13 ธันวาคม 2549 08:55 น.

ปีกล่องหน (Invisible Wings)

พีรเดช นวลสาย

ผมฝันว่าตัวเองกลายเป็นนก!!
ในความฝันผมโบยบินอย่างอิสระ  ผ่านออกไปทางหน้าต่างห้องนอนลอยลิ่วสู่ท้องฟ้ากว้างใหญ่  แรงโบกของปีกกับสายลมช่วยยกตัวผมให้ลอยสูงขึ้น  สูงขึ้น  ผ่านชั้นเมฆชั้นแล้วชั้นเล่า  จนมองลงมาเห็นสิ่งต่างๆ  บนพื้นมีขนาดเล็กแค่เท่าหัวไม้ขีด  
ผมรู้สึกหัวใจกำลังพองโตจนคับแน่นหน้าอก  มันเป็นความตื่นเต้นที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าในที่สุดผมก็บินได้   บินด้วยกำลังปีกทั้งสองข้างของตัวเอง  ผมเป็นนก! ผมอยากตะโกนบอกมนุษย์ทุกๆ คน รวมทั้งนกทุกๆ ตัว ว่าผมเป็นนกและผมบินได้  พันธนาการต่างๆ ที่เคยผูกรัดมัดแน่นตอนที่ผมเป็นแค่คนเดินดินถูกทำลายลงด้วยแรงกระพือของปีก  ตอนนี้ผมกำลังมุ่งหน้าสู่อิสรภาพอันยิ่งใหญ่ที่ท้องฟ้าหยิบยื่นให้
ผมบินฉวัดเฉวียน  ผาดโผนหกคะเมนตีลังกาตามที่ใจนึกอยากจะทำ  และตั้งใจจะบินร่อนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเรี่ยวแรง  ซึ่งมันคงอีกนานหรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลยเพราะผมไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว  ตรงกันข้ามยิ่งขยับปีกกลับยิ่งรู้สึกว่าพละกำลังมันยิ่งเพิ่มขึ้น  หัวใจอันฮึกเหิมชวนผมบินไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ  ผมอาจจะบินรอบโลกสักรอบหรือหลายๆ รอบ  เที่ยวดูให้ทั่วทุกซอกทุกมุม  ทุกบ้านเมือง ทุกภูเขา และทุกๆ มหาสมุทร  ผมจะไปทุกที่       ที่คนเดินเท้าทั่วไปทำไม่ได้
บนนี้  นอกจากความกว้างใหญ่ไพศาลอันไร้ขอบเขตแล้ว ผมยังได้เห็นโลกในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน  มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้เห็นผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลแทบไม่แตกต่างจากท้องฟ้า  ผมมองเห็นแผ่นดินที่ปราศจากพรมแดน  เห็นบ้านที่ปราศจากรั้วกั้น  ทุกคนยืนอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกันไม่มีความเป็นประเทศหรือเชื้อชาติมาเป็นเส้นแบ่ง  เป็นเพียงมนุษย์หัวไม้ขีดที่มีความเท่าเทียมเสมอภาคกัน
น่าอิจฉาพวกนก  ที่มองเห็นโลกอันปราศจากเส้นแบ่งมาก่อนเรานานนับร้อยนับพันปีด้วยอิสรภาพที่พลังจากปีก   มีให้  แต่เอ๊ะ!  ตอนนี้ผมก็เป็นนกอยู่นี่นา  วันหนึ่งที่มีโอกาสกลับลงไปผมจะเล่าสิ่งที่ได้เห็นนี้ให้กับทุกๆ คนที่ผมรู้จัก  หรือแม้แต่กับคนอื่นๆ ที่เคยเป็นเพียงคนแปลกหน้า  ผมจะบอกเล่าแก่พวกเขาถึงโลกใหม่ที่ผมได้เห็น  ดินแดนแห่งอิสรเสรีอันกว้างใหญ่ไพศาลที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก  นอกเสียจากว่าพวกมนุษย์เดินดินเหล่านั้นจะได้รับโอกาสอย่างผม 
ใช่! พวกเขาต้องกลายเป็นนกเสียก่อน  จึงจะสามารถสลัดความโง่เขลาออกไปจากก้นบึ้งแห่งความคิดอันมืดบอดได้  และนอกจากพลังแห่งปีกแล้วผมมองไม่เห็นอะไรอื่นที่จะปลดเปลื้องพันธนาการที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อผูกมัดตัวเองเอาไว้ได้  พวกเขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากความว่างเปล่า  ไม่ว่าจะเป็นเส้นแบ่งแห่งเชื้อชาติ  ความไม่เท่ากันของสีผิว  ความผิดแผกของภาษาพูด  และแม้แต่ความเชื่อในพระเจ้า  บ่อยครั้งที่พวกเขายกพวกเข้าโรมรันห้ำหั่นกันเพียงเหตุผลจากความแตกต่างของพระนามแห่งพระเจ้าที่ตนนับถือ  ซึ่งพระนามเหล่านั้นก็ล้วนเกิดขึ้นจากการอุปโลกน์ของพวกเขาเองแทบทั้งสิ้น  สุดท้ายมนุษย์คงไม่พ้นจมปรักอยู่ใต้ภูเขาเลากาแห่งอคติอันโง่เขลา
	นกสิ  คือ ตัวแทนของความมีอิสรภาพแห่งจิตวิญญาณที่แท้จริง  พวกมันมีปีกที่จะพาบินไปได้ทุกหนทุกแห่งในโลก  ไม่มีเส้นแบ่งหรือเส้นสมมุติใดมาปิดกั้นกำหนดขอบเขตการเดินทางแสวงหาของพวกมัน  ไม่มีภาระการงานหรือหน้าที่สมมุติอื่นใดที่พวกมันต้องสวมบทบาทนอกจากความเป็นนก  มันฉลาดพอที่จะไม่กักขังตนเองไว้กับความหอมหวานเย้ายวนของสิ่งยั่วยุต่างๆ  ซึ่งถ้านกมัวหลงงมงายอยู่กับสิ่งสมมุติเหล่านั้น  ปีกก็คงจะเป็นได้แค่ส่วนเกินที่ไร้ค่า
	ผมลิงโลดกับพลังแห่งปีกจนไม่รู้ว่าบินมาไกลแค่ไหนแล้ว  ภาพที่เห็นเบื้องล่างเป็นดินแดนอันแปลกตา  มันถูกปกคลุมด้วยฝุ่นละอองสีแดง  ใช่ล่ะ! มันคือผงทรายที่กำลังปลิวกระจัดกระจายด้วยแรงลม  นี่คงเป็นอาณาเขตที่มนุษย์เรียกขานกันว่าทะเลทราย  มันดูกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาและอาจจะกลบกลืนสรรพชีวิตไว้ใต้เม็ดทรายร่วนละเอียดเหล่านี้จนนับไม่ถ้วน   แต่แน่ละ!  ถึงอย่างไรมันก็ยังไม่อาจเทียบเท่ากับความยิ่งใหญ่ของท้องฟ้าได้หรอก
	เมื่อบินผ่านพ้นเขตทะเลทราย  ภูมิประเทศเบื้องล่างเปลี่ยนเป็นภูเขาหินสูงชันซับซ้อน  ปลายยอดภูเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ผมอดประหลาดใจไม่ได้กับการบรรจบกันของความเย็นกับความร้อน เสมือนว่าทั้งสองส่วนลุข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธี  ต่างฝ่ายต่างสงวนพลังอันยิ่งใหญ่ของตนไว้ไม่ล่วงเกินซึ่งกันและกัน  ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าวันหนึ่ง ทั้งคู่เกิดโรมรันห้ำหั่นกัน เศษธุลีอย่างมนุษย์จะไปหลบเร้นที่ใดได้พ้น
	บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง  ผมมองเห็นสิ่งก่อสร้างรูปทรงแปลกตาดูคล้ายวัดแต่ไม่ใช่วัดแบบที่ผมเคยเห็น  ความอยากรู้ชวนผมบินร่อนลงไปยังสถานที่นั้น  สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความเงียบสงบ  ไม่ใช่เงียบจากการไร้สรรพเสียงรบกวน แต่เป็นความเงียบสงบที่ก่อเกิดขึ้นมาจากภายใน  ผมร่อนลงเกาะบนกิ่งไม้เล็กๆ กิ่งหนึ่ง  บริเวณรอบต้นไม้เป็นลานหินโล่งรูปวงกลมซึ่งชายชราในอาภรณ์แปลกตากำลังกวาดใบไม้แห้งมารวมกันตรงกลางลาน
	สวัสดีครับ  ท่านเป็นเจ้าของที่นี่หรือ?  ผมกล่าวคำทักทาย
	ชายชราผู้นั้นหยุดกวาดหันมามองผมพลางประนมมือขึ้นประชิดหน้าอกและค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
	เปล่าเลย  เราเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยเท่านั้น  ท่านพูดพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ
	แล้วใครเป็นเจ้าของล่ะ?  ผมไม่วายสงสัย
	ไม่มีใครเป็นเจ้าของหรอก  ใบไม้ก็เป็นของใบไม้  ก้อนหินก็เป็นของก้อนหิน
	แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่?   ผมเปลี่ยนคำถาม 
	เรามาเพื่อรักษาศรัทธา  และชี้ทางให้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย  ท่านตอบด้วยกิริยาสงบ
	งั้นท่านก็เป็นผู้วิเศษ?
	เปล่า...เราเป็นแค่คนธรรมดา
	แล้วทำไมถึงคิดว่าทุกคนต้องการท่าน?
	พวกเขาต้องการความเชื่อมั่นในศรัทธาของตัวเอง
	ผมนิ่งคิดตามคำตอบของชายชรา  แต่ชั่วครู่คำถามใหม่ก็เกิดขึ้น
	ท่านรู้หรือเปล่า ว่าศรัทธาได้แยกมนุษย์ออกจากกัน  ก่อให้เกิดความแตกต่างและความขัดแย้งจนนำไปสู่สงคราม  มนุษย์เข่นฆ่ากันมาหลายยุคหลายสมัย  เพียงเพราะศรัทธาที่ไม่ลงรอย
	ท่านกำลังดูแคลนพลังแห่งศรัทธาและมองข้ามความมืดบอดด้านอื่นๆ  ของมนุษย์  น้ำเสียงของชายชรายังคงราบเรียบ ภายใต้ใบหน้านิ่งสงบ  ศรัทธาที่แท้จริงนั้นไม่เคยสอนให้มนุษย์แปลกแยกหรือแตกต่างกันในความเป็นมนุษย์  ความแตกต่างนั้นล้วนเกิดขึ้นจากการตีความที่บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปจากแก่นแท้  และเมื่อผสมเข้ากับความมืดบอดในจิตใจมนุษย์ที่มักยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก  ตีความสิ่งต่างๆ ตามแรงปรารถนาของตน สุดท้ายจึงนำไปสู่การเข่นฆ่าเพื่อกำจัดผู้ที่มีความเห็นแตกต่างจากตน
	ท่านเป็นผู้ขจัดความมือบอดในจิตใจมนุษย์หรือ?
	เราเป็นเพียงผู้ชี้ทาง  ส่วนจะเกิดผลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวเขาเองว่าจะนำไปใช้อย่างไร  สมมุติเรามอบมีดให้ไปเล่มหนึ่ง เขาอาจจะนำมันไปแผ้วถางเพื่อสร้างพื้นที่เพาะปลูกหล่อเลี้ยงชีวิต หรืออาจจะนำมันไปใช้เป็นอาวุธเพื่อเข่นฆ่าทำลายชีวิต  นั่นขึ้นกับว่าจิตใจเขาถูกห่อหุ้มด้วยสิ่งใด  ผ้าฝ้ายขาวบริสุทธิ์หรือตาข่ายดำทะมึนที่อบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือด  เราห้ามการเข่นฆ่าไม่ได้หรอก ตราบใดที่มนุษย์ยังหยิบเอาความแตกต่างมาอ้างเป็นความขัดแย้ง  แทนที่จะเปิดใจเรียนรู้กันและกัน
	หมายความว่า  สงครามจะไม่มีวันยุติตราบใดที่ยังมีพรมแดนแห่งความแตกต่างขีดคั่นระหว่างพวกเขา  ผมเริ่มสิ้นหวัง
	พรมแดนที่อันตรายที่สุดอยู่ในนี้  ชายชราวางฝ่ามือลงบนหน้าอกตัวเอง  ถ้าทลายกำแพงทิฐิในนี้ลงได้  มนุษย์ก็จะมองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวผู้อื่นไม่แตกต่างจากความเป็นมนุษย์ของตัวเอง  สันติสุขอันแท้จริงก็จะบังเกิด  สงครามจะกลายเป็นแค่บทเรียนแห่งความโง่เขลาในอดีต
	ผมนิ่งเงียบ  นักบวชชราก้มหน้ากวาดใบไม้แห้งต่อด้วยอาการสงบ  ชั่วอึดใจถัดมาผมก็ตัดสินใจกล่าวลา
	ท่านจะไปที่ใด?
	ยังไม่รู้  ผมตอบ  ตั้งใจว่าจะบินต่อไปเรื่อยๆ  จนกว่าจะหมดความสนใจในการบิน
	ก่อนกระพือปีกบินออกมาจากสถานที่อันสงบเงียบนั้น  ผมได้รับคำอำนวยพรจากท่าน ซึ่งเป็นเพียงถ้อยคำง่ายๆ แต่ฟังดูคล้ายสาส์นแห่งสันติสุขที่ต้องการเผยแผ่ไปยังมนุษย์ทุกผู้
	ผมบินสูงขึ้นสู่ผืนฟ้ากว้างใหญ่อีกครั้ง  มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก  การกระพือปีกของผมยังเปี่ยมไปด้วยพลัง เพียงแค่ขยับนิดหน่อยก็เกิดแรงส่งอันมหาศาลส่งตัวผมพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่สุดจะคาดเดา  คงไม่มีนกตัวไหนทำได้อย่างผมแน่ๆ 

