27 พฤศจิกายน 2549 00:12 น.

คำขอครั้งสุดท้าย

พัฒนา สุดยาใจ

รถกระบะสีน้ำเงินแล่นผ่านเขื่อนแก่งกระจานไปตามเส้นทางอันขรุขระเต็มไปด้วยดินลูกรังสีน้ำตาลแดงซึ่งทอดยาวไปข้างหน้าอีกสามสิบหกกิโลเมตรสู่เขาพะเนินทุ่งอันเป็นจุดหมายปลายทาง ฉันปิดเครื่องปรับอากาศและเปิดกระจกหน้าต่างแทนที่เพื่อให้สายลมอันเย็นฉ่ำจากการสรรค์สร้างของธรรมชาติพัดโกรกเข้ามา นานหลายเดือนแล้วที่ฉันมิได้สัมผัสสายลมอันบริสุทธิ์เช่นนี้ สองฟากทางร่มครึ้มไปด้วยหมู่แมกไม้ที่เหนี่ยวโน้มเข้าหากันประหนึ่งเป็นหลังคาสีเขียวทอดเป็นแนวยาวไปจรดถึงจุดหมายปลายทาง หากโชคดีอาจได้เห็นค่างแว่นกระโดดโย้กันไปมาระหว่างสองฟากทาง อย่างน้อยก็อาจได้เห็นกระรอกหลากสีเดินวนเวียนหาลูกไม้กินสร้างความสุขให้แก่ผู้แลเห็น
	ฉันหยุดรถนิ่งสนิทที่แค้มป์บ้านกร่างเพื่อลงมาทำกิจกรรมอันแสนโปรดปราน และแน่นอนที่ฉันเตรียมพร้อมเสมอหากใครเห็นก็ต้องเชื่อเมื่ออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้มแขนยาว กางเกงลายพรางสวมหมวกมีปีก ที่คอคล้องด้วยกล้องสองตายี่ห้อจากต่างประเทศราคาครึ่งแสน อันที่จริงถ้าจะบอกว่ารถกระบะคันนี้เป็นของฉันก็คงพูดไม่ได้เต็มปากนักเพราะเจ้าของรถกระบะนั้นไม่ได้อยู่ร่วมชีวิตกับฉันแล้ว
	ท้องนภาในจุดบ้านกร่างวันนี้ช่างสดใส ณ จุดนี้เป็นจุดที่มีปริมาณนกมากพอสมควรเช่นเดียวกับปริมาณนักท่องเที่ยวก็มีมากไม่แพ้กันโดยเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ แก่งกระจานในความรู้สึกของนักดูนกนั้นบ่งบอกว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปมาก หวนนึกถึงเมื่อสักสิบปีที่แล้ว ณ อุทยานแห่งนี้มีแต่ความร่มรื่น ต้นไม้ทั้งสองฟากทางโน้มเข้าหากันมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ จุดเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งทุกอย่างถูกเล่ากันปากต่อปากว่าเกิดจากแต่เดิมที่นี่ไม่มีห้องน้ำอำนวยความสะดวกอีกทั้งเส้นทางขึ้นสู่เขาพะเนินทุ่งยังเป็นดินลูกรังฉะนั้นผู้คนจึงไม่นิยมมาเที่ยวที่นี่ แต่เมื่อมีห้องน้ำเกิดขึ้นบนบ้านกร่างนี่แหละจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความวุ่นวายบนผืนป่าแห่งนี้ ผู้ที่เคยสร้างห้องน้ำอุทิศให้อุทยานเคยปรารภว่าเสียใจที่สร้างห้องน้ำเพราะนั่นคือชนวนที่ทำให้ผู้คนทั่วทุกสารทิศแห่แหนกันมาดูทะเลหมอกที่นี่ 
