจิตกระสัน	เสียวสวาท   แม่เอย 
เรื่อยเรี่อยเรียมคอยถ้า	ที่นั้นห่อนเห็น ฯ 
 
     เรื่อยเรื่อยมารอนรอน	สุริยาจรเข้าสายัณห์ 
เรื่อรองส่องสีจันทร์	ส่งแสงกล้าน่าพิศวง 
    
ลิ่วลิ่วจันทร์แจ่มฟ้า	เหมือนพักตราหน้านวลผจง 
สูงสวยรวยรูปทรง	ส่งสีเจ้าเท่าสีจันทร์ 
    
เอวอ่อนชอ้อนองค์	โฉมอนงค์ทรงสาวสวรรค์ 
หาไหนไม่เทียมทัน	ขวัญเนตรพี่นี้น่ารัก 
    
ขาวสุดพุดจีบจีน	เจ้ามีสีนพี่มีศักดิ์ 
ทั้งวังเขาชังนัก	แต่พี่รักเจ้าคนเดียว 
    
นอนนั่งตั้งอาลัย	สายสุดใจไม่แลเหลียว 
หวังชมสมกลมเกลียว	ควรฤาน้องข้องใจเคือง 
    
ขาวสุดพุดซ้อนแซม	เนื้อแอร่มอร่ามเหลือง 
โฉมอ่ากว่าทั้งเมือง	หนแห่งใดไม่เหมือนเลย 
    
ได้น้องทองนพมาศ	มาสังวาสพาดชมเชย 
ร่วมเรือนเพื่อนพิงเขนย 	เคยวิงวอนอ่อนหวานคำ 
    
ฝนตกยกปีกป้อง	ฟ้าร้องต้องเอาตนงำ 
ชิดเชื้อเนื้อนวลขำ	อ่อนลมุนอุ่นอกเรียม 
    
รักนุชสุดสายใจ	ต้องฤทัยไม่เท่าเทียม 
ขอต้องน้องอายเหนียม 	เกรียมจิตเจ้าเฝ้าทุกข์ทน 
    
ฝนตกฝนหากตก	แก้วกับอกอย่าโกรธฝน 
ลมพัดรับขวัญบน	แก้วโกมลมานอนเนา 
    
ฝนตกไม่ทั่วฟ้า	เยนแหล่งหล้าในภูเขา 
ไม่เยนในอกเรา	เพราะเพื่อนเคล้าเจ้าอยู่ไกล 
    
เรียมร่ำน้ำตาตก	อกร้อนรุ่มดังสุมไฟ 
แสนคนึงถึงสายใจ	เจ้าไกลสวาทนิราศเรียม ฯ 



เสียงสรวลระรี่นี้	เสียงใด 
เสียงนุชพี่ฤาใคร	ใคร่รู้ 
เสียงสรวลเสียงทรามวัย	นุชพี่   มาแม่ 
เสียงบังอรสมรผู้	อื่นนั้นฤามี   ฯ 
 
    
เสียงสรวลระรี่นี้	เสียงแก้วพี่ฤาเสียงใคร 
เสียงสรวลเสียงทรามวัย	สุดสายใจพี่ตามมา 
    
ลมชวยรวยกลิ่นน้อง	หอมเรื่อยต้องคลองนาสา 
เคลือบเคล้นเหนคล้ายมา	เหลียวหาเจ้าเปล่าวังเวง 
    
ยามสองฆ้องยามย่ำ	ทุกคืนค่ำย่ำอกเอง 
เสียงปี่มีครวญเครง	เหมือนเรียมคร่ำร่ำครวญนาน 
    
ล่วงสามยามปลายแล้ว	จนไก่แก้วแว่วขับขาน 
ม่อยหลับกลับบันดาล	 ฝันเห็นน้องต้องติดตา 
    
เพรางายวายเสพย์รส	 แสนกำสรดอดโอชา 
อิ่มทุกข์อิ่มชลนา	อิ่มโศกาหน้านองชล 
    
เวรามาทันแล้ว	จึ่งจำแคล้วแก้วโกมล 
ให้แค้นแสนสุดทน	ทุกข์ถึงเจ้าเศร้าเสียดาย 
    
งามทรงวงดังวาด 	งามมารยาทนาดกรกราย 
งามพริ้มยิ้มแย้มพราย	งามคำหวานลานใจถวิล 
    
แต่เช้าเท่าถึงเยน	กล้ำกลืนเขญเปนอาจิณ 
ชายใดในแผ่นดิน	ไม่เหมือนพี่ที่ตรอมใจ   ฯ 
 
เรียมทนทุกข์แต่เช้า	 ถึงเยน 
มาสู่สมคืนเขญ 	หม่นไหม้ 
ชายใดจากสมรเปน	ทุกข์เท่า   เรียมเลย 
จากคู่วันเดียวได้	ทุกข์ปิ้มปานปี   ฯ
*******************


มวลหมู่นกไพรพากันโผผินบินร่อนร้องระงม
ราวตรอมตรมกับตะวันลาพาภิรมย์รอน
ซุกปีกอันอ่อนล้ากลางกอละออดวงดอกดกลั่นทมพราวเต็มราวกิ่ง
ที่หอมหอม..หวานระรินร่ำพรำพรมไปกับสายลมในยามค่ำ


ผู้หญิง..ในชุดผ้าซิ่นไหมสีทองผ่องกระจ่าง
พาร่างงามสล้างโปร่งบางกลึงกลม
ห่มงามนิ่มเนินเนื้อหนั่นแน่น
และนวลไหล่สล้างละมุนละเมียดละไม
ด้วยสะไบแพรสีไพล
ที่ซัดส่ายพลิ้วไหวสะบัดทุกรอยงามยามย่างเยื้อง
ให้งามตรึงตาจนทุกคนต้องเหลียวหันมามอง


ด้วยสายตามีคำถาม...
แกมความซาบซึ้งตรึงตรา..ประทับใจ
ไย..เล่า..
ภาพงามดั่งอดีตฝันพราวราวฝันไป
พลันมาปรากฏนะกลางใจไสวสว่างตรงหน้าได้ด้วยไฉนเล่า


ไย..
นางคืองามเนรมิตรลอยสถิต
ดั่งมาประดับหล้า
ลอยพรากมาจากฟากฟ้าไหนละหนอ
ลงมาเยือนโลก มาแต้มหล้าพาโศกซึ้งตรึงตรา
ประทับประเทืองใจให้วาบหวามไหว
ในแสงรำไรรำไรยามตะวันดวงสีไพลโพล้เพล้ชิงพลบ
ราวสยบโลกให้งามเย็น


และกับใจ
ดวงหวานเศร้าดวงดายเดียวเหว่ว้า
ดวงสุขสงบงามเงียบ
เธอค่อยๆแหงนหน้ารอ และรอ ใต้ร่มกิ่งลั่นทม
รอนวลระทมหอมให้
พรายพลิ้วละลิ่วดอกร่วงควะคว้างพร่างดวงดอก
ร่วงกระจาย กรายกลีบแย้มหอมอวลทุกนวลอณูเนื้อใจละออให้ไหวรับ
สู่กลางอุ้งมือสวยไสวที่สวมใส่กำไลเงินวะวาววับ
รับสะท้อนเรียวดวงดอกแดดละมุน


ที่ค่อยๆยกขึ้นช้าช้าราวเอื้อมไขว่คว้า..คว้าไขว่
ในหอมงามให้หอมพร่างลงกลางใจใสวะวับวาว
ในนะบัดดล..
ที่ดอกลั่นทมก็พลันร่วงหล่นพรมพราวราวพลีพร้อม
ลงมาสังเวยดวงใจภักดิ์แห่งรักเธอ


เธอ..ค่อยค่อยหยิบมาทัดแก้มแซมผมหอมเกศเกล้ากรุ่น..
พาให้ใจดวงละมุนเริ่มพร่างหยาดน้ำตาระริน

คิดถึง..คิดถึง..และแสนคิดถึงคะนึงหา
ยอดดวงใจ..คนดี..
พร้อมสะไบภักดิ์สะไบรักสะไบแพรผืนงาม
ที่ห่มหวานระทมทับจับใจดวงโศกราน


ราวย้อนโลกย้อนรอย
ให้ละห้อยหวนหา..อดีต
ใน*คำมั่นสัญญารัก*
ที่แสนงามงดหมดจดจิตวิญญาณภักด์พลี
ที่ผู้ใด ใครไหนเล่า ในโลกสับสนใบนี้
จะเข้าใจจะซึ้งถึงก้นบึ้ง
*แห่งมหัศจรรย์ใจมหัศจรรย์รักภักดิ์นิรันดร์ดวงนี้*


ในนาทีหลังจากนั้น ..ที่
พลันเธอ..ค่อยๆทรุดร่างงาม
น้อมศิระลงกรานกราบ
อธิษฐานต่อเบื้องหน้า..
พระพักตร์พระพุทธผู้พิสุทธิคุณในโบสถ์คร่ำ
และ
หวังจักแค่มีเพียงงามรักหนักแน่น 
มิเคยคิดแหนหวง..ครอบครองใครเป็นเจ้าของ
หรือลวงล่อหลอกใจหลอกใครให้ไหวตรมตาม


เธอ..ผู้บูชาความรัก
และเชื่อว่าศรัทธารักเพียงนั้น
จะยังคงสร้างพลังให้โลกหมุน
ฝากหอมกรุ่นสรรสร้าง
หาก
ดวงใจเราทุกผู้นั้น 
ยังมิได้หันไปใช้ชีวิตแบบนักบวช
ไปเสียสิ้นทั้งโลกหล้า..


