14 มีนาคม 2552 17:40 น.
พิมญดา
นิทานสอนใจ
..นกแก้วจอมซน..
กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ มีนกแก้วตัวหนึ่งน่ารักช่างพูดช่างเจรจา ชอบร้องเพลง ไปตามเรื่องราวด้วยความที่รักที่จะเจรจาและเสียงเพลง บรรเลงอักษร ไปตามเรื่องราวที่นกแก้วได้เจอะเจอมา จนมีบรรดาเพื่อนๆในป่าใหญ่ชื่นชอบ และรักที่จะฟังนกแก้วพูด ร้องเพลง ไปตามเรื่องราวในแต่ละวัน อย่างปกติสุข จนกระทั่งวันหนึ่ง.ได้มีโคแก่ ตัวหนึ่งได้เดินทางเข้ามาในป่าใหญ่แห่งนี้ นกแก้วก็ยังพาทีพูดคุยตามนิสัยนกช่างพูด ช่างเจรจาทักทายเป็นกัลยาณมิตร ในฐานะเป็นเจ้าบ้านที่ดี
โคแก่ตัวนี้นั่งมองนกแก้วตาปรือด้วยความชื่นชอบนกแก้วช่างพูด เหมือนดั่งสมาชิกในป่าใหญ่ และ แล้วปฏิบัติการของโคแก่ก็เริ่มขึ้น โดยการเลียนเสียงนกแก้ว ไม่ว่านกแก้วจะพูดอะไรโคแก่ตัวนี้ก็พูดตามแทบทุกถ้อยอักษร จนสมาชิกในป่าใหญ่และป่าใกล้เคียง เริ่มเข้ามาเชียร์ด้วยความสนุก นกแก้วเริ่มสงสัยว่า โคแก่ไร้ตัวตนตัวนี้ชื่ออะไร และแล้วโคแก่ตัวนี้ ก็ได้ส่งสารมาให้นกแก้ว อาศัยอยู่ในป่าแถบชายเมือง สวยงามแห่งหนึ่ง มีอาชีพเป็นโคที่คึกคะนองแม้จะอายุมากแล้ว (จริงๆโคอายุเท่านี้ต้องไปวัดไปวาได้แล้ว) อยากจะเลี้ยงดูนกแก้ว สงสารนกแก้วจับใจ เพราะบางทีนกแก้วก็ร้องเพลงสนุกสนาน ร้องเพลงเศร้านกแก้วก็เศร้าจนคนสงสาร ชีวิตอะไรจะเศร้ามากมายเช่นนั้น นกแก้วเริ่มมองโคแก่ด้วยความสงสารโดยไม่มีพื้นฐานที่จะรักโคแก่อย่างชู้สาว เป็นไปไม่ได้ในเมื่อนกแก้วคือนกแก้ว โคแก่คือโคแก่ จะรักกันได้อย่างไร ในเมื่อนกแก้วรู้ว่า ในป่าใหญ่ของโคแก่ มีแม่โคและลูกโคอีก2ตัว ที่อยู่ข้างหลัง นกแก้วขอความสัมพันธ์แค่เพื่อนเท่านั้น นกแก้วพูดยังคงร้องรำทำเพลงเป็นปกติสุขภายใจป่าของตัวเองกับสมาชิกภายในบ้านด้วยความอึดอัด
ทุกครั้งที่มีการเลียนเสียงนกแก้ว โคแก่ก็จะเลียนเสียงแบบละลาบละล้วง จนถึงการจับเนื้อต้องตัวกันโดยที่คนทั่วไปคิดว่า นกแก้วกับโคแก่ มีอะไรกันภายนอกป่าแล้ว ตอนนี้นกแก้วพูดติดขัด อึดอัดมาก ขอร้องให้เพลาๆการเลียนแบบ อย่าเรียกที่รัก หรือแม้แต่การกอดจูบลูบแก้มอะไรปานนั้น โคแก่รับปากแต่ไม่หยุด ยังคงเลียนเสียงเรื่อยไป เพื่อนๆที่รู้จักนกแก้วเริ่มอึกอัดตาม มีการต่อว่า ทำไมโคแก่ไม่ให้เกรียติ นกแก้ว มันมากไปแล้ว นกแก้วได้แต่รับฟังแต่พูดไม่ออกว่าได้ขอร้องแล้ว แต่โคแก่ ไม่หยุดยังคงเลียนเสียงนกแก้ว(ข้อนี้นกแก้วผิดเองที่ไม่เข้มแข็งตัดบทเสียแต่ทีแรก อาจเพราะสงสารโคแก่ที่ น่าสงสารชอบเล่าเรื่องที่แม่โคทารุณกรรมทางบ้านให้ฟัง)
นกแก้วยังคงเจรจาพาทีอยู่มนป่าใหญ่แห่งนั้นด้วยความอึดอัดบางทีจะร้องเพลงทีก็คิดไปหลายวันร้องไม่ออก ร้องออกไปก็คงมีคนเลียนเสียงพูด นานวันเข้า ก็มีเรื่องจนได้ โดยมีสุภาพสตรีแกะขาวฝูงหนึ่ง ได้เข้ามาเป็นแฟนคลับของโคแก่ ว่ารักมั่นคง หาไม่ได้แล้วโคสมัยนี้จะรักมั่นคง เหมือนโคแก่ มีสุภาพสตรีแกะขาวให้ท่าโคแก่จนน่าเกลียดก็มี นกแก้วเชื่อว่า ลูกแกะตัวเล็กๆ ในป่าใหญ่ก็มาก มาเห็นท่าทีสตรีที่ให้ท่าโคแก่ คงไม่ดีแน่ หมดความเป็นสุภาพชน ปัญญาชนไปในทันที
เรื่องของโคแก่บานปลายภายในป่าใหญ่ มีแกะขาวสตรีหลายตัวพยายามกลางอากาศ ให้ท่าโคแก่มอบรักให้โคแก่แม้ต่างวัยยังไงก็จะรัก นกแก้วกลายเป็นเป้าให้โจมตี) ไปแจรจาพาทีกับใครดั่งเคยมี ไม่ได้แล้วครานี้โดนหนักกว่าเดิม ตั้งกระทู้ว่ากันนกแก้วหลายใจ บ้างนกแก้วไม่จริงใจบ้าง นกแก้วออกอาการ งง ! มากมาย คิดกันไปได้อย่างไร นั่นมัน !สามีชาวบ้านนะ นกแก้วยอมเสียมารยาทนอกจอ (โดยการออกอาการยิ้มหยามเหยียดแกะขาวบางตัวที่ให้ท่าโคแก่ โดยคิดว่าตัวเอง ขาดความรักมากมายขนาดต้องขอใครสักคนหรือ) ปกตินิสัยของนกแก้วมักยอมแพ้คนดีอยู่แล้ว และเจรจาโดยมีมิตรภาพตราบสิ้นดินฟ้า
นกแก้วได้รู้ว่าได้ทำความรำคาญให้สมาชิกในบ้านจึงออกมาได้มาเจอบ้านหลังหนึ่ง มีพลัง ของ ปัญญาชนอยู่เต็มเปี่ยม คงพอจะให้โคแก่ได้อาศัยไม่ไปยุ่งยากที่ป่าใหญ่ แห่งนั้น แล้วนกแก้วก็คงไป อยู่ในป่าดั่งเดิม แต่ผิดคาด นกแก้วได้รู้จัก สมาชิกบ้านแห่งนี้หลายท่านจากภูมิความรู้ ที่นำเสนอ รวมทั้งแกะน้อยสีทองตัวหนึ่ง น่ารัก เก่ง รอบรู้ไปทุกเรื่อง มีวุฒิการศึกษา ความกลัวว่าแกะสีทองจะได้รับอิทธิพลในความไม่รู้ เท่าทัน ของใครบางคน จนทำให้เกิดกรณีแบบนี้ขึ้นมา ปรึกษาหลายท่าน จะทำอย่างไรดี สุดท้าย ก็ต้องกลับมา สายไปเสียแล้ว นกแก้วมาสายไปแล้วจริงๆ ..แล้วแต่จะเข้าใจกันนะคะว่าทำไมและทำไม...นกแก้วบินของมันรำพึงกับตัวเอง.เบาเบาว่า..มันเป็นเช่นนั้นเอง.. แล้วสัญญากับตัวเองว่าจะไม่บินกลับไปที่นั่นอีก
ประสบการณ์ครั้งนี้นกแก้วได้อะไรกลับมาบ้าง
นกแก้วได้เจอ..เพื่อนผู้ร่วมทุกข์..แม้จะเจรจาไม่กี่วัน..เขาก็รู้ว่านกแก้วพูดจริงและเชื่อมั่นในเพื่อน
นกแก้วได้เจอ..เวปบอรด์ของสื่อที่ใหญ่..แต่ไร้ความยุติธรรมในการแก้ปัญหา..นิทานเรื่องนี้คือความจริง แต่เลือกที่จะปิดหูปิดตาผู้ที่อยากรู้ต้นสายปลายเหตุ..น่าเวทนาเวปบอร์ดแห่งนี้...ไม่น่าจะอยู่ในแวดวงการศึกษาเลย...