	ฉันคิดว่าเธอผู้ที่สร้างห้องน้ำนั้นไม่ควรจะมาตีโพยตีพายให้เสียเวลาเพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นไปแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้าคนเรารู้จักใคร่ครวญถึงผลได้ผลเสียให้ถี่ถ้วนเรื่องราวอันเลวร้ายคงไม่บังเกิดขึ้น
	ขณะยกกล้องสองตาส่องมองไปที่เจ้าสัตว์ปีกตัวน้อยซึ่งมันกำลังกระดกลูกไทรสุกอย่างเอร็ดอร่อยอยู่บนยอดต้นไทรซึ่งลำแสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องให้แลเห็นชัด มันเป็นเจ้านกลำตัวสีเขียวหน้าผากสีแดงโดยมีคอสีฟ้าแจ่มชัด 
	นั่น! นกโพระดกคอสีฟ้า เสียงแหบแห้งของชายดูมีอายุมากที่ฉันรู้สึกคุ้นเคยแว่วมาให้ได้ยิน ฉันหันขวับไปมอง
	อ้าว! คุณเชิด ฉันอุทานด้วยความตกใจ เขาคือเชิดศักดิ์อดีตเจ้าของรถกระบะคันที่ฉันขับขึ้นมานั่นเองแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขามีผมสีดอกเลาผุดขึ้นมากกว่าเดิม และดูผ่ายผอมลง ผิวหนังเหี่ยวย่นตามลำแขนและตามใบหน้าซึ่งคงเป็นไปตามวัย
	เขากระแอมไอ วลัย...สบายดีหรือ
	ค่ะ สบายดี แล้วคุณล่ะ
	หึ หึ คุณก็น่าจะรู้ดีนี่ ผมได้บอกคุณไปแล้ว
	บอกอะไร! ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย ฉันทำสีหน้ามึนตึง
	เอาเถอะ...คุณไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร ว่าแต่คุณจะค้างที่นี่หรือเปล่า
	ฉันจะค้างที่ไหน จะทำอะไร ไม่ใช่ธุระของคุณ ฉันตวัดเสียงโดยไม่เกรงใจเขา ฉันสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่สู้ดี
	เราพูดกันดี ๆ ไม่ได้หรือ อย่างน้อยก็อยากให้คิดถึงเรื่องที่ดีของเราสองคน เขาพยายามโน้มน้าวความรู้สึก
	ดูนกกันเถอะค่ะ เช้า ๆ อย่างนี้นกดีนะคะ ฉันเห็นนกตัวสีฟ้าครามบินมาเกาะที่ต้นไทรต้นเดียวกับที่นกโพระดกคอสีฟ้าเกาะอยู่ มันค่อย ๆ บินเรี่ยลงและมุดอยู่ในมวลใบไม้สีเขียว โน่นไงคะ นกเขียวคราม เห็นมั้ย
	เขาใช้กล้องกวาดตามคล้ายกับว่ายังไม่เห็น ผมไม่เห็นเลย
	มันอยู่ข้างล่างจากนกโพระดกคอสีฟ้าไงคะ อยู่บนยอดประมาณสิบนาฬิกา เห็นหรือยัง
	อ้อ อ้อ เห็นแล้ว กำลังกินลูกตะขบอย่างเอร็ดอร่อยเชียว
	เมื่อผละจากการดูนกเขียวคราม ฉันไม่วายเหน็บเขา ว่าแต่อรวดีไม่มาด้วยหรือ 
	อรเหรอ...เราหย่าขาดกันแล้ว
	ฉันได้ทียิ้มเยาะ คุณก็อย่างนี้ทุกทีเบื่อผู้หญิงง่าย เห็นผู้หญิงเป็นเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
