7 ตุลาคม 2547 19:59 น.
พี่ดอกแก้ว
เพราะสามเงื่อนเหมือนเกลียวเกี่ยวชีวิต
ให้ต้องติดบ่วงเกิดกำเนิดขันธ์
เหตุและผลสืบต่อความสัมพันธ์
มีสามชั้นสามเชิงระเริงชนม์
หนึ่งนั้นคือเหตุเก่าคราวอดีต
ที่เคยขีดรอยกรรมทำสับสน
ทั้งบุญบาปอาบไว้ในกมล
เป็นสังขารนำกลสู่วิญญาณ
คำวิญญาณท่านกล่าวเรื่องราวไว้
เป็นสองนัยคือจิตที่สืบสาน
ขณะเกิดเรียกปฏิสนธิวิญญาณ
และปวัตติกาลหลังเกิดมา
เงื่อนที่สองคล้องไว้ในคราวพบ
เมื่อประสบอารมณ์ที่โถมถา
ทางทวารทั้งหกก่อเวทนา
นำเข้าสู่ตัณหาความติดใจ
เห็นแล้วชอบครอบครองปองใจสุข
เห็นแล้วทุกข์ต่อต้านการผลักไส
แล้วไขว่คว้าหาชอบครั้งต่อไป
เวทนาพาให้ตัณหาครอง
เงื่อนที่สามความภพสบกับชาติ
คือกรรมเป็นเบื้องบาทส่งสนอง
ทำชาตินี้ส่งต่อไปตามครรลอง
เหมือนต้นคลองสู่ปลายคลองสนองกรรม
บุญและบาปที่อาบไว้ในอวิชชา
จะนำมาการเกิดใหม่ไม่เคยหนำ
เพราะไม่สิ้นยางใยในกระทำ
มีภพภูมิรองกรรมเกิดต่อไป
6 ตุลาคม 2547 17:41 น.
พี่ดอกแก้ว
เงียบสงบพบเงาความเขลาตน
เหตุไม่พ้นความไหวให้หมองหมาง
ใจปรวนแปรเปลี่ยนไปไม่ตรงทาง
เดี๋ยวเคว้งคว้างเดี๋ยวชื่นระรื่นใจ
ในเบื้องปลายท้ายเงาความเขลานั้น
แบ่งสีสันเป็นสองให้ตรองไข
สีของสุขกับทุกข์เคล้ากันไป
ทาบฤทัยทุกวันที่ผันมา
เพราะเห็นผิดคิดมีเรา-เขาอยู่จริง
อัตตาสิงจนแน่นดุจแผ่นผา
จึงกำหนดกฎเกณฑ์กันขึ้นมา
เป็นรูปแบบคุณค่าสไตล์ตน
หากถูกต้องตามแบบที่แนบจิต
ความสุขก็สัมฤทธิ์เป็นพวงผล
หากขัดแย้งกับความชอบส่วนตน
ความทุกข์ทนก็ตามติดจิตอัตตา
เขาทำไม่ถูกใจเราเขานั้นผิด
เรามีสิทธิ์ตัดสินพิพากษา
เขาไม่ควรหยามเราด้วยวาจา
เรามีสิทธิ์ด่าว่าคนของเรา
ของของเราเขาไม่ควรมาทำลาย
เรามีสิทธิ์อยากได้ของของเขา
ของดีดีคือของที่ถูกใจเรา
เรื่องของเขาเรามักเปรียบเทียบไม่วาย
ชีวิตนี้หาได้มีเรื่องเรา-เขา
สิ่งสร้างเงาคือรูป-นามความสืบสาย
คือสองส่วนประกอบของใจ-กาย
ที่ผู้เขลามากมายถือเขา-เรา
4 ตุลาคม 2547 17:50 น.