นกแก้วได้เรียนรู้ว่า..สังคมนอกบ้านกลอนน่ากลัวเหลือเกิน..ยามบินโดดเดี่ยวมันเคว้งคว้าง พายุฝนที่โหมกระหน่ำ บีกของนกแก้วแทบต้านทานไม่ไหว ขอซุกปีกอยู่ในบ้านอันอบอุ่นดีกว่า
นกแก้วได้เรียนรู้ว่า...หน้ากากของคนที่ได้ชื่อว่า..ผู้มีสติปัญญาด้อยค่าเหลือกำลังยามมีความหลงในอัตตา เลยได้แต่รำพึง..มันเป็นเช่นนั้นเอง
นกแก้วประทับใจคอมเม้นของท่านหนึ่ง..บอกนกแก้วว่า
ทุกเรื่องราวมีที่มาเสมอ
เราเชื่อมั่นตัวเรา...เราเชื่อมั่นในเพื่อน
กาลเวลา..จะช่วยพิสูจน์การกระทำของคน
ภาพที่มองเห็นบางครั้งไม่สามารถอธิบายได้
คนบางคนเราใช้เวลาชั่วชีวิตในการอ่าน ยังอ่านไม่ออก
หนังสือบางเล่มอ่านจบหลายรอบ..ยังตีความไม่ได้..
นับประสาอะไรล่ะเพื่อน กับผู้คนและเรื่องราวในโลกไซเบอร์
อย่างที่เคยบอก..ปิดจอ ปิดใจ..อย่าเอาเรื่องไร้สาระมาบั่นทอนตัวเอง
รักนะ....แล้วเจอกันค่ะ
นกแก้วได้แต่รำพึงว่า..นั่นสิหนังสือหน้านี้มีราคาแพงเหลือเกิน..หน้าของนิทานสอนใจจากโคแก่แกะสีทอง..........ของเวปบอร์ด..ปัญญาชน..รู้ไหมนิทานเรื่องนี้สำคัญมากจนเวปที่นั่นต้องปิดบล็อกนิทานหน้านี้ด้วยว่าคนของตัวเองจะเสียหาย.โดยที่เจ้าของบล็อกไม่ได้ลบ...สงสารสถาบันที่ให้การสนับสนุนเวปนี้เสียเหลือเกิน...
18 ธันวาคม 2551 14:45 น.
พิมญดา
เมื่อปีใหม่ใกล้วันผันเข้ามา
ปีเก่าลาไกลออกบอกว่าผ่าน
อยู่บ้านกลอนนอนเล่นมาแสนนาน
โฆษณาหน้าบ้านงามแปลกไป
ผู้ดูแลระบบสวยแล้วเก่ง
ดูโหว้เฮ้งปรับปรุงบ้านหรือไฉน
จะทำบุญหรือล้างบ้านบานตะไท
แค่แปลกใจจึงถามไถ่ไว้เป็นทุน
บ้านกลอนร้อนก็มาผ่อนให้เย็นได้
บ้านกลอนไทยโพเอมเย็นยิ่งหนา
บ้างทุกข์ท้อมาผ่อนคลายในอุรา
บ้างก็สุขหนักหนามาแบ่งปัน
มาอวยพรกลอนปีใหม่ลักขณา
คุณปีกฟ้าอัลมิตราฟ้าสร้างสรรค์
ให้ร่มเย็นอยู่สุขทุกคืนวัน
สิ่งใดอันคิดฝันสมหวังเทอญ
สมาชิกเลขที่ สองสี่หนึ่งห้าสาม
พิมญดาคนบ่งาม ถือกำเนิด
ขออวยพรให้บ้านอยู่คู่เราเถิด
เวปดีเลิศ ไทยโพเอม เต็มกลอนกานท์
..ใครใคร่เขียนเขียน..ใครใคร่อ่านอ่าน..ใครใคร่ชมชม..ใครอยากกินขนมขอผู้ดูแลระบบเอง..อิอิ...
8 สิงหาคม 2551 18:13 น.
พิมญดา
ฉันเหมือนนกหลงทางกางปีกหัก
ตกลงมาพักรักษาบ้านหลังหนึ่ง
บ้านหลังนี้มีความรักความคะนึง
บ้านที่ซึ่งไม่เรียกร้องเงินทองใคร
ให้ฉันอยู่อย่างเสรีฟรีในบ้าน
เติมเต็มจินตนาการให้สดใส
ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำและค่าไฟ
เม้นเท่าไหร่ไม่ต้องจ้างสำนักพิมพ์
ฉันไม่ใช่กวีมีชื่อเสียง
เลยไม่เสี่ยงที่จะเขียนเรื่องหยุมหยิม
เรื่องอาหารไม่ถนัดเขียนให้ชิม
เรื่องของพิมญดามาฟังไว
ฉันไม่ใช่กวีมีศรีศักดิ์
ฐานันดรแห่งรักฉันยิ่งใหญ่
ดั่งนางทาสในบ้านกลอนเช็ดถูไป
เป็นนางในไทยโพเอมเต็มใจมา
ฉันไม่ใช่กวีหิวกระหาย
ฉันมาหาความหมายใต้ฟากฟ้า
โลกใบนี้เต็มไปด้วยอักษรา (รึจะเปลี่ยนเป็นกบในกะลาก็ได้นะคะ..อิอิ)
สื่อภาษาด้วยน้ำจิตมิตรไมตรี
..นิดหนึ่งนะเจ้าคะ...