เพราะ
โลกจะเหว่ว้าสักเพียงใด
หากหัวใจทุกมนุษย์ปุถุชนทุกผู้...สิ้นไร้รักภักดีใจ
หมดพลังใจพลังงาม
ปล่อยวาง..ให้โลกไร้ทิศทางอยู่ในมือมาร
ที่ยังต้องมีทั้งคนดีคนชั่วคละเคล้า


ใช่..แล้วคนดี
เราทุกคนแค่เพียรทำหน้าที่พล้อมพลีไปด้วยกัน
เพียงแค่เรา
รู้รักเป็นรักเย็นรักงามให้
รู้ว่าความตายคือสิ่งสุดรอบ
และรีบสร้างคุณงามความดี
เลิกมีมิจฉาทิฐิอิจฉาอยากเอาชนะซึ่งกันและกัน


เพราะ
ทุกกมลในโลกนั้น
ยังคงต้องดำรงชีพชอบประกอบกิจ
ยังต้องมีชีวีชีวิตดำรงร่างเพื่อปากท้อง
เพื่อตัวเองและพ่อแม่พี่น้องเพื่อทุกดวงใจ
พร้อมเพียรทำใจสร้างงามภาวนา


อย่า..
ทิ้งภาระทิ้งความรับผิดชอบ
ทิ้งโลกและผุ้คนให้อดหยากหิวโหย
ทิ้งดวงใจทิ้งความรักจริงทิ้งความดี
ทิ้งแล้วเดินหนีจากสังคมจากผืนดิน
ที่ให้กมลและร่าง
ที่ให้เราหยัดยืนเป็นคน
แล้วโลกและคนคนคนจะหมุนไป
ในทิศทางใดเล่าเจ้ายอดดวงใจ


ขออย่าหวั่นไหว
ขอเพียงเจ้า..
ผู้เคยทำผิดพลาดในอดีตอันใหญ่หลวง
ล่วงรู้สำนึกตน
รู้รัก..รู้ลำดับหน้าที่
รู้วัยวันแห่งชีวี
รู้เมตตารู้อภัย
รู้วางใจว่างใจทำหน้าที่ตน
ให้กมลแสนงามแสนดีอย่าผิดซ้ำตอกย้ำใจ
ก็คงพอเพียงพอเพียงแล้วนะเจ้าแก้วขวัญจอมใจ


ใช่..แล้ว
เราทุกคนควรคิดถึงความตาย
และใช้มันมากระซิบย้ำให้ไม่ประมาทกับทุกบทบาทชีวี
แต่ใช่ว่า..
จะละเลยรักแสนดีแสนงามหากพบพานคนดีนะดวงใจ


เพราะคนเราทุกคนคงต้องการน้ำเลี้ยงชีวา
ที่จะนำพาเส้นทางใจให้พบไสวสว่าง
ต่างล้วนมีหัวใจดวงดี
มีเหตุผลมีความรับผิดชอบ
ประกอบชีวีมาต่างกัน..
จงให้ความรักความเข้าใจ
และสำหรับ


เธอ..ผู้มากมีหลายคนห่วงใยมากหวังดี
ขอแค่ดวงชีวีชีวันได้ฝันไกล..ไกล
พาหัวใจไปตามฝันอันเพริศแพร้วพริ้งพราว
ราวเกิดก่อแก้วกระจ่างใจสว่างใจ
ก็ไหวก็งามพอก็รู้พอ
ขออย่าห่วงเลย..นะ
จงรับรู้เพียงนั้น
เพียงแค่ขอเปิดใจดวงขวัญฝัน
หวัง..สร้างสรรโลกและรักนี้ให้จักดำรง
ด้วยศีลธรรมควบคู่หน้าที่แห่ง
คุณงามความดีของทุกผู้คน
ที่ยังคงต้องดำรงได้ด้วยปัจจัยสี่

และ
นี่คืองามดวงใจใครเล่ารู้
ที่หวังเพียรพยายามสร้างโลกฝันและโลกใจโลกจริง
ให้ยิ่งมากงามงดหมดจดจริงใจด้วยการให้
ด้วยการรู้รักรู้วางรู้ทันความเป็นไปแห่งโลก


ที่หวังแค่ว่า
ใจดวงดีมีดวงธรรม
ส่องนำแสงใจให้สวยใสเสมอมาเสมอไป
มิโศกรานมิเศร้านาน
อาจจะแค่เพียงผ่านหวานระรินรดร่ำ
ฝากนิยามรักแบบชุ่มฉ่ำใจ..เพียงแค่นั้นเพียงแค่นี้..
อย่ายึดติดยึดมั่น ฝันฝากใจมาห่วงใยมาพะวงเลย


หวังเพียง
ใส่..จินตนาการ..หวานเศร้า
ราวให้หัวใจนางเอกรานร้าว
รานร่างห่างหวานมีเพียงเหงาเศร้าดายเดียว
ตลอดปีตลอดชาติเพื่อความละไมละมุน


ที่มากผู้อ่านมักหมุนใจตามไป
ด้วยอารมณ์รักอารมณ์ร่วมมากมายมากมี
เกิดห่วงใย..ห่วงใย..ห่วงใจ..หวงใจ


และหวังใจ..*ต้องมีสักวัน*
แบบเพลงฝันของคุณจักรพรรณ์..ที่แอบฝันแอบอ้อนไว้
ว่า
นางเอกนางใจนางในฝันในดวงใจขวัญฝัน..ของใครใคร
คงได้มีสักวัน..ต้องมีสักวันไม่ว่าในภพนี้ภพหน้าพา
พบพระเอกในโลกจริงในโลกใจ
อันมีหัวใจดวงใสสวยงามกระจ่างควรคู่
ควรค่ามาเคียงกล้าเคียงใจ
ไปด้วยกันตราบชั่วนิจนิรันดรนะคะทุกคนดี..ทุกดวงใจ
***************