	
	ท้องฟ้ายังคงเจิดจ้าด้วยแสงแห่งดวงอาทิตย์ตอนที่ผมร่อนลงในซอกหลืบระหว่างหุบเขา
กองหินเรียงรายรอบปากหลุมดินคือสิ่งสะดุดตาที่ทำให้ผมอยากลงไปดูใกล้ๆ  ในหลุมดินนั้นมีมนุษย์ที่ยังคงมีชีวิต!
	พวกเขาเป็นเด็กหนุ่ม ผิวคล้ำ ดวงตากลมโต  สีหน้าไม่บ่งบอกว่ากำลังทุกข์หรือสุข  แต่ทุกคนมีปืนและสวมกอดมันเสมือนเป็นอาภรณ์ประดับชิ้นหนึ่ง
	พวกเธอเป็นผู้ร้ายหรือ?  ผมเอ่ยปากถามเมื่อร่อนลงเกาะบนกองหินใกล้ๆ พวกเขา
	เปล่า  พวกเขาตอบ
	ถ้าอย่างนั้น เหตุใดพวกเธอจึงต้องพกปืน  ความสงสัยเต้นเป็นประกายในดวงตาของผม
	เรากำลังต่อสู้  หนึ่งในนั้นตอบน้ำเสียงราบเรียบ
	กับใคร?
	ฝ่ายตรงข้าม
	ฝ่ายตรงข้าม?
	ใช่!
	พวกเธอขัดแย้งกันด้วยเรื่องอะไร?  ผมสงสัยในเหตุแห่งสงคราม
	หลายอย่าง  แววตาคนพูดแข็งกร้าวขึ้นชั่วขณะ
	ไม่มีทางอื่นที่จะหาข้อยุติของความขัดแย้งได้หรือ?
	ไม่มีหรอก  ในดินแดนแห่งนี้ภาษาเดียวที่เราพูดกันเข้าใจก็คือสงคราม  การสู้รบจะยุติก็ต่อเมื่อลมหายใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นสุดลงเท่านั้น  เด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นผู้ตอบ
	แต่ความจริงอีกอย่างหนึ่งก็คือ  ความขัดแย้งจะยังคงดำเนินอยู่ต่อไปเหนือร่างไร้ชีวิต  เหนือหลุมศพนับพันนับหมื่น  เพราะมันหยั่งรากลึกอยู่ในสายเลือดของพวกเรา หยั่งลึกลงในทุกธุลีดิน  คนรุ่นหนึ่งอาจจะตายจากไปพร้อมกับความขัดแย้งอย่างหนึ่ง   แต่ข้อขัดแย้งใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาพร้อมกับคนใหม่  สงครามจะถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น อย่างไม่มีวันจบสิ้น
	เธอเคยยิงใครหรือเปล่า?  ผมหันไปถามเด็กหนุ่มที่ท่าทางอ่อนเยาว์กว่าเพื่อน
	เขาพยักหน้า  แววตาปราศจากความวิตก  ตอนเป็นเด็กวัยเดียวกันนี้ผมก็เคยถือปืนของเล่นรูปร่างคล้ายกับปืนในมือเขา
	เธอมีเหตุผลอะไรที่ต้องสู้?
	ครอบครัวผมตายเพราะกับระเบิดของพวกนั้น  ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจับปืนขึ้นมาต่อสู้เพื่อแก้แค้น  พวกเราทุกคนล้วนมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน  คือความสูญเสียที่คนอื่นหยิบยื่นให้
	จะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่เธอยิงนั้นเป็นคนที่วางกับระเบิดครอบครัวเธอ
	ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าถ้าเราไม่ยิง  เราก็ถูกยิง  เขาให้เหตุผลอย่างง่ายๆ
	ผมนิ่งเงียบ  ก่อนจะมีคำถามใหม่
	เธอไม่กลัวหรือ?
	กลัวอะไร?
	ความตายและการสู้รบที่ไม่วันจบสิ้น
	ไม่กลัวหรอก ตราบที่เรามีปืน มีอาวุธที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าฝ่ายนั้น
	ฝ่ายนั้น มีเด็กอายุขนาดเธอไหม?
	มีทุกขนาดแหละ ทั้งเด็กกว่าและแก่กว่า  ผมยังเคยยิงคนที่แก่คราวพ่อมาแล้ว  ตาเฒ่านั่นคว้ามีดไล่ฟันพวกเรากะฆ่าให้ตาย  คนตัวโตกว่าชิงตอบ  โชคดีที่เรายังเหลือกระสุนมากพอที่จะหยุดเขา
	การยิงคนเป็นเรื่องสนุกสำหรับเธอหรือ?  ผมถามต่อไปอย่างขุ่นเคือง
	เปล่า  คนตัวเล็กส่ายหัว  ไม่สนุกเลย
	ผมว่าเขาหมายความตามนั้นจริงๆ  เพราะภายใต้ดวงตาแข็งกร้าวนั้น มีร่องรอยแห่งความเศร้าสร้อยแฝงเร้นอยู่  ผมไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเด็กน้อยมีตะกอนอะไรติดค้างในเบื้องลึกของความรู้สึก  รู้แต่ว่ามันกำลังกัดกินเขาจากภายใน   โดยที่ ไม่อาจหลบหนีหรือสลัดมันทิ้งได้
	ฉันคงต้องไปแล้ว  ผมเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกหมดความสนใจต่อชะตากรรมของพวกเขา
หวังว่าพวกเธอคงโชคดี  ผมกล่าวลาอย่างไม่รู้จะใช้คำพูดไหน  ก่อนจะสยายปีกบินออกมาจากซากกองหินรอบปากหลุมดินแห่งนั้น