ว่าแล้วบ้านหลังนี้มีอะไรดีน๊า.. ตามมาคะอาจจะยาวหน่อยนะคะ
เข้ามาบ้านหลังนี้ดีกว่าเจ้าคะ แล้วอิฉันก็รักษาปีกของตัวเองโดยใช้อักษร เรียกอะไรดีละกลอนรึ ! ไม่ใช่หรอก เขียนไม่รู้ความด้วยซ้ำ จำได้ว่า..แค่อยากเขียนให้มันได้ระบายกับความเป็นจริงที่แทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ เพราะใครบางคน! ที่ทำร้ายอิฉันทางจิตใจ จนอิฉันไม่สามารถบินไปไหนได้ มันหมดแรง มันท้อแท้ มันไม่มีทางออก มันไม่มีที่ไปมันตีบตันทุกทาง ใช่..ฟ้ากว้างใหญ่ หลายคนปลอบอิฉัน แต่ดวงตาตอนนั้นมันมีแต่น้ำตาที่บดบังโลกสวยงามใบนี้เอาไว้ น้ำตาท่วมใจสินะ หากจะให้เข้าใจ ! ในอารมณ์ ความรู้สึกตอนนั้นที่มีแต่ แค้น ! ที่เขาทำไมทำกับเราได้ แค้นสุมในใจ ! เกิดคำถามกับตัวเองทุกวันทั้งที่ไม่เคยถามตัวเอง หรือตำหนิตัวเองเลยว่า ทำไม! เราช่างโง่นักจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาเขียนๆๆและก็เขียน โดยไม่รู้ว่าสัมผัสของบทกลอนคืออะไร รู้แต่ขอเขียนแบบสัมผัสใจคนเจ็บให้ได้ผ่อนคลายเป็นพอ ไม่รู้สิ..ว่าใครจะชอบหรือไม่ รู้แต่ขอตัวเองหลุดพ้นได้ไหม เกือบ80 เปอร์เซนต์ของบทกลอนที่เขียนครั้งต้นๆ เขียนขึ้นมาด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจและอาลัยกาลเวลาของความรัก
จนถึงจุดหนึ่ง..เวลาได้ช่วยให้ผ่อนคลายอารมณ์ที่เศร้า เดียวดาย สับสน แม้จะไม่ทั้งหมดของความรู้สึกที่สูญเสียไปแต่ดิฉันก็กลับมายืนตรงความเป็นฉันได้ แต่อดิฉันก็รักบ้านและสมาชิกในบ้านหลังนี้เสียแล้ว ฉันไม่อยากกลับไปจมอยู่กับอดีตเก่าๆ ไม่อยากทิ้งอักษร ฉันแปลกใจตัวเอง ฉันเป็นอะไรในบ้านหลังนั้นมีอะไรให้ฉันประทับใจ ฉันมองเห็นเงาของตัวเอง กำลังซุกตัวกับไออุ่นของบ้านเล็กๆอย่างมีความสุข(ปัจจุบันมันไม่เล็กแล้วนะดูสิบางใครก็ใหญ่คับฟ้า..ฮา)มับอบอุ่นจนไม่อยากออกจากบ้านไปไหน กาแฟร้อนๆตอนเช้า กับบทกลอนก่อนทำงานกลายเป็นกิจวัตร ของฉันไปเสียแล้วสายตาหลายคู่มองมาอย่างเอื้ออาทร ให้กำลังใจหลายคู่มองอยู่ห่างๆ หลายคู่อาจจะมองอย่างหมั่นไส้นิดๆ
(หรืออาการหนักมากก็เชิดเมินหน้าหนี) ฉันก็นึกถึงความน่ารัก ของสมาชิกบ้านกลอนที่น่ารัก(ษา)ดีนะ.....อิอิ
ที่บ้านหลังนี้ มีผู้ดูแลบ้าน ที่น่าเห็นใจและน่าทึ่ง ที่สามารถดูแลสมาชิกที่มาจากหลายที่ทั่วโลก(ต้องประมาณนั้นเพราะสมาชิกหลายท่านอยู่ต่างประเทศ แม้แต่เจ้าของเวปเอง) ต่างระดับการศึกษา ต่างอายุ ต่างจิตต่างใจ ต่างอารมณ์ ในการนำเสนอ กระทู้กระทบกันบ้างบางกระทู้จบไม่ลงก็ต้องพึ่งผู้ดูแลบ้าน ออกมาช่วยไกล่เกลี่ยเหมือนเด็กๆทะเลาะกันคุณครูก็ต้องออกมาชี้แจง สู้ๆๆนะ ผู้ดูแลบ้านฝากจุ๊ฟๆ สัก2ฟอด..แหะๆๆ
แล้วจากคนนั้นมาคนนี้ยื่นไมตรีมีเม้นให้ ทั้งที่ต่างจิตต่างใจนำพามารู้จักกันในโลกไซเบอร์แห่งนี้พี่สาว พี่ชาย เพื่อน น้องกัลยาณมิตรทั่วราชอาณาจักร หลากหลายผู้คนที่เข้ามาอ่านกลอน มาแนะนำมาสอนสั่ง มากระเซาเย้าแหย่ตามมิตรภาพเพื่อนสมาชิกของบ้าน จนทำให้เราได้เรียนรู้ว่า บ้านหลังนี้ต่างจากเวปอื่นๆคือ มีมารยาท ไม่มีวาจาที่ทำให้เกิดการสะเทือนอารมณ์(ตอนเข้ามาใหม่ๆนะ ...ตอนนี้ต้องคิดใหม่กับหัวใจดวงเดิมๆๆนี่แระอย่าเพิ่งอ๊วกซะก่อนล่ะ ..ฮาๆ)แต่ตอนนี้ดูเหมือนบ้านกว้างเพิ่มมากขึ้นสมาชิกก็เพิ่มมากขึ้นหลายคนมาก่อน ก็รู้จักมักคุ้นหลายคนมาที หลังก็รู้จักด้วยบทกลอน
หลายคนพยายามวิ่งวนที่จะให้เป็นที่รู้จัก พอเหนื่อยสักพักก็หายไป หายเหนื่อยก็กลับมาใหม่ มีบางคนก็พยายามทำตัวเอง ให้ดูดีมีราศีเร็วๆๆก็พยายามที่จะถีบตัวเองออกมา สู่สังคมในบ้านให้รวดเร็วแต่ยิ่งทำก็เหมือน ยิ่งเหนื่อยเพราะกระแสในบ้านตอนนี้ มันนานาสาระเสียแล้วบางกระทู้เขียนรุนแรงด้วยภาษาตรงๆคุณผู้หญิงก็รับไม่ได้ เขียนหวานๆๆก็ชอบปรบมือให้มาเม้นให้จับคู่ให้เป็นขวัญใจคู่รักนักกลอนไปเลย(โอ้ย! ทีนี้ก็แวะเวียนมาอ่านตามมาเชียร์เหมือน ดาราอย่างไงอย่างงั้น ตอนแรกก็ปลื้มมากๆๆ ! อุ้ยๆ..เรามีแฟนๆๆชอบอ่านกลอนเราด้วยเรียกให้หรูหน่อยก็ แฟนคลับอะคะ อิอิ ) แต่แล้วชีวิตก็พลิกผันโดน จับให้รับบทนางเอกคู่พระเอกม้ามืดมาทีหลัง โหย !
ชีวิตนี้อาภัพนัก..ดูจิ!จะตามไปแหย่ไปเม้น ใคร คนสวยก็แสนอันตราย โดนแฟนคลับ โดดตามไปสับประณามว่าอิฉัน (แป๊บคะขอตัวเช็ดน้ำตาก่อนนะเจ้าคะ) ดึงกระดาษทิชชูเช็ดน้ำตาปรอยๆแง้งงงงง (บทเศร้าแล้วเจ้าคะ..)โดนประณามหยามเหยียด นังผู้หญิงหลายใจมั้ง หลายรักมั้ง นังพิมพิลาไลยมั้ง น๊านนน ...เปรียบอิฉันเป็นนางในวรรณคดีเลยนะเจ้าคะ กล่าวหาว่าอิฉันเป็นนางพิมสองใจ ชอบแอบไปเม้นชายคนโน้นชายคนนี้ มีอีก นังผู้หญิงสาธารณะ..
นี่ทันสมัยหน่อย วุ้ยๆๆ ยังกะอิฉันนั่งอยู่ใต้ต้นมะขามสนามหลวงแน่ะๆๆว่าไปนู่น..เหอๆๆ (แปลกดีนะ ก็นั่งขำก๊ากๆๆหน้าคอม เออ..คิดกันไปได้หนอคนเรา) ไอ้เรารึ !จะมีเพื่อนจะไปเม้นแหย่เพื่อนในบ้านมิได้เชียวรึ!