พี่ดอกแก้ว
ณ ห้วงหนึ่งถามถึงเรื่องชีวิต
ด้วยสะกิดจิตใจจึงใคร่ถาม
ว่าชีวิตหามีสิ่งดีงาม
ทำอย่างไรจึงพบความงามที่ดี
พระท่านสอนเทศนาว่าเรานั้น
มีชีวิตแสนสั้นแล้วเป็นผี
เด็กทารกเกิดมาไม่กี่ปี
บ้างถึงที่สิ้นชีวิตปลิดชีพไป
หากเติบถึงผู้ใหญ่ก็ใช่ว่า
จะสบายอุรานี่ไฉน
บ้างยากจนข้นแค้นแสนเข็ญใจ
บ้างป่วยไข้ใจเฉาเมาโลกธรรม
กินกี่มื้อซื้อกี่หนบนข้าวของ
กี่จับจองแย่งชิงสิ่งอิ่มหนำ
มีหรือไม่ที่เคยพอต่อกระทำ
ชีวิตจึงเดินย่ำความไม่พอ
รอสุดท้ายสิ้นลายไร้แรงคว้า
อนิจจาอนิจจังนั่งร้องขอ
ให้ชาติหน้าเกิดดีที่คอยรอ
ลืมว่าการเกิดต่อนั้นเพื่อตาย
เปลี่ยนภพชาติสู่ภพชาติไม่ขาดโซ่
เหมือนเล่นโล้ชิงช้าน่าใจหาย
เวียนในวงกงล้ออย่างวุ่นวาย
ด้วยกระหายอยากมีซึ่งชีวิต
4 ตุลาคม 2547 07:23 น.
พี่ดอกแก้ว
สงบงามตามไพรไร้ผยอง
เป็นกลุ่มกองกอไม้เหมือนไร้ค่า
เกิดกลางดงพงหนามตามพนา
ไม่เลือกดินถิ่นป่าอาศัยกาย
มิสวยงามยามมองกองรกเรื้อ
ภาพภายนอกไม่เอื้อแก่สหาย
มาใกล้ชิดซุ้มกอหน่อมากมาย
ดูคลับคล้ายไร้ราคาพาเดียดพันธุ์
ผู้ฉลาดปราชญ์เปรื่องเรื่องพฤกษา
กลับรู้ค่ากอไผ่ใฝ่เลือกสรร
ใช้ประโยชน์จากไม้มานานวัน
เครื่องจักสานสารพันพร้อมเพิงนอน
กี่ร้อยปียังมีไผ่ให้ใช้สอย
กี่เชิงดอยยังมีหน่อให้ขุดถอน
เพลงลำไผ่ยังแว่วหวานทั่วดงดอน
รอรับวาทยกรคือสายลม
หากชีพนี้มีค่าเพียงไม้ไผ่
หาน้อยใจในนามความขื่นขม
เกิดจากดินเคียงดินจนสิ้นลม
ลำเกลี้ยงกลมก่อค่าคณาคุณ
2 ตุลาคม 2547 20:29 น.
พี่ดอกแก้ว
เย็นชื่มชุ่มลุ่มธารผ่านดินทอง
เชื่อมครรลองชาวชนบนแหล่งหล้า
สืบจารีตรูปแบบวัฒนา
ต่างพึงพาสายน้ำค้ำชีวิน
รินไหลไปในทางอย่างแล่นลิ่ว
ระลอกพลิ้วทักทายอวดลายสินธุ์
บอกถึงความสมบูรณ์ของแผ่นดิน
ยังคู่ถิ่นด้วยการให้จากสายธาร
นานเนิ่นนานปานไหนไม่เคยกัก
หรือเลือกรักบางดินสิ้นสงสาร
ให้สุดแรงแห่งการให้ไปเจือจาน
อุปการดุจพ่อแม่แลครูบา
คราวที่สายธารายังกูลเกื้อ
เคยคิดเผื่อแล้งภัยหรือไม่หนา
หรือทำนุบำรุงผืนพนา
เฝ้ารักษาต้นธารปานบ้านตน
อย่าให้สายกลายเศร้าคราวน้ำเหือด
สิ้นสายเลือดผู้ให้ในเหตุผล
สิ้นบิดามารดาผู้ให้ชนม์
สิ้นบุคคลพึงมอบตอบแทนคุณ
มีเวลาทำหลายสิ่งแล้วทิ้งขว้าง
มีหลายอย่างทุ่มใจใฝ่อุดหนุน
มีเสี้ยวหนึ่งหรือไม่ที่คืนทุน
สนองคุณผู้ให้ในชีวา