ไพล..ไปอยุธยามาค่ะ
ไปงานแต่งงาน
ที่งานนี้แสนโชคดีเป็นหลายเท่าค่ะ
ที่
ได้ไปไหว้พระงามในโบสถ์คร่ำ
กับไปเห็นงามอดีตอันแสนยิ่งใหญ่
ที่แสนติดตาตราตรึงใจค่ะ
ที่ไพลแสนรักและอยากรินน้ำตาทุกคราครั้ง
ราวร่างใจจิตวิญญาณได้ถอดใจไหวหวาม
ย้อนหลังกลับไปในงามอดีตอันเรืองรุ่ง
อีกคราครั้งอย่าง
ระทึก..ระทมใจ
จริงๆนางเอกไพล
ใส่กางเกงผ้าไหมสีทองอมเขียวผ่องผุดไพลไพลค่ะ
ตอนลงไปนั้นด้วยกเกรงเสื้อคลุมผ้าไหมจะยับ
จึงใส่เพียงเสื้อตัวในรัดรูปสีขาวแนบเนื้อ
และกับสายสร้อยทองโบราณมีอุบะทับทิม
และ
ห่มร่างด้วยสะไบแพรสีทองผ่องผุดพิลาส
อย่างงามเงียบเรียบง่ายค่ะ
****
ขับรถไป
ท่ามกลางรอนรอนแสงตะวันลา
ที่
ใกล้ลาดวงค่ะและ
ดวงดอกไม้สองข้างทาง
ก็กำลังฟายฟ้อน
มีตะแบกม่วงดวงดอกละออละอ่อนซ่อนหวานเศร้า
ที่ราวกำลังควงกลีบหวานละไมละมุน
หมุนควะคว้างพลิ้วไหวรับสายลมอ่อนใส
ยามย่ำสนธยาในฤดูร้อน
กับคูนเหลืองพราวราวสายฝนสีทองห้อยย้อย
งามสะพรั่งที่กำลังสะท้อนละออแดดอ่อนอุ่นค่ะ
ฟ้าก็งามราวเรียวรุ้งม่านไหมเลยละค่ะ
งามมากกก...
ใจไพลแทบอยากจะร้องไห้
อยากมีใครอ้อนสักคนเคียงไปด้วยกัน
และงานนี้
ทำให้ไพลได้ร้องไห้จริงหลายฉากตอนค่ะ
ตอนไปนั่งใต้ลั่นทมเหว่ว้าหน้าโบสถ์งาม
ดูงามสะเทือนใจในยอดเจดีย์ยิ่งใหญ่สูงใหญ่เทียมฟ้าระดะเมฆ
ที่น่าเสียดายนักและหากอยากอ่าน
ประวัติวัดได้จากเวบนี้นะคะ
http://www.ripa.ac.th/ay/WatYaiChaiMonKon.html
และ
ในยามที่
เห็นเจ้าสาวงามอะคร้าวราวเทพธิดาน้อยน้อย
ลอยละล่องท่ามกลางบทเพลงกระหึ่มก้อง
ในชุดขาวยาวกรอมเท้าลากพื้นพร่างพรม
ด้วยดวงดอกไม้กรายกลีบกุหลาบโปรยปราย
ค่อยๆก้าวเดินเคียงกับเจ้าบ่าวในชุดขาวเต็มยศ
ผ่านลอดซุ้มกระบี่..งดงามใจมากค่ะ
และมียังมีบทเพลง
*ขวัญดาว*
ที่เพื่อนร่วมรุ่นนายตำรวจ
ร้องคลอขับประสานมอบให้
ฉะนั้นรอติดตามอ่านรายละเอียด
ในงามรักรจนาจากใจไพลเรื่องต่อไปในเรื่อง
*ขวัญดาว*นะคะคนดีทุกดวงใจ

				
30 เมษายน 2547 19:11 น.

แม่ดวงดอกกล้วยไม้ไพร!

พุด


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=273
URL ttp://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=138
(ที่รัก)
************


*กล้วยไม้*
เป็นสาวบ้านป่าบ้านไพร
เกิดมาในป่าเขาลำเนาไพร
กับหัวใจดวงละมุนละม่อม..
หอมด้วยดวงดอกความดีที่แสนพิเศษพิสุทธิ์
ที่ตามติดเป็นเนื้อนาบุญมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
ให้ดวงใจแสนอ่อนหวาน
งามไสวสว่างราวดวงดอกไม้สวรรค์

และ
มาตรแม้นว่า...
ร่างจะเหว่ว้าอ้างว้างดายเดียว
เพราะเหลียวไปไม่มีใคร..ไม่พบใคร..
ในครอบครัวแล้วก็ตาม

แต่..
กล้วยไม้ไพรดอกนี้
ก็แสนโชคดีนัก..
ที่ยังมีพ่อ..สุดที่รัก
คอยดูแล
ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาอย่างดี
ในยามเยาว์วัย
ก่อนที่ท่านจะขอพรากลาไปทำใจใสสงบ
ไปพบงามเงียบวางว่างห่างอาวรณ์ในร่มธรรม
ร่มผ้ากาสาวพัตร์


ด้วยท่านหวังคิดจะดับรัก
หักอาลัย
ยอดหญิงในดวงใจ
แม่ของ*กล้วยไม้*.
ที่มาด่วนพรากลาไป..ตราบชั่วนิจนิรันดร
ก่อนถึงวัยอันสมควร

และ
เมื่อ..กล้วยไม้ไพร
ได้เติบใหญ่อย่างงามพร้อม
สาวน้อยละอออ่อนที่ท่านถนอมนวลมาด้วยห่วงหวง
ดั่งดวงใจ

ท่านได้
พิจารณาไกลและ
รู้เย็นเห็นว่าจักครองชีวิตนี้
ได้อย่างงามงดแล้ว

จึงได้มอบมรดก...ผืนดิน
ที่แผ้วถางและ
ปรับที่ทางที่มีมากมายหลายร้อยไร่
ลงผลหมากรากไม้
พร้อมเกี่ยวเก็บไว้ให้เลี้ยงชีพชอบ
หากรู้จักใช้ชีวิต
อย่างสมถะพอเพียงเพียงพอก็จะไม่ลำบาก


ณ..
หุบเขานั้น
ดั่งไพรรกโตรกธาร
ลดหลั่นละไล่กันไป
มีทั้งที่ราบลาดหลั่น
ไล่ระนาบลงสู่ลำธาร
สายสวยสายหวาน

ที่ค่อยๆระรินเทสายน้ำ
งามราวแพรไหมสีขาวสกาวพฤกษ์
แล้ว
ไหนยังจะได้ประโยชน์
ช่วยในงานการเกษตร

ในที่ดินยังมี
หินงามหินธรรมชาติราวแผ่นผากว้าง
ที่ไว้นอนอ้างว้างนับดาวเดือนดวงโต
ที่ราวกระด้งฝัดข้าว
และกับหวานพราวสุกใสสกาว
ด้วย ดาวพรายพร่างนับพัน
ในอ้อมฝันอ้อมฟ้า


ให้อ้อมใจลืมเหว่ว้า
สักเพียงชั่วครู่ชั่วคราว
ก็แสนดีแสนงามพอแล้ว
ให้ห้องหอมห้วงหัวใจ
ได้รับหวานระริน
จากดวงดอกไม้ป่าดอกไม้ไพร
ที่โชยกลิ่นระรินร่ำ
ทุกค่ำคืนแม้นไร้ใคร



 แม้นมีเพียงสุนัขไทยแสนรู้พันธุ์บางแก้ว
ชื่อเจ้าสิงโตเป็นดั่งเพื่อนใจผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดี
พร้อมพลีพิทักษ์เจ้านายสาวอย่างรู้ใจ
อย่างแสนดุ กับทุกผู้ที่คิดจะบุกรุก..ทั้งบ้าน..ใจ..
ก็พอแล้ว


และอีกทั้ง
กับมรดก
กระท่อมทับปีกไม้ลายสวย..
ที่พ่อคนดี
ใช้เวลานานมาก...
นับเป็นปีปี
ที่ค่อยๆเลื่อยไม้ป่า
ที่หักรานถอนรากถอนโคนลงมาเอง 
ค่อยค่อยนำมาเก็บไว้
และค่อยๆลงมือวาดแปลน
สำหรับกระท่อมแห่งความฝันหลังงาม

ที่
ตั้งใจสร้างอย่างพิถีพิถันแนบเนียน
เพียงเพื่อ
*อุทิศแด่ใครคนหนึ่งคนเดียว
ที่เกี่ยวเกาะกระจ่างสว่างนะกลางใจ
และจะเป็นดั่งดวงดอกขวัญ
เป็นหอมหวานแห่งความทรงจำ
ตราบชั่วนิจนิรันดร*


ซึ่งพ่อเคยบอก
ให้*กล้วยไม้*ได้รับรู้ว่า
*คือคำมั่นสัญญารักของพ่อที่มีต่อแม่*
เหมือนกับชาล์สที่สร้างกระท่อม
ท่ามกลางทะเลสาบสีเงินงามให้ภรรยา*
ในชุดเรื่อง*บ้านเล็กในป่าใหญ่*

ที่ทั้งแม่พ่อชอบอ่านด้วยกันอย่างไหลหลง
ในมนต์เสน่หาป่าไพร
การรู้จักต่อสู้บุกเบิกแผ้วถาง
พลิกสร้างผืนดินอย่างหาญกล้า


และ
เป็นรื่องวิถีงามแห่งการผจญไพรผจญภัย
ที่แสนยิ่งใหญ่เสียไม่มี
ในสมัยที่ป่าใหญ่ในอเมริกา
ยังอุดมและเต็มไปด้วยอินเดียนแดง

เป็นวิถีงามง่ายแสนอบอุ่นเป็นสุขกับครอบครัว
กับไพรกว้างมิร้างรัก
กับความรักอันมากมาย
ได้มีกันและกันมิอ้างว้าง
ภายในวิมานกระท่อมน้อย
กับป่าอันสงบสุขเงียบงามนิ่งงัน
ราวสรรค์ไพร สวรรค์ใจ


และ
อาศัยพ่อ..เคยเป็นครู
และมีหนังสือให้อ่านมากมาย
จึงคิดอะไรไม่เหมือนใครไม่เหมือนชาวบ้าน
ที่สร้างกระท่อมในดวงใจหลังนี้เสร็จแล้ว
กลายกลับไปละม้าย
คล้ายสไตล์อิงลิชคันทรี่ที่งามน่ารักนัก