กลุ้มใจเลยทีเดียว..ทีมะก่อนไม่มีใครต่อกลอนด้วยอิฉันก็เป็นอย่างนี้นี่เจ้าคะ ซุกซนเที่ยวเม้นหยอดพี่ๆน้องๆไปทั่ว! ยิ้ม หน้าบานเป็นจานเชิง มะเห็นใครว่าเลยนี่!น่า(เฮ้อ สับสนเจ้าคะท่านผู้อ่าน)อิฉันมิใช่ดารานิ จาได้มีข่าวฉ่าวโฉ่รายวันหน้าบ้านกลอนทุกวัน เป็นกรรมของคนสวยนะเนี่ย..เฮ้อๆๆๆๆๆหลายๆๆเฮ้อ... สงสารตัวเองจังนิ (เอามือเท้าคางนั่งหน้าเศร้าทำตาปริบๆๆหน้าบ้านกลอน) ทั้งที่ความเป็นจริงชีวิตจริงมันไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจเลยตัวอิฉันเองเข้าใจว่าแฟนๆคงจะอินนะเจ้าคะบางสิ่งบางอย่างเงื่อนไขในชีวิตความเป็นจริงมันมีมากมาย อิฉันก็เอ่ยความ ตามความหมายไม่ได้เลย ต้องเก็บปิดเงียบงี้แระคะ
กระทู้ของงานอักษรศิลป์ มันสวยงามตามภาษาที่มาจากใจของคนเขียนไม่ว่างานชิ้นไหนของใครก็ตาม ต่างมีบทความกระทู้มาจากใจของตัวผู้เขียนไม่มากก็น้อย บางคนอาจจะมาด้วยรัก บางคนอาจจะมาด้วยแค้นบางคนอาจจะมาด้วยชอบ บางคนก็มาด้วยพิษรัก เราไม่สามารถไปกำหนดออกกฎตายตัวให้ใครได้ ควรอ่านเพื่อความบันเทิง( ไหนๆๆก็เสียตังค์ค่าเน็ทแล้วนี่เจ้าคะ)อ่านสักหน่อยก็ดีคะมะต้องไปเดินตามซื้อหนังสือมาอ่านให้เมื่อยขา..อิอิ ตามประสาของอิฉันแระคะ(เพื่อนมานบอกว่า! งก!นะยะหล่อนยัยพิม) 5555+ แถมได้อ่านงานที่มาจากนักเขียนเก่งๆๆทั้งนั้นเลย หายากนะคะ ที่จะเหมือนเวปไทยโพเอมเพราะต่างคนต่างที่มาต่างคนต่างที่ไปต่างคนต่างรักแต่ต่างจากคำเหล่านั้นคือต่างรู้ว่าใจใครคิดยังไง อย่าครอบงำความคิดของคนอื่น อารมณ์คนเขียนหนังสืออ่อนไหวคล้ายสนต้องลมเสมอ เหวอ ..ชักเครียดมะเอามาฟังอิฉันเมาส์ต่อดีฝ่า หุหุ (แบบว่าซ้อเจ็ดอายไปเยยยยย)เหอๆๆๆๆๆ
และด้วยบังเอิญหรือเปล่าไม่ทราบที่บางกระทู้ก็ช่างตรงกับชีวิตเราเหลือเกิน(บางทีแอบคิดนะ!แอบมานั่งในใจตูเมื่อไหร่..ฟะ5555+)กระทู้บางชิ้นก็เอาเรานั่งอ่านไปน้ำหูน้ำตาหยดแหมะๆๆฮือๆๆ (บทนางเอกเข้าสิงร่างทันที) พอประทับใจก็ไปเม้นให้ บางกระทู้ก็การเมืองอ่านแล้วพานจะจับเครื่องบินตรงไปร่วมเวทีด้วย ( โหย !เกิดอาการเลือดรักชาติรุนแรงขึ้นมาทันใด) บางกระทู้กลอนธรรมะ (อ่านไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยก่อนนอนขออ่านอีกรอบ ปลงไปในตัว !สาธุ!) บางกระทู้เขียนคำซะ ต้องไป เปิด พจนานุกรมแปลแล้วก็ทำหน้าพยักตามไปด้วยคำว่า อ๋อๆๆ อะไรหว่า .ฮาๆ ...!เออ..อิฉันว่าจะคุยเรื่องเม้น หรือตอบคอมเม้น !เนี้ย! มันคาใจมานานแระ อะไรนักหนาเนี้ย !..เล่าความตามคอมเม้นเลยนะ เวลาเราไปเม้นเพื่อนๆมันก็เกิดอาการแบบหยิกแก้มหยอก ไปเรื่อยๆทั้งผู้หญิง-ผู้ชาย จริงจังในการเม้นแบบน่ารักน่าหยิก แต่ไม่ได้จริงจังในการจะต้องไปเม้นหาคู่ (ภาษาชาวบ้าน!หาผัว..อะคะ ..ฮา) เออ.มีงี้ด้วย
แต่ก็ถึงบางอ้อ เมื่อรู้จักสมาชิกในบ้านต่างก็แจก msn ไว้ในบ้านใครบ้านมันอยากรู้จักก็ตามมาคุยนอกรอบขนาดนอกรอบยังตามมาอีก มันบุญหรือกรรมนิ ที่มีคนมาร๊ากกกก!ได้ขนาดนี้ !เชื่อไหม ว่าไอ้ที่ไปเม้นให้นะ บางทีก็จะมีหยิกแกมหยอก อ๊ะ !ให้กาแฟหนึ่งถ้วยดอกกุหลาบหนึ่งดอก วุ้ยๆๆ เอาจริงเอาจังมากมายหาว่าเราให้ท่า ไปอ่อยผู้ชายอีก โอ้! พระเจ้า! มันเอาอะไรมาคิดกันนิ พักหลังนี่!เลิกเลยไอ้อีเมค่อนรูปดอกกุหลาบเนี่ย มอบให้ชายไหวหวั่นตาม มอบให้หญิงขืนหวั่นไหวตาม ฟ้าผ่าแน่ๆๆตู 555555+ อ่านะคุณผู้อ่านอิฉันน่ะ !ไม่เข้าใจมานุษย์ เล้ย ..เหอๆๆ
อิฉันนะเจ้าคะ ..ด้วยกิติศัพท์นามปากกาสวย รวยเสน่ห์ วาจา หวาน(อันนั้นแระ เม้นแบบ หยิกแกมหยอกแระคือสาเหตุ) มีลือกันด้วยนะคะ ว่าอิฉันสวยเลิศ ประเสริฐวจีมณีรัตนายังอายเลยเจ้าคะ(คิดกันลือกันไปด้ายเน๊อะ ..คิกคิกๆๆ)ก็มีบ้างแอบยิ้มอะคะ แบบว่ามีคนชมเรา..อิอิ (ว้า!ตอนนี้! อิฉันเขียนไปยิ้มไปนะเนี่ย! ไม่ค่อยบ้ายอเท่าไหร่หรอกคะ..ฮา ๆ) นี่เลย ทำให้เหล่าบรรดา หญิงแท้แม้ไม่ได้ใกล้ชิดกับอิฉันก็เกิดอาการหมั่นไส้อิฉัน หลายคน ( คงประมาณบ่นในใจ ยี้..ยัยนี่ .ชะนีชัดๆ..ฮา) ว่ากันไปคะแล้วก็ อันชายรูปงามในบ้านกลอน ก็นับเรียงคนได้นะเจ้าคะ (แบบว่ามันหายากอะคะผู้ชายในบ้านอะ) เลยทำให้เหมือนเหล่า ชะนี อย่างอีชั้น !เฮ้ย ! เทพธิดานารี แหะๆ กำลังจ้องมองเทพบุตรไงงั้นเลยนะเจ้าคะ !เพราะว่าคารมดี มีงานศิลป์เป็นทาง ตามอ่านคำหวานทุกวัน ก็ทำเอาใจแป้วได้นะเจ้าคะ..อิอิ...ในหน้ากลอนมีหึงมีหวงมีตามจิกตามเรียก..อุ้ย!มันเพคะบางช่วง..