นานและไกลเท่าใดไม่รู้พลังแห่งปีกได้นำพาผมมาสู่ดินแดนอีกแห่งหนึ่ง
มันเป็นมหานครขนาดใหญ่  ผมไม่เคยเห็นเมืองที่ไหนใหญ่โตเท่านี้มาก่อน  ตึกรามบ้านช่องล้วนงดงามแปลกตา หรือว่าผมบินมาไกลจนถึงดินแดนที่ผู้คนเรียกกันว่าสรวงสวรรค์แล้ว  ไม่ใช่หรอก  นั่น!  มนุษย์หัวไม้ขีดไฟเดินกันขวักไขว่  บางคนหัวสีทอง บางคนหัวแดงเพลิงราวหัวไม้ขีดกำลังติดไฟ  ผมโฉบลดระดับลงไปใกล้ยิ่งขึ้นจนเริ่มสัมผัสได้ถึงความอลหม่านวุ่นวายของผู้คนและมหานครแห่งนี้
ผมบินลอดเข้าทางช่องลมของอาคารสูงแห่งหนึ่ง  มันปิดกั้นตัวเองจากคนภายนอกอย่างมิดชิด  ดูเหมือนที่นี่จะเป็นโรงงานอะไรสักอย่าง มีเครื่องจักรขนาดใหญ่หลายเครื่องตั้งเรียงรายเต็มไปหมด  คนงานร่างกายกำยำกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างขะมักเขม้น  ดูเหมือนไม่มีใครมีเวลาใส่ใจกับการมาเยือนของผม
ผมบินผ่านคนงานกลุ่มนั้นไปยังชายคนหนึ่งซึ่งดูท่าทางน่าจะเป็นคนคุมงาน  เขาแต่งตัวด้วยยูนิฟอร์มสะอาดสะอ้าน ยืนกอดอกอยู่บนรองเท้าหนังมันวับราวกระจกเงา  ผมร่อนลงเกาะที่ราวเหล็กข้างๆ เขา
สวัสดี  ผมคงไม่ได้มาขัดจังหวะนะ  ผมเอ่ยทักทาย
เขาหันมายิ้มพร้อมคำตอบสั้นๆ  อ๋อ ไม่หรอก
คุณคุมที่นี่หรือ?
จะว่าใช่ก็ใช่...ความจริงผมเป็นคนออกแบบ  เขายักไหล่
ออกแบบอะไร?  ผมอยากรู้
นึกว่าคุณรู้แล้วซะอีก  เขามองผมเหมือนรอให้พูด  แต่พอเห็นผมทำหน้างงเลยพูดต่อ  ผมเป็นนักออกแบบอาวุธ
เป็นงานที่น่าสนใจดีนี่!
ท้าทายเลยทีเดียวล่ะ  คิดดูสิสิ่งประดิษฐ์ของเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันประเทศ  ผมมีส่วนช่วยกองทัพในการรักษาความมั่นคงของชาติ  เขาเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น  ความจริงผมน่าจะได้เหรียญกล้าหาญบ้างนะ
คุณออกแบบปืนด้วยใช่ไหม?
แน่นอน!  รุ่นล่าสุดนี่ผมตั้งชื่อมันตามชื่อลูกสาวผมด้วยนะ  เขาหัวเราะร่วน
เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ผมภูมิใจมากที่สุดก็ว่าได้  เพราะผมสามารถทำลายข้อจำกัดเก่าๆ ด้วยการเพิ่มสมรรถนะในการยิงให้มันเป็นอาวุธที่ใช้งานง่ายแต่มีความแม่นยำสูง  ขนาดลูกสาวผมยังยิงได้สบายๆ
ประเทศคุณมีสงครามด้วยหรือ?  ผมสงสัย
ไม่มีหรอก  แต่กองทัพก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ  เราไม่รู้หรอกว่าสงครามจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่  แต่เราพร้อมรับมือเสมอถ้าหากมันเกิดขึ้น  แววตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย
พวกคุณเป็นพวกกระหายสงคราม?
หึหึ...ไม่รู้สิ  สำหรับผมมันเป็นโอกาสพิสูจน์ผลงาน  เขาลูบเคราเบาๆ  งานของผมจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีสงคราม  ไม่ว่าจะเป็นสงครามของใครก็ตาม
หมายความว่าคุณขายอาวุธให้คนอื่นด้วย?
แน่นอน!  ทุกที่ย่อมมีคนต้องการอาวุธ  เราไม่ใจแคบเก็บไว้ใช้คนเดียวหรอก 
รู้หรือเปล่า? ว่าปืนของคุณทำให้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก  น้ำเสียงผมจริงจัง
เฮ้!  คุณต้องแยกแยะให้ออก  ระหว่างคนประดิษฐ์ปืนกับคนลั่นไก  ผมไม่ได้เที่ยวควงปืนของผมไปยิงใครต่อใคร  และถึงไม่มีปืนของผม  พวกนั้นก็หาวิธีฆ่ากันได้อยู่แล้ว  เราแค่เพิ่มทางเลือกให้-ก็เท่านั้น  เขาแบะมืออย่างไม่ยี่หระ
บ่อยครั้งที่ปืนของผมช่วยตัดสินผลแพ้ชนะของสงคราม  แล้วรู้ไหมเกิดอะไรหลังจากนั้น?  อิสรภาพ  การปลดแอกเอกราชในบางประเทศ  ปืนช่วยย่นระยะเวลาในขณะที่การเจรจามักจะก่อความยืดเยื้อเสมอ
ถ้าวันหนึ่งอาวุธของคุณย้อนกลับมาทำร้ายครอบครัวคุณเองล่ะ?
ไม่มีทางหรอก  ใครๆ ก็รู้ว่าประเทศของเรามีกองทัพที่เข้มแข็งขนาดไหน  น้ำเสียงเขามั่นใจอย่างนั้นจริงๆ  และเราก็มีอารยธรรมที่เจริญก้าวหน้าเกินกว่าจะใช้อาวุธตัดสินปัญหา
ผมก็หวังเช่นนั้น ขอให้คุณโชคดีไปตลอดก็แล้วกัน  ผมทำท่าจะขยับปีกบิน 
เขารีบยกมือท้วงเหมือนยังต้องการพูดต่อ
เดี๋ยวก่อน...เผื่อจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นบ้าง  เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเป็นหัวหน้าทีมนักวิจัยในบริษัทยายักษ์ใหญ่ ซึ่งผมเองก็มีหุ้นอยู่ในนั้นด้วย
ผมหยุดฟังด้วยความสนใจในสิ่งที่เขาจะพูดต่อไป
ยาของเราถูกส่งออกไปช่วยชีวิตคนป่วยในทุกภาคพื้นทั่วโลก  แล้วเราก็ไม่ได้ค้าขายเพียงหวังผลกำไรอย่างเดียวเท่านั้นหรอก  ในประเทศด้อยพัฒนาเราแจกยาให้ประชาชนผู้ขาดแคลนฟรีๆ โดยไม่คิดมูลค่า  พวกนั้นน่ะอย่าว่าแต่เงินจะซื้อยาเลย  อาหารจะประทังชีวิตยังต้องงอมือรอความช่วยเหลือจากนานาชาติอยู่เลย  จะว่าเราช่วยต่อชีวิตให้พวกเขาก็ไม่ผิด
ก่อนจะขายปืนให้ฝ่ายตรงข้ามเอามายิงพวกเขาทิ้งน่ะหรือ?  ผมเหน็บเสียงขุ่น
นั่นเป็นความขัดแย้งของพวกเขา  เป็นความเกลียดชังที่เราไม่ได้เป็นคนก่อ  ความจริงพวกนั้นมีสิทธิที่จะเลือกใช้วิธีอื่นในการตัดสินปัญหา  แต่พวกเขาก็วิ่งเข้าหาทางลัดและเลือกหยิบเอาวิธีการที่ง่ายที่สุด
ผมไม่แน่ใจว่าจะดีใจหรือเปล่า  ที่ได้รู้ว่าคุณเป็นเจ้าของบริษัทยา  ผมพูดไปตามที่รู้สึก  แต่ก็นั่นแหละมันก็คงไม่ยุติธรรมที่จะโยนความผิดทั้งหมดให้เขา  ในเมื่อ...คนพวกนั้นยังคงวิ่งเข้าหาทางลัดและเลือกหยิบเอาวิธีการที่ง่ายที่สุด    อย่างที่เขาปรามาศไว้
ผมคงต้องไปแล้ว  ยังมีอีกหลายที่ที่ผมอยากเห็น  หวังว่าคุณคงขายยาได้มากกว่าปืนนะ  ผมพูดก่อนขยับปีกกระพือออกบิน
นั่นก็ขึ้นกับว่ามีคนอยากอยู่มากกว่าคนอยากตาย  เสียงเขาตอบไล่หลังมาไม่ห่าง
นั่นสินะ


