13 ธันวาคม 2549 08:55 น.
พีรเดช นวลสาย
ผมฝันว่าตัวเองกลายเป็นนก!!
ในความฝันผมโบยบินอย่างอิสระ ผ่านออกไปทางหน้าต่างห้องนอนลอยลิ่วสู่ท้องฟ้ากว้างใหญ่ แรงโบกของปีกกับสายลมช่วยยกตัวผมให้ลอยสูงขึ้น สูงขึ้น ผ่านชั้นเมฆชั้นแล้วชั้นเล่า จนมองลงมาเห็นสิ่งต่างๆ บนพื้นมีขนาดเล็กแค่เท่าหัวไม้ขีด
ผมรู้สึกหัวใจกำลังพองโตจนคับแน่นหน้าอก มันเป็นความตื่นเต้นที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าในที่สุดผมก็บินได้ บินด้วยกำลังปีกทั้งสองข้างของตัวเอง ผมเป็นนก! ผมอยากตะโกนบอกมนุษย์ทุกๆ คน รวมทั้งนกทุกๆ ตัว ว่าผมเป็นนกและผมบินได้ พันธนาการต่างๆ ที่เคยผูกรัดมัดแน่นตอนที่ผมเป็นแค่คนเดินดินถูกทำลายลงด้วยแรงกระพือของปีก ตอนนี้ผมกำลังมุ่งหน้าสู่อิสรภาพอันยิ่งใหญ่ที่ท้องฟ้าหยิบยื่นให้
ผมบินฉวัดเฉวียน ผาดโผนหกคะเมนตีลังกาตามที่ใจนึกอยากจะทำ และตั้งใจจะบินร่อนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเรี่ยวแรง ซึ่งมันคงอีกนานหรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลยเพราะผมไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามยิ่งขยับปีกกลับยิ่งรู้สึกว่าพละกำลังมันยิ่งเพิ่มขึ้น หัวใจอันฮึกเหิมชวนผมบินไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ผมอาจจะบินรอบโลกสักรอบหรือหลายๆ รอบ เที่ยวดูให้ทั่วทุกซอกทุกมุม ทุกบ้านเมือง ทุกภูเขา และทุกๆ มหาสมุทร ผมจะไปทุกที่ ที่คนเดินเท้าทั่วไปทำไม่ได้
บนนี้ นอกจากความกว้างใหญ่ไพศาลอันไร้ขอบเขตแล้ว ผมยังได้เห็นโลกในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้เห็นผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลแทบไม่แตกต่างจากท้องฟ้า ผมมองเห็นแผ่นดินที่ปราศจากพรมแดน เห็นบ้านที่ปราศจากรั้วกั้น ทุกคนยืนอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกันไม่มีความเป็นประเทศหรือเชื้อชาติมาเป็นเส้นแบ่ง เป็นเพียงมนุษย์หัวไม้ขีดที่มีความเท่าเทียมเสมอภาคกัน
น่าอิจฉาพวกนก ที่มองเห็นโลกอันปราศจากเส้นแบ่งมาก่อนเรานานนับร้อยนับพันปีด้วยอิสรภาพที่พลังจากปีก มีให้ แต่เอ๊ะ! ตอนนี้ผมก็เป็นนกอยู่นี่นา วันหนึ่งที่มีโอกาสกลับลงไปผมจะเล่าสิ่งที่ได้เห็นนี้ให้กับทุกๆ คนที่ผมรู้จัก หรือแม้แต่กับคนอื่นๆ ที่เคยเป็นเพียงคนแปลกหน้า ผมจะบอกเล่าแก่พวกเขาถึงโลกใหม่ที่ผมได้เห็น ดินแดนแห่งอิสรเสรีอันกว้างใหญ่ไพศาลที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก นอกเสียจากว่าพวกมนุษย์เดินดินเหล่านั้นจะได้รับโอกาสอย่างผม
ใช่! พวกเขาต้องกลายเป็นนกเสียก่อน จึงจะสามารถสลัดความโง่เขลาออกไปจากก้นบึ้งแห่งความคิดอันมืดบอดได้ และนอกจากพลังแห่งปีกแล้วผมมองไม่เห็นอะไรอื่นที่จะปลดเปลื้องพันธนาการที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อผูกมัดตัวเองเอาไว้ได้ พวกเขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นเส้นแบ่งแห่งเชื้อชาติ ความไม่เท่ากันของสีผิว ความผิดแผกของภาษาพูด และแม้แต่ความเชื่อในพระเจ้า บ่อยครั้งที่พวกเขายกพวกเข้าโรมรันห้ำหั่นกันเพียงเหตุผลจากความแตกต่างของพระนามแห่งพระเจ้าที่ตนนับถือ ซึ่งพระนามเหล่านั้นก็ล้วนเกิดขึ้นจากการอุปโลกน์ของพวกเขาเองแทบทั้งสิ้น สุดท้ายมนุษย์คงไม่พ้นจมปรักอยู่ใต้ภูเขาเลากาแห่งอคติอันโง่เขลา
นกสิ คือ ตัวแทนของความมีอิสรภาพแห่งจิตวิญญาณที่แท้จริง พวกมันมีปีกที่จะพาบินไปได้ทุกหนทุกแห่งในโลก ไม่มีเส้นแบ่งหรือเส้นสมมุติใดมาปิดกั้นกำหนดขอบเขตการเดินทางแสวงหาของพวกมัน ไม่มีภาระการงานหรือหน้าที่สมมุติอื่นใดที่พวกมันต้องสวมบทบาทนอกจากความเป็นนก มันฉลาดพอที่จะไม่กักขังตนเองไว้กับความหอมหวานเย้ายวนของสิ่งยั่วยุต่างๆ ซึ่งถ้านกมัวหลงงมงายอยู่กับสิ่งสมมุติเหล่านั้น ปีกก็คงจะเป็นได้แค่ส่วนเกินที่ไร้ค่า
ผมลิงโลดกับพลังแห่งปีกจนไม่รู้ว่าบินมาไกลแค่ไหนแล้ว ภาพที่เห็นเบื้องล่างเป็นดินแดนอันแปลกตา มันถูกปกคลุมด้วยฝุ่นละอองสีแดง ใช่ล่ะ! มันคือผงทรายที่กำลังปลิวกระจัดกระจายด้วยแรงลม นี่คงเป็นอาณาเขตที่มนุษย์เรียกขานกันว่าทะเลทราย มันดูกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาและอาจจะกลบกลืนสรรพชีวิตไว้ใต้เม็ดทรายร่วนละเอียดเหล่านี้จนนับไม่ถ้วน แต่แน่ละ! ถึงอย่างไรมันก็ยังไม่อาจเทียบเท่ากับความยิ่งใหญ่ของท้องฟ้าได้หรอก
เมื่อบินผ่านพ้นเขตทะเลทราย ภูมิประเทศเบื้องล่างเปลี่ยนเป็นภูเขาหินสูงชันซับซ้อน ปลายยอดภูเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ผมอดประหลาดใจไม่ได้กับการบรรจบกันของความเย็นกับความร้อน เสมือนว่าทั้งสองส่วนลุข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธี ต่างฝ่ายต่างสงวนพลังอันยิ่งใหญ่ของตนไว้ไม่ล่วงเกินซึ่งกันและกัน ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าวันหนึ่ง ทั้งคู่เกิดโรมรันห้ำหั่นกัน เศษธุลีอย่างมนุษย์จะไปหลบเร้นที่ใดได้พ้น
บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง ผมมองเห็นสิ่งก่อสร้างรูปทรงแปลกตาดูคล้ายวัดแต่ไม่ใช่วัดแบบที่ผมเคยเห็น ความอยากรู้ชวนผมบินร่อนลงไปยังสถานที่นั้น สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความเงียบสงบ ไม่ใช่เงียบจากการไร้สรรพเสียงรบกวน แต่เป็นความเงียบสงบที่ก่อเกิดขึ้นมาจากภายใน ผมร่อนลงเกาะบนกิ่งไม้เล็กๆ กิ่งหนึ่ง บริเวณรอบต้นไม้เป็นลานหินโล่งรูปวงกลมซึ่งชายชราในอาภรณ์แปลกตากำลังกวาดใบไม้แห้งมารวมกันตรงกลางลาน
สวัสดีครับ ท่านเป็นเจ้าของที่นี่หรือ? ผมกล่าวคำทักทาย
ชายชราผู้นั้นหยุดกวาดหันมามองผมพลางประนมมือขึ้นประชิดหน้าอกและค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
เปล่าเลย เราเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยเท่านั้น ท่านพูดพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ
แล้วใครเป็นเจ้าของล่ะ? ผมไม่วายสงสัย
ไม่มีใครเป็นเจ้าของหรอก ใบไม้ก็เป็นของใบไม้ ก้อนหินก็เป็นของก้อนหิน
แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่? ผมเปลี่ยนคำถาม
เรามาเพื่อรักษาศรัทธา และชี้ทางให้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ท่านตอบด้วยกิริยาสงบ
งั้นท่านก็เป็นผู้วิเศษ?