(ได้ข่าวแว่วๆ) มีตามหึงตามหวงนอกรอบแน่ะคะ..ยิ่งกว่าละครน้ำเน่าอีก อันนี้คอนเฟิร์มเจ้าคะเพราะอิฉันเจอมาแล้ว..ช่างเถอะคะเรื่องมันแล้วก็แล้วไป..(แต่อย่าวกกลับมาอีกแล้วกัน คราวนี้มีให้ดอกกุหลาบเจ้าปัญหาแน่คะ..5555+) ที่น่าสงนสนเท่ห์เนี่ยสิ พวกเม้นแล้วตามจิก บางคนน่าสงสารนะเจ้าคะ ไม่มีจรรยาบรรณของคนจริง แน่จริงเม้นใส่ชื่อนามสกุลเลยสิ จะได้รู้ว่าคนจริง(บางทีก็แอบสงกะสัยอะ!น๊า) ไอ้คนนี้มัน ต้องเป็นใครสักคน ในบ้านกลอนที่มัน หมั่นไส้ทุกขดของอิฉันอยู่อะคะ..มีกี่ขดขุดออกมารู้หมดเลยนะเนี่ย..อิอิ รักกันถึงไส้นี่น่าแจกดอกกุหลาบสัก3 ดอกนะเจ้าคะ 555+ แถมจุ๊บๆๆด้วยคงดีนะเคอะ เหอๆๆ. เออ..มีคนถามอิฉันว่าหากให้เป็นดอกไม้อยากเป็นดอกอะไร อิฉันก็ตอบว่า ชีวิตอิฉัน นอกจากฟ้า พระจันทร์ ตะวัน ดวงดาว อิฉันก็ชอบดอกไม้นะ(ก็เปงผู้หญิงนิ ออกจะเรียบร้อย) อิฉันว่ามีคนบางคนนั่งสำลักอยู่นะเนี่ย..อิอิ เพราะโดนด่าประจำเปงลิงเปงค่าง ตอนนี้เรียกใหม่นะเพื่อนรัก ( นัง..ชะนี ฮาๆ ) ภูมิใจมากยืดอกรับเพราะหากอิฉันเป็นชะนีพวกคุณเธอทั้งหลายก็เป็นเหมือนอิฉันอะคะ เพราะอิฉันก็มีเหมือนๆๆกันกะพวกหล่อนแระยะ 5555555+หรือไม่ใช่ถอดเสื้อผ้าออกดูดิ..แน่จริงอะป่าว555+(ออกแนวเรทอาร์แระ)เดียวก็เจอดีอีกหรอก5555+
ถึงไหนแล้วละ อ๋อ ! อิฉันก็อยากเป็นดอกกุหลาบ เพราะดอกกุหลาบคือราชินีแห่งมวลดอกไม้ทั้งโลก (ประมาณนั้นนะ)สวยมีหนามคม ยากที่ใครจะเด็ดมาดอมดมได้ง่าย เสน่ห์คือความสวยบวกหนามแหลมคมคือความฉลาด บวกตำแหน่งราชินีดอกไม้ โอ้ย..โหย่ อิฉันอะชอบมั่กๆๆเจ้าคะ จะเป็นราชินีดอกไม้ (สังเกตไหมแจกดอกกุหลาบทีไรเรื่องวุ่นๆตามมาไม่หยุดหย่อน) ก็แค่อยากเป็นอะคะ..คิกๆ (ต้องหัวเราะแบบนางเอกไว้ก่อน..)เดียวไม่สวย..เสียชื่อนางเอกหมด (นางเอกจำเป็น)
หากเป็นเช่นนั้นอิฉันก็คงต้องบอกว่า บทกลอนก็คือบทกลอนอย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวมาปะปนเวทีชีวิตยังอีกยาวไกล เวทีชีวิตจริงต่างจากเวทีในบ้านกลอนที่เราต่างแสดงความรู้สึกออกมาแฉกัน ลองให้มาจับเข่าคุยกันข้างนอกสิ ไม่มีใครอยากจะแฉหรอกเพราะ(อาย) ไม่ไว้ใจหากเป็นตัวหนังสือแล้ว ไม่มีใครรู้จักเรานิ เขียนยังไงก็ได้ ด่าใครก็ได้ ชมใครก็ได้ สารพัดจะแสดงออก บางคนในบ้านกลอนจ้อๆๆๆๆไม่หยุดเจอตัวเป็นๆเงียบเหมือนใครปิดปากไว้ ง้างปากให้พูดยังไม่พูด (พวกเก็บกด อะคะ) อิอิ
แต่สำหรับ อิฉันรับรองจ้อจนลิงหลับยังได้เลยคะ อิอิ.. แล้วเรื่องไอพงไอพีนี่อีกนะเจ้าคะ คนเม้นอะคะ จะรู้เลยว่าใครมาเม้นเราไม่ต้องใช้นามแฝงหรอกคะ หากคุณเอาชื่อนามปากกาของคุณมาเม้นรับรองว่าจะมีศักดิ์ศรี มีน้ำหนักในคำพูด ที่น่าคล้อยตามขึ้นอีกเยอะเลยคะ อย่ามานามแฝงเพราะถ้าเราเอาไอพีไปหาในกูเกิล แล้ว ตรงกับใครน่าอายจังเลยคะ(ตอนนี้จับได้แระ2-3คนก็คนกันเองในบ้านกลอนอะ อายแทนเลยเจ้าคะโตๆๆกันแล้วยังทำเหมือนตัวอิจฉาอีก กำจริงๆๆเสีย!สุนัขไปเลยอะคะ..แหะๆ! อันนี้ !อิฉันมิได้ระบุใครนะเจ้าคะ ใครร้อนตัวก็ขอกราบพระอภัยมณีด้วยเพคะ
ชักหิวแระ ซ้อพิมเห็นทีต้องไปแระคะ แบบว่านัดซ้อเจ็ดจาไปดูหนัง ที่มีคุณค่ามีสาระ" หนึ่งใจเดียวกัน" อะคะ ใครจะตามมาดูก็ได้นะคะ ออกค่าตั๋วหนังเองนะเจ้าคะ..หุหุ
ปล.ลืมบอกสถานที่ไปอะ เซ็ลทรัทลาดพร้าวนะเจ้าคะ..เอาตั๋วที่นั่งใกล้ๆๆซ้อพิมนะเจ้าคะจะได้ แอบฟังซ้อพิมกะซ้อเจ็ดแอบคุยกัน..555555+
อ้อ..ให้รางวัลใครอ่านจบเป็นดอกกุหลาบช่อ 1 ช่อนะเจ้าคะ
ขอเม้นด้วย..หากติดใจจะได้เขียน บ้านนี้ที่ฉันร๊ากกกกกกกอีกปีที่เชียงใหม่อะเจ้าคะ..แบบว่าพิมเตรียมจอง พื้นที่กาดสวนแก้วแถลงข่าวใหญ่โตเลยเจ้าคะ
11 กรกฎาคม 2551 11:16 น.