	เขาเบือนหน้าหันไปมองที่อื่น คุณน่าจะเดาเรื่องออกได้นะ ในเมื่อผมเคยส่งอีเมล์บอกคุณไปแล้ว
	อ้อ! เหรอคะ ไม่ยักรู้
	เขาเอื้อมมือมากุมมือฉัน ผมขอเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมแม้จะเป็นการเสแสร้งก็ตาม ช่วยแสดงการเป็นคู่รักกับผมอีกสักครั้งเถิด
	ฉันสะบัดมือออกอย่างไม่ใยดี เปล่าประโยชน์ค่ะ เรื่องของเรามันจบกันไปตั้งสิบปีแล้ว ไม่ควรจะมารื้อฟื้นอีก คุณยอมรับมั้ยล่ะว่าเป็นฝ่ายผิดที่ไปคว้าอรวดีมานอนกกต่อหน้าฉัน
	เขาน้ำตาซึม ในใจของฉันรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาบ้างแต่พยายามบอกกับตัวเองว่าอย่าไปใจอ่อน ผมยอมรับว่าเป็นฝ่ายผิด แต่ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นไปแล้วและผ่านไปแล้ว
	ฉันเห็นนกจาบคาเคราน้ำเงินบินมาเกาะเด่น ๆ อยู่ตรงหน้า อุ้ย! จาบคาเคราน้ำเงิน คุณเห็นเคราสีน้ำเงินมั้ย เด่นมาก ๆ ฉันพยายามเฉไฉเปลี่ยนเรื่องพูด
	เขายกกล้องส่องดูแต่ดูเหมือนว่าความมุ่งมั่นในการดูนกนั้นมีน้อยลง แววตาของเขาแสดงให้เห็นความอ่อนล้าและราวกับมีความในใจซุกซ่อนอยู่ ฉันเองก็เริ่มนึกออกว่า เขาส่งอีเมล์ให้ฉันจริงแต่ฉันมิทันได้ดูหรอกเพราะงานประจำก็ยุ่งเสียเหลือเกินยิ่งเป็นอีเมล์จากเขาก็ยิ่งไม่อยากสนใจ
	เราสองคนเดินวนเวียนอยู่ในบริเวณนั้นจนกระทั่งนกชนิดที่ต้นคอมีสีขาวลำตัวส่วนล่างออกสีส้มมักจะแวะเวียนมาเยือนบ้านเราในช่วงเหมันตฤดูเกาะคอยท่าอยู่บนกิ่งไม้ที่แผ่หราอย่างเด่นสง่าให้เราสองคนเห็น
	เชิด! เห็นกระเบื้องคอขาวมั้ย เกาะเด่น ๆ เลย ฉันชี้ให้เขาดู
	ฉันสังเกตเห็นว่าเขาไม่มีความกระตือรือร้นที่จะดูนกต่อเลย
	ผมขอร้องคุณเป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้เชียวหรือ
	ฉันนิ่งงัน ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เขาพูด ขึ้นไปบนเนินแถวบ้านพักดีกว่าค่ะ
	ไม่มีพวกนกพญาปากกว้างเลยนะ เขาเอ่ยขึ้นลอย ๆ
	จะมีได้ไงค่ะ คุณน่าจะรู้นะว่าช่วงหน้าหนาวมันไม่ได้ทำรัง ฉะนั้นยังไงก็ไม่เห็นหรอก คุณดูนกมาก่อนฉันน่าจะรู้ดี ฉันยิ้มเยาะเขา
	เขาถอนใจเฮือกใหญ่อาจเป็นเพราะไม่เคยเห็นฉันพูดจาเย็นชาถึงเพียงนี้
	คุณเปลี่ยนไปมากจริง ๆ แม้แต่คำขอร้องครั้งสุดท้ายของผม คุณก็ยังให้ไม่ได้ เขานั่งคุกเข่าลงกับพื้นหญ้าและร้องไห้เหมือนเด็ก ๆ 