เปล่า...เราเป็นแค่คนธรรมดา
แล้วทำไมถึงคิดว่าทุกคนต้องการท่าน?
พวกเขาต้องการความเชื่อมั่นในศรัทธาของตัวเอง
ผมนิ่งคิดตามคำตอบของชายชรา แต่ชั่วครู่คำถามใหม่ก็เกิดขึ้น
ท่านรู้หรือเปล่า ว่าศรัทธาได้แยกมนุษย์ออกจากกัน ก่อให้เกิดความแตกต่างและความขัดแย้งจนนำไปสู่สงคราม มนุษย์เข่นฆ่ากันมาหลายยุคหลายสมัย เพียงเพราะศรัทธาที่ไม่ลงรอย
ท่านกำลังดูแคลนพลังแห่งศรัทธาและมองข้ามความมืดบอดด้านอื่นๆ ของมนุษย์ น้ำเสียงของชายชรายังคงราบเรียบ ภายใต้ใบหน้านิ่งสงบ ศรัทธาที่แท้จริงนั้นไม่เคยสอนให้มนุษย์แปลกแยกหรือแตกต่างกันในความเป็นมนุษย์ ความแตกต่างนั้นล้วนเกิดขึ้นจากการตีความที่บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปจากแก่นแท้ และเมื่อผสมเข้ากับความมืดบอดในจิตใจมนุษย์ที่มักยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก ตีความสิ่งต่างๆ ตามแรงปรารถนาของตน สุดท้ายจึงนำไปสู่การเข่นฆ่าเพื่อกำจัดผู้ที่มีความเห็นแตกต่างจากตน
ท่านเป็นผู้ขจัดความมือบอดในจิตใจมนุษย์หรือ?
เราเป็นเพียงผู้ชี้ทาง ส่วนจะเกิดผลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวเขาเองว่าจะนำไปใช้อย่างไร สมมุติเรามอบมีดให้ไปเล่มหนึ่ง เขาอาจจะนำมันไปแผ้วถางเพื่อสร้างพื้นที่เพาะปลูกหล่อเลี้ยงชีวิต หรืออาจจะนำมันไปใช้เป็นอาวุธเพื่อเข่นฆ่าทำลายชีวิต นั่นขึ้นกับว่าจิตใจเขาถูกห่อหุ้มด้วยสิ่งใด ผ้าฝ้ายขาวบริสุทธิ์หรือตาข่ายดำทะมึนที่อบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือด เราห้ามการเข่นฆ่าไม่ได้หรอก ตราบใดที่มนุษย์ยังหยิบเอาความแตกต่างมาอ้างเป็นความขัดแย้ง แทนที่จะเปิดใจเรียนรู้กันและกัน
หมายความว่า สงครามจะไม่มีวันยุติตราบใดที่ยังมีพรมแดนแห่งความแตกต่างขีดคั่นระหว่างพวกเขา ผมเริ่มสิ้นหวัง
พรมแดนที่อันตรายที่สุดอยู่ในนี้ ชายชราวางฝ่ามือลงบนหน้าอกตัวเอง ถ้าทลายกำแพงทิฐิในนี้ลงได้ มนุษย์ก็จะมองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวผู้อื่นไม่แตกต่างจากความเป็นมนุษย์ของตัวเอง สันติสุขอันแท้จริงก็จะบังเกิด สงครามจะกลายเป็นแค่บทเรียนแห่งความโง่เขลาในอดีต
ผมนิ่งเงียบ นักบวชชราก้มหน้ากวาดใบไม้แห้งต่อด้วยอาการสงบ ชั่วอึดใจถัดมาผมก็ตัดสินใจกล่าวลา
ท่านจะไปที่ใด?
ยังไม่รู้ ผมตอบ ตั้งใจว่าจะบินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดความสนใจในการบิน
ก่อนกระพือปีกบินออกมาจากสถานที่อันสงบเงียบนั้น ผมได้รับคำอำนวยพรจากท่าน ซึ่งเป็นเพียงถ้อยคำง่ายๆ แต่ฟังดูคล้ายสาส์นแห่งสันติสุขที่ต้องการเผยแผ่ไปยังมนุษย์ทุกผู้
ผมบินสูงขึ้นสู่ผืนฟ้ากว้างใหญ่อีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก การกระพือปีกของผมยังเปี่ยมไปด้วยพลัง เพียงแค่ขยับนิดหน่อยก็เกิดแรงส่งอันมหาศาลส่งตัวผมพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่สุดจะคาดเดา คงไม่มีนกตัวไหนทำได้อย่างผมแน่ๆ
ท้องฟ้ายังคงเจิดจ้าด้วยแสงแห่งดวงอาทิตย์ตอนที่ผมร่อนลงในซอกหลืบระหว่างหุบเขา
กองหินเรียงรายรอบปากหลุมดินคือสิ่งสะดุดตาที่ทำให้ผมอยากลงไปดูใกล้ๆ ในหลุมดินนั้นมีมนุษย์ที่ยังคงมีชีวิต!
พวกเขาเป็นเด็กหนุ่ม ผิวคล้ำ ดวงตากลมโต สีหน้าไม่บ่งบอกว่ากำลังทุกข์หรือสุข แต่ทุกคนมีปืนและสวมกอดมันเสมือนเป็นอาภรณ์ประดับชิ้นหนึ่ง
พวกเธอเป็นผู้ร้ายหรือ? ผมเอ่ยปากถามเมื่อร่อนลงเกาะบนกองหินใกล้ๆ พวกเขา
เปล่า พวกเขาตอบ
ถ้าอย่างนั้น เหตุใดพวกเธอจึงต้องพกปืน ความสงสัยเต้นเป็นประกายในดวงตาของผม
เรากำลังต่อสู้ หนึ่งในนั้นตอบน้ำเสียงราบเรียบ
กับใคร?
ฝ่ายตรงข้าม
ฝ่ายตรงข้าม?
ใช่!
พวกเธอขัดแย้งกันด้วยเรื่องอะไร? ผมสงสัยในเหตุแห่งสงคราม
หลายอย่าง แววตาคนพูดแข็งกร้าวขึ้นชั่วขณะ
ไม่มีทางอื่นที่จะหาข้อยุติของความขัดแย้งได้หรือ?
ไม่มีหรอก ในดินแดนแห่งนี้ภาษาเดียวที่เราพูดกันเข้าใจก็คือสงคราม การสู้รบจะยุติก็ต่อเมื่อลมหายใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นสุดลงเท่านั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นผู้ตอบ
แต่ความจริงอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความขัดแย้งจะยังคงดำเนินอยู่ต่อไปเหนือร่างไร้ชีวิต เหนือหลุมศพนับพันนับหมื่น เพราะมันหยั่งรากลึกอยู่ในสายเลือดของพวกเรา หยั่งลึกลงในทุกธุลีดิน คนรุ่นหนึ่งอาจจะตายจากไปพร้อมกับความขัดแย้งอย่างหนึ่ง แต่ข้อขัดแย้งใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาพร้อมกับคนใหม่ สงครามจะถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น อย่างไม่มีวันจบสิ้น
เธอเคยยิงใครหรือเปล่า? ผมหันไปถามเด็กหนุ่มที่ท่าทางอ่อนเยาว์กว่าเพื่อน
เขาพยักหน้า แววตาปราศจากความวิตก ตอนเป็นเด็กวัยเดียวกันนี้ผมก็เคยถือปืนของเล่นรูปร่างคล้ายกับปืนในมือเขา
เธอมีเหตุผลอะไรที่ต้องสู้?
ครอบครัวผมตายเพราะกับระเบิดของพวกนั้น ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจับปืนขึ้นมาต่อสู้เพื่อแก้แค้น พวกเราทุกคนล้วนมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือความสูญเสียที่คนอื่นหยิบยื่นให้
จะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่เธอยิงนั้นเป็นคนที่วางกับระเบิดครอบครัวเธอ
ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าถ้าเราไม่ยิง เราก็ถูกยิง เขาให้เหตุผลอย่างง่ายๆ
ผมนิ่งเงียบ ก่อนจะมีคำถามใหม่
เธอไม่กลัวหรือ?