พิมญดา
เสียงพ่อครัวกะลูกมือกำลังสั่งกันเป็นมือระวิง" กล้าเอาผักชีตัดรากเอามาใส่น้ำซุปนะ" "คับลุง"เสียงผู้ช่วยรับปากมือก้คว้ารากผักชีมาหมายตัดราก มือน้อยคว้าหมับแล้วเอามือทำเสียงจุ๊ๆ ขยิบตาให้ผู้ช่วยพ่อครัว หล่อนลงมือตัดเองแล้วยื่นให้พ่อครัว "อะ! ได้แล้วเจ้าคะกุ๊กกู่..อิอิ " เสียงใสใสทำให้พ่อครัวที่เตรียมเครื่องปรุงหยุดชะงักและรับรากผักชีใส่หม้อซุป "คุณพิมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ""อ้าวก็มาเมื่อเห็นแระคะลุง" หล่อนหัวเราคิกคักก่อนที่จะหันไปสั่งผู้ช่วยหนุ่มอีกคน"กล้าเราเตรียมของให้พี่พิมทีนะจะทำกับข้าวให้คุณนายนะเอาใจคุณนายหน่อยพี่พิมหายไปหลายวันเลย..อิอิ"ลุงกุ๊กกู่ที่หล่อนเรียกยิ้มทุกทีที่ได้ยินนายน้อยของเขาเรียกมารดาหล่อน
" มาคราวนี้ไม่ดุพิมแฮะลุง เลยต้องทำกับข้าวถวายท่านแม่นี่แระคะ" จะทำอะไรละครับ ลุงทำให้ไหม" "ไม่อะคะพิมทำเองลุงเตรียมให้พิมนะคะแม่ชอบทาน
ของที่ไม่มันมาก "หล่อนเดินไปดูของในตู้ช่องผักสด เห็นผักพื้นบ้านวางอยู่2กำ
หันไปถามพ่อครัว"ลุงคะผักกรูดของใครคะ" "อ๋อ เห้นป้าอุ่นเขาซื้อไว้ให้คุณบัวนะครับ" หล่อนพยักหน้าแทนคำตอบพร้อมกับหยิบผักขึ้นมาเด็ดอย่าคล่องแคล่ว
"งั้นพิม ผัดผักกรูดหมูกรอบ อีกอย่างก็ลุงทำแกงป่าไก่บ้านแล้วก็ไข่เจียวสมุนไพรนะคะ 3อย่างพอคะ ทานกันสองคนเอง"หล่อนสั่งรวดเดียวจบลุงกุ๊กกุ๋เตรียมของให้หล่อนอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเรียวรูปไข่ รูปร่างสันทัด ผิวขาว หล่อนมัดรวบผมไว้ท้ายทอย เผยเห้นต้นคอที่ขาวผ่องดุกระฉับกระเฉงเข้ากับเอี๊อมลายดอกไม้สีชมภู ช่างรับกับดวงหน้าที่ตอนนี้เริ่มแดงเพราะไฟกะทะหน้าเตาที่หล่อนกำลังผัดผัดกรูดหมูกรอบให้มารดาอย่างตั้งใจนั้นทำเอาพ่อครัวยืนยิ้มอย่างเอ็นดู พิมกานดา เก่งมากคนหนึ่งกับการทำอาหาร หล่อนมักจะเปลี่ยนเมนูที่ร้านอยู่บ่อยๆชอบประดิษฐ์ประดอยดัดแปลงอาหารแปลกๆมาให้เสมอเพื่อลูกค้าจะได้ไม่จำเจ แม้แต่อาหารเจ ที่พ่อครัวต้องทำให้หล่อนทานประจำหากวันไหนเป็นวันพระ
" น่าทานจังเลย ครับคุณพิม" พ่อครัวเอ่ยปากชมพร้อมกับบอกให้ผู้ช่วยยกไปให้หล่อนที่หน้าร้าน ไข่เจียวสมุนไพรนี่ลงเมนูร้านเลยไหมครับแปลกดีนะครับ คุณพิม" " ได้สิคะลุง ไม่มีอะไรยากสักหน่อยส่วนใหญ่เครื่องปรุงของในครัวเราก็มี ลุงอย่าลืมใส่ให้ครบละคะถึงจะอร่อย อาหารเพื่อสุขภาพด้วย " " ครับ มีโหระพา ใบกระเพรา พริกแดง หอมแดง ต้นหอม เท่านี้ใช่ไหมครับ" พ่อครัวย้ำสูตรกับนายน้อยคนงามอีกที "คะลุง แต่วิธีการทอดสำคัญนะคะ ลุงต้องให้ใข่กรอบตรงขอบนุ่มตรงกลางนะคะ ผักที่รวมอยู่ตรงกลางจะได้ไม่ไหม้เปิดไฟอ่อนก่อนค่อยๆๆเพิ่มนะคะ" หล่อนบอกพ่อครัวพร้อมถอนเอี๊ยมกันเปื้อนออก " ไปแระคะ คุณนายจะรอพิมทานข้าว ขอบคุณคะลุงกุ๊ก "หล่อนกล่าวขอบคุณพ่อครัวทุกครั้งที่ช่วยหล่อนทำกับข้าว
หล่อนให้เด็กตั้งโต๊ะ จัดการเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปเรียกมารดาที่ห้องทำงานอีกครั้ง เสียงที่กำลังจะเรียกมารดาต้องหุบลงทันทีเพราะมารดาหล่อนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ หล่อนได้แต่ทำท่าบอกใบ้กับมารดายกมือเหมือนกำลังตักข้าวใส่ปาก มาทานข้าวได้แล้ว บัวแก้วพยักหน้าเข้าใจภาษาใบ้ที่พิมกานดาบอก แล้วบอกลาสายเสียงที่กำลังคุยอยู่เดินออกมาพร้อมลูกสาว
"น่าทานจังเลย เอผักนี่คุ้นๆๆนะเรา" " โห! คุณนายขา ผักเนี้ยพิมอุตส่าห์ไปเด็ดมากับมือเลยนะคะ ดูสิมือช้ำหมดเลย " หล่อนแบมือให้มารดาดูแล้วประคองบัวแก้วนั่งลงเก้าอี้พร้อมค้อนลูกสาววงใหญ่"จ้าเชื่อตายละผักนี่เมื่อวานป้าอุ่นถามแม่ทีละว่าจะเอาแกงหรือผัดดี " "แหะๆๆแม่ก็ พิมก็อำแม่เล่นแระคะ พร้อมแล้วเจ้าคะวันนี้พิมเสนอไข่เจียวสมุนไพรมาให้แม่ชิมด้วย แม่รู้ป่าวหอมมากนะคะรับรองไม่อ้วน หอมโหระพาคะ " " มารดาหล่อนยิ้มนั่งมองอาหารตรงหน้าเริ่มลงมือตักขึ้นมากินพร้อมกัน "อร่อยดี นี!แล้ววันนี้เราจะไปไหน "บัวแก้วถามจอมใจของหล่อนอย่างรู้นิสัยลุกสาว "พิมไม่ไปไหนหรอกคะ งานที่เขียนก็ยังไม่เสร็จ บทความเด็กที่เชียงรายพิมก็ยังไม่เสร็จ คงอยู่บ้านแระคะ คุณนายมีอะไรให้พิมทำป่าว "หล่อนมองหน้ามารดา
"ไม่หรอก วันสองวันนี้เราจะเข้าเมืองหรือปล่าวละแม่อาจจะติดรถเราไปด้วย " "คะเพื่อนพิมจะมาพิมจะไปรับที่สนามบิน แม่จะไปด้วยหรือคะ" " อืม พอดีมีงานเลี้ยงของพ่อเลี้ยงแม่อยากให้พิมไปด้วย" " พิมกานดาวางช้อนทันควัน ทำหน้าเซงขึ้นมา "แม่ พิมไม่ไปนะคะ พิมไปส่งแม่ได้แต่ไปงานพิมคงไม่เข้าไป..เพื่อนพิมมา อาจจะพักที่บ้านในเมือง2วัน วันอาทิตย์พอดี พิมจาพาเพื่อนไปเดินถนนคนเดินก่อน นะแม่นะพิมไม่ไป ได้ไหม" " บัวแก้วไม่อยากขัดใจลูกสาว" งั้นแม่ไปคนเดียวก้ได้จ๊ะ" " ส่วนร้านเดียวเราไปดูนะสั่งนาไว้ให้ดูแลลูกค้าจองซื้อของตุนไว้ตอนแม่กับเราไม่อยู่ จะได้ไม่ขาดอะไร " หล่อนรับคำมารดาพร้อมกับความสงสัยในใจแม่จะไปงานเลี้ยงพ่อเลี้ยงทำไมนิ......