ที่ฝรั่งบางคนแวะผ่านมาทายทักด้วยตะลึงหลง
และงงงันกับหลายสิ่งอันรายรอบงามด้วย
เช่นบึงบัวบานพราวอวดดอกไสวใกล้ลุ่มธารธรรมชาติ
ที่พ่อหว่านกอบัวสายพรายพันธุ์พร่างไว้อย่างงาม
ให้แตกกออวดช่อดอกโผล่พ้นน้ำ...โผล่เหนือน้ำ


ไว้ให้*กล้วยไม้*
ใช้เรือลำน้อยค่อยค่อยพายเด็ดทั้งสายบัว
และดอกบัวตูมบัวบานที่หวานแย้มยั่วมวลหมู่ภมร
ที่ร่อนภิรมย์ราวกับบทเพลง
ทั้งในยามรอนแสงตะวัน
และในยามอรุณรุ่ง
ที่จะนำไปพับจับจีบ
ด้วยใจละไมละมุน
ไปบูชาหลวงพ่อในโบสถ์..
กับบนหิ้งบูชาที่บ้านวิมานดินวิมานไพร


ในยามช่วงคืนที่แสนงาม
ยามจันทร์อิ่มดวงเต็มดวง
และกับคืนใสฟ้าสวย
ด้วยดวงดาวพราวฟ้าสุกสกาว
ในราตรีฝัน
ที่พ่อชอบสีไวโอลิน
ฝากม่านมนต์เพลงเสน่หา
สู่ปลายฟ้าไกล
ราวอยากให้ใครสักคน
ได้ฟังฝากฝังใจถึงใจสู่สวรรค์ไกล
ผ่านทางช้างเผือกโค้งคุ้ง
ราวเรียวรุ้งแสนรักแสนหวานที่เฝ้ารอ


บทเพลงเก่า
หากเกี่ยวใจให้*กล้วยไม้ไพร*
ตั้งแต่ยังเป็นเพียงดวงดอกเยาว์นี้..
ได้แสนซาบซึ้งตรึงใจเป็นยิ่งนัก

ในงามค่าคำรักงามภักด์พลี
ที่น้ำตากล้วยไม้นี้
จะละหลั่งรินสังเวยทันที
ที่ได้ยินได้ฟังแทบทุกครั้งครา
กับละออใจในบทเพลงลาวดวงเดือน
หรือไม่ก็เสียงขลุ่ยพ้อคลอแมกไม้สายลม
ผ่านไผ่พลิ้วละลิ่วล่อง
ท่องไปกับสายธารหวานระริน 
มิยอมสิ้น..ยอมขาด..
สายใจสายใยรัก
สายสวาท
สายเสน่หาแห่งดวงใจรัก
ฝากภักดิ์พลีภักดีใจ


และ
นี่คือ..วิถีใจอันละไมละมุน
ที่สาวงามนาม*กล้วยไม้*
ได้ใช้ดำรงใจร่างและพลีจิตวิญญาณรัก
หากจักเป็นนิรันดร์ในหวานงาม
แห่งความทรงจำในอดีต


และ
กับปัจจุบัน
กลางหุบไพรพะงันอันลี้ลับ
ที่ยังคงมีป่าดงดิบอุดมร่มครึ้มนับแสนไร่
ที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้สูงใหญ่หลายคนโอบรอบ
สูงละลิ่วเทียมทิวทิพย์เมฆ
ราวป่าเรดวูดในรัฐแคลิฟอเนียร์


ที่ยังมีไม้ยางใหญ่ผิวเปลือกขาวพราวชมพู
ไม้สักทอง ไม้แดง ไม้เต็งรัง 
และไม้ที่ยังหายากมากมี
ไล่ลดหลั่นซ้อนซับสลับสล้างพร่างไพร
ไสวสดชื่นไปทั้งราวป่า
ทั้งเขียวแก่เขียวไพลเขียวใสอมน้ำตาล
เขียวพร่างอมเหลืองทองละออละออง
ทอทอดสอดก่ายเกี่ยวสลับกับเถาวัลย์พันเลื้อย
จนแทบไม่เห็นดาวเดือน


และยังมีสัตว์ป่ามากมายนานาชนิด
ทั้งหมูป่า กวางป่า ลิง ค่าง บางชะนี
กระแตกระรอกชะมด..มากมีมายนัก
รวมทั้งนกไพรนานา
มีทั้งนกเอี้ยงสีน้ำตาลปากเหลือง
นกขุนทอง นกแซงแซว
นกแก้วป่าสีเขียวมรกตหากทว่าปากสีส้มอมพู


และที่น่าอัศจรรย์คือ
ป่านี้นั้นเคยมีนกเงือก
พญานกสีดำ ปีกคาดดำคาดขาวเหลือง
หางสีขาวคาดดำ 
โดดเด่นตรงปากสีเหลืองอมส้มโง้งงอ
และ


ที่ว่าเหลือจะมหัศจรรย์คือ
นกประเภทนี้นั้นชอบป่าดงดิบที่ยังอุดมสมบรูณ์
บางคราจะพากันมาจิก*ลูกมะเดื่อ*หลากสี
เขียวอมส้มอมเหลืองอมแดง
ที่ผลคล้ายแอปเปิ๊ลหากขนาดเล็กกว่า
ที่คงจะหวานหอมอร่อยล้ำ
พาให้นกแทบทุกพันธุ์มา
สถิตจิกกินอย่างเอมอิ่มโอชารส
และบางทีก็ยังมีต้นหว้าสูงหลายสิบเมตร
ที่ออกลูกสีดำระดะดกไปทั้งต้น
พาให้ทั้งคนและนกปากดำปี๋เสียไม่มียามลองลิ้ม


และ
เคยมี*คนเก่าคนแก่*เล่าว่า
ป่าดงดิบอันแสนงามนั้น
หากคนโบร่ำโบราณเดินป่าเข้าไป
แค่ยามบ่ายเพียงนั้น
พลันต้องหยุดหาร่มไม้บังหรือกระท่อมไม้ให้ร่ม
เนื่องจาก ป่าดงดิบแสนชื้น
จะทำให้เกิดน้ำค้างพร่างสายราวฝนตกเลยทีเดียว..
นะบัดนี้จากป่าอุดมสมบูรณ์แสนดี
ที่มากมีมากมายดอกไม้ป่าหวานระริน
กล้วยไม้ไพรน่าถวิลสีม่วงละมุนกรุ่นกลิ่นหอม
บานพร้อมกันทีนับร้อยนับพันเหนือกลีบใบสีเขียวสด
ที่ขึ้นตามโขดหินหรือเหนือปุ่มปมรากไม้


ไหนยังมีกล้วยไม้
ที่พลีสีเหลืองทองสดอร่ามงามอวบอิ่มขนาดเท่าฝ่ามือ
และบางพันธุ์ที่คนภายนอกบอกว่าเหมือนกันกับพันธุ์
อ้อยช้างที่มากมีในป่าเมืองกาจญ์
และพันธุที่คล้ายว่าน..ที่คนเกาะเรียกว่า*พันธุ์เพชรหึง*
ที่เป็นงามกล้วยไม้ดอกใหญ่ที่สุดในโลก
ที่มากมีบนลานหินและคาคบไม้
จนอยากเรียกนามว่า


*มงกุฏไพร*
ที่มีกลิ่นหอมสะพรั่งรินออกดอกละลานตา
และผสานงามอย่างมิรู้ซึ้งซา
ราวจากหลายช่อรวงบุปผาสุมาลีหลากพันธุ์
ทั้งมะลิที่หอมเย็น
ทั้งกุหลาบที่หอมหวาน
ทั้งจากหอมรานร้าวเจ้ากระดังงา
ทั้งหอมแบบอ้อยช้างที่แสนตราตรึงในรู้สึก


และลำต้นมีลักษณะอวบอิ่ม
ความสูงราวสามเมตรใบสีเขียวมรกต
ยื่นยาวออกจากลำต้นทั้งสองด้านราวห้าสิบเซนต์
และจะแตกก้านดอกเฉียงออกไป
ในอากาศยาวราวสามเมตร
แต่ละช่อดอกจะประกอบด้วย
ดวงดอกพราวะละมุนม่วง
ไม่น้อยกว่า แปดสิบถึงร้อยดอก 
แต่ละกลีบดอกจะตูมแฉกแหวกพรายดอก
ออกอวดอวบอิ่มเอมอีกห้ากลีบ