กลัวอะไร?
ความตายและการสู้รบที่ไม่วันจบสิ้น
ไม่กลัวหรอก ตราบที่เรามีปืน มีอาวุธที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าฝ่ายนั้น
ฝ่ายนั้น มีเด็กอายุขนาดเธอไหม?
มีทุกขนาดแหละ ทั้งเด็กกว่าและแก่กว่า ผมยังเคยยิงคนที่แก่คราวพ่อมาแล้ว ตาเฒ่านั่นคว้ามีดไล่ฟันพวกเรากะฆ่าให้ตาย คนตัวโตกว่าชิงตอบ โชคดีที่เรายังเหลือกระสุนมากพอที่จะหยุดเขา
การยิงคนเป็นเรื่องสนุกสำหรับเธอหรือ? ผมถามต่อไปอย่างขุ่นเคือง
เปล่า คนตัวเล็กส่ายหัว ไม่สนุกเลย
ผมว่าเขาหมายความตามนั้นจริงๆ เพราะภายใต้ดวงตาแข็งกร้าวนั้น มีร่องรอยแห่งความเศร้าสร้อยแฝงเร้นอยู่ ผมไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเด็กน้อยมีตะกอนอะไรติดค้างในเบื้องลึกของความรู้สึก รู้แต่ว่ามันกำลังกัดกินเขาจากภายใน โดยที่ ไม่อาจหลบหนีหรือสลัดมันทิ้งได้
ฉันคงต้องไปแล้ว ผมเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกหมดความสนใจต่อชะตากรรมของพวกเขา
หวังว่าพวกเธอคงโชคดี ผมกล่าวลาอย่างไม่รู้จะใช้คำพูดไหน ก่อนจะสยายปีกบินออกมาจากซากกองหินรอบปากหลุมดินแห่งนั้น
นานและไกลเท่าใดไม่รู้พลังแห่งปีกได้นำพาผมมาสู่ดินแดนอีกแห่งหนึ่ง
มันเป็นมหานครขนาดใหญ่ ผมไม่เคยเห็นเมืองที่ไหนใหญ่โตเท่านี้มาก่อน ตึกรามบ้านช่องล้วนงดงามแปลกตา หรือว่าผมบินมาไกลจนถึงดินแดนที่ผู้คนเรียกกันว่าสรวงสวรรค์แล้ว ไม่ใช่หรอก นั่น! มนุษย์หัวไม้ขีดไฟเดินกันขวักไขว่ บางคนหัวสีทอง บางคนหัวแดงเพลิงราวหัวไม้ขีดกำลังติดไฟ ผมโฉบลดระดับลงไปใกล้ยิ่งขึ้นจนเริ่มสัมผัสได้ถึงความอลหม่านวุ่นวายของผู้คนและมหานครแห่งนี้
ผมบินลอดเข้าทางช่องลมของอาคารสูงแห่งหนึ่ง มันปิดกั้นตัวเองจากคนภายนอกอย่างมิดชิด ดูเหมือนที่นี่จะเป็นโรงงานอะไรสักอย่าง มีเครื่องจักรขนาดใหญ่หลายเครื่องตั้งเรียงรายเต็มไปหมด คนงานร่างกายกำยำกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ดูเหมือนไม่มีใครมีเวลาใส่ใจกับการมาเยือนของผม
ผมบินผ่านคนงานกลุ่มนั้นไปยังชายคนหนึ่งซึ่งดูท่าทางน่าจะเป็นคนคุมงาน เขาแต่งตัวด้วยยูนิฟอร์มสะอาดสะอ้าน ยืนกอดอกอยู่บนรองเท้าหนังมันวับราวกระจกเงา ผมร่อนลงเกาะที่ราวเหล็กข้างๆ เขา
สวัสดี ผมคงไม่ได้มาขัดจังหวะนะ ผมเอ่ยทักทาย
เขาหันมายิ้มพร้อมคำตอบสั้นๆ อ๋อ ไม่หรอก
คุณคุมที่นี่หรือ?
จะว่าใช่ก็ใช่...ความจริงผมเป็นคนออกแบบ เขายักไหล่
ออกแบบอะไร? ผมอยากรู้
นึกว่าคุณรู้แล้วซะอีก เขามองผมเหมือนรอให้พูด แต่พอเห็นผมทำหน้างงเลยพูดต่อ ผมเป็นนักออกแบบอาวุธ
เป็นงานที่น่าสนใจดีนี่!
ท้าทายเลยทีเดียวล่ะ คิดดูสิสิ่งประดิษฐ์ของเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันประเทศ ผมมีส่วนช่วยกองทัพในการรักษาความมั่นคงของชาติ เขาเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ความจริงผมน่าจะได้เหรียญกล้าหาญบ้างนะ
คุณออกแบบปืนด้วยใช่ไหม?
แน่นอน! รุ่นล่าสุดนี่ผมตั้งชื่อมันตามชื่อลูกสาวผมด้วยนะ เขาหัวเราะร่วน
เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ผมภูมิใจมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะผมสามารถทำลายข้อจำกัดเก่าๆ ด้วยการเพิ่มสมรรถนะในการยิงให้มันเป็นอาวุธที่ใช้งานง่ายแต่มีความแม่นยำสูง ขนาดลูกสาวผมยังยิงได้สบายๆ
ประเทศคุณมีสงครามด้วยหรือ? ผมสงสัย
ไม่มีหรอก แต่กองทัพก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ เราไม่รู้หรอกว่าสงครามจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เราพร้อมรับมือเสมอถ้าหากมันเกิดขึ้น แววตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย
พวกคุณเป็นพวกกระหายสงคราม?
หึหึ...ไม่รู้สิ สำหรับผมมันเป็นโอกาสพิสูจน์ผลงาน เขาลูบเคราเบาๆ งานของผมจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามของใครก็ตาม
หมายความว่าคุณขายอาวุธให้คนอื่นด้วย?
แน่นอน! ทุกที่ย่อมมีคนต้องการอาวุธ เราไม่ใจแคบเก็บไว้ใช้คนเดียวหรอก
รู้หรือเปล่า? ว่าปืนของคุณทำให้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก น้ำเสียงผมจริงจัง
เฮ้! คุณต้องแยกแยะให้ออก ระหว่างคนประดิษฐ์ปืนกับคนลั่นไก ผมไม่ได้เที่ยวควงปืนของผมไปยิงใครต่อใคร และถึงไม่มีปืนของผม พวกนั้นก็หาวิธีฆ่ากันได้อยู่แล้ว เราแค่เพิ่มทางเลือกให้-ก็เท่านั้น เขาแบะมืออย่างไม่ยี่หระ
บ่อยครั้งที่ปืนของผมช่วยตัดสินผลแพ้ชนะของสงคราม แล้วรู้ไหมเกิดอะไรหลังจากนั้น? อิสรภาพ การปลดแอกเอกราชในบางประเทศ ปืนช่วยย่นระยะเวลาในขณะที่การเจรจามักจะก่อความยืดเยื้อเสมอ
ถ้าวันหนึ่งอาวุธของคุณย้อนกลับมาทำร้ายครอบครัวคุณเองล่ะ?