ผมบินออกจากมหานครแห่งนั้น มุ่งหน้าลงทางใต้
บินข้ามมหาสมุทร จนไปถึงผืนแผ่นดินกว้างใหญ่อันอุดมด้วยเทือกเขาและป่ารกทึบ  เมื่อล่วงพ้นเขตป่าผมมองเห็นที่ลาบเตียนโล่ง ที่ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ไม่สามารถเดินทางมาถึง  แผ่นดินแห้งแตกระแหง  ต้นไม้ยืนต้นแห้งเฉารอคอยวินาทีแห่งความตายที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะ  แหล่งน้ำแห้งขอดจนเกือบจะกลายเป็นปรักโคลนขุ่นขลัก  ไม่ไกลจากแหล่งน้ำมีเพิงผ้าใบเก่ามอซอตั้งท้าลมท้าแดดอยู่อย่างโดดเดี่ยว  ผมผ่อนแรงกระพือปีก  ค่อยๆ ร่อนลงยังพื้นดินด้านหน้าเพิงแห่งนั้น  ข้างในเพิงมีเตียงไม้เรียงรายหลายเตียง  และทุกเตียงมีคนป่วยนอนซมคล้ายรอคอยการตัดสินของชะตากรรมอันมืดหม่น  คนที่ไม่เจ็บป่วยก็เฝ้าปรนนิบัติญาติมิตรของตนอยู่ไม่ห่างเตียง  แววตาของพวกเขานั้นฉาบด้วยความเศร้าสร้อย สิ้นหวัง 
ผมขยับเข้าไปใกล้เตียงของชายชราผิวเข้มหนวดเคราปรกรุงรัง  ซึ่งนอนนิ่งด้วยลมหายใจอันแผ่วบาง  เขาเหลือบมองผมด้วยดวงตาแร้นแค้น
เธอมาทันได้ดูความตายของฉันพอดี  พ่อหนุ่ม  เสียงเขาลอดผ่านลำคอออกมาอย่างยากลำบาก
ผมไม่ได้มาดูความตายของคุณหรือของใครหรอก  ผมแค่เดินทางผ่านมาเท่านั้น  ผมตอบ
แต่ถึงยังไง  เธอก็จะได้เห็นความตายของฉันอยู่ดี
คุณรู้ได้ยังไง ว่ากำลังจะตาย?  ผมขยับเข้าใกล้เขายิ่งขึ้น
รู้สิ  อีกไม่กี่อึดใจฉันจะต้องตายแน่ๆ  ทุกคนที่นอนซมอยู่ที่นี่ก็จะต้องตายเหมือนอย่างฉัน  ไม่มีใครรอดหรอก  ไม่มีใครมาช่วยเรา พวกเขาทิ้งเราแล้ว
ใครทิ้งพวกคุณ?  ผมอยากรู้ขึ้นมาทันที
หมอ
หมอ?!
ใช่...หมอ  พวกนั้นเป็นหมอ  พวกเขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากดินแดนที่อยู่ไกลแสนไกล  เพื่อเอายามารักษาให้เราฟรีๆ  ตามความเห็นของฉันถ้าพวกเขาไม่ใช่หมอพวกเขาก็คงเป็นพระเจ้า  เขาสำลักและไอออกมา 2-3 ที
ยาของพวกเขาราวกับน้ำทิพย์จากพระผู้เป็นเจ้า  มันทำให้อาการป่วยของพวกเราดีขึ้นทันตาเห็น  ฉันเกือบจะลุกจากเตียงได้อยู่แล้วเชียว  แต่แล้วอยู่ๆ พวกเขาก็บอกเราว่ายาหมด  ถ้าจะรักษาต่อต้องใช้เงินจำนวนมาก  มากเท่าใดฉัน     ไม่รู้หรอก  รู้แต่ว่าตัวฉันไม่มีเงินเลย  พวกเราทุกคนไม่มีใครมีเงินกันหรอก  เราไม่มีงานให้ทำมานานแล้ว  ตั้งแต่ประเทศของเราเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
แล้วทำไมพวกเขายอมให้ยาฟรีในตอนแรกล่ะ?  ผมเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล
เรื่องนั้นฉันไม่รู้หรอก  เห็นพวกเขาพูดกันว่ามันเป็นยาตัวใหม่  และเราเป็นคนป่วยกลุ่มแรกที่ได้ลองใช้ยาพวกนี้  พวกเขาจุดประกายความหวังให้เรา  ก่อนจะทอดทิ้งเราไว้ใต้ม่านมืดแห่งความสิ้นหวัง  ดูคนพวกนี้สิ  ชายชราเบี่ยงหน้าไปยังคนป่วยอื่นๆ ที่วางร่างกายเหี่ยวแห้งราวซากศพอยู่บนเตียงไม้เก่าๆ
พวกเขาล้วนอยู่บนชะตากรรมเดียวกันกับฉัน  ต้องการยา  และรอคอยความตาย  โดยแอบตั้งความหวังไว้ลึกๆ  เบื้องหลังแววตาจวนเจียนสิ้นหวัง ว่าอย่างแรกจะเดินทางมาถึงก่อน
ผมไพร่นึกถึงยาของพ่อค้าอาวุธ  และอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบระหว่างยากับปืนของเขา  อย่างไหนฆ่าคนให้ล้มตายมากกว่ากัน
ทำไมพวกคุณไม่คิดช่วยตัวเองบ้างเล่า  นอกจากการนอนรอคอยความตายอยู่เฉยๆ  อย่างนี้
เราทำอะไรไม่ได้หรอก พ่อหนุ่ม  ก่อนมาถึงนี่ท่านคงเห็นสภาพความกันดารของดินแดนแห่งนี้แล้ว  เราได้สูญเสียจิตวิญญาณเดิมที่เคยอยู่กับเรามาเนิ่นนานตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษไปอย่างสิ้นเชิง  ป่าของเราถูกตัดทำลาย  พืชพรรณอันมีค่าถูกลำเลียงไปยังดินแดนของคนผู้มั่งคั่งวันแล้ววันเล่า  จนสุดท้ายเราไม่เหลือแม้แต่สมุนไพรสักต้น  น้ำเสียงเขาบ่งชัดถึงความเจ็บปวด
เมื่อทรัพยากรเหลือจำกัดสงครามก็เกิดขึ้น  ผู้คนแตกออกเป็นฝักฝ่ายแข่งขันกันสั่งสมอาวุธ และเริ่มลงมือเข่นฆ่ากันเอง  ความจริงสงครามที่ฉันกล่าวถึงนี้เกิดอยู่ยังอีกฟากหนึ่งของประเทศเรา  แต่ผลของมันลุกลามไปยังทั่วทุกหัวระแหง  ความตาย  ความอดอยาก  ความแร้นแค้นกันดารคือคนแปลกหน้าที่เดินเข้ามาขับไล่เราออกจากบ้านอันอบอุ่นแสนสุข    ของเราเอง  ผู้ที่มีกำลังเข้มแข็งกว่ายึดครองเอาทุกอย่างเป็นของตนเอง  ในขณะที่ผู้อ่อนแอถูกจับมัดแน่นไว้กับความสิ้นหวัง
เอาล่ะ ได้เวลาที่ฉันต้องพักผ่อนแล้ว  ดีใจที่ได้พูดกับเธอนะ  ขออวยพรให้เธอโชคดี  พูดจบชายชราก็ปิดเปลือกตาลง  หน้าอกของเขายังกระเพื่อมตามจังหวะหายใจอันแผ่วเบา
ลาก่อน  ผมกล่าวคำลาแก่เขา  แล้วบินจากมาอย่างเงียบเชียบ
ชายชรา  รวมทั้งคนป่วยพวกนั้นอาจจะสิ้นใจก่อนที่ผมจะทันบินพ้นจากดินแดนของพวกเขา  หรืออาจจะอยู่ต่อบนลมหายใจรวยริน  กระทั่งหมอของพวกเขานำยาตัวใหม่มาป้อนให้  แต่ถึงอย่างไรมันคงไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้  ชะตากรรมที่ถูกกระทำโดยเงื้อมมือของคนแปลกหน้าที่พวกเขาไม่มีวันได้รู้จัก
ผมนึกถึงคำอวยพรของนักบวชผู้ตั้งมั่นในความสงบสุขบนยอดเขาสูง  และอยากมอบมันให้แก่ชายชราผู้สิ้นหวัง  แต่ใจหนึ่งผมคิดว่า  ชายชราได้ล่วงรู้และเข้าใจในสัจธรรมแห่งชีวิตด้วยตัวของเขาเองแล้ว  คงไม่มีคำอวยพรใดๆ  มีค่ากับเขาอีกต่อไป  ซึ่งผมอาจจะคิดผิดก็ได้

ดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลง คงใกล้เวลาอัสดงเต็มที 
ผมบินอยู่เหนือแผ่นดินกว้างใหญ่ที่ดูเหมือนไร้ขอบเขต  เสียงปืนดังแว่วมาจากทิศใดทิศหนึ่งซึ่งไกลออกไป  แม้จะแผ่วเบามันก็สร้างความสับสนให้กับผมจนไม่รู้ว่าจะบินต่อไปทางไหน  ผมนึกไม่ออกว่ายังมีอะไรอื่นอีกที่ผมยังอยากรู้อยากเห็น  ยังมีดินแดนใดที่ผมอยากไปถัดจากนี้  ผมรู้แค่ว่าความสนุกในการบินของผมมลายหายไปหมดแล้ว  ความภูมิใจในพละกำลังแห่งปีกไม่มีตกค้างหลงเหลืออยู่อีกเลย  โลกอันไร้พรมแดนแบ่งกั้นนั้นเป็นเพียงมายาคติที่ผมอุปโลกย์ขึ้นมา  เป็นโลกที่ไม่มีอยู่ในความเป็นจริง
ปีกของผมหมดเรี่ยวแรงพร้อมๆ กับหัวใจอันห่อเหี่ยว สิ้นหวัง
และสิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดก็คือ
ตื่นจากความฝันนี้เสียที!				
13 ธันวาคม 2549 08:33 น.

ปรารถนา...ของคนบาป

พีรเดช นวลสาย

ผมรู้สึกเหมือนถูกภูเขาทั้งลูกกดทับลงมากลางอก
เอาล่ะซี!  ทีนี้จะทำยังไงดี  เรื่องที่เคยเป็นแค่ความคิดสกปรก  ตอนนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว  โดยทั้งผมและทั้งหล่อนยินยอมพร้อมใจร่วมกันก่อมันขึ้นมา บอกตามตรงตอนนั้นนอกจากกามกระหายที่บดบังความรู้สึกชั่วดีในตัวจนหมดมิด  ผมไม่ได้ตระหนักถึงผลอันจะเกิดตามมาต่อจากนี้เลยสักนิด  หล่อนเองก็คงไม่ต่างกันนัก  เรื่องสกปรกนี่คงไม่มีทางเกิดขึ้น  ผมรู้หล่อนไม่ได้หลับสบายจริงๆ อย่างที่กำลังทำอยู่ตอนนี้แน่  ในหัวของหล่อนต้องหมุนคว้างจนความคิดระคนปนเป  จนยากจะจับต้นชนปลายถูก  มันจะเป็นอะไรอื่นไปได้อีกเล่ากับคนที่กำลังถูกความรู้สึกผิดเข้าคุกคาม
ผมจุดบุหรี่สูบ   ระบายควันออกมาตามจังหวะถอนหายใจ  หันไปมองร่างเปลือยเปล่าของหล่อนที่นอนหันหลังให้
ทีนี้ จะเอายังไง?
คุณถามฉัน?  หล่อนทำเสียงฉุน
คือ..ผมไม่ได้หมายความว่า... ผมอึกอัก
แต่คุณคิด! หรือคุณจะปฏิเสธ?  หล่อนพลิกตัวกลับมา  ดึงบุหรี่จากมือผมไปสอดเข้าปาก
ใช่สิ! คุณได้ฉันง่ายๆ นี่  มันก็ไม่แปลกถ้าคุณจะลุกจากเตียงไปเฉยๆ  โดยไม่ต้องใส่ใจอะไร  ฉันต่างหากที่ต้องโทษตัวเองที่ร่านผู้ชายเกินไป
ไม่ใช่ยังงั้นหรอกน่า  คุณก็น่าจะรู้ว่าผมหมายถึงอะไร
ผมฉุนขึ้นมาบ้าง รู้หรอกน่าว่าหล่อนแกล้งทำเป็นขึ้นเสียงเพื่ออะไรปกป้องตัวเองยังไงล่ะ  หล่อนจะบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของหล่อนคนเดียวทั้งหมด ผมนี่ไงหุ้นส่วนความผิดอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ  มันก็จริง  แต่หล่อนเองก็ต้องไม่ลืม  ว่าใครเป็นคนทอดสะพานให้ผมเดินเข้าหา
ใบหน้าขึ้งเครียดของหล่อน  ช่างดูบิดเบี้ยวน่าเกลียดซะเหลือเกิน  โดยเฉพาะน้ำเสียงเล็กแหลมที่พูดเหมือนจะโยนความผิดทั้งหมดให้ผมคนเดียว  มันหายไปไหนแล้วล่ะ ไอ้ความสวยเย้ายวนที่ผมกระหายนักหนา  หรือว่าหล่อนเป็นคนละคนกับแม่สาวสวยสุดเซ็กซี่คนนั้น  หรือว่านี่คือเนื้อแท้เบื้องหลังเปลือกห่อหุ้มอันแสนสวยนั่น  ไม่อยากเชื่อเลยว่า  ผมหลงอะไรในตัวหล่อนถึงขนาดกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดมาก่อนหน้านี้
แน่ล่ะ!  ผมไม่ปฏิเสธว่าหล่อนดูดีกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ในออฟฟิศด้วยกัน  พวกนั้นมีแต่ยายเพิ้งหนังเหนียวที่ไม่เคยจำนนต่อสังขารตัวเอง  แถมยังใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตหมดไปกับการจับกลุ่มซุบซิบนินทาคนโน้นคนนี้  ไม่เว้นกระทั่งเรื่องบนเตียงของสามีตนเอง  และก็หัวเราะหัวใคร่กันคิกคักเห็นเป็นเรื่องสนุก  นั่นคือภาพที่ผมเกลียดเข้าไส้
แต่หล่อนนั้นแตกต่างไปจากคนอื่น  ทั้งการวางตัว อุปนิสัย  และโดยเฉพาะความเพอร์เฟ็คท์ของรูปกาย  ซึ่งไม่ได้จำกัดอัดแน่นอยู่ในวัตถุทรงกลมเตี้ยม่อต้ออย่างแม่ไก่แก่พวกนั้น  หล่อนจึงเป็นเหมือนกุหลาบงามเพียงดอกเดียวท่ามกลางดงดอกอุตพิดทั้งหลาย  ที่มีทั้งกลิ่นหอมเย้ายวนและน้ำหวานหล่อเลี้ยงหัวใจผู้ชายอย่างพวกเราให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเฉาตายกันไปซะก่อน  ผมคงต้องยืดอกยอมรับอย่างไม่เสแสร้งว่าสนใจในตัวหล่อนไม่น้อย  และก็เป็นในแง่เซ็กส์มากกว่าอย่างอื่น  บ่อยครั้งที่แอบเก็บเอาเรือนร่างอวบอัดของเธอไปชำเราในความฝัน  เป็นการหาความสุขที่ทำได้โดยไม่ต้องเสี่ยงกับฝ่ามือของหล่อน  ใครจะหาว่าลามกวิตถารอะไรก็ตามใจเถอะ  ผู้ชายทุกคนคิดอย่างนี้กับหล่อนทั้งนั้น   เพียงแต่ผมอาจเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริงก็เท่านั้น  ตราบใดก็ตามที่มันยังเป็นแค่ความคิด  ต่อให้หมกมุ่นหรือโสมมยังไงมันก็ยังไม่สมควรถูกตราหน้าว่าเป็นความผิด  ผมคิดอย่างนั้น  เพราะความคิดเพียงอย่างเดียวทำร้ายใครต่อใครไม่ได้  ยกเว้นเราปล่อยให้มันมีอำนาจเหนือกว่าและกลายเป็นผู้ควบคุมตัวเรา  แต่ถ้าจะมีใครสักคนที่มันพอจะทำร้ายได้  ก็คงเป็นตัวเจ้าของความคิดเองนั่นแหละ  เหมือนกับที่มันกำลังเล่นงานผมจนกระวนกระวายใจอยู่ในตอนนี้