และ
ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้
ที่ราวกับเป็นความทรงจำอันหวานหอมตระการ
ที่*กล้วยไม้ไพร*ดวงดอกนี้
ถูกหล่อหลอมให้รู้หอมงามซึ้งค่า
ได้ซึมซึ้งตรึงซับรับรู้
ก็จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่
และที่สำคัญคือ
จากการยินดีพลีเปิดให้
นวลเนื้อใจไหวงามนี้
ที่แสนรักผืนดินเกิด
หุบเขาไพรพะงันได้รับรู้รับทราบ


ว่ายังคงมี
ป่างามอุดม
แม้นจะผ่านฝันร้าย
ทีมากคนมากหลายได้โค่นไม้
มาสร้างบ้านเรือนหมดไปเกือบสามหมี่นไร่ไปแล้ว


แต่
ก็ยังมีไม้ไพรอันสมบูรณ์ดี
ที่ยังมีโชคถูกรัฐไหวทันอนุรักษ์ไว้ทันการณ์
ให้เป็นเขตหวงห้าม*อุทยานแห่งชาติ*
ที่ใครมิบังอาจรุกล้ำได้แบบคดีที่ดินสปก
แบบที่เกาะภูเก็ต 
ที่ตอกย้ำให้หันมาเผชิญหน้ากันกับคำว่านายทุน
และเหล่าเหลือบผลประโยชน์
ที่แฝงฝังในวงราชการ


และ
หุบเขาไพรพะงัน ภูผาแห่งความฝัน
พันธุ์ไม้ไพรนานาพรรณ
กล้วยไม้ไพรนานามี
ก็เลยยังเหลือยังมีซ่อนละอองาม
*ราวอัญมณีไพรอัญมณีใจ*ในสภาพ
อันอุดมที่ยังคงเหลือน้อย
ให้ทอยทอดตัวลดหลั่นคดเคี้ยวเลี้ยวซ้อนซับสลับสล้าง
ราวมังกรกลางเกาะ..ราวผู้พิทักษ์..เพื่อนรักษ์ผืนไพร
ไว้กลางใจกลางเกาะให้ยาวนานยาวยืน


และ
ชีวิตสาวไพร นาม*กล้วยไม้*
ก็ยังจักดำเนินต่อไป
ฝ่ากระแสโลก
ที่บ่าโหมเชี่ยวกราก
มาฝากรอยร้าวไว้ให้ทั้งกายและใจคน
ที่ต้องผจญกับคำว่า..กิเลสเงิน..กิเลส
โลกย์..โลกาภิวัฒน์..ที่จะวิบัติ
หรือแสนดีแสนงาม
ก็คงต้องอาศัยใจดวงดีจิตวิญญาณดวงงาม
รู้รักษ์รู้ถนอมสืบทอดไป..สืบต่อไป


*กล้วยไม้*..
จึงจำใช้วิจารณญาณตามรอยเท้าพ่อ
เพียรใช้สมองสองมือ
แผ้วถางทางต่อไป..ในเส้นทางที่งามที่ควร
พยายามสวนกระแส..หันมาใช้ชีวิตดิบเดิม
เป็นเกษตรกรทำการเกษตรกรรม
ลงผลไม้หลากพันธุ์มากมี
เช่นเงาะ มะม่วง ลางสาด ทุเรียน 
มังคุด กระท้อน ละมุด ชมพู่ ฝรั่งพันธุ์เนื้อหวานสีชมพู 
 กล้วยมะละกอ และอีกมากมายมากมี


ทั้งแปลงผักนานาพรรณ 
ที่รุ่นพี่เกษตรกรอำเภอ
ที่จบมาจากแม่โจ้คนเก่งมากประสบการณ์
ได้ให้คำแนะนำและให้พันธุ์มาทดลอง
และทั้ง
ดอกไม้หลากสี
ที่สามารถทำเงินได้งาม
มีกุหลาบ..บานชื่น..หน้าวัวดอกยักษ์
และ
แม้กระทั่งกับดอกบัว
ที่ตัดส่งขายตามบังกาโลว์และรีสอร์ทแทบไม่ทันความต้องการ
เพราะ
ผักผลไม้*ในไร่กล้วยไม้ไพร*
ใครใครยอมรับและเชื่อถือว่าไร้สารพิษ


และเพราะในวันนี้ 
ไม่มีใครหันมาทำอาชีพเกษตรกรกันแล้ว
ทุกคนมีร้านรวงสวยงาม 
ขายเหล้าขายเบียร์ขายกาแฟ 
มีร้านเนตมากมาย
ให้นักท่องเที่ยวคนต่างชาติวาดฝันใช้ติดต่อกัน
แค่คลิ๊กมือเดียว...


และ
ทุกดวงใจ....ทุกใครๆ
ได้ก้าวล่วงล้ำผ่านรั้วไม้ไผ่พลิ้วไหว
ที่กำลังระบัดใบไกวกิ่งก้านกอเป็นแนวยาว
 เข้ามาในอาณาเขต*ผืนดินแห่งฝัน*
ราวสวรรค์ไพรนี้


ก็พลันราวกำลังจะหลุดโลก
ลอยเหนือโลก
หรือไม่ก็ราวค้นพบโลกอีกโลกหนึ่ง
ที่แสนอัศจรรย์ราวกับฝันไปในงามเงียบสงบสุข
ทุกรักทุกนักท่องเที่ยวต่างชาติ 
มักอุทานกันเป็นเสียงเดียวว่า
*พาราไดซ์ ๆ*


ที่ถึงแม้นสาว*กล้วยไม้*แสนดีใจ
แต่ก็กลับกังวล
กับกระแสโลกและสังคมการท่องเที่ยว
ที่เกี่ยวพันพากันรุกล้ำรุกรานเข้ามา
ราวไล่ล่าพรหมจรรย์ก็มิปาน

ใจ*กล้วยไม้.*.ซึ่งแสนรักเกาะมหัศจรรย์นี้
ที่ยังมีฝันงามบรรเจิด
ราวสวรรค์หวานประทานพรให้มา
และแม้นจะถึงกับเหว่ว้าสักเพียงใด
ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป


*กล้วยไม้*..
ผูกพันกับผืนป่ากลางไพรพะงันนี้มาก
ด้วยตั้งแต่ยามเยาว์
ที่ได้เห็นสองมือพ่อผู้กร้านกล้า
พร้อมหยาดเหงื่อหยดแล้วหยาดเล่า
ได้เฝ้าเพียรแผ้วถาง
 และเพียรคงไว้..
ให้ยังมีไม้ใหญ่อายุนับร้อยๆปี
อย่างรู้คุณค่า
พยายามสร้างป่าให้ยิ่งหอมงาม
ด้วยดอกดวงพวงพะยอมนานา
และด้วยพืชผักผลไม้มากมี
ที่ใช้เลี้ยงชีวีชอบได้อย่างพอเพียงเพียงพอ


และ
พลันไม่นานนี้
ที่ทางการออกหมายเวนคืน
ขอสร้างทางเลียบลัดเลาะหุบเขาลง
ตรงไปยังอีกชายฝั่งฝัน
ที่มีริมเรียวหาดกว้างเคยไร้ร้างผู้คน
หาดทรายขาวราวไร้แปดเปื้อน
มีเพียงทรายงามปรายปน
ราวนวลเนื้อแป้ง
ยามสัมผัสให้ได้หยุ่นเท้าบางเบาราวปุยนุ่น
ถนน..ที่มีเหตุผล
เพื่อเฝ้ารองรับกระแสนักท่องเที่ยว
ที่ต้องใช้เส้นทางวิบาก
มิสะดวกสบายมากรายกล้ำ..