ไม่มีทางหรอก ใครๆ ก็รู้ว่าประเทศของเรามีกองทัพที่เข้มแข็งขนาดไหน น้ำเสียงเขามั่นใจอย่างนั้นจริงๆ และเราก็มีอารยธรรมที่เจริญก้าวหน้าเกินกว่าจะใช้อาวุธตัดสินปัญหา
ผมก็หวังเช่นนั้น ขอให้คุณโชคดีไปตลอดก็แล้วกัน ผมทำท่าจะขยับปีกบิน
เขารีบยกมือท้วงเหมือนยังต้องการพูดต่อ
เดี๋ยวก่อน...เผื่อจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นบ้าง เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเป็นหัวหน้าทีมนักวิจัยในบริษัทยายักษ์ใหญ่ ซึ่งผมเองก็มีหุ้นอยู่ในนั้นด้วย
ผมหยุดฟังด้วยความสนใจในสิ่งที่เขาจะพูดต่อไป
ยาของเราถูกส่งออกไปช่วยชีวิตคนป่วยในทุกภาคพื้นทั่วโลก แล้วเราก็ไม่ได้ค้าขายเพียงหวังผลกำไรอย่างเดียวเท่านั้นหรอก ในประเทศด้อยพัฒนาเราแจกยาให้ประชาชนผู้ขาดแคลนฟรีๆ โดยไม่คิดมูลค่า พวกนั้นน่ะอย่าว่าแต่เงินจะซื้อยาเลย อาหารจะประทังชีวิตยังต้องงอมือรอความช่วยเหลือจากนานาชาติอยู่เลย จะว่าเราช่วยต่อชีวิตให้พวกเขาก็ไม่ผิด
ก่อนจะขายปืนให้ฝ่ายตรงข้ามเอามายิงพวกเขาทิ้งน่ะหรือ? ผมเหน็บเสียงขุ่น
นั่นเป็นความขัดแย้งของพวกเขา เป็นความเกลียดชังที่เราไม่ได้เป็นคนก่อ ความจริงพวกนั้นมีสิทธิที่จะเลือกใช้วิธีอื่นในการตัดสินปัญหา แต่พวกเขาก็วิ่งเข้าหาทางลัดและเลือกหยิบเอาวิธีการที่ง่ายที่สุด
ผมไม่แน่ใจว่าจะดีใจหรือเปล่า ที่ได้รู้ว่าคุณเป็นเจ้าของบริษัทยา ผมพูดไปตามที่รู้สึก แต่ก็นั่นแหละมันก็คงไม่ยุติธรรมที่จะโยนความผิดทั้งหมดให้เขา ในเมื่อ...คนพวกนั้นยังคงวิ่งเข้าหาทางลัดและเลือกหยิบเอาวิธีการที่ง่ายที่สุด อย่างที่เขาปรามาศไว้
ผมคงต้องไปแล้ว ยังมีอีกหลายที่ที่ผมอยากเห็น หวังว่าคุณคงขายยาได้มากกว่าปืนนะ ผมพูดก่อนขยับปีกกระพือออกบิน
นั่นก็ขึ้นกับว่ามีคนอยากอยู่มากกว่าคนอยากตาย เสียงเขาตอบไล่หลังมาไม่ห่าง
นั่นสินะ
ผมบินออกจากมหานครแห่งนั้น มุ่งหน้าลงทางใต้
บินข้ามมหาสมุทร จนไปถึงผืนแผ่นดินกว้างใหญ่อันอุดมด้วยเทือกเขาและป่ารกทึบ เมื่อล่วงพ้นเขตป่าผมมองเห็นที่ลาบเตียนโล่ง ที่ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ไม่สามารถเดินทางมาถึง แผ่นดินแห้งแตกระแหง ต้นไม้ยืนต้นแห้งเฉารอคอยวินาทีแห่งความตายที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะ แหล่งน้ำแห้งขอดจนเกือบจะกลายเป็นปรักโคลนขุ่นขลัก ไม่ไกลจากแหล่งน้ำมีเพิงผ้าใบเก่ามอซอตั้งท้าลมท้าแดดอยู่อย่างโดดเดี่ยว ผมผ่อนแรงกระพือปีก ค่อยๆ ร่อนลงยังพื้นดินด้านหน้าเพิงแห่งนั้น ข้างในเพิงมีเตียงไม้เรียงรายหลายเตียง และทุกเตียงมีคนป่วยนอนซมคล้ายรอคอยการตัดสินของชะตากรรมอันมืดหม่น คนที่ไม่เจ็บป่วยก็เฝ้าปรนนิบัติญาติมิตรของตนอยู่ไม่ห่างเตียง แววตาของพวกเขานั้นฉาบด้วยความเศร้าสร้อย สิ้นหวัง
ผมขยับเข้าไปใกล้เตียงของชายชราผิวเข้มหนวดเคราปรกรุงรัง ซึ่งนอนนิ่งด้วยลมหายใจอันแผ่วบาง เขาเหลือบมองผมด้วยดวงตาแร้นแค้น
เธอมาทันได้ดูความตายของฉันพอดี พ่อหนุ่ม เสียงเขาลอดผ่านลำคอออกมาอย่างยากลำบาก
ผมไม่ได้มาดูความตายของคุณหรือของใครหรอก ผมแค่เดินทางผ่านมาเท่านั้น ผมตอบ
แต่ถึงยังไง เธอก็จะได้เห็นความตายของฉันอยู่ดี
คุณรู้ได้ยังไง ว่ากำลังจะตาย? ผมขยับเข้าใกล้เขายิ่งขึ้น
รู้สิ อีกไม่กี่อึดใจฉันจะต้องตายแน่ๆ ทุกคนที่นอนซมอยู่ที่นี่ก็จะต้องตายเหมือนอย่างฉัน ไม่มีใครรอดหรอก ไม่มีใครมาช่วยเรา พวกเขาทิ้งเราแล้ว
ใครทิ้งพวกคุณ? ผมอยากรู้ขึ้นมาทันที
หมอ
หมอ?!
ใช่...หมอ พวกนั้นเป็นหมอ พวกเขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากดินแดนที่อยู่ไกลแสนไกล เพื่อเอายามารักษาให้เราฟรีๆ ตามความเห็นของฉันถ้าพวกเขาไม่ใช่หมอพวกเขาก็คงเป็นพระเจ้า เขาสำลักและไอออกมา 2-3 ที
ยาของพวกเขาราวกับน้ำทิพย์จากพระผู้เป็นเจ้า มันทำให้อาการป่วยของพวกเราดีขึ้นทันตาเห็น ฉันเกือบจะลุกจากเตียงได้อยู่แล้วเชียว แต่แล้วอยู่ๆ พวกเขาก็บอกเราว่ายาหมด ถ้าจะรักษาต่อต้องใช้เงินจำนวนมาก มากเท่าใดฉัน ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าตัวฉันไม่มีเงินเลย พวกเราทุกคนไม่มีใครมีเงินกันหรอก เราไม่มีงานให้ทำมานานแล้ว ตั้งแต่ประเทศของเราเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
แล้วทำไมพวกเขายอมให้ยาฟรีในตอนแรกล่ะ? ผมเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล
เรื่องนั้นฉันไม่รู้หรอก เห็นพวกเขาพูดกันว่ามันเป็นยาตัวใหม่ และเราเป็นคนป่วยกลุ่มแรกที่ได้ลองใช้ยาพวกนี้ พวกเขาจุดประกายความหวังให้เรา ก่อนจะทอดทิ้งเราไว้ใต้ม่านมืดแห่งความสิ้นหวัง ดูคนพวกนี้สิ ชายชราเบี่ยงหน้าไปยังคนป่วยอื่นๆ ที่วางร่างกายเหี่ยวแห้งราวซากศพอยู่บนเตียงไม้เก่าๆ
พวกเขาล้วนอยู่บนชะตากรรมเดียวกันกับฉัน ต้องการยา และรอคอยความตาย โดยแอบตั้งความหวังไว้ลึกๆ เบื้องหลังแววตาจวนเจียนสิ้นหวัง ว่าอย่างแรกจะเดินทางมาถึงก่อน
ผมไพร่นึกถึงยาของพ่อค้าอาวุธ และอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบระหว่างยากับปืนของเขา อย่างไหนฆ่าคนให้ล้มตายมากกว่ากัน
ทำไมพวกคุณไม่คิดช่วยตัวเองบ้างเล่า นอกจากการนอนรอคอยความตายอยู่เฉยๆ อย่างนี้
เราทำอะไรไม่ได้หรอก พ่อหนุ่ม ก่อนมาถึงนี่ท่านคงเห็นสภาพความกันดารของดินแดนแห่งนี้แล้ว เราได้สูญเสียจิตวิญญาณเดิมที่เคยอยู่กับเรามาเนิ่นนานตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษไปอย่างสิ้นเชิง ป่าของเราถูกตัดทำลาย พืชพรรณอันมีค่าถูกลำเลียงไปยังดินแดนของคนผู้มั่งคั่งวันแล้ววันเล่า จนสุดท้ายเราไม่เหลือแม้แต่สมุนไพรสักต้น น้ำเสียงเขาบ่งชัดถึงความเจ็บปวด