	พอเถอะค่ะ อายเขา คุณก็อายุมากแล้วนะคะ จะมาร้องไห้แบบเด็ก ๆ ทำไม ฉันยืนพูดเฉย ๆ ไม่ได้แสดงทีท่าปลอบใจเขาเลย ในใจก็รู้สึกสะใจเล็กน้อยที่เขาคุกเข่าร้องไห้แบบนี้ ฉันปฏิญาณตนแล้วว่าจะไม่มีทางใจอ่อนให้เขาเด็ดขาด
	จำได้ไหมตอนที่คุณนำอรเข้ามาในบ้านและยังกอดจูบกันต่อหน้าฉันคุณยังไม่สนใจใยดีต่อคำพูดของฉันเลย ฉันยิ้มเย้ยหยันอย่างพอใจ
	สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นการตัดพ้อฉัน ก็ได้...ในเมื่อผมไม่สามารถขอให้คุณแสดงเป็นคนรักของผมเป็นครั้งสุดท้าย ผมก็ยินดีจะไป
	ฉันปลายตามองเขาอย่างดูถูก หึ ก็เรื่องของคุณซิ จะไปไหนก็เชิญ
	เขาค่อย ๆ เดินลับจากไป ฉันสังเกตเห็นว่าเขาเดินอย่างเชื่องช้าตะกุกตะกัก คลับคล้ายว่าเอามือกุมที่หน้าอก แต่ฉันก็ไม่สนใจที่จะติดตามความเป็นไปของเขา
	เมื่อเขาเดินลับจากไปก็เป็นโอกาสอันดีที่จะส่องดูนกเพียงลำพังอย่างมีความสุข ฉันตั้งปณิธานแน่วแน่แล้วว่าหากหย่าร้างกันแล้วก็ไม่ควรมีอะไรติดค้างกันอีก ฉันบอกกับตัวเองอย่างนี้เสมอ
	นกติ๊ดสุลต่านลำตัวสีดำ ท้องสีเหลือง หงอนสีเหลืองกำลังเคลื่อนไหวไปตามกิ่งไม้อย่างสนุกสนาน นกกลุ่มเขียวก้านตองก็เป็นนกที่ฉันชอบมาก และเห็นเกือบทุกป่า
	ฉันเดินกลับไปที่รถกระบะคู่ชีพ ขณะเปิดประตูรถเพื่อจะหยิบกล้องส่องทางไกลเทเลสโคปก็อดคิดไม่ได้ว่ารถกระบะคันนี้เป็นของเขาต่างหากเพราะฉันไม่ได้ออกเงินแม้แต่บาทเดียว มาใคร่ครวญดูอีกครั้งฉันอาจพูดจารุนแรงเกินไปอย่างน้อยเขาก็ยังมีส่วนดีอยู่บ้าง
	อุปกรณ์ทั้งขาตั้งกล้อง กล้องเทเลสโคปและที่ลืมไม่ได้คือกล้องถ่ายรูปดิจิตอลสำหรับถ่ายรูปนกตัวโปรดถูกวางอยู่ม้านั่งเบาะด้านหลัง ฉันเอี้ยวตัวไปหยิบอย่างชำนาญ
	การถ่ายภาพนกพร้อมกับบันทึกเก็บเข้าไปในแฟ้มคอมพิวเตอร์จากนั้นก็นำไปแต่งในโปรแกรมโฟโต้ชอปและส่งรูปถ่ายเหล่านั้นไปในกระดานสนทนาของเว็บไซต์ดูนกเป็นความสุขอย่างหนึ่งสำหรับนักดูนกในปัจจุบัน
	ฉันเปลี่ยนบรรยากาศขับรถขึ้นไปบนเขาพะเนินทุ่ง หวังจะไปถ่ายภาพนกบนนั้น หลายปีก่อนเคยเห็นนกตั้งล้อเกาะอยู่บนคบไม้อย่างเด่นสง่าหากโชคดีก็อาจได้เห็นอีกครั้ง รถมุ่งหน้าผ่านลำธารสองจุดอันเป็นจุดที่บรรดาผีเสื้อหากินอย่างมีความสุข
	แม้ว่าถนนบางช่วงจะขรุขระไร้ความราบเรียบและสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการฟุ้งตลบของฝุ่นดินลูกรังแต่ฉันก็ขับรถได้ด้วยความชำนาญจะว่าไปก็เป็นเขาที่สอนฉันขับรถ
	เสียงจิ๊ด จิ๊ดจากบรรดานกเล็ก ๆ แว่วกระทบโสตประสาทให้ฉันเกิดความเพลิดเพลินพลันพานพบเหยี่ยวรุ้งบินวนต้านลมอยู่บนเบื้องฟ้าส่งเสียงวิ้ว วิ้วพอให้ได้ยิน