*กล้วยไม้ไพร* ใจจึงหวั่นหวั่น
มิใช่หวั่นเพราะต้องสละผืนดินงามละออฝันมา
แต่อ้อนแต่ออกให้แก่รัฐ
เพื่อเป็นทางสาธารณประโยชน์
หากทว่ากลัวการคอรัปชั่นเสียละมากกว่า

ที่เจ้าที่รัฐนั้นอาจจะนำที่ดินไปออกโฉนดเสียเอง
มิเกรงใคร
เพียงเพื่อขายนายทุน ที่เห็นมานักต่อนักแล้ว


แล้ว..จะให้
หัวใจ*กล้วยไม้ไพร*
ที่หอมใสหอมซื่อดวงนี้..ทำไงได้
จะต้องใช้ปัญญา
วิทยายุทธิ์ไหน  มาต้านกระแสอำนาจรัฐ
นอกจากได้แต่สวดมนต์ภาวนา
ให้วิญญาณหลวงพ่อในโบสถ์
ได้โปรดช่วยปกปักรักษาให้ผืนดินเกิด
ได้เอื้อประโยชน์
ในทางที่ถูกที่ควรด้วยเถิด


บางครั้ง
หัวใจ*กล้วยไม้* ก็คิดได้ ก็คิดดี 
หัวใจดวงดี
พยายามบอกรู้หักห้ามอย่าคิดมาก

เหมือนคำหลวงพ่อเทศน์โปรดทุกวันพระ
ให้รู้ทำใจ ละวาง ปลดปล่อยว่าง
วางทุกอย่าง อย่าไปหลงยึดติดยึดมั่น
ตามโลกให้ทัน 
ดับใจให้ดีเมื่อมีไฟ
หรือขยะคนมากมายมากมีมากวนกิเลสใจ


ชีวีชีวิต*กล้วยไม้*
จึงแค่ใช้ชีวิตไปวันวันอย่างเรียบง่าย
ใช้เวลาแทบทุกอรุณรุ่ง
ลุกขึ้นมาพร้อมดาวประจำเมืองเรืองรุ่งประจำใจ
กับพร่างหอมดอกไม้ไพร
ให้ดอกไม้ใจเบ่งบาน


บางย่ำรุ่ง
ก็เปิดเพลงลูกทุ่งเนื้อหางามใจฟัง
ให้นวลเนื้อใจไหวระริกรับระรินในถ้อยระยิบงาม
ในถ้อยความถ้อยภาษา
ที่ฝากตรงไปตรงมาแสนงามใจ
และ
ก่อนที่หลวงพ่อจะสิ้น
*กล้วยไม้*
มีหน้าที่ไปวัดทุกวันถวายข้าวพระ


จึงต้องลุกขึ้นไปตักน้ำเก็บผัก
เดินแหวกหวานผ่านดงดวงดอกไม้
ผ่านเรียวร่องท้องนาสะพรั่ง
ดั่งผืนผ้าไหมสีทองกำลังโบกสะบัด
และในบางคราผ่านฤดูกาลใกล้เกี่ยวเก็บ
กับรวงเรียวห้อยย้อยคล้อยหนักแทบเคลียดิน


ที่เป็นเส้นทางเรียบง่าย
พร้อมเจ้าสิงโตคู่กายเคียงใจ
มิเคยเกรงกลัวใครทำร้าย
เพราะ
*กล้วยไม้*ใช้ชีวิตแบบพอเพียง
เพียงพอมานานวันจนชาชินจนชินชา
และสามารถยังชีพชอบ
ได้ด้วยผลไม้รายรอบกระท่อม
ที่สลับกันออกผลให้ตลอดฤดูกาล


แล้วยังมี
รุ่นพี่คนดีคนนั้นยังเฝ้าสอน
ให้ลงพันธุ์ไม้ไทยหอมๆพร่าง
เช่นโมกจำปีจำปาปาการะเวก
ลีลาวดีหรือลั่นทม
ทองกวาวชัยพฤกษ์ ลำดวนดง
และมากมายนานาพันธุ์
ให้สวนขวัญไร่หอมได้
หอมพรั่งระรินพร่างขจรขจายไกล
บางครั้ง


*กล้วยไม้*ก็แสนภูมิใจปลี้มใจ
เมื่อ..
ได้ยินเพื่อนผู้ปรารถนาดีมาเล่าให้ฟังว่า
กล้วยไม้ไพรดอกนี้นั้นถูกกล่าวขวัญว่า
ชูช่อได้ละออขวัญละออตาได้งามสง่า
งามพิสุทธิ์แม้นอยู่แดนดงในพงไพร
ด้วยงามดวงใจใสเย็นเป็นผู้ให้
ทั้งกับสังคมและคนรายรอบข้างอย่างโอบเอื้อเฟื้อ


ใช่แล้ว
*กล้วยไม้*คิด 
ราวชีวิตอยากชดเชยระทมโลก
ที่หยิบยื่นโชคร้าย
ที่สิ้นไร้ใครไม่มีแม่พ่อ
ต้องเรียนรู้กล้าสู้โลกเพียงลำพัง
ต้องรู้จักยืดหยุ่นรู้ทันเท่ากระแสโลก 
มิโศกรานมิโศกนาน
 รู้หักห้ามใจ
ไม่เพ้อบ้าหาเงินมิงาม
คล้อยตามคล้ายบางคนบางใครมากมาย
ที่มากร้ายกิเลสแห่งความอยาก
มากมีอยากๆตามๆกันไปในเกาะนี้


ที่คิดหลงผิดหลงพลาดยอมเป็นทาสเงิน
ขายยาเสพติดมอมเมาเยาวชนและพวกพ้องไทยกันเอง
จนต้องติดคุกไปตราบชั่วชีวาชีวิต
*กล้วยไม้ไพร*ดอกนี้
จึงหวังผลิเพียงดอกละออช่องามงาม
ฝากนิยาม*ให้*หากมีโอกาส
แด่
ทุกผู้คนจากกมลละไม
ไม่ว่าจะเป็นการให้คำสอนกำลังใจพลังใจ
เพื่อปลุกปลอบประโลมใจ
ก็พร้อมก็ยินดียอมพลีทำ..กับคนรอบข้าง
ที่อาจจะยังหลงในทะเลโลกย์ทะเลรัก
ไร้ฝั่งฝันเป็นที่พึ่งพิงพักใจ
ยังพาโศกใจอ้างว้างเสียยิ่งกว่า


ฉะนั้น
ทุกวันนี้
ชีวีชีวิต*กล้วยไม้*
จึงงามพรายหอมดอกดวงด้วยฉะนี้
และ
มานะวันนี้
หลังจากที่
*กล้วยไม้*
หุงข้าวหอมข้าวไร่แล้วโรยด้วยงามดอกมะลิ
ที่หอมหวานหว่านเอง
ใส่ขันเงินวะวาววับไปวัด


และ
จัดพับกลีบดอกบัวงามอย่างละเมียดละมุนใจ
กับหอมกรุ่นของกับข้าว
และจัดผลไม้ไทยหลากพรรณ
ที่ไปเด็ดเดี๋ยวนั้น
และพลันพาไปฝากให้สายน้ำจากลำธารฉ่ำเย็น
ให้ไหลผ่านจนสดฉ่ำน่าลิ้มรสกรอบอันโอชารส
เพื่อน้อมนำไปถวายบูชา
พร้อมด้วยงามใจเป็นดั่งพุทธบูชา


และ
กลับมารอเวลา..
ที่วันนี้
พี่เกษตรกรอำเภอคนดีที่นับถือ
ที่แสนดีมากมีน้ำใจคอยช่วยเหลือแนะนำ
บอกว่า
จะมีผู้ชายสองคน
หนึ่งไทย..หนุ่มไทยชื่อมังกร 
ที่ยอมเป็นไกด์กิติมศักดิ์ให้
หนึ่งฝรั่ง..


ซึ่งกำลังศึกษาพันธุกรรม
ดอกกล้วยไม้ป่าที่แสนหายาก
ในป่าดงดิบแบบ
ที่ได้ยินได้ฟังว่ายังมีหลงเหลือนะที่แห่งนี่
ที่กลางหุบไพรพะงันเพียงแห่งเดียว
และ
เป็นอาณาบริเวณที่*กล้วยไม้*เป็นเจ้าของ


เขาขอเพียงมาดูและหากเป็นไปได้
อยากเก็บไปทดลองเผยแพร่พันธุ์
อันหอมหวาน*ราวไม้สวรรค์*
อันนับวันจะหายากยิ่งนัก
และจักเป็นประโยชน์
กับวงการน้ำหอมอย่างมากมหาศาล


*กล้วยไม้*
จึงยินดี
และพร้อมที่จะพาไปยังดินแดนลี้ลับมหัศจรรย์นี้
ที่น้อยคนนักจะรู้จัก
และ
ที่*กล้วยไม้*โชคดีได้รู้จักสถานที่ในดวงใจ
นะแห่งนี้ดียิ่งกว่าใครในละแวกนี้ก็เพราะ
*พ่อคนดี*เคยนำทางไปหลายครั้งหลายหน


ช่วงเวลาที่รอ
กล้วยไม้รีบพาร่าง
แหวกวงล้อมหอมกอข้าว
ที่กำลังออกรวงพราวกับพยอมไพร
ไประเริงสายน้ำเล่น เพื่อรอเวลานัด
และทุกครา
ที่ได้ลงมาอาบฉ่ำระร่ำริน
ในสายธารแสนหวานสวยใส
ให้ค่อยๆไหลผ่านร่าง
ช่างเป็นช่วงเวลาแสนวิเศษ