ฉันรู้นะว่าคุณมองฉันอยู่
นั่นเป็นประโยคแรกที่หล่อนพูดกับผมเมื่ออาทิตย์ก่อน  ดวงตาหล่อนมันแปลบจนผมแทบมองเห็นตัวเองในนั้น
ผม-เปล่า...  ผมปฏิเสธได้ไม่เต็มเสียง
อย่ามาทำปากแข็งหน่อยเลยน่า  ดวงตาคุณมันสารภาพกับฉันหมดเปลือกแล้ว
หล่อนค้อมตัวลงมาจ้องตาผม  ไม่รู้จริงๆว่าตั้งใจแกล้งหรือลืมตัวกันแน่  เพราะจังหวะนั้นเนินเนื้อขาวเนียนขนาดมหึมาสองก้อนของเจ้าหล่อนแทบจะล้นทะลักออกมานอกคอเสื้อ  หัวใจผมเต้นระรัวจนคร่อมจังหวะ  ลำคอแห้งผากเนื้อตัวร้อนวูบวาบไปหมด  ไม่คิดเลยว่าหล่อนจะรุกผมหนักขนาดนี้
ว่าไงล่ะ  คุณแอบมองฉันอยู่ใช่ไหม?  เสียงแหลมเล็กของหล่อน ดึงความคิดผมกลับมาสู่ความจริง
ก็-คุณ-สวย  ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกเหนือจากนี้จริงๆ
หล่อนยิ้ม  แล้วหันหลังเดนจากไปเฉยๆ  ปล่อยให้ผมนั่งงงอยู่คนเดียว  หล่อนจะเอายังไงกันแน่ โกรธ เกลียด หรือจริงๆ  แล้วก็แอบมีใจให้ผมอยู่  ถ้าเป็นอย่างหลังมันคงเป็นลาภก้อนโตที่ฟ้าประทานลงมาให้แก่สุนัขจิ้งจอกผู้หิวโหย  ซึ่งมันพร้อมเสมอที่จะกระโจนเข้าขย้ำอย่างไม่ลังเล  แต่ก็ยากจะเชื่อเหมือนกันว่าหล่อนจะคิดอย่างนั้น  เพราะเท่าที่จำได้เราแทบไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ  ทั้งหล่อนเองก็ไม่เคยแสดงออกว่าสนใจใคร่สนิทกับผู้ชายคนไหน  แน่นอนว่ารวมทั้งผมด้วย

ผมบรรจงเคาะข้อนิ้วกลางลงบนบานประตูเบาๆ  2-3 ครั้ง
ครู่เดียวมันก็แง้มเปิดออก  ผมมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีใครจึงรีบแทรกตัวเข้าไปข้างใน ทันทีที่ได้เห็นหล่อนในชุดนอนสีขาวบางเฉียบแทบจะทะลุถึงร่างเปล่าเปลือยภายใน  กับหน้าอกงอนงามซึ่งตั้งชันล้ำหน้าส่วนไหนๆ  ออกมาราวกำลังเชื้อเชิญให้ลองลิ้มรสสัมผัส  จิ้งจอกหิวโวในตัวผมเหมือนถูกปลุกกระตุ้นด้วยกลิ่นคาวเลือดสดๆ  จากบาดแผลเหยื่อ  มันคำรามกึกก้องแล้วกระโจนเข้าใส่ทันที
ผมบดจูบริมฝีปากเรียวบางของหล่อนอย่างหนักหน่วงสองมือคลึงเคล้นซอกซอนไปทั่วร่างอวบอัดนั้น  ขณะที่หล่อนเองก็โต้ตอบอย่างไม่ถดถอย  มันเป็นบทเร้าโรมที่รุนแรงถึงใจที่สุดเท่าที่เคยสัมผัส  เลือดในกายผมพุ่งพล่านไปทุกอณูเนื้อ  ถึงนาทีนี้ต่อให้พระเจ้าก็ห้ามความต้องการของเราทั้งคู่ไม่ได้แล้ว
ไปข้างบนดีกว่าค่ะ
หล่อนถอนปากออกมากระซิบเสียงกระเส่า  เมื่อเห็นผมตั้งท่าจะดึงชุดนอนออก
ตามใจคุณสิที่รัก  ผมจูบลงบนหน้าอกหล่อนอย่างนิ่มนวล  แล้วช้อนแขนอุ้มตัวหล่อนขึ้นมาด้วยแรงกระสัน จังหวะที่สายตาผมประสานกับสายตาเยิ้มมันเต้นระริกของหล่อนพาให้คิดถึงแววตาแบบเดียวกันนี้  ตอนที่หล่อนเดินมากระซิบเบาๆ ข้างหูผมถึงโต๊ะทำงานเมื่อเย็นวานว่าจะลาป่วยวันนี้  เป็นไปได้อยากมีคนมาอยู่ดูแลเป็นเพื่อนที่บ้าน  มันไม่ใช่ข้อสอบตรรกะที่ต้องใช้เวลาคิดคำนวณอะไรให้เสียเวลา  ผมรีบรับปากทันที  ความจริงอยากจะตามหล่อนกลับเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ  เพราะมโนธรรมอันเปราะบางในใจถูกฉีกขาดกระจุยกระจายลงแล้ว  ใครจะไปคิด  ว่าหล่อนเองก็มีความต้องการอย่างเดียวกัน

