13 สิงหาคม 2546 22:46 น.
พี่ดอกแก้ว
แสงเรื่อรายพรายพร่างกลางแผ่นฟ้า
ดาริกาสุกสกาวพราวไสว
แม้นเดือนดับลับห้วงนภาลัย
ฟ้ายังไม่ไร้รัศมีดาว
แม้นแสงน้อยด้อยประกายไม่แจ่มฟ้า
แต่มีค่าสามัคคีที่กลางหาว
รวมพลังคลังแสงแห่งดวงดาว
ส่องวับวาวพราวศรัทธายามราตรี
สร้างรอยฝันสรรค์เส้นทางทุกย่างก้าว
เพื่อให้ผู้ปวดร้าวได้สุขศรี
ไม่มืดมิดไร้พลังสร้างความดี
ค่ำคืนนี้ยังมีดาวที่พราวตา
12 สิงหาคม 2546 08:10 น.
พี่ดอกแก้ว
เป็นคำถามตามวัยให้ต้องตอบ
วัยเด็กชอบถามผู้ใหญ่อย่างใคร่รู้
ทำงานคืออะไรใคร่ถามดู
อยากจะรู้อนาคตอย่างจดใจ
ครั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ใคร่ถามเด็ก
ตอนยังเล็กนี้อยากทำสิ่งไหน
เมื่ออยากแล้วก็รีบทำให้สมใจ
เพราะโตเป็นผู้ใหญ่ไร้เสรี
ครั้นชราถามกันว่าตายเมื่อไหร่
และตายแล้วจะไปไหนกันล่ะนี่
ไม่มีใครตอบได้เลยสักที
คำถามนี้ช่างมืดมนน่าสนใจ
เสียงพระท่านพลันแว่วแจ้วกังวาน
สาธยายขับขานอย่างแจ่มใส
ชีวิตคนเรานี้ไม่มีใด
เพราะมีกรรมจึงทำให้เราเกิดมา
เป็นวงจรศรรักปักข้ามชาติ
เป็นคนดีขี้ขลาดหรือเก่งกล้า
เป็นเพราะความชำนาญสานกรรมมา
เป็นนิสัยให้ปัญญาไม่เทียมกัน
ทั้งกรรมดีและชั่วที่กลั้วกล้ำ
ได้เคยทำไว้ตอนชาติก่อนนั้น
คือพืชเชื้อที่เพาะให้เหมาะพันธุ์
ตายแล้วเกิดทันควันไม่ล่องลอย
เกิดขึ้นเป็นอะไรในชาติต่อ
เนื่องจากกรรมที่ก่อแม้เล็กน้อย
เป็นแรงส่งสู่คติภพต่อรอย
จากมนุษย์อาจด้อยเป็นนกกา
หรือจากสัตว์ที่บัดซบสู่ภพเปรต
หรือเข้าเขตนรกใหญ่มีไฟกล้า
หรือแรงบุญหนุนนำลำชีวา
เกิดในครรภ์มารดามนุษย์พงศ์
หรืออาจมีบุญหนักศักดิ์ประเสริฐ
ถือกำเนิดเป็นเทวาน่าใหลหลง
แต่จะเกิดเป็นอะไรให้คิดปลง
ว่ายังคงไม่พ้นทุกข์ที่รุกรน
เพราะชีวิตทั้งกายจิตนี้เป็นทุกข์
เดี๋ยวสนุกเดี๋ยวทุกข์โศกโรคสับสน
เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวเสียใจให้ระคน
ทุกสิ่งเปลี่ยนไปพ้นจากจีรัง
คือสภาพของทุกข์ที่รุกเร้า
ไม่อาจทนอย่างเก่าให้ยืนยั่ง
ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนไปให้ระวัง
คำพระสั่งสอนไว้ในมนต์ตรา
คำถามว่าตายแล้วจะไปไหน
หากไม่สิ้นไร้ยางแห่งตัณหา
ต้องกำเนิดเกิดใหม่ในโลกา
เป็นอย่างไร..อยู่ที่ว่าทำกรรมใด
12 สิงหาคม 2546 08:05 น.