ราวได้ปลดปล่อยร่าง 
ราวนางไม้นางไพรระเริงรมย์
ชื่นชมชื่นฉ่ำใจกับงามธารน้ำใสไหลเย็นนี้
ที่ราวเป็นเพื่อนใจให้มาพิงพักใจในทุกทิวาราตรี
*กล้วยไม้*  นอนนิ่งๆ
ดูดวงดอกจิกปลิดปลิวละลิ่วลอย
หว่านหวานพร่างพรายละออละอองเกสร
เรียวนัยน์ตา
พาเห็นดวงดอกกระจิ๊ดกระจ้อย
ราวพวงชมพูดอกน้อยน้อยลอยควะคว้าง
ลงกลางลำธารและร่างงามของตัวเอง


ตะวันทอแสงอ่อนอุ่น
ราวแสงทองทอทอด
ลอดแมกไม้ใกล้ชายชล 
ให้กมลระรินรับเงียบงาม
กับกรวดทรายในท้องละหาน
ที่เกิดประกายสะท้อนวะวาววับ
ราวกับเพชรพร่างกลางสายธารแห่งรัก
*กล้วยไม้ไพร* หลับตาพักใจ
มีเพียง*เจ้าสิงโต*ทิ้งตัวเป็นผู้พิทักษ์..นอนเงียบรอริมตลิ่ง


ยิ้มและแย้ม
เมื่อคิดถึงนิยายรักนักผจญไพรบางเรื่อง
ที่เคยอ่านแล้วประเทืองประทับใจ
จนบางคราเมื่อหัวใจว่างร้างไร้ใคร
มักคิดฝันให้มีพระเอกสักคนมาโผล่พลัน!


และ
ก่อนที่จะทันหยุดฝัน!
ก็บังเกิดมหัศจรรย์รัก..พลันจริง


*กล้วยไม้*
ได้ยินเสียงกระแอมกระไอ
คล้ายเตือนให้*กล้วยไม้*ได้รู้ตัว
และให้ทันไหวตัวร้องห้ามเจ้าสิงโต
ที่ร้องเสียงดังเห่าขรมใส่ชายแปลกหน้าสองคน
ที่หยุดยืนอยู่เหนือเนินทรายใกล้ชายธาร


และกับร่าง*กล้วยไม้ไพร*ที่สล้างละอองาม
ด้วยผ้าถุงที่เปียกน้ำรัดร่างนวลหนั่นแน่น
ราวนางไม้นางไพร
*กล้วยไม้*
ลืมตัวผวายืนขึ้นเหนือน้ำ
เพื่อร้องห้ามเจ้าสิงโต


และ
ทันทีนั้นหัวใจ*กล้วยไม้*ก็พลันแทบหยุดเต้นตาม
เมื่อสบตางามกับผู้ชายไทยนัยน์ตาเศร้าสีสนิมเหล็ก
ที่ดูราวกำลังวะวาววับ


ด้วยพลังบางอย่างที่สว่างวาบไหวราวกระแสใจ
ที่ส่งมามีพลังไฟฟ้าดึงดูด
ให้กาย*กล้วยไม้*ระริกไหวหวั่นสั่นพลิ้ว
ราวกับโลกจะค่อยๆหมุนช้าลงและช้าลง
ราวกับจะหยุดหมุน
กรุ่นไปด้วยกลิ่นของดวงดอกรักกลีบกุหลาบงาม
ที่กำลังพรายพร่างหอมหอมหอมล้อมกายและรายรอบ..ใจดวงงาม...



				
29 เมษายน 2547 02:47 น.

หยุดหลั่งเลือดชะโลมหล้าชะโลมดิน

พุด


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6199

ไพลนอนแต่หัวค่ำ
และ
ทันตื่นขึ้นมาดูรายการข่าวภาคดึก
ที่แสนเศร้าสะเทือนใจจากรายการหนึ่ง
ราวฝันร้ายไป
ที่เห็นสามจังหวัดภาคใต้
ในวันนี้ราวไฟสงครามกำลังลุกปะทุ
ราวกับเกิดสงครามย่อยๆ
สงคราม
ที่มีคนตายนับร้อย
ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์
และ
ในมือมีสร้อยประคำ
ราวเครื่องรางยึดมั่นอธิษฐานบนบานใจก่อนตาย
และ
รายงานข่าวยังแจ้งว่า
สถานการณ์ยังอาจมิน่าไว้วางใจ
โอ้
สามเดือนผ่านไป
กับหลากหลายการสูญเสีย
ทั้งชีวิตผู้คนบริสุทธิ์
และทรัพย์สินโรงเรียนวายวอดนับร้อยหลัง

นะนาทีนี้ที่ไพลคิด
ขอสวดมนต์ภาวนา
ให้ฟ้าดินและ
สิ่งศักดิ์สิทธิทั้งสองทั้งของไทยพุทธและไทยมุสลิม
ได้โปรดประทานพร
ให้หยุดการฆ่า 
หยุดหลั่งเลือดชะโลมหล้าชะโลมดินเดียวกันเสียที

เพระเราเกิดมาใต้ฟ้าเดียวกัน
มีร่มฉัตรร่มธรรมปกเกศอย่างยุติธรรม
อย่างเที่ยงธรรมดั่งคำตรัสของในหลวงที่ว่า
*เราจะปกครองแผ่นดินนี้โดยธรรม*
และ
ระยะเวลายาวนานนั้นก็ได้พิสูจน์
ให้ไทยทุกดวงทั้งไทยพุทธไทยมุสลิม
ได้ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณแล้ว
ถึงความสงบร่มเย็นเป็นสุข
ภายใต้เบื้องพระบรมธิสมภาร
ขอให้
เกิดงามสงบสุขสันติสุขในใจในเร็ววัน
ด้วยเถิด

สงคราม
ในความรู้สึกของไพลคือ 
ความสูญเสีย ที่ยิ่งใหญ่
ความสะเทือนใจใหญ่หลวง 
กับ การพลัดพราก 
กับชีวิตทุกชีวิตที่ต้องมาสังเวยพลีชีพ
ปลิดชีพกันและกัน

สงคราม..เป็นเครื่องหมายคำถาม ?
เป็นความขัดแย้ง ..ในความคิดที่ต่างกัน...
ต่างฝ่ายต่างคิด ต่างเหตุต่างผล 
ต่างความเข้าใจ ไม่มีใครถูกใครผิด..
ไม่มีคำตัดสิน..

เพราะคนเรานั้นย่อมคิดว่า
ต้องทำสิ่งที่ดีกันทั้งนั้น     
หากทว่าทุกความดีนั้น
มิควร
ต้องแลกมา
ด้วยหยาดเลือดและหยดน้ำตา
หลั่งหล้าชะโลมดินเดียวกัน

อันเคยผูกพัน
ให้ข้าวให้น้ำแบ่งปันโอบเอื้อ
ให้ความรักความอบอุ่น
ให้ชีวิตจิตวิญณาณ
ผ่านมาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น
ไยหรือถึงต้องมาประหัตประหาร
เข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเอง
เลือดเนื้อเดียวกันเอง..

เพราะเราคือไทยไทยและไทย
ที่ยังมีผืนดินอุดม
มีร่มเย็นงามจากธรรมะธรรมชาติ 
มีความหวัง
อิสระภาพ
มีเสรีมีประชาธิปไตย 
มีน้ำใจใสเย็นที่จะเอื้อโอบแบ่งปัน
มีฝันมีรัก  
มีผืนดินให้หยัดยืน
อย่างมิเป็นทาสใครมายาวยืน
อย่างยาวนาน

ผ่านการเสียสละ
จากจิตวิญญาณบรรพบุรุษ
ที่พยายามอย่างที่สุด
ที่แสนน่าปลาบปลื้มภาคภูมิใจกตัญญูกตเวทิตาใจ 

ที่สู้พลีร่างและ
หยาดเลือดหวงแหนปกป้องไว้ให้
เรา..ลูกหลานไทยได้หยัดยืนมาจนถึง วันนี้
อย่างเต็มเท้า
อย่างทุกย่างก้าวได้เงยหน้าอย่างทรนง                                                       
องอาจมิใช่ทาสแต่คือไท..และไทย

มีรอยยิ้มรอยน้ำใจที่ฝากเลื่องลือไกล
ยามแขกคนไกลต่างบ้านต่างเมือง
มาเยี่ยมเยือนบ้านเราว่า
ให้กลับไปด้วยรอยยิ้มนิ่มรับนับพัน

นะวันนี้
ช่างแสนโศก
โลกและชีวิตคนไทยทุกดวงต่างเฝ้าห่วง
ต่างเฝ้าจับตามองอย่างสะทือนใจในวิกฤตการณ์
ที่มิอยากให้ผลาญพร่าบรรยากาศการท่องเที่ยวการลงทุน
ที่หมุนเงินนับหมื่นล้านเข้าประเทศ

แค่อยากให้ทุกฝ่ายหยุดคิด..
ลดความโกรธ ลดศักดิ์ศรี  
จงคิดดีคิดเป็นว่า
สงครามคือการเริ่มต้นความเลวร้าย
และจะขยายมากยิ่งขึ้น 
มิมีวันยุติที่จะแก้ปัญหาถาวร                                                                                           
ให้โลกนี้สงบสันติ
ทั้งๆที่ยังมีวิธีการหันหน้ามาเจรจา
ทำความเข้าใจกันและกัน

สงคราม...เหมือนวัฏจักรของโลก
ที่เจริญแล้วย่อมเสื่อมถอย                                                                                        
ให้โลกแหลกสลาย
แล้วหันมาเริ่มต้นกันใหม่..
แต่รู้ไหม..บางทีอาจจะสายเกิน..