เมื่อทรัพยากรเหลือจำกัดสงครามก็เกิดขึ้น ผู้คนแตกออกเป็นฝักฝ่ายแข่งขันกันสั่งสมอาวุธ และเริ่มลงมือเข่นฆ่ากันเอง ความจริงสงครามที่ฉันกล่าวถึงนี้เกิดอยู่ยังอีกฟากหนึ่งของประเทศเรา แต่ผลของมันลุกลามไปยังทั่วทุกหัวระแหง ความตาย ความอดอยาก ความแร้นแค้นกันดารคือคนแปลกหน้าที่เดินเข้ามาขับไล่เราออกจากบ้านอันอบอุ่นแสนสุข ของเราเอง ผู้ที่มีกำลังเข้มแข็งกว่ายึดครองเอาทุกอย่างเป็นของตนเอง ในขณะที่ผู้อ่อนแอถูกจับมัดแน่นไว้กับความสิ้นหวัง
เอาล่ะ ได้เวลาที่ฉันต้องพักผ่อนแล้ว ดีใจที่ได้พูดกับเธอนะ ขออวยพรให้เธอโชคดี พูดจบชายชราก็ปิดเปลือกตาลง หน้าอกของเขายังกระเพื่อมตามจังหวะหายใจอันแผ่วเบา
ลาก่อน ผมกล่าวคำลาแก่เขา แล้วบินจากมาอย่างเงียบเชียบ
ชายชรา รวมทั้งคนป่วยพวกนั้นอาจจะสิ้นใจก่อนที่ผมจะทันบินพ้นจากดินแดนของพวกเขา หรืออาจจะอยู่ต่อบนลมหายใจรวยริน กระทั่งหมอของพวกเขานำยาตัวใหม่มาป้อนให้ แต่ถึงอย่างไรมันคงไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้ ชะตากรรมที่ถูกกระทำโดยเงื้อมมือของคนแปลกหน้าที่พวกเขาไม่มีวันได้รู้จัก
ผมนึกถึงคำอวยพรของนักบวชผู้ตั้งมั่นในความสงบสุขบนยอดเขาสูง และอยากมอบมันให้แก่ชายชราผู้สิ้นหวัง แต่ใจหนึ่งผมคิดว่า ชายชราได้ล่วงรู้และเข้าใจในสัจธรรมแห่งชีวิตด้วยตัวของเขาเองแล้ว คงไม่มีคำอวยพรใดๆ มีค่ากับเขาอีกต่อไป ซึ่งผมอาจจะคิดผิดก็ได้
ดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลง คงใกล้เวลาอัสดงเต็มที
ผมบินอยู่เหนือแผ่นดินกว้างใหญ่ที่ดูเหมือนไร้ขอบเขต เสียงปืนดังแว่วมาจากทิศใดทิศหนึ่งซึ่งไกลออกไป แม้จะแผ่วเบามันก็สร้างความสับสนให้กับผมจนไม่รู้ว่าจะบินต่อไปทางไหน ผมนึกไม่ออกว่ายังมีอะไรอื่นอีกที่ผมยังอยากรู้อยากเห็น ยังมีดินแดนใดที่ผมอยากไปถัดจากนี้ ผมรู้แค่ว่าความสนุกในการบินของผมมลายหายไปหมดแล้ว ความภูมิใจในพละกำลังแห่งปีกไม่มีตกค้างหลงเหลืออยู่อีกเลย โลกอันไร้พรมแดนแบ่งกั้นนั้นเป็นเพียงมายาคติที่ผมอุปโลกย์ขึ้นมา เป็นโลกที่ไม่มีอยู่ในความเป็นจริง
ปีกของผมหมดเรี่ยวแรงพร้อมๆ กับหัวใจอันห่อเหี่ยว สิ้นหวัง
และสิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดก็คือ
ตื่นจากความฝันนี้เสียที!
13 ธันวาคม 2549 08:33 น.
พีรเดช นวลสาย
ผมรู้สึกเหมือนถูกภูเขาทั้งลูกกดทับลงมากลางอก
เอาล่ะซี! ทีนี้จะทำยังไงดี เรื่องที่เคยเป็นแค่ความคิดสกปรก ตอนนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว โดยทั้งผมและทั้งหล่อนยินยอมพร้อมใจร่วมกันก่อมันขึ้นมา บอกตามตรงตอนนั้นนอกจากกามกระหายที่บดบังความรู้สึกชั่วดีในตัวจนหมดมิด ผมไม่ได้ตระหนักถึงผลอันจะเกิดตามมาต่อจากนี้เลยสักนิด หล่อนเองก็คงไม่ต่างกันนัก เรื่องสกปรกนี่คงไม่มีทางเกิดขึ้น ผมรู้หล่อนไม่ได้หลับสบายจริงๆ อย่างที่กำลังทำอยู่ตอนนี้แน่ ในหัวของหล่อนต้องหมุนคว้างจนความคิดระคนปนเป จนยากจะจับต้นชนปลายถูก มันจะเป็นอะไรอื่นไปได้อีกเล่ากับคนที่กำลังถูกความรู้สึกผิดเข้าคุกคาม
ผมจุดบุหรี่สูบ ระบายควันออกมาตามจังหวะถอนหายใจ หันไปมองร่างเปลือยเปล่าของหล่อนที่นอนหันหลังให้
ทีนี้ จะเอายังไง?
คุณถามฉัน? หล่อนทำเสียงฉุน
คือ..ผมไม่ได้หมายความว่า... ผมอึกอัก
แต่คุณคิด! หรือคุณจะปฏิเสธ? หล่อนพลิกตัวกลับมา ดึงบุหรี่จากมือผมไปสอดเข้าปาก
ใช่สิ! คุณได้ฉันง่ายๆ นี่ มันก็ไม่แปลกถ้าคุณจะลุกจากเตียงไปเฉยๆ โดยไม่ต้องใส่ใจอะไร ฉันต่างหากที่ต้องโทษตัวเองที่ร่านผู้ชายเกินไป
ไม่ใช่ยังงั้นหรอกน่า คุณก็น่าจะรู้ว่าผมหมายถึงอะไร
ผมฉุนขึ้นมาบ้าง รู้หรอกน่าว่าหล่อนแกล้งทำเป็นขึ้นเสียงเพื่ออะไรปกป้องตัวเองยังไงล่ะ หล่อนจะบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของหล่อนคนเดียวทั้งหมด ผมนี่ไงหุ้นส่วนความผิดอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ มันก็จริง แต่หล่อนเองก็ต้องไม่ลืม ว่าใครเป็นคนทอดสะพานให้ผมเดินเข้าหา
ใบหน้าขึ้งเครียดของหล่อน ช่างดูบิดเบี้ยวน่าเกลียดซะเหลือเกิน โดยเฉพาะน้ำเสียงเล็กแหลมที่พูดเหมือนจะโยนความผิดทั้งหมดให้ผมคนเดียว มันหายไปไหนแล้วล่ะ ไอ้ความสวยเย้ายวนที่ผมกระหายนักหนา หรือว่าหล่อนเป็นคนละคนกับแม่สาวสวยสุดเซ็กซี่คนนั้น หรือว่านี่คือเนื้อแท้เบื้องหลังเปลือกห่อหุ้มอันแสนสวยนั่น ไม่อยากเชื่อเลยว่า ผมหลงอะไรในตัวหล่อนถึงขนาดกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดมาก่อนหน้านี้
แน่ล่ะ! ผมไม่ปฏิเสธว่าหล่อนดูดีกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ในออฟฟิศด้วยกัน พวกนั้นมีแต่ยายเพิ้งหนังเหนียวที่ไม่เคยจำนนต่อสังขารตัวเอง แถมยังใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตหมดไปกับการจับกลุ่มซุบซิบนินทาคนโน้นคนนี้ ไม่เว้นกระทั่งเรื่องบนเตียงของสามีตนเอง และก็หัวเราะหัวใคร่กันคิกคักเห็นเป็นเรื่องสนุก นั่นคือภาพที่ผมเกลียดเข้าไส้
แต่หล่อนนั้นแตกต่างไปจากคนอื่น ทั้งการวางตัว อุปนิสัย และโดยเฉพาะความเพอร์เฟ็คท์ของรูปกาย ซึ่งไม่ได้จำกัดอัดแน่นอยู่ในวัตถุทรงกลมเตี้ยม่อต้ออย่างแม่ไก่แก่พวกนั้น หล่อนจึงเป็นเหมือนกุหลาบงามเพียงดอกเดียวท่ามกลางดงดอกอุตพิดทั้งหลาย ที่มีทั้งกลิ่นหอมเย้ายวนและน้ำหวานหล่อเลี้ยงหัวใจผู้ชายอย่างพวกเราให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเฉาตายกันไปซะก่อน ผมคงต้องยืดอกยอมรับอย่างไม่เสแสร้งว่าสนใจในตัวหล่อนไม่น้อย และก็เป็นในแง่เซ็กส์มากกว่าอย่างอื่น บ่อยครั้งที่แอบเก็บเอาเรือนร่างอวบอัดของเธอไปชำเราในความฝัน เป็นการหาความสุขที่ทำได้โดยไม่ต้องเสี่ยงกับฝ่ามือของหล่อน ใครจะหาว่าลามกวิตถารอะไรก็ตามใจเถอะ ผู้ชายทุกคนคิดอย่างนี้กับหล่อนทั้งนั้น เพียงแต่ผมอาจเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริงก็เท่านั้น ตราบใดก็ตามที่มันยังเป็นแค่ความคิด ต่อให้หมกมุ่นหรือโสมมยังไงมันก็ยังไม่สมควรถูกตราหน้าว่าเป็นความผิด ผมคิดอย่างนั้น เพราะความคิดเพียงอย่างเดียวทำร้ายใครต่อใครไม่ได้ ยกเว้นเราปล่อยให้มันมีอำนาจเหนือกว่าและกลายเป็นผู้ควบคุมตัวเรา แต่ถ้าจะมีใครสักคนที่มันพอจะทำร้ายได้ ก็คงเป็นตัวเจ้าของความคิดเองนั่นแหละ เหมือนกับที่มันกำลังเล่นงานผมจนกระวนกระวายใจอยู่ในตอนนี้
ฉันรู้นะว่าคุณมองฉันอยู่
นั่นเป็นประโยคแรกที่หล่อนพูดกับผมเมื่ออาทิตย์ก่อน ดวงตาหล่อนมันแปลบจนผมแทบมองเห็นตัวเองในนั้น
ผม-เปล่า... ผมปฏิเสธได้ไม่เต็มเสียง
อย่ามาทำปากแข็งหน่อยเลยน่า ดวงตาคุณมันสารภาพกับฉันหมดเปลือกแล้ว
หล่อนค้อมตัวลงมาจ้องตาผม ไม่รู้จริงๆว่าตั้งใจแกล้งหรือลืมตัวกันแน่ เพราะจังหวะนั้นเนินเนื้อขาวเนียนขนาดมหึมาสองก้อนของเจ้าหล่อนแทบจะล้นทะลักออกมานอกคอเสื้อ หัวใจผมเต้นระรัวจนคร่อมจังหวะ ลำคอแห้งผากเนื้อตัวร้อนวูบวาบไปหมด ไม่คิดเลยว่าหล่อนจะรุกผมหนักขนาดนี้
ว่าไงล่ะ คุณแอบมองฉันอยู่ใช่ไหม? เสียงแหลมเล็กของหล่อน ดึงความคิดผมกลับมาสู่ความจริง
ก็-คุณ-สวย ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกเหนือจากนี้จริงๆ
หล่อนยิ้ม แล้วหันหลังเดนจากไปเฉยๆ ปล่อยให้ผมนั่งงงอยู่คนเดียว หล่อนจะเอายังไงกันแน่ โกรธ เกลียด หรือจริงๆ แล้วก็แอบมีใจให้ผมอยู่ ถ้าเป็นอย่างหลังมันคงเป็นลาภก้อนโตที่ฟ้าประทานลงมาให้แก่สุนัขจิ้งจอกผู้หิวโหย ซึ่งมันพร้อมเสมอที่จะกระโจนเข้าขย้ำอย่างไม่ลังเล แต่ก็ยากจะเชื่อเหมือนกันว่าหล่อนจะคิดอย่างนั้น เพราะเท่าที่จำได้เราแทบไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ ทั้งหล่อนเองก็ไม่เคยแสดงออกว่าสนใจใคร่สนิทกับผู้ชายคนไหน แน่นอนว่ารวมทั้งผมด้วย
ผมบรรจงเคาะข้อนิ้วกลางลงบนบานประตูเบาๆ 2-3 ครั้ง
ครู่เดียวมันก็แง้มเปิดออก ผมมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีใครจึงรีบแทรกตัวเข้าไปข้างใน ทันทีที่ได้เห็นหล่อนในชุดนอนสีขาวบางเฉียบแทบจะทะลุถึงร่างเปล่าเปลือยภายใน กับหน้าอกงอนงามซึ่งตั้งชันล้ำหน้าส่วนไหนๆ ออกมาราวกำลังเชื้อเชิญให้ลองลิ้มรสสัมผัส จิ้งจอกหิวโวในตัวผมเหมือนถูกปลุกกระตุ้นด้วยกลิ่นคาวเลือดสดๆ จากบาดแผลเหยื่อ มันคำรามกึกก้องแล้วกระโจนเข้าใส่ทันที
ผมบดจูบริมฝีปากเรียวบางของหล่อนอย่างหนักหน่วงสองมือคลึงเคล้นซอกซอนไปทั่วร่างอวบอัดนั้น ขณะที่หล่อนเองก็โต้ตอบอย่างไม่ถดถอย มันเป็นบทเร้าโรมที่รุนแรงถึงใจที่สุดเท่าที่เคยสัมผัส เลือดในกายผมพุ่งพล่านไปทุกอณูเนื้อ ถึงนาทีนี้ต่อให้พระเจ้าก็ห้ามความต้องการของเราทั้งคู่ไม่ได้แล้ว
ไปข้างบนดีกว่าค่ะ
หล่อนถอนปากออกมากระซิบเสียงกระเส่า เมื่อเห็นผมตั้งท่าจะดึงชุดนอนออก
ตามใจคุณสิที่รัก ผมจูบลงบนหน้าอกหล่อนอย่างนิ่มนวล แล้วช้อนแขนอุ้มตัวหล่อนขึ้นมาด้วยแรงกระสัน จังหวะที่สายตาผมประสานกับสายตาเยิ้มมันเต้นระริกของหล่อนพาให้คิดถึงแววตาแบบเดียวกันนี้ ตอนที่หล่อนเดินมากระซิบเบาๆ ข้างหูผมถึงโต๊ะทำงานเมื่อเย็นวานว่าจะลาป่วยวันนี้ เป็นไปได้อยากมีคนมาอยู่ดูแลเป็นเพื่อนที่บ้าน มันไม่ใช่ข้อสอบตรรกะที่ต้องใช้เวลาคิดคำนวณอะไรให้เสียเวลา ผมรีบรับปากทันที ความจริงอยากจะตามหล่อนกลับเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ เพราะมโนธรรมอันเปราะบางในใจถูกฉีกขาดกระจุยกระจายลงแล้ว ใครจะไปคิด ว่าหล่อนเองก็มีความต้องการอย่างเดียวกัน
ผมจุดบุหรี่สูบเป็นมวนที่สอง
สีดควันเข้าจนลึกสุดปอดแล้วค่อยๆ ผ่อนออกมาทางรูจมูก อดแปลกใจไม่ได้เลยว่า ความกระหายอยากกับความสุขสมที่เพิ่งเกดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมามันมลายหายไปไหนหมดแล้ว เพลงกามที่บรรเลงอย่างถึงพริกถึงขิงไม่หลงเหลือแม้สักท่วงทำนองซาบซึ้งให้จดจำ ทั้งที่มันเป็นความต้องการซึ่งอัดแน่นอยู่ภายในรอวันได้ปะทุออกมา ผมน่าจะลิงโลดดีใจสิ เมื่อตอนนี้มันได้ระบายออกมาแล้ว แรงปรารถนาเหล่านั้นไดรับการตอบสนองอย่างสาสมแล้วกับผู้หญิงที่เฝ้ามองเฝ้าฝันมาตลอดคนนี้ ผมต้องตักตวงเอาจากหล่อนให้มากที่สุดถึงจะถูก แต่กลับนั่งมองร่างเปลือยที่นอนข้างๆ นี้ด้วยความสับสนและจุกแน่นหน้าอกราวถูกภูเขาทั้งลูกกดทับ
จะเอายังไงล่ะ? หล่อนถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ผมไม่รู้ คงต้องปล่อยเลยตามเลย...ก็มันเกิดขึ้นแล้วนี่ ผมพูดเสียงเบาหวิว
หรือคุณมีความคิดที่ดีกว่านี้?
หล่อนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
แต่แบบนี้มันผิด!!
ผมรู้ แต่ก่อนหน้านี้เราทั้งคู่ไม่มีใครคิดจะยับยั้งมันเลยนี่ เราสนใจแต่ความต้องการของตัวเองจนปล่อยให้มันเลยเถิดมาไกลถึงนี่แล้ว ผมพูดไปตามที่รู้สึก
เราจะแอบทำแบบนี้ไปตลอดหรือไง? หล่อนถาม
มันเป็นทางเดียว หรือไม่ก็ต้อง...
เลิกกันแค่นี้...ใช่ไหม?!