ผมจุดบุหรี่สูบเป็นมวนที่สอง
สีดควันเข้าจนลึกสุดปอดแล้วค่อยๆ ผ่อนออกมาทางรูจมูก  อดแปลกใจไม่ได้เลยว่า  ความกระหายอยากกับความสุขสมที่เพิ่งเกดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมามันมลายหายไปไหนหมดแล้ว  เพลงกามที่บรรเลงอย่างถึงพริกถึงขิงไม่หลงเหลือแม้สักท่วงทำนองซาบซึ้งให้จดจำ  ทั้งที่มันเป็นความต้องการซึ่งอัดแน่นอยู่ภายในรอวันได้ปะทุออกมา  ผมน่าจะลิงโลดดีใจสิ  เมื่อตอนนี้มันได้ระบายออกมาแล้ว  แรงปรารถนาเหล่านั้นไดรับการตอบสนองอย่างสาสมแล้วกับผู้หญิงที่เฝ้ามองเฝ้าฝันมาตลอดคนนี้  ผมต้องตักตวงเอาจากหล่อนให้มากที่สุดถึงจะถูก  แต่กลับนั่งมองร่างเปลือยที่นอนข้างๆ นี้ด้วยความสับสนและจุกแน่นหน้าอกราวถูกภูเขาทั้งลูกกดทับ
จะเอายังไงล่ะ?  หล่อนถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ผมไม่รู้  คงต้องปล่อยเลยตามเลย...ก็มันเกิดขึ้นแล้วนี่  ผมพูดเสียงเบาหวิว
หรือคุณมีความคิดที่ดีกว่านี้?
หล่อนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
แต่แบบนี้มันผิด!!
ผมรู้  แต่ก่อนหน้านี้เราทั้งคู่ไม่มีใครคิดจะยับยั้งมันเลยนี่  เราสนใจแต่ความต้องการของตัวเองจนปล่อยให้มันเลยเถิดมาไกลถึงนี่แล้ว  ผมพูดไปตามที่รู้สึก
เราจะแอบทำแบบนี้ไปตลอดหรือไง? หล่อนถาม
มันเป็นทางเดียว  หรือไม่ก็ต้อง...
เลิกกันแค่นี้...ใช่ไหม?!
ผมเปล่าพูด
แต่คุณคิด!  คุณนอนกับฉัน  ในบ้านฉัน  บนเตียงนอนของฉัน  เสร็จแล้วก็จะเดินออกไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  หล่อนผุดลุกขึ้นนั่ง
แล้วฉันล่ะ!?  ฉันก็จะกลายเป็นผู้หญิงใจง่าย ไม่เคยอิ่มในกาม เป็นแค่นังแพศยาไร้ค่า  เท่านั้นใชไหม๊?!
ผมเปล่าคิดอย่างนั้น  ผมไม่ใช่ผู้ชายประเภทไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้นหรอก  เพียงแต่ยังคิดไม่ออกเลยว่า  จากนี้เราจะทำยังไงกันดี  คุณคิดหรือว่าจะปิดเรื่องนี้กับสามีคุณได้ตลอด
หล่อนก้มหน้านิ่งเงียบ  ตัวสั่นสะอื้น 
ภาพใบหน้าผู้ชายคนนั้น  ตอนหัวใจสลายเมื่อเห็นกับตาตัวเองว่า เมียรักกำลังกอดรัดร่วมรักอย่างเผ็ดร้อนกับชายชู้บนเตียงที่เขาหลับนอนกับหล่อนมาตลอดชีวิตคู่  ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวผม  ตามติดด้วยภาพใบหน้าซึมเศร้าของเมียผมที่สว่างวาบเข้ามาแทนที่อย่างฉับพลัน  ผมเห็นเธอนั่งนิ่งอยู่บนโซฟารับแขกจนดึกดื่นเพื่อจะพบว่าสามีเลวๆ ที่เธอรอเปิดประตูรับ  กลับมาพร้อมกับคำโกหกคำโตที่เตรียมไว้สำหรับตอบแทนความภักดีของเธอโดยเฉพาะ  และแกล้งชวนเธอร่วมรักเพื่อกลบเกลื่อนความเคลือบแคลง  ทั้งที่แทบหมดแรงไปกับผู้หญิงอื่นมาไม่กี่นาที
แน่นอนว่าผมต้องปิดเธอให้ถึงที่สุด  แต่ใครจะรับปากได้ว่า  วันหนึ่งเรื่องมันจะไม่แดงขึ้นมา  โดยเฉพาะเรื่องคาวๆ แบบนี้  ยังไม่เคยเห็นใครปิดมันได้สนิทจริงๆ สักที  ถึงตอนนั้นเธอจะมีภูมิต้านทานกับมันแค่ไหน  ไม่ยุติธรรมเลยสำหรับเมียที่แสนดีอย่างเธอ  แต่ผมก็ได้ทำลงไปแล้ว  จะแก้ตัวยังไงได้ทุกอย่างดูมันตื้อและตีบตันไปหมด  จนผมรู้สึกเหมือนกำลังจะโยนชีวิตคู่ของตัวเองทิ้ง  เพียงเพื่อสังเวยกามารมณ์หยาบอยากชั่วไม่กี่นาที
มันช่างโง่เง่า  บัดซบดีแท้!!

ผมนั่งดูดบุหรี่ระบายความคิดไปเกือบครึ่งซอง
มันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด  เพียงแต่เพื่อฆ่าเวลาให้หมดๆ ไปเท่านั้น-เวลาอันเชื่องช้ายาวนาน ราวกับหยุดนิ่งอยู่กับที่
ถามจริงเถอะ  คุณชอบฉันบ้างไหม?
หล่อนใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยใบหูผมเบาๆ  ผมหันไปมองนัยน์ตามันวาวคู่นั้น  พยักหน้าเนิบช้า  หล่อนยิ้มออกมาง่ายดาย  รั้งตัวผมเข้าไปกอดรัดสอดเสียดเรียวขางามมาก่ายเกย  ไออุ่นจากเรือนกายเนียนนิ่มกระตุ้นอารมณ์ให้ปะทุขึ้นมาอย่างประหลาด  เสียงสัตว์ป่าในตัวร้องโหยหวนตอบรับ  ผมจึงรั้งคอหล่อนมาบดจูบริมฝีปากและพลิกตัวขึ้นทับบนร่างร้อนร่านนั้นทันที  ไฟปรารถนาเบื้องต่ำของเราทั้งคู่กำลังถูกจุดให้ลุกโชนขึ้นอีกคำรบหนึ่ง  มันร้อนแรงเพียงพอที่จะแผดเผาความคิดสับสนในหัวใจจนมอดไหม้หมดสิ้น
ช่างหัวมันปะไร!!
จะทำผิดแค่ครั้งเดียวหรือหลายครั้งมันก็ถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลวอยู่วันยังค่ำ  จะแปลกอะไรถ้าจะทำมันหลายๆ ครั้งไปเลย  จะได้รู้สึกว่าเลวอย่างคุ้มค่าหน่อย
ผมได้ยินเสียงสัตว์ในตัวมันสบถออกมาอย่างนี้				
4 ธันวาคม 2549 11:26 น.

แมลงวันหัวเขียว

พีรเดช นวลสาย

แมลงวันหัวเขียวตัวอ้วนกลมตัวหนึ่ง
บินโฉบเข้าไปทางหน้าต่างของบ้านสีชมพูหลังใหญ่  มันตั้งหน้าบินตรงไปยังโต๊ะอาหาร  ซึ่งคนในบ้านกำลังนั่งทานมื้อเช้ากันอยู่
มันร่อนลงเกาะบนจานข้าวของลูกสาวคนเดียวของบ้าน เธออายุสิบห้า กำลังแตกเนื้อสาวด้วยใบหน้าสวยได้รูปเหมือนแม่ ดวงตาคมเหมือนพ่อ  และมีรอยยิ้มที่ใครต่อใครพากันนึกอิจฉา  เธอกำลังเรียนชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนที่มีชื่อแห่งหนึ่ง  ซึ่งพ่อกับแม่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้เธอได้สิทธิเข้าเรียน
ความจริงเด็กสาวเป็นเด็กฉลาด  มีผลการเรียนที่ดีมาโดยตลอด  แต่มันไม่เพียงพอที่จะได้นั่งเก้าอี้โรงเรียนระดับแนวหน้าแห่งนี้หรอก  หากว่าพ่อแม่ของเธอเป็นแค่นายหมูนางหมาจนๆ  ไม่มีเพื่อนที่เป็นอาจารย์คอยเป็นธุระวิ่งเต้นให้  เด็กสาวตอบแทนด้วยการมานะตั้งใจเรียน  ไม่วอกแวกเสียสมาธิกับสิ่งเร้ารอบข้าง  และมันควรจะเป็นอย่างนั้นไปตลอด
หากเธอไม่บังเอิญมองเห็นเจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวใหญ่น่าขยะแขยง  กำลังไต่ตอมบนจานข้าวแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนคลื่นไส้  จนต้องรีบลุกวิ่งเข้าห้องน้ำ  แม่หันมองตามหน้าตาตื่นรีบวิ่งตามลูกสาวไปติดๆ  ด้วยความเป็นห่วง   ช่วยลูบหลังให้เธอเป็นพัลวัน  อีกมือรองน้ำใส่แก้วยื่นให้บ้วนปาก  เสร็จแล้วค่อยประคองกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารดังเดิม
พอเห็นว่าลูกสาวเริ่มตั้งตัวได้  ทั้งแม่ทั้งพ่อ รีบร้อนซักถามอาการแทบจะพร้อมกัน  แต่เด็กสาวยังไม่ทันได้ขยับปากพูด  เธอเหลือบไปเห็นเจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวเดิมเข้าอีก  ก็เกิดอาการคลื่นไส้จนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง  และคราวนี้ส่งเสียงโอ้กอ้ากดังยิ่งกว่าหนแรก  แม่ตามเข้าไปในห้องน้ำด้วยสีหน้ากังวล  เธอรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าชักไม่เข้าที  แต่ยังประคองสติยืนลูบหลังให้ลูกสาวด้วยความเป็นห่วง  แล้วประคองกลับมาที่โต๊ะอาหาร
เธอถามลูกสาวทันทีว่าเป็นอะไร  เด็กสาวไม่ตอบเอาแต่ก้มหน้าก้มตานิ่งเงียบ  แม่เค้นเสียงถามอีกครั้ง  เด็กสาวตัวสั่นและเริ่มสะอื้น  แม่ของเธอใจหายวาบ  คล้ายแว่วคำตอบที่ไม่อยากได้ยินดังมาจากที่ไหนซักแห่ง  แต่เธอยังพยายามตั้งสติ  และระงับอารมณ์เพื่อไม่ให้ลูกสาวตื่นกลัว
เธอถามคำถามเดิมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งขึ้น  เด็กสาวยังไม่ยอมปริปากกลับสั่นวะอื้นหนักขึ้นกว่าเดิม   แม่ยังไม่หมดความอดทน  เธอค่อยๆ ประคองไหล่เล็กๆ ของลูกสาวให้เงยหน้าขึ้นมา  แล้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง  เด็กสาวมองเข้าไปในดวงตาของแม่มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยจนกล้าหาญมากพอจะตอบคำถาม
หนูท้อง!
เธอพูดได้เท่านั้น  น้ำเสียงก็เหมือนขาดห้วงหายไปเฉยๆ  เหลือเพียงเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นตอนซบหน้าชื้นลงบนตักแม่