29 พฤศจิกายน 2550 15:22 น.
พิมญดา
อันความกรุณาและปราณี
จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนแสนชื่นใจ
จากฟากฟ้าสุลาลัยสู่แดนดิน
สวัสดีปีใหม่ในปีนี้
คงยังมีเรื่องราวให้กล่าวขาน
มีเรื่องสั้นเรื่องเล่าในตำนาน
เป็นนิยามประจำใจไม่เคยลืม
คือเรื่องเล่าบะหมี่น้ำชามเดียว
เรื่องที่เกี่ยวกับน้ำใจไม่ได้ฝืน
มอบคำเอื้ออาทรตอนจุดยืน
น้ำตารื้นทุกครายามอ่านตาม
..............บะหมี่น้ำชามเดียว ..............
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม
ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้นรับปีใหม่
ที่ร้านบะหมี " ฮอกไก " ริมถนนซัปโปโร
การกินบะหมี่โซบะในวันส่งท้ายปีเก่าต้นรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันส่งท้ายปีเก่าต้นรับปีใหม่
และร้าน " ฮอกไก " นี้ก็เช่นกัน
ในวันนั้นคนแน่นร้านทั้งวันจนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง
ซึ่งโดยปกติแล้วถนนสายนี้คนจะแน่นไปจนถึงเช้าตรู่
แต่วันนี้ทุกคนต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว
ทำให้ร้านจึงปิดเร็วกว่าทุกวัน
เถ้าแก่ร้านเป็นคนใจดี ส่วนเถ้าแก่เนี้ยเป็นคนอัธยาศัยใจคอดี
ในคืนวันส่งท้ายปีเก่าเมื่อลูกค้าคนสุดท้ายกลับไป
ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้าน ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ
มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชาย 2 คนมาด้วย
คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบ อีกคนประมาณ 10 ขวบ
เด็กชายทั้งสองสวมชุดเสื้อกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน
ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค๊ทเก่า ๆ เชย ๆ
" เชิญนั่งครับ " เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา
หญิงคนนั้นเอ่ยปากออกมาอย่างขลาดกลัว
" เอ่อ...ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมคะ "
เด็กชายทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
" ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ เชิญนั่งก่อนค่ะ "
เถ้าแก่เนี้ยพูดพลางพาพวกเขาไปนั่งโต๊ะ เบอร์2ติดชิดกำแพง
แล้วตะโกนบอกเถ้าแก่ที่อยู่ในห้องครัว " บะหมี่น้ำชามนึง "
บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่ 1 ก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่ลงไปอีกครึ่งก้อน
ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างไม่รู้เรื่อง
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย พลางพูดว่า
" ทานเถอะครับ " ลูกคนโตพูด
" แม่ทานสิครับ " ลูกคนเล็กพูดพลางคีบบะหมี่ให้แม่
ไม่นานบะหมี่ก็หมดชาม จ่ายเงินไป 150 เยน แล้วทั้ง สาม คนก็ชมว่า
" ขอบคุณมากค่ะ (ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ (ครับ) "
พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยก่อนเดินจากไป
" ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ) "
ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างกล่าวคำขอบคุณ
ทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็นวันแล้ววันเล่าและแล้วก็ผ่านไปอีก 1 ปี
วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาถึงอีกครั้งและวันนี้ที่ร้าน "ฮอกไก" ก็คึกคักเช่นเดิมและดูเหมือนจะขายดีขึ้นกว่าเดิม สองตายายก็วุ่นกับการค้าขายเหมือนเช่นที่ผ่านมา
และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง 22.00 กว่า ๆ ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
คนที่เข้ามาคือหญิงวัยกลางคนและเด็กชายอีก 2 คน
พอเห็นโอเวอร์โค๊ทที่เก่าและเชย เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขี้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายของวันนี้เมื่อปีที่แล้วนั่นเอง
" ขอบะหมี่ชามนึงได้ไหมคะ "
" ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ "
เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว
พลางตะโกนว่า" บะหมี่นำหนึ่งชาม "
เถ้าแก่รับคำพลางจุดไฟที่เพิ่งดับไปพลาง " ได้ครับบะหมี่น้ำหนึ่งชาม "
เถ้าแก่เนี้ยแอบพูดข้างหูเถ้าแก่ว่า " นี่ตาแก่ต้มบะหมี่ให้เขาสามชามไม่ได้เหรอ"
" ไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นพวกเขาจะอายและไม่สบายใจรู้มั้ย " เถ้าแก่ตอบ
พลางเอาบะหมี่อีกครึ่งก้อนใส่ลงไปต้มอีก เถ้าแก่เนี้ยยิ้ม พลางพูดว่า
" เห็นทึ่ม ๆ แต่จิตใจดีเหมือนกันนะ " แลัวยกบะหมี่ชามใหญ่ไปให้สามคนแม่ลูกที่นั่งรออยู่ สามคนแม่ลูกล้อมกันกินบะหมี่พลางพูดไปพลาง
" หอมจังเลย.....ยอดไปเลย........อร่อยจังเลย........"