ผมเปล่าพูด
แต่คุณคิด! คุณนอนกับฉัน ในบ้านฉัน บนเตียงนอนของฉัน เสร็จแล้วก็จะเดินออกไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หล่อนผุดลุกขึ้นนั่ง
แล้วฉันล่ะ!? ฉันก็จะกลายเป็นผู้หญิงใจง่าย ไม่เคยอิ่มในกาม เป็นแค่นังแพศยาไร้ค่า เท่านั้นใชไหม๊?!
ผมเปล่าคิดอย่างนั้น ผมไม่ใช่ผู้ชายประเภทไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ยังคิดไม่ออกเลยว่า จากนี้เราจะทำยังไงกันดี คุณคิดหรือว่าจะปิดเรื่องนี้กับสามีคุณได้ตลอด
หล่อนก้มหน้านิ่งเงียบ ตัวสั่นสะอื้น
ภาพใบหน้าผู้ชายคนนั้น ตอนหัวใจสลายเมื่อเห็นกับตาตัวเองว่า เมียรักกำลังกอดรัดร่วมรักอย่างเผ็ดร้อนกับชายชู้บนเตียงที่เขาหลับนอนกับหล่อนมาตลอดชีวิตคู่ ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวผม ตามติดด้วยภาพใบหน้าซึมเศร้าของเมียผมที่สว่างวาบเข้ามาแทนที่อย่างฉับพลัน ผมเห็นเธอนั่งนิ่งอยู่บนโซฟารับแขกจนดึกดื่นเพื่อจะพบว่าสามีเลวๆ ที่เธอรอเปิดประตูรับ กลับมาพร้อมกับคำโกหกคำโตที่เตรียมไว้สำหรับตอบแทนความภักดีของเธอโดยเฉพาะ และแกล้งชวนเธอร่วมรักเพื่อกลบเกลื่อนความเคลือบแคลง ทั้งที่แทบหมดแรงไปกับผู้หญิงอื่นมาไม่กี่นาที
แน่นอนว่าผมต้องปิดเธอให้ถึงที่สุด แต่ใครจะรับปากได้ว่า วันหนึ่งเรื่องมันจะไม่แดงขึ้นมา โดยเฉพาะเรื่องคาวๆ แบบนี้ ยังไม่เคยเห็นใครปิดมันได้สนิทจริงๆ สักที ถึงตอนนั้นเธอจะมีภูมิต้านทานกับมันแค่ไหน ไม่ยุติธรรมเลยสำหรับเมียที่แสนดีอย่างเธอ แต่ผมก็ได้ทำลงไปแล้ว จะแก้ตัวยังไงได้ทุกอย่างดูมันตื้อและตีบตันไปหมด จนผมรู้สึกเหมือนกำลังจะโยนชีวิตคู่ของตัวเองทิ้ง เพียงเพื่อสังเวยกามารมณ์หยาบอยากชั่วไม่กี่นาที
มันช่างโง่เง่า บัดซบดีแท้!!
ผมนั่งดูดบุหรี่ระบายความคิดไปเกือบครึ่งซอง
มันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด เพียงแต่เพื่อฆ่าเวลาให้หมดๆ ไปเท่านั้น-เวลาอันเชื่องช้ายาวนาน ราวกับหยุดนิ่งอยู่กับที่
ถามจริงเถอะ คุณชอบฉันบ้างไหม?
หล่อนใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยใบหูผมเบาๆ ผมหันไปมองนัยน์ตามันวาวคู่นั้น พยักหน้าเนิบช้า หล่อนยิ้มออกมาง่ายดาย รั้งตัวผมเข้าไปกอดรัดสอดเสียดเรียวขางามมาก่ายเกย ไออุ่นจากเรือนกายเนียนนิ่มกระตุ้นอารมณ์ให้ปะทุขึ้นมาอย่างประหลาด เสียงสัตว์ป่าในตัวร้องโหยหวนตอบรับ ผมจึงรั้งคอหล่อนมาบดจูบริมฝีปากและพลิกตัวขึ้นทับบนร่างร้อนร่านนั้นทันที ไฟปรารถนาเบื้องต่ำของเราทั้งคู่กำลังถูกจุดให้ลุกโชนขึ้นอีกคำรบหนึ่ง มันร้อนแรงเพียงพอที่จะแผดเผาความคิดสับสนในหัวใจจนมอดไหม้หมดสิ้น
ช่างหัวมันปะไร!!
จะทำผิดแค่ครั้งเดียวหรือหลายครั้งมันก็ถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลวอยู่วันยังค่ำ จะแปลกอะไรถ้าจะทำมันหลายๆ ครั้งไปเลย จะได้รู้สึกว่าเลวอย่างคุ้มค่าหน่อย
ผมได้ยินเสียงสัตว์ในตัวมันสบถออกมาอย่างนี้
4 ธันวาคม 2549 11:26 น.
พีรเดช นวลสาย
แมลงวันหัวเขียวตัวอ้วนกลมตัวหนึ่ง
บินโฉบเข้าไปทางหน้าต่างของบ้านสีชมพูหลังใหญ่ มันตั้งหน้าบินตรงไปยังโต๊ะอาหาร ซึ่งคนในบ้านกำลังนั่งทานมื้อเช้ากันอยู่
มันร่อนลงเกาะบนจานข้าวของลูกสาวคนเดียวของบ้าน เธออายุสิบห้า กำลังแตกเนื้อสาวด้วยใบหน้าสวยได้รูปเหมือนแม่ ดวงตาคมเหมือนพ่อ และมีรอยยิ้มที่ใครต่อใครพากันนึกอิจฉา เธอกำลังเรียนชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนที่มีชื่อแห่งหนึ่ง ซึ่งพ่อกับแม่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้เธอได้สิทธิเข้าเรียน
ความจริงเด็กสาวเป็นเด็กฉลาด มีผลการเรียนที่ดีมาโดยตลอด แต่มันไม่เพียงพอที่จะได้นั่งเก้าอี้โรงเรียนระดับแนวหน้าแห่งนี้หรอก หากว่าพ่อแม่ของเธอเป็นแค่นายหมูนางหมาจนๆ ไม่มีเพื่อนที่เป็นอาจารย์คอยเป็นธุระวิ่งเต้นให้ เด็กสาวตอบแทนด้วยการมานะตั้งใจเรียน ไม่วอกแวกเสียสมาธิกับสิ่งเร้ารอบข้าง และมันควรจะเป็นอย่างนั้นไปตลอด
หากเธอไม่บังเอิญมองเห็นเจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวใหญ่น่าขยะแขยง กำลังไต่ตอมบนจานข้าวแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนคลื่นไส้ จนต้องรีบลุกวิ่งเข้าห้องน้ำ แม่หันมองตามหน้าตาตื่นรีบวิ่งตามลูกสาวไปติดๆ ด้วยความเป็นห่วง ช่วยลูบหลังให้เธอเป็นพัลวัน อีกมือรองน้ำใส่แก้วยื่นให้บ้วนปาก เสร็จแล้วค่อยประคองกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารดังเดิม
พอเห็นว่าลูกสาวเริ่มตั้งตัวได้ ทั้งแม่ทั้งพ่อ รีบร้อนซักถามอาการแทบจะพร้อมกัน แต่เด็กสาวยังไม่ทันได้ขยับปากพูด เธอเหลือบไปเห็นเจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวเดิมเข้าอีก ก็เกิดอาการคลื่นไส้จนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง และคราวนี้ส่งเสียงโอ้กอ้ากดังยิ่งกว่าหนแรก แม่ตามเข้าไปในห้องน้ำด้วยสีหน้ากังวล เธอรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าชักไม่เข้าที แต่ยังประคองสติยืนลูบหลังให้ลูกสาวด้วยความเป็นห่วง แล้วประคองกลับมาที่โต๊ะอาหาร
เธอถามลูกสาวทันทีว่าเป็นอะไร เด็กสาวไม่ตอบเอาแต่ก้มหน้าก้มตานิ่งเงียบ แม่เค้นเสียงถามอีกครั้ง เด็กสาวตัวสั่นและเริ่มสะอื้น แม่ของเธอใจหายวาบ คล้ายแว่วคำตอบที่ไม่อยากได้ยินดังมาจากที่ไหนซักแห่ง แต่เธอยังพยายามตั้งสติ และระงับอารมณ์เพื่อไม่ให้ลูกสาวตื่นกลัว
เธอถามคำถามเดิมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งขึ้น เด็กสาวยังไม่ยอมปริปากกลับสั่นวะอื้นหนักขึ้นกว่าเดิม แม่ยังไม่หมดความอดทน เธอค่อยๆ ประคองไหล่เล็กๆ ของลูกสาวให้เงยหน้าขึ้นมา แล้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง เด็กสาวมองเข้าไปในดวงตาของแม่มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยจนกล้าหาญมากพอจะตอบคำถาม
หนูท้อง!