ทุกดวงใจในชาติ..
จึงควรหันหน้าเข้าหากัน ด้วยรู้รักสามัคคี
มาช่วยกันวิงวอนและร้องขอเพื่อให้
มีสันติเกิดขึ้นในชาติไทยเรานี้ 
ที่แสนดีนักหนากว่าบ้านเขาเมืองใครแล้ว
แทนวิธีการแก้ปัญหาที่แสนรุนแรง และเจ็บปวด...
ทั้งสองฝ่าย

มีเรื่องราวมากมายของสงคราม
ในอดีตที่ฝากไว้ให้นำมาสอนใจ
และให้บทเรียน
ให้แก่มวลหมู่มนุษยชาติ

แต่เหตุใดจึงไม่จดจำ 
ยังคิดห้ำหั่นอย่างโหดร้าย..

ทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งที่สงครามทิ้งไว้
คือความทุกข์มากมี การสูญเสีย
ทุกสิ่งทั้งวัตถุ และที่สำคัญกว่าสิ่งใด
คือกายใจที่มิอาจจะหวนคืน...

วันนี้..ดวงใจไพล แสนปวดร้าว 
เมื่อเห็นภาพความตายมากมาย
ที่กำลังใช้กำลังแก้ปัญหา
ด้วยดวงใจมืดบอดด้วยอัตตา...ความหลงผิด                  

กำลังหลงทาง.อ้างว้างใจ 
และกับคำถามคาใจว่า
สิ่งที่ตัดสินทำลงไปนั้นมันถูกหรือผิดกันแน่... .
และ
ซึ้งใจภาพทหารไทยตำราวจไทย
ที่ดวงตานั้นฉายแววแห่งความหาญกล้า
เพื่อพลีชีพ
เพื่อทำหน้าที่ลูกผู้ชาย                        
เพื่อคำว่าอุดมการณ์ 
และเพื่อมาตุภูมิ  

แต่ในดวงใจนั้นเล่าใครจะหยั่งรู้
ถึงความสับสน 
ความคิด ความรักชีวิต
ความหวั่นกลัว ความคิดถึง..บ้าน
คิดถึงความรักความอบอุ่น ลูกเมีย  แม่พ่อ
และทุกดวงใจของผู้ที่รออยู่เบื้องหลัง 
ด้วยมิอาจจะรู้ว่าจะได้กลับคืนหลังไปอีกครั้งหรือไม่
หรือต้องทิ้งร่างไว้กลางป่าเขาลำเนาไพร 

และกับ..

วันนี้
ร่างสุภาพบุรุษนักสู้ผู้หาญกล้าทรนง
ที่ไพลและดวงใจคนไทยทั้งชาติต้องขอคารวะ
ด้วยน้ำตาแห่งความสะเทือนใจด้วยความชื่นชมศรัทธา
เต็มหัวใจที่ยอมพลีเลือดพลีร่างจิตวิญญาอย่างสมชาติชาย
*
สิบตำรวจตรีณรงค์ชัย พลเดช

ที่ได้ฝากงามอันแสนยิ่งใหญ่
เป็นตำนานใจตำนานชีวิตอุทิศรักกตัญญูสังเวยมาตุภูมิ

ที่นะนาทีนั้น
หัวใจไพลดวงไหวหวั่น
พลันก็โศกตามยามแลเห็นธงชาติไทย
ธงไตรรงค์คลุมร่างอย่างงามอย่างนักรบเกียรติศักดิ์
และได้พักร่างลงพสุธารักได้อย่างเต็มภาคภูมิ


ภาพ..คนดี 
ที่ถูกคนร้ายฟันแขนขาด
และชายชาติอาชาไนยอีกมากที่บาดเจ็บ
เพื่อออกมาปกป้องชาติ และแผ่นดิน ..

ภาพเด็กน้อยไร้โรงเรียน 
และภาพผู้คนที่
คงอยู่อย่างกังวลขวัญเสีย
ต้องอพยพจากบ้าน 
จากความเคยคุ้น จากความสุข 
ความอบอุ่น
เป็นความหวาดกลัวและสิ้นหวัง...กับอนาคต...
ภาพดวงตา..ที่ไร้สุข แห้งผาก..
ของทุกๆคนในสมรภูมิเลือด 
ที่ไร้สิ้นหวัง มีแต่คำว่าเข่นฆ่ากันและกัน

ให้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง 
ชะโลมแผ่นดิน 
เพื่ออะไรละหนอ..ละนี่
แทนที่
จะรู้รักงามเงียบสงบเย็น
รู้ดีรู้อยู่รู้เป็นแบบเพียงพอแบบพอเพียง
และ
รู้รักสามัคคี รู้ค่าความโชคดีแล้ว
ที่ได้เกิดมาในผืนดินอันอุดมและร่มเย็น
ด้วยพระเมตตาบารมี

มีพระมหากษัตริย์ไทยที่แสนยิ่งใหญ่
ที่แม้นโลกยังยกย่องมองเห็นน้ำพระทัยสดุดีงาม
ที่ห่วงใยพสกนิกร
และเททุ่มทุกหยาดพระเสโท
ยอมทรงหลั่งเพื่อคำว่า
ให้ประชาชนของพระองค์ท่าน
ได้อยุ่ดีกินดีมีสุขสมถะ

ที่ยากยิ่งนักที่จะหามี..นะแห่งใดในหล้าโลกนี้
แล้ว
ยังให้มีอิสระเสรี
ในการเคารพนับถือกราบไหว้ได้ทุกศาสนา
มีวาสนาได้พบพระธรรมอันผ่องผุด
สอนให้รู้หยุดทุกข์รู้วางว่างรู้งามรู้ให้รู้อภัย

ที่สุดนี้
ไพลขอเป็นตัวแทน
ในฐานะเราคนไทยด้วยกัน
และ
ดั่งมีใจดวงเดียวกัน
จากเนื้อดินเดียวกัน
ที่หลอมผูกพันให้รัดร้อยแสนรักยิ่งใหญ่
ใน*ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์.*
เทิดไว้เหนือเกล้า.เหนือกระหม่อมยิ่งชีวิต..

ขอวอน
จงเลิกเข่นฆ่ากันกันเถิดนะทุกดวงใจ
เพราะเราคือไทยด้วยกัน
และนี่
คือสงคราม..สงคราม...
ที่เปิดฉาก แห่งความตายอย่างสิ้นไร้ปรานี.... 
 



http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6192
 ความฝันอันสูงสุด   
เพลงพระราชนิพนธ์ : : Key Eb  
ขอฝันใฝ่ ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึก ทุกเมื่อ ไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์ รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟัน ผองภัย ด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไข ในสิ่งผิด
จะรักชาติ จนชีวิต เป็นผุยผง
จะยอมตาย หมายให้ เกียรติดำรง
จะปิดทอง หลังองค์ พระปฏิมา
ไม่ท้อถอย คอยสร้าง สิ่งที่ควร
ไม่เรรวน พะว้าพะวัง คิดกังขา
ไม่เคืองแค้น น้อยใจ ในโชคชะตา
ไม่เสียดาย ชีวา ถ้าสิ้นไป
นี่คือ ปณิธาน ที่หาญมุ่ง
หมายผดุง ยุติธรรม อันสดใส
ถึงทนทุกข์ ทรมาน นานเท่าใด
ยังมั่นใจ รักชาติ องอาจครัน
โลกมนุษย์ ย่อมจะดี กว่านี้แน่
เพราะมีผู้ ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน
ยังคงหยัด สู้ไป ใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญ ก็เพราะปอง เทิดผองไทย... 

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด