29 มกราคม 2555 09:38 น.
พิพัฒนชัย พรมศรี
เมล็ดข้าวประมาณจำนวนไม่ได้�
ถูกรินรดด้วยเหงื่อต่างฝนของชาวนา
ครั้งแล้วครั้งเล่าเวียนวนอยู่เช่นนั้น
จนกระทั้งออกรวงสีทองเหลืองอร่ามอยู่เต็มท้องทุ่ง �
แต่ทว่า...�มันจะมีสักกี่เม็ดเล่า ที่ตกถึงท้องชาวนา�
"เขาคือรากหญ้า" มันเป็นความคิดที่ผิดโดยสิ้นเชิง�
เพราะความจริงแล้วนั้น "เขาคือรากฐานของประเทศต่างหาก"!
ถ้าไม่เรียน ก็ต้องทำนา อยากไถนาหรือไง??
มันไม่ใช่คำดูถูกอาชีพ แต่มันคือคำเตือนจากปู่ย่าตาทวด
ผู้ที่ซึ่งรู้ซึ้งถึงอรรธรสแห่งความลำเค็ญ�
ในการดำรงไว้ซึ่งเลี้ยงมนุษย์และตนเอง และประเทศ
เหตุที่ต้องมีคำเตือนเช่นนี้ ...??
ก็เพราะยุคสมัยที่มันไม่เคยเปลี่ยนแปลง�
เกษตกรไม่เคยได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า
การให้ค่าความสำคัญในสังคมอย่างต่ำต้อย
การช่วยเหลือเยียวยาที่แสนจะหดหู่�
ทั้งๆที่มันเป็นอาชีพ�ที่เป็นสร้างหน้าสร้างตาให้กับประเทศไทยในเวทีโลก
และสร้างเงินสร้างทองให้กับนายทุนจนพลุงปลิ้นมาแล้วนักต่อนัก!
ยิ่งไปกว่านั้น ...
ตั้งแต่ กระทรวงการเกษตร ตกอยู่ในเงื้อมมือของ เดนมนุษย์!
"รมช.ไพร่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" หายนะก็เกิดขึ้นทุกขณะ ทุกนาที ทุกวินาที ....
กระทรวงการเกษตร�
อันเป็นกระทรวงที่สำคัญของประเทศ
ต้องตกไปอยู่ภายใต้บังเหียน ของคนที่ไม่รู้จักมัน
และไม่เคยเห็นคุณค่าของมัน ในทางที่จะสร้างประโยชน์แก่บ้านเมือง
อนาคต พี่น้องชาวนาไร่ จะเป็นอย่างไรคงไม่ต้องพูดถึง...
เมื่อคนอย่าง ไอ้ไพร่เต้น ณัฐวุฒิ เข้ามามีบทบาทจัดการ
มันก็ไม่ต่างอะไรกับการฝากบ้านไว้กับโจร!
_______________
พิพัฒนชัย
๓๐ / มกราคม / ๒๕๕๕
24 มกราคม 2555 05:12 น.
พิพัฒนชัย พรมศรี
ฝากถึงนิติราษฏร์ (ด้วยก็ดี)
นานมาแล้ว ผมเคยคุยอยู่กับอาจารย์ท่านหนึ่ง�
เป็นอาจารย์สอนวิชารัฐศาสตร์�
นั่งคุยเล่นกันตามปกติ ไม่มีอะไรทำ
ผมจึงตั้งคำถามเล่นๆมาคำถามนึงให้ท่านตอบ
รัฐบาลจะเปลี่ยนทิศทางประเทศไปในทางที่ดีได้มั้ยครับอาจารย์
อาจารย์ตอบว่า ให้พระอินทร์ พระพรหมเหาะลงมา ก็เปลี่ยนไม่ได้
แล้วท่านก็บอกอีกว่า�
"ถ้าอยากจะให้ศาสนาและประเทศเจริญ�
และการศึกษามีคุณภาพ ไม่ยากเลย"
สมมติว่ามีลูก ๕ คน ลูกคนที่ฉลาดที่สุดต้องให้บวช�
เพื่อจะได้ศึกษาหลักธรรมนำพาศาสนาและสังคมต่อไป�
คนที่ฉลาดลองลงมาก็ให้เป็นครู ... อะไรทำนองนี้
เก็บนำมาคิด มันก็จริงอย่างที่ว่านะ
ส่วนใหญ่คนเราชอบแก้ปัญหากันที่ปลายเหตุ
ไม่ได้ขจัดที่เหตุ ที่ทำๆกันอยู่ก็เพียงระงับผล ไม่ได้ระงับเหตุ!
เรื่องสมมติผ่านไป .... ถึงคราวสภาพความเป็นจริงกันบ้าง..
ยุคสมัยนี้ ครอบครัวใครมีลูกฉลาดก็ต้องการให้เรียนหมอ�จะได้ร่ำรวยมีหน้าตา
หรือถ้าเป็นผู้ชายก็ให้ไปสอบนายร้อย,นายเรือ เผื่อว่าจะได้เป็น นายกฯ นายพล
ส่วนคนที่ไม่ค่อยฉลาดก็ให้ไปเรียน วิทยาลัยครู เผื่อจะพอเป็นครูได้�
ส่วนคนที่โง่ที่สุดไม่ให้เรียน รึจะเรียนก็ได้แค่ม.๓ อย่างเก่งก็ม.๖
รึไม่เลยก็ให้บวชอยู่วัด เผื่อไม่สึกจะได้เป็นสมภาร�
ก็เพราะอย่างนี้ไง ศาสนา,การศึกษาและประเทศชาติมันจะเจริญได้อย่างไรครับ
ทั้งหมดทั้งปวงนี้มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น !!
"ทุนนิยม" ไม่ได้ช่วยคนให้เป็นคนเลย
ตัวอย่างง่ายๆ คนที่ไม่ได้ร่ำรวย หรือไม่ได้มีหน้าตาในสังคม
เช่น สงฆ์ ครูตามชนบท แม่ค้า ภารโรง ... คุณเคยเห็นคนเหล่านี้อดตายมั้ยครับ?
คนที่เกิดในเมืองไทย เมืองสยาม�
อยู่ใต้พระบรมโพธิ์สมภาร�ไม่มีคำว่าอดตายหรอกครับ�
ถึงจะตาย ก็มีแต่ "อยากได้ อยากมี อยากสะดวก อยากสบาย" �จวนจะตาย !!
สะดวกสบายนี่ถือว่าดีนะครับ...ไม่ใช่ไม่ดี
แต่ในนิยามของคนไทย�อยากสะดวกสบายนี้คือ เครื่องอำนวยความสะดวก
เช่น เครื่องเสียงลำโพง รถยนต์รุ่น มอเตอร์ไซต์รสุดฮิต ฯลฯ
ขาดไม่ได้ไม่เท่าไหร่ครับ แต่ต้องมีให้ครบไม่น้อยหน้านี้ คนไทยชัดๆ!
เหตุจูงใจทั้งหมดตามสภาพความเป็นจริงนั้น�
คือเด็กๆเยาวชนถูกปลูกฝังให้เล่าเรียนเพื่อ ทุนนิยม!
เป็นเรื่องจริงครับ ถ้าไม่เชื่อผมไปสอบถามเอาตามโรงเรียนมัทธยมได้
ยิ่งมัทธยมปลายยิ่งดี เพราะส่วนใหญ่จะเล็กเรียนในสาขาอาชีพ
ที่ดูแล้วได้เงินเยอะ จะยังไงช่างมันขอเงินเยอะไว้ก่อน
ยิ่งสตาร์ทเงินเดือนสูงละลิ่วนี่ยิ่งชอบ �ทำนองนี้ทั้งนั้น
ส่วนด้านการพัฒนาสังคมและครอบครัว
อันเป็นพื้นฐานการผลักดันบุคลากรที่ดีแก่ประเทศชาติ
สนใจน้อยมาก คิดง่ายๆเลยว่า นักเรียนส่วนใหญ่ เล็งอาชีพครูเป็นข้อสุดท้าย!
การที่ถูกปลูกฝังสืบต่อกันมาว่า
จงเล่าเรียนเพื่อหน้าตาในสังคม จะได้มีอำนาจบาตรใหญ่
แต่ไม่ได้สอนเรียนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและจิตใจ
อีกทั้งคนส่วนใหญ่เรียนและศึกษา แต่ไม่ได้เรียนรู้วิธีการศึกษา
แล้วอย่างนี้ประเทศมันจะเหลืออะไร ??
ถึงเหลือ .... ก็เหลือแต่ไอ้พวกสมองตี๋หลียุ่น,นักวิชากลวง,วิชาการ
เดินตามกันเป็นเต่าเป็นตุ่นกระดกก้นตามกัน
"สังคม จะไม่เป็น สังคัง ต้องเริ่มที่สถาบันครอบครัว!"
ไม่ใช่แก้ที่นักการเมือง ไม่ใช่ประชาธิปไตย ไม่ใช่ที่การแก้ ๑๑๒.
____________________
พิพัฒน์ชัย
๒๔ / มกราคม / ๒๕๕๕