เธอพูดได้เท่านั้น น้ำเสียงก็เหมือนขาดห้วงหายไปเฉยๆ เหลือเพียงเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นตอนซบหน้าชื้นลงบนตักแม่
แมลงวันหัวเขียวบินขึ้นจากจานข้าวของเด็กสาว โฉบบินส่งเสียงดังหึ่งๆ มันไม่รู้หรอกว่า ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังหัวใจสลาย พ่อของเด็กสาวนั่งตัวแข็งทื่อ เขาเพิ่งจะกินข้าวได้เพียง 2-3 คำ แต่ตอนนี้กลืนอะไรไม่ลงอีกแล้ว
ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่เป็นไร... แม่ลูบหัวลูกสาวเบาๆ พลางปลอบโยน ทั้งๆ ที่เธอเองนั้นก็กำลังรู้สึกอื้ออึงในหูทั้งสองข้าง และแทบจะชาไปหมดทั้งตัว เธอปล่อยให้ลูกสาวซบสะอื้นบนตักอย่างนั้นจนเริ่มเงียบเสียงลง จึงค่อยใช้มืออุ่นประคองหัวไหล่น้อยๆ ให้ลุกขึ้น พอเห็นดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าชื้นน้ำตาของลูกสาว แม่ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาบ้าง แต่เธอยังพยายามตั้งสติ และถามออกไปแผ่วเบา
หนูท้องกับใคร บอกแม่ได้ไหม?
เด็กสาวหลบตา
ไม่ต้องกลังนะลูก บอกแม่มาเถอะ แม่จะได้ช่วยหนูได้ไงจ๊ะ แม่ยายามอีก แต่ยังไม่มีคำตอบใดๆ หลุดจากปากลูกสาว นอกจากเสียงสะอื้น
นิกรใช่ไหม?!
เธอนึกถึงเพื่อนชายที่ลูกสาวสนิทสนมด้วยมากที่สุด นิกรเรียนห้องเดียวกันกับลูกสาวของเธอ เด็กทั้งสองดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ แต่มันก็ยากจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มท่าทางซื่อๆ ตรงไปตรงมาอย่างนิกรจะร้ายกาจถึงขั้นกล้าฉวยโอกาสกับลูกสาวของเธอได้ ที่สำคัญการพบปะของเด็กทั้งสองเรียกว่าไม่เคยพ้นจากสายตาผู้ใหญ่เลย
เป็นมันจริงๆ ด้วย ไม่ต้องกลังหรอกพ่อจะจัดการให้เอง จะลากคอมันมาเค้นเอาความจริงให้ได้ พ่อซึ่งนั่งนิ่งอยู่นานทุบโต๊ะเสียงดัง เด็กสาวหันขวับไปมองด้วยแววตาแข็ง พลางกัดเม้มริมฝีปากแน่น
เจ้าแมลงวันหัวเขียวบินโฉบลงมาเกาะไต่ในจานข้าวของพ่อ เขารีบตวัดมือไล่อย่างฉุนเฉียว มันบินหลบว่องไว และโฉบไปบินวนเวียนส่งเสียงดังหึ่งๆ อยู่บนหัวเขาแทน
ไล่มันออกไปที หนูเกลียดมัน!!
เด็กสาวชี้มือไปทางเสียงหึ่งๆ โดยไม่หันหน้าไปมอง
ไล่มันไปสิคุณ ไอ้แมลงวันหัวเขียวสกปรก!
แม่หันไปบอกพ่อ เธอเองก็เริ่มจะหงุดหงิดมันขึ้นมาบ้าง พ่อตวัดมือไล่แรงๆ แต่เจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวใหญ่ยังไม่ยอมบินหนีไปง่ายๆ เขาจึงลุกขึ้นใช้สองมือไล่ตบ มันบินฉวัดเฉวียนหลบหลีกไปที่ตะกร้าเสื้อผ้าตรงมุมห้อง เขารีบตามติด และตบโครมลงไปด้วยโทสะ จนตะกร้ากระเด็นกลิ้งหลุนๆ เสื้อผ้ากระจัดกระจายเกลื่อนพื้น เจ้าแมลงวันหัวเขียวบินร่อนลงแบผ่านเนกไทสีแปลกตาอันหนึ่ง พ่อรีบก้มหยิบขึ้นมากำแน่นไว้ในฝ่ามือ
มันมาที่นี่อีกแล้วใช่ไหม?!
พ่อเหวี่ยงเนกไทอันนั้นลงบนโต๊ะตรงหน้าแม่ เธอถึงกับผงะรีบเสหน้าไปทางอื่น
ฉันถามว่า มันมาที่นี่อีกแล้วใช่ไหม!
พ่อทุบกำปั้นโครมลงบนโต๊ะ
ใช่! แม่ตวาดกลับ เขามา-แล้วจะทำไม!?
อ้อ! เดี๋ยวนี้กล้าลอยหน้าลอยตารับอย่างไม่อายแล้วสินะ นังแพศยา!
พ่อขบกรามจ้องหน้าแม่เขม็ง
อย่ามายืนชี้หน้าด่าฉันแบบนี้นะ แม่ลุกพรวดขึ้นบ้าง อย่างน้อยเขาก็ดีกว่าคุณ!
จะเทิดทูนมันยังไงก็เชิญตามสบายเลย แต่อย่าพามันมาระเริงกามในบ้านหลังนี้!
พูดยังงี้ต่อหน้าลูกได้ยังไง!
ฉันจะพูด! มันจะได้รู้ความจริงซะทีว่า แม่มันน่ะทำตัวเหลงแหลกแค่ไหน
ที่ทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้ก็เพราะคุณ! คุณไม่เคยให้ความสุขกับฉันเลย แล้วถ้าฉันจะหาความสุขใส่ตัวบ้างมันผิดมากมายนักรึไง!?
หาความสุข! นี่เธอกล้าพูดอย่างไม่กระดากปากขนาดนี้เลยหรือ?
ทำไมล่ะ ถ้าจะอาย ฉันคงอายที่มีสามีอย่างคุณมากว่า อย่าคิดนะว่าฉันไม่เคยระแคะระคายเรื่องหนุ่มคู่ขาของคุณเลย คนเค้าลือกันจนจะได้ยินมาถึงหน้าบ้านอยู่แล้ว!
เจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวเดิมบินวนกลับเข้ามาที่โต๊ะอาหารอีก แต่เวลานี้ไม่มีใครใส่ใจมันอีกต่อไปแล้ว โต๊ะอาหารที่เคยดูอบอุ่น บัดนี้กลายสภาพเป็นเหมือนสมรภูมิรบร้อนระอุ ไม่มีความเป็นพ่อ-แม่-ลูก หลงเหลือ มันได้แต่บินวนเวียนส่งเสียงหึ่งๆ ไปรอบๆ
พอซะทีได้ไหม๊!!
เด็กสาวแผดเสียงร้อง แต่มันก็ถูกกลืนหายไปกับเสียงทะเลาะกันของพ่อแม่ และเสียงของแมลงวันหัวเขียว
หนูท้องกับอาจารย์ประจำชั้น!! เธอลุกขึ้นขึ้นยืนระหว่างคนทั้งสอง เขาข่มขืนหนูที่โรงเรียน!
คราวนี้ได้ผล พ่อกับแม่ถึงกับหยุดชะงักใบหน้าซีดเผือดไปทั้งคู่
ได้ยินไหม๊!!
อาจารย์ประจำชั้นเพื่อนสนิทของพ่อกับแม่คนนั้น-มันข่มขืนหนู มันขู่จะเอาคลิปเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ถ้าหนูเล่าให้ใครฟัง ฮือๆ
เด็กสาวปล่อยโฮออกมาอย่างไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว-หัวใจของเธอแหลกสลายจนไม่มีชิ้นดี
พ่อกับแม่ของเธอได้แต่นิ่งอึ้ง ทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง บัดนี้ทั้งโต๊ะอาหารเหลือเพียงเสียงสะอื้นไห้
เจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวอ้วนกลมบินวนเวียนส่งเสียงหึ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง มันก็บินผละออกมาทางหน้าต่างของบ้านสีชมพูหลังใหญ่หลังนั้น
มันบินฉวัดเฉวียนไปมาในอากาศอย่างเริงร่า ก่อนจะตั้งหน้าบินตรงไปยังหน้าต่างบ้านที่อยู่ถัดไป...