แมลงวันหัวเขียวบินขึ้นจากจานข้าวของเด็กสาว  โฉบบินส่งเสียงดังหึ่งๆ มันไม่รู้หรอกว่า  ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังหัวใจสลาย  พ่อของเด็กสาวนั่งตัวแข็งทื่อ  เขาเพิ่งจะกินข้าวได้เพียง 2-3 คำ  แต่ตอนนี้กลืนอะไรไม่ลงอีกแล้ว
ไม่เป็นไรจ้ะ  ไม่เป็นไร...  แม่ลูบหัวลูกสาวเบาๆ พลางปลอบโยน  ทั้งๆ ที่เธอเองนั้นก็กำลังรู้สึกอื้ออึงในหูทั้งสองข้าง  และแทบจะชาไปหมดทั้งตัว  เธอปล่อยให้ลูกสาวซบสะอื้นบนตักอย่างนั้นจนเริ่มเงียบเสียงลง  จึงค่อยใช้มืออุ่นประคองหัวไหล่น้อยๆ  ให้ลุกขึ้น   พอเห็นดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าชื้นน้ำตาของลูกสาว  แม่ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาบ้าง  แต่เธอยังพยายามตั้งสติ และถามออกไปแผ่วเบา
หนูท้องกับใคร  บอกแม่ได้ไหม?
เด็กสาวหลบตา
ไม่ต้องกลังนะลูก  บอกแม่มาเถอะ แม่จะได้ช่วยหนูได้ไงจ๊ะ  แม่ยายามอีก  แต่ยังไม่มีคำตอบใดๆ หลุดจากปากลูกสาว  นอกจากเสียงสะอื้น
นิกรใช่ไหม?!
เธอนึกถึงเพื่อนชายที่ลูกสาวสนิทสนมด้วยมากที่สุด  นิกรเรียนห้องเดียวกันกับลูกสาวของเธอ เด็กทั้งสองดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ  แต่มันก็ยากจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มท่าทางซื่อๆ  ตรงไปตรงมาอย่างนิกรจะร้ายกาจถึงขั้นกล้าฉวยโอกาสกับลูกสาวของเธอได้ ที่สำคัญการพบปะของเด็กทั้งสองเรียกว่าไม่เคยพ้นจากสายตาผู้ใหญ่เลย
เป็นมันจริงๆ ด้วย  ไม่ต้องกลังหรอกพ่อจะจัดการให้เอง  จะลากคอมันมาเค้นเอาความจริงให้ได้  พ่อซึ่งนั่งนิ่งอยู่นานทุบโต๊ะเสียงดัง  เด็กสาวหันขวับไปมองด้วยแววตาแข็ง  พลางกัดเม้มริมฝีปากแน่น

เจ้าแมลงวันหัวเขียวบินโฉบลงมาเกาะไต่ในจานข้าวของพ่อ  เขารีบตวัดมือไล่อย่างฉุนเฉียว  มันบินหลบว่องไว  และโฉบไปบินวนเวียนส่งเสียงดังหึ่งๆ อยู่บนหัวเขาแทน
ไล่มันออกไปที หนูเกลียดมัน!!
เด็กสาวชี้มือไปทางเสียงหึ่งๆ โดยไม่หันหน้าไปมอง
ไล่มันไปสิคุณ ไอ้แมลงวันหัวเขียวสกปรก! 
แม่หันไปบอกพ่อ  เธอเองก็เริ่มจะหงุดหงิดมันขึ้นมาบ้าง  พ่อตวัดมือไล่แรงๆ แต่เจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวใหญ่ยังไม่ยอมบินหนีไปง่ายๆ เขาจึงลุกขึ้นใช้สองมือไล่ตบ  มันบินฉวัดเฉวียนหลบหลีกไปที่ตะกร้าเสื้อผ้าตรงมุมห้อง  เขารีบตามติด และตบโครมลงไปด้วยโทสะ  จนตะกร้ากระเด็นกลิ้งหลุนๆ  เสื้อผ้ากระจัดกระจายเกลื่อนพื้น  เจ้าแมลงวันหัวเขียวบินร่อนลงแบผ่านเนกไทสีแปลกตาอันหนึ่ง  พ่อรีบก้มหยิบขึ้นมากำแน่นไว้ในฝ่ามือ
มันมาที่นี่อีกแล้วใช่ไหม?! 
พ่อเหวี่ยงเนกไทอันนั้นลงบนโต๊ะตรงหน้าแม่  เธอถึงกับผงะรีบเสหน้าไปทางอื่น
ฉันถามว่า มันมาที่นี่อีกแล้วใช่ไหม! 
พ่อทุบกำปั้นโครมลงบนโต๊ะ
ใช่!  แม่ตวาดกลับ  เขามา-แล้วจะทำไม!?
อ้อ!  เดี๋ยวนี้กล้าลอยหน้าลอยตารับอย่างไม่อายแล้วสินะ  นังแพศยา!
พ่อขบกรามจ้องหน้าแม่เขม็ง
อย่ามายืนชี้หน้าด่าฉันแบบนี้นะ  แม่ลุกพรวดขึ้นบ้าง  อย่างน้อยเขาก็ดีกว่าคุณ!
จะเทิดทูนมันยังไงก็เชิญตามสบายเลย  แต่อย่าพามันมาระเริงกามในบ้านหลังนี้!
พูดยังงี้ต่อหน้าลูกได้ยังไง!
ฉันจะพูด! มันจะได้รู้ความจริงซะทีว่า  แม่มันน่ะทำตัวเหลงแหลกแค่ไหน
ที่ทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้ก็เพราะคุณ! คุณไม่เคยให้ความสุขกับฉันเลย  แล้วถ้าฉันจะหาความสุขใส่ตัวบ้างมันผิดมากมายนักรึไง!?
หาความสุข!  นี่เธอกล้าพูดอย่างไม่กระดากปากขนาดนี้เลยหรือ?
ทำไมล่ะ  ถ้าจะอาย  ฉันคงอายที่มีสามีอย่างคุณมากว่า  อย่าคิดนะว่าฉันไม่เคยระแคะระคายเรื่องหนุ่มคู่ขาของคุณเลย  คนเค้าลือกันจนจะได้ยินมาถึงหน้าบ้านอยู่แล้ว!

เจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวเดิมบินวนกลับเข้ามาที่โต๊ะอาหารอีก  แต่เวลานี้ไม่มีใครใส่ใจมันอีกต่อไปแล้ว  โต๊ะอาหารที่เคยดูอบอุ่น  บัดนี้กลายสภาพเป็นเหมือนสมรภูมิรบร้อนระอุ  ไม่มีความเป็นพ่อ-แม่-ลูก หลงเหลือ  มันได้แต่บินวนเวียนส่งเสียงหึ่งๆ ไปรอบๆ
พอซะทีได้ไหม๊!!
เด็กสาวแผดเสียงร้อง  แต่มันก็ถูกกลืนหายไปกับเสียงทะเลาะกันของพ่อแม่ และเสียงของแมลงวันหัวเขียว
หนูท้องกับอาจารย์ประจำชั้น!!  เธอลุกขึ้นขึ้นยืนระหว่างคนทั้งสอง  เขาข่มขืนหนูที่โรงเรียน!
คราวนี้ได้ผล  พ่อกับแม่ถึงกับหยุดชะงักใบหน้าซีดเผือดไปทั้งคู่
ได้ยินไหม๊!!
อาจารย์ประจำชั้นเพื่อนสนิทของพ่อกับแม่คนนั้น-มันข่มขืนหนู  มันขู่จะเอาคลิปเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ถ้าหนูเล่าให้ใครฟัง  ฮือๆ
เด็กสาวปล่อยโฮออกมาอย่างไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว-หัวใจของเธอแหลกสลายจนไม่มีชิ้นดี
พ่อกับแม่ของเธอได้แต่นิ่งอึ้ง  ทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง  บัดนี้ทั้งโต๊ะอาหารเหลือเพียงเสียงสะอื้นไห้
เจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวอ้วนกลมบินวนเวียนส่งเสียงหึ่งๆ  อยู่ครู่หนึ่ง  มันก็บินผละออกมาทางหน้าต่างของบ้านสีชมพูหลังใหญ่หลังนั้น

มันบินฉวัดเฉวียนไปมาในอากาศอย่างเริงร่า  ก่อนจะตั้งหน้าบินตรงไปยังหน้าต่างบ้านที่อยู่ถัดไป...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพีรเดช นวลสาย
Lovings  พีรเดช นวลสาย เลิฟ 0 คน
Lovers  0 คน เลิฟพีรเดช นวลสาย
Lovings  พีรเดช นวลสาย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพีรเดช นวลสาย
Lovings  พีรเดช นวลสาย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพีรเดช นวลสาย