	เหลือระยะทางอีกไม่ถึงสิบกิโลเมตร เบื้องหน้าเป็นรถกระบะรุ่นเดียวกับรถของฉันแต่คนละสีและไม่พ้นที่ฉันต้องเพ่งสายตามองทะลุกระจกกรองแสงนั้น คลับคล้ายว่าเป็นเขาที่นอนหลับอยู่ เขาคงเหนื่อยด้วยความที่มีอายุมากแล้ว
	ฉันนั่งพักอยู่บนศาลาใหญ่ในละแวกใกล้กับพระตำหนัก แค่เห็นมวลภูเขาอันน้อยใหญ่วางสลับซับซ้อนก็ทำให้ฉันได้รับความสุขแล้ว มันเป็นความสุขที่ซื้อด้วยเงินไม่ได้และมันเป็นความสุขที่เราสามารถดั้นด้นมาได้ทุกเวลา
	แสงแดดเริ่มอ่อนแรง ฉันรีบขับรถลงจากยอดเขา ขณะขับรถกลับลงมารถของเขายังจอดนิ่งสนิทอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลงและอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยก็คือเขายังคงนอนอุตุอยู่ในรถนั้น แต่ลางสังหรณ์บอกว่าฉันควรจะลงไปดูเขาเสียหน่อยแต่ฉันไม่กล้ายิ่งนึกถึงคราวที่เขานำอรวดีมานอนกอดในห้องนอนก็พลันเคียดแค้น ฉันจึงตัดสินใจขับรถเลยผ่านไปอย่างไม่แยแส
	
	คุณเห็นนกกะลิงเขียดหางหนามมั้ย ในเมืองไทยเห็นได้เฉพาะที่แก่งกระจานเท่านั้นนะ
	ไหนคะ ไหน ฉันอยู่แนบชิดเขาพลางยกกล้องสองตากวาดมองตามลำกิ่งไผ่อย่างมีความสุข 
	นี่ไง! อยู่ถัดจากต้นไม้ใหญ่ที่เปลือกลำต้นลอกคราบไปน่ะ มองทะลุไปเลย มันเกาะนิ่ง ๆ อยู่
	ฉันพยายามยกกล้องกวาดไปอย่างไม่มีหลักลอย 
	งั้นเดี๋ยวผมตั้งสโคปให้นะ เขาจัดแจงตั้งกล้องเทเลสโคปส่องหาอย่างทะมัดทะแมง ฉันสังเกตเห็นว่าเขายังหนุ่มแน่นอยู่เลย ผิวหนังบนใบหน้ายังเต่งตึงสดใส เรือนร่างสูงโปร่ง คะเนดูก็น่าจะอยู่วัยสามสิบต้น ๆ 
	ผมจับภาพได้แล้ว รีบ ๆ มาดูเลย เขายิ้มแย้มกระฉับกระเฉง
	ฉันรีบสาวเท้าไปที่กล้องโดยใช้ตาซ้ายจ่อที่เลนส์กล้อง อุ้ย! เห็นแล้ว น่ารักเชียว กำลังเคี้ยวอะไรอยู่เนี่ย เชิด เชิดมาดูเร็ว ฉันกวักมือเรียกเขาขณะที่สายตายังคงจดจ้องอยู่ที่นกกะลิงเขียดตัวนั้น
	เมื่อละสายตาหันขวับไปมองเขา แต่กลับไม่พบเขาอยู่บริเวณนั้น เชิด เชิด คุณไปไหน
	ฉันวิ่งจ้ำตามหาเขาโดยไม่สนใจกล้องเทเลสโคปราคาแพงเลย 
	เชิด เชิด 
	ฉันสะดุ้งเฮือกใหญ่ตื่นขึ้นในเต็นท์โดมกลางดึกพลางกุมศีรษะด้วยความมึนงง ยินเสียงแว่วของนกกลางคืนถี่ ๆ เสียงลมหวีดหวิวทำเอาเต็นท์โดมขยับไหวตามแรงลม ฉันเหลียวซ้ายแลขวาด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว 
	