พี่ดอกแก้ว
สุดขอบฟ้าล่องลอยไปในห้วงภพ
อ้อมบรรจบสายทางอย่างหรรษา
คลอเมฆินทร์ผินผ่านม่านนภา
ขับฟองฟ้าให้กระจายเป็นลายจาง
ผ่านหมู่นกยกปีกให้ได้บินเหิร
พัดให้ลอยเพลิดเพลินแต่รุ่งสาง
เป็นลมน้อยหนุนใต้ปีกไม่เว้นวาง
ทุกเส้นทางห่วงหาอาทรกัน
ผ่านแมกไม้แวะทักทายใบไม้เขียว
จนเอนลู่กรูเกรียวทั้งไพรสัณฑ์
หยอกล้อกิ่งก้านไหวไปด้วยกัน
สร้างสีสันสวนไพรให้รื่นเริง
ผ่านเปลวร้อนผ่อนแดดที่แผดร่าง
คนเดินทางให้เย็นใจในลมเหลิง
ระบัดกายคลายพิษแผดของแดดเพลิง
ได้สำเริงสำราญผ่านสายลม
ผ่านเมืองแมนแดนสรวงของปวงเทพ
ก็เที่ยวท่องล่องเสพถิ่นงามสม
ไปจนถึงเทวาชั้นพระพรหม
ด้วยแรงลมแห่งตนด้นเที่ยวไป
ผ่านมนุษย์สุดลำเค็ญเห็นการแย่ง
และขันแข่งเอาแต่ตนจนสิ้นไร้
ความเมตตาอาทรคลอนจากใจ
ใช้แรงลมพัดเท่าใดไม่หวนคืน
สุดขอบฟ้าพาร่างไปไล้ทุกถิ่น
เห็นหมดสิ้นความทุกข์...สุข...เริงรื่น
มิมีใดมั่นคงและยงยืน
ดั่งสายลมพรมพื้นพัดผ่านไป
12 สิงหาคม 2546 07:50 น.
พี่ดอกแก้ว
หอมกลิ่นระรินสาย
คละคลับคล้ายพวงบุปผา
รื่นรมย์บ่มพนา
โลมจันทราราชาวดี
คืนค่ำลำนำกลอน
ถ้อยสุนทรอ้อนรัชนี
เฉิดฟ้ากลางราตรี
แสงนวลจันทร์อันพิไล
แสงดาวพราวฟากฟ้า
แต้มนภาดูสดใส
เย็นลมที่พรมไกว
ให้ดื่มด่ำกับดวงดาว
แม้นไร้หมู่วิหค
ที่ผินผกอยู่กลางหาว
ดอกไม้ไม่พร่างพราว
ไร้เมฆงามตามนภา
ธรรมชาติยามค่ำคืน
ก็สดชื่นเป็นหนักหนา
อาบใจให้คลายล้า
หายเหนื่อยอ่อนพักผ่อนใจ
12 สิงหาคม 2546 07:44 น.
พี่ดอกแก้ว
บนถนนของหัวใจในวันนี้
ก็กลับมีมากมายหลายคำถาม
เคยเดินเดี่ยวเปลี่ยวไร้ใครติดตาม
บัดนี้มีเงางามมาถามใจ
ไร้สำเนียงเสียงสรรพสดับถ้อย
มีเพียงรอยหวามหวานผ่านไหวไหว
เป็นรูปริ้วปลิวล่องในห้องใจ
ที่ว่างว่างเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
เคยรวดเร็วรุกไล่ไร้ปัญหา
บัดนี้กลับไม่กล้าจะฮึกเหิม
มีอำนาจไร้ตนมาแต่งเติม
และพูนเพิ่มความสะท้านบนลานใจ
ยิ่งผ่านวันเวลามาหลายแรม
ก็แต่งแต้มรอยลักษณ์ยากผลักไส
เงาขยายลายเงาเข้าครองใจ
ถักสายใยเยื่องามยามสบตา
อะไรหนอทอใจให้ซาบซ่าน
รับรู้รสความหวานนานนักหนา
อะไรหนอทอประกายในสายตา
ให้กระพริบวับพาป่วนหัวใจ