" ปีนี้ได้ทานบะหมี่ร้านฮอกไก ได้ถือว่าไม่เลวทีเดียว "
" ถ้าปีหน้าสามารถกินได้อีกก็ดีน่ะสิ " พอกินเสร็จก็จ่ายเงินไป 150 เยน
และค้อมตัวเล็กน้อยก่อนเดินออกจากร้ายฮอกไกไป
"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" มองตามหลังแม่ลูกจนลับตาไป
และแล้วก็ถึงปีที่สามของวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ร้านฮอกไก
กิจการของร้านนี้ดีมาก สองตายายวุ่นทั้งวันจนไม่มีเวลาคุยกัน
แต่พอเลย 21.00 น. ไปแล้วทั้งสองคนก็เริ่มกังวลใจขึ้นมา พอ 22.00 น. พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็กลับกันไป พอคนสุดท้ายออกจากร้านสองคนตายายก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ของที่ร้านที่เขียนว่า
" บะหมี่ขามละ200เยน" กลับเป็นอีกด้านที่เขียนว่า " บะหมี่ชามละ 150 เยน "
และเมื่อ 30 นาทีก่อนหน้านั้น เถ้าแก่เนี้ยได้เอาป้าย " จองแล้ว " ไปวางไว้ที่โต๊ะเอร์ 2 และเมื่อเวลา 22.30 น. สามแม่ลูกก็เข้ามาในร้านเหมือนเช่นเคย
พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง น้องชายสวมเสื้อหนาวที่ดูไม่พอดีตัวนัก และแม่ก็ยังใส่โอเวอร์โค๊ทเก่า ๆ เชย ๆ ตัวเดิม
" เชิญค่ะ เชิญค่ะ " เถ้าแก่เนี้ยทักทายยิ้มแย้ม
ทำให้ผู้เป็นแม่เปล่งคำพูดออกมาอย่าง งก ๆ เงิ่น ๆ ว่า
" รบกวนขอบะหมี่น้ำซัก 2 ชามได้ไหมคะ " " ได้ค่ะ เชิญนั่งค่ะ "
เถ้าแก่เนี้ยพอแม่ลูกไปนั่งที่โต๊ะเบอร์ 2 แล้วเอาป้าย " จองแล้ว " ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และตะโกนไปทางครัว " บะหมี่น้ำ 2 ชาม "
" ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้ครับ " เถ้าแก่รับคำพลางใส่บะหมี่ลงไปในหม้อต้ม 3 ก้อน สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูเหมือนมีความสุขมาก
สองตายายที่ยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำบะหมี่ก็รับรู้ความสุขที่พวกเขาได้รับกัน ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย
"ลูกรักวันนี้แม่ต้องขอบคุณลูกมาก" " ขอบคุณ? ทำไมครับ"
" เรื่องเป็นอย่างนี้ คือพ่อของลูกที่เสียไปเพราะอุบัติเหตุนั้น ได้ทำให้คนอีก 8 คนได้รับบาดเจ็บด้วย ทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่เราต้องจ่ายเงิน 5 หมื่นเยนทุกเดือน แต่เดิมนั้นเราต้องใช้หนี้ไปถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราใช้หนี้ไปได้หมดแล้ว "
" จริงหรือครับแม่"
" จริงสิจ๊ะ นี่เพราะว่าพี่ชายของลูกขยันส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงให้เบี้ยขยัน โบนัส จึงทำให้เราสามารถชำระส่วนที่เหลือได้หมด"
"ว้าว....อย่างนี้ก็ดีสิครับ แม่ครับพี่ครับให้ผมทำอาหารเหมือนเดิมนะครับ"
" ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชายเราต้องสู้กันหน่อยแล้ว "
" ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ "
" แม่ครับผมกับน้องมีความลับจะบอกแม่เหมือนกันครับ คือเมื่อเดือนที่แล้วโรงเรียนของน้องแจ้งให้ผู้ปกครองไปพบวันผู้ปกครอง ครูของน้องได้บอกว่าเรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโดไปแข่งเรียงความทั่วประเทศ ผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ในวันนั้น เรียวความเขียนว่าในวันหนึ่งหลังจากที่คุณพ่อได้เสียชีวิตไปแล้ว ได้ทิ้งหนี้สินไว้ให้เรามากมาย เพื่อที่จะใช้หนี้คุณแม่ต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องที่ผมส่งหนังสือพิมพ์น้องยังเอาไปเขียนเลย และน้องเขียนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ที่เราสามคนล้อมวงกินบะหมี่ชามเดียวที่อร่อยมาก คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณเราอีกแถมยังอวยพรปีใหม่เราด้วย เสียงเหล่านั้นเหมือนกับเป็นกำลังใจให้เรามีแรงยืนหยัดสู้ต่อไป พยายามปลดหนี้สินของพ่อให้หมดโดยเร็ว น้องยังเขียนอีกว่าต่อไปจะเปิดร้านบะหมี่ และจะให้กำลังใจกับคนที่มาที่ร้านทุกคนครับ "
สองตายายเจ้าของร้านที่ยืนฟังอยู่ จู่ ๆ ก็หายตัวไป พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่าอยู่ข้างโต๊ะ พยายามซับน้ำตาที่ไหลออกมา
"ตอนน้องอ่านเรียงความผมอายมาก แต่เห็นน้องยืดอกพูดอย่างภูมิใจทำให้ผมนึกถึงความกล้าของคุณแม่ที่สั่งบะหมี่เพื่อเรา สามคน ผมไม่มีวันลืมเด็ดขาด ผมและน้องต้องดูแลแม่เป็นอย่างดี"
สามแม่ลูกกุมมือกันอย่างมีความสุข บะหมี่ปีนี้อร่อยกว่าทุกปีที่ผ่านมา และพวกเขามีความสุขที่สุดเท่าที่ผ่านมา
และจ่ายเงิน 300 เยน ค้อมตัวเล็กน้อยและเดินจากไป
" ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" สองตายายมองหน้ากันปีใหม่ปีนี้ผ่านไปแล้วจริง ๆ
และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง 21.00น. สองตายายก็เอาป้าย " จองแล้ว"ไปวางไว้ที่โต๊ะเบอร์ 2 เช่นเคย แต่ปีนี้จนปิดร้านก็ไม่มีแม้เงา สามแม่ลูกนั้นเลย
ปีที่สอง ปีที่สาม โต๊ะเบอร์สองก็ยังว่างเช่นเดิม สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้าน ฮอกไก อีกเลย กิจการของร้าน ฮอกไกดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว จนร้ายมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่ ยกเว้นโต๊ะเบอร์ 2 ที่คงไว้เช่นเดิม
" นี่มันอะไรกัน " ลูกค้าหลายคนถามด้วยความข้องใจ
สองตายายเลยเล่าถึงบะหมี่หนึ่งชามให้ลูกค้าฟัง พร้อมทั้งบอกว่าจะเก็บที่นั่งตรงนี้ไว้ให้สามแม่ลูก เผื่อเขากลับมา
โต๊ะเบอร์ 2 นั้นลูกค้าที่ได้ฟังเรื่องราวก็ให้ชื่อว่าโต๊ะความสุข
ผ่านวันที่ 31 ธันวาคมไปหลายต่อหลายปี
เจ้าของร้านค้าระแวกนั้นก็ปิดร้านและรวมตัวฉลองกันที่ร้านฮอกไก
กินไปพลางรอฟังเสียงระฆังปีใหม่ไปพลาง เฮฮาประมาณ 40-50 คน และโต๊ะจองเบอร์ 2 ก็ยังคงว่างเช่นเคย เวลาผ่านไปจนถึงเวลา 23.30 น.
ประตูร้านถูกผลักออกเบา ๆ ทุกคนในร้านมองไปที่ชายหนุ่มสองคนสวมสูทท่าทางสุภาพ เถ้าแก่เนี้ยออกมาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า
" ขอโทษค่ะร้านเต็มหมดแล้วค่ะ " เพื่อปฎิเสธแขกที่ไม่ได้รับเชิญนั้น
ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมกิโมโนแทรกกลางเข้ามาระหว่างชายทั้งสองคน
" เอ้อ.....รบกวนขอบะหมี่ สามชามได้ไหมคะ "
ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว
เถ้าแก่ตะลึงมอง " พวกคุณ.....พวกคุณ ........." เถ้าแก่พูดได้แค่นั้น
"พวกเราสามคนที่เมื่อ 14 ปีก่อนมาสั่งบะหมี่หนึ่งชามไงครับ พวกเราได้รับกำลังใจจากบะหมี่ชามนั้น พวกเราจึงยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้ เราย้ายไปอยู่อำเภอ ชิวะ กับคุณยาย ปีนี้ผมเป็นแพทย์แล้ว และย้ายมาอยู่ที่โรงพยาบาลกลางซัปโปโรครับ
และนี่น้องชายผมที่ฝันอยากเปิดร้านบะหมี่ตอนนี้ทำงานธนาคารเกียวโต ครับ เราได้คุยกันว่าปีนี้จะมาคารวะเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยที่ร้าน ฮอกไก และทานบะหมี่น้ำของที่ร้านด้วย "
สองตายายฟังน้ำตาคลอเบ้า ปาดน้ำตายิ้มแล้วพูดว่า
" ได้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ(ครับ) บะหมี่น้ำสามชาม "
* หากดูกันตามจริงแล้วสิ่งที่สองตายายให้ไปไม่มีค่ามากมายอะไรเลย
มันเป็นเพียงแค่บะหมี่ไม่กี่ก้อน
คำพูดที่จริงใจไม่กี่คำ และคำอวยพรปีใหม่เท่านั้นเอง
แต่มันกลับทำให้ผู้ที่อยู่ในความจริงที่โหดร้าย ถูกบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจฝืนได้ กลับมาสู้ชีวิตอีกครั้ง