	ช่วงบ่ายวันสุดท้ายของการดูนก ฉันเดินเตร่อยู่แถวที่ทำการอุทยานส่องดูนกอย่างไม่จริงจังนัก เสียงอันไพเราะแต่ช่างวังเวงของนกกาเหว่าเด่นชัดผ่านหูฉัน ฉันยกกล้องส่องหาเจ้าของเสียง และก็ไม่เกินความพยายาม เจ้านกตัวสีดำปากสีออกเขียวจืด ๆ ม่านตาสีแดงเกาะเด่นสง่าในคบไม้ของต้นก้ามปู มันกำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วราวกับหาคู่ครองของมัน 
	แต่แล้วก็สะดุ้งเฮือกเมื่อฉับพลันปรากฏเป็นใบหน้าของเชิดศักดิ์ สีหน้าและแววตาดูเศร้าสร้อยหันมามองฉันราวกับว่ากำลังตัดพ้อด้วยความน้อยใจ ฉันรีบละกล้องลงพลางขยี้ตา
	วลัย วลัย วลัย แว่วเสียงแผ่วเบาติดต่อกันเป็นระยะ ๆ พร้อมกับเสียงหอบหายใจถี่ ๆ ฉันสะดุ้งเฮือกใหญ่พลางหันรีหันขวางมองไปทั่วทิศ แต่ไม่พบใครอยู่ในบริเวณนั้นเลย

	มันเป็นความระทมทุกข์ทุกครั้งเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้วที่ฉันพบเขาที่นี่ จุดที่แลเห็นนกโพระดกคอสีฟ้าและนกเขียวคราม ทำไมนะ...เพียงแค่การแสดงออกถึงความรักที่มีต่อเขาแบบในอดีตฉันก็ให้เขาไม่ได้แถมยิ้มเยาะและพูดจาดูถูกเพียงแค่ต้องการให้เขามีความทุกข์เพิ่มขึ้น ฉันพยายามค้นหาคำตอบให้แก่ตัวเอง 
	กลับจากดูนกคราวนั้น ฉันเกิดเฉลียวใจขึ้นจึงเปิดดูอีเมล์ฉบับนั้นทั้ง ๆ ที่ไม่เคยคิดที่จะเปิดดูเลย
	ฉันตกใจเมื่อพบว่าเขาเป็นโรคหัวใจขั้นรุนแรง เขาคงรู้ว่าฉันจะมาที่แก่งกระจานจึงขับรถด้วยตัวเองมาพบฉัน ขอให้ฉันกับเขาได้รำลึกถึงความสุขที่ครั้งหนึ่งเคยมีร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายแต่ฉันก็ไม่ให้เขาด้วยเหตุที่ยังคงเก็บความเคืองแค้นฝังใจอยู่ ฉันเชื่อว่าเขาคงเสียชีวิตตั้งแต่อยู่บนรถกระบะคราวที่ฉันเห็นเป็นครั้งสุดท้าย
	แก่งกระจาน ณ วันนี้ยิ่งเปลี่ยนแปลงมากขึ้น มีการแผ้วถางขยายช่องทางรถให้กว้างขวางขึ้น เมื่อชายตามองที่ห้องน้ำหลังนั้น หลังที่เธอผู้ออกเงินสร้างจนเสร็จแล้วบ่นว่าไม่ควรสร้างก็นึกสะท้อนใจบางอย่าง ฉันเคยตำหนิการกระทำของเธอผู้นั้นว่าทำโดยไม่ยั้งคิด แต่บัดนี้สิ่งที่ฉันเคยต่อว่าออกไปกลับกลายเป็นหอกที่ย้อนทิ่มแทงตัวเอง
	ถ้าฉันยอมพูดจากับเขาดี ๆ ยอมแสดงเป็นคนรักกับเขา ฉันก็เชื่อว่าเขาจะมีกำลังใจในการต่อสู้โรคร้ายที่กล้ำกรายเข้ามาได้อย่างกล้าหาญ
	แต่บัดนี้ฉันไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกทั้ง ๆ ที่เคยมีโอกาสที่จะทำเช่นนั้นได้				
14 พฤศจิกายน 2549 19:56 น.

คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย

พัฒนา สุดยาใจ

เขาลืมผมไปแล้ว เขาทอดทิ้งผม คำพูดที่ว่า คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย หรือภาษาอังกฤษว่า ยูวิลล์เนฟเวอร์วอล์คอะโลน กลายเป็นเพียงคำพูดลอย ๆ ที่มาจากลมปากเท่านั้นเพราะเขาผิดสัญญา แต่ผมก็ทำได้เพียงแค่คร่ำครวญอยู่ในบ้านไม้อันคับแคบเพียงลำพังทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนผมกับเขาจะไปเที่ยวกันเป็นประจำแต่มาบัดนี้ทุกอย่างคืออดีต อดีตที่ยากจะกลับคืน เขาไม่เคยแวะเวียนมาหาผมอีกเลย 
คำพูดอันสวยหรูนี้มาจากบทเพลงของเจอร์รี่ มาสเดนส์เป็นผู้ขับขานถ้าใครเป็นแฟนบอลลิเวอร์พูลต้องรู้จักคำพูดนี้ สโมสรฟุตบอลเสื้อสีแดงมีตราสัญลักษณ์เป็นหงส์อันมีแฟนบอลทั่วโลกไม่เว้นแม้กระทั่งเมืองไทย ผมกับสุภาเป็นเพื่อนนักเรียนตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยม ด้วยความรู้สึกนึกคิด อุดมการณ์ และความชอบคล้าย ๆ กันเราจึงชอบทีมฟุตบอลทีมเดียวกัน
นับเป็นความโชคดีของผม ผมตอบปัญหาชิงรางวัลได้ตั๋วเข้าชมเกมศึกแดงเดือดสองใบ เป็นเรื่องที่แน่นอนว่าผมต้องเผื่อตั๋วอีกใบให้เขา 
สายการบินไทยได้มีโอกาสต้อนรับเราสองคนกับคนอีกกลุ่มหนึ่งเหินลัดฟ้าสู่สนามแอนฟิลด์ในเมืองลิเวอร์พูล 
เก้าอี้สีแดงระดับวีไอพีได้มีโอกาสต้อนรับเราสองคนท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บแม้ว่าร่างกายของพวกเราจะถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวหลายชั้นแต่มันก็ไม่เพียงพอต่อความอบอุ่นของร่างกาย แต่ทุกอย่างก็ถูกแทนที่ด้วยความตื่นตาตื่นใจของเกมนี้ รอบอัฒจันทร์คลาคล่ำไปด้วยคลื่นพลังสีแดงด้วยเหตุที่ทั้งสองทีมมีสีประจำสโมสรเป็นสีแดงเหมือนกัน เสียงร้องเพลงเชียร์เซ็งแซ่ทั้งสองฝั่ง ต่างฝ่ายต่างร้องเพลงเกทับกันตามประสาเป็นทีมคู่อริกันตลอดกาล 
แต่เกมในวันนั้นลิเวอร์พูลพ่ายแพ้ปีศาจแดงหนึ่งประตูต่อสาม แต่เพราะการพ่ายแพ้เกมนี้เองที่ทำให้ผมกับเขาสนิทสนมแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพราะเราร่วมเศร้าด้วยกัน และชวนกันไปกระดกน้ำมึนเมาสีน้ำตาลแดงด้วยกัน
	
	ครั้งหลังสุดเขาชวนผมไปเที่ยวดอยผ้าห่มปกที่จังหวัดเชียงใหม่ รถกระบะโตโยต้าไทเกอร์สีตะกั่วมีหลังคาโครงเหล็กสีดำขลับคือรถคู่ชีพของเขาขับพาผมไป เริ่มต้นออกเดินทางในเวลาสองทุ่ม
	บนถนนสายพหลโยธินขาเข้ารังสิตนั้นคลาคล่ำไปด้วยวัตถุเคลื่อนที่สี่ล้อและหกล้อเรียงกันเป็นแพ สุภาดูจะหงุดหงิดกับสภาพการจราจรติดขัดทั้ง ๆ ที่ก่อนออกเดินทางก็ทำใจไว้แล้ว เขาทำได้เพียงแค่เอามือก่ายหน้าผากพลางถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายและหงุดหงิดเมื่อรถยนต์ทุกคันจอดชะงัก
	การจราจรเริ่มคล่องตัวขึ้นหลังเที่ยงคืนไปแล้ว กลายเป็นเรื่องปกติที่สถานีบริการน้ำมันเต็มไปด้วยฝูงวัตถุขับเคลื่อนสี่ล้อ หกล้อ และสิบล้ออย่างมืดฟ้ามัวดิน 
	ผมเห็นใจที่เขาต้องทนฝืนขับรถตลอดคืนโดยมิได้หยุดพักเลย ผมพยายามพูดคุยเป็นเพื่อนตลอดทั้งคืนแต่สังขารของผมก็ทนไม่ไหวจึงผล็อยหลับไปไม่รู้ตัวและตื่นนอนอีกครั้งเมื่อรถกระบะอยู่ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ 
	เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกลนักหากนับจากจุดเริ่มต้นที่ตัวเมืองนี้ ระยะทางอีกร้อยกว่ากิโลเมตรอาจมิใช่อุปสรรคถ้าคนขับไม่ลอบหลับไปเสียก่อน ผมขอให้เขานอนพักผ่อนแต่เขาดึงดันว่าจะขับต่อไป ผมก็ไม่อาจห้ามเขาได้ จากตัวเมืองก็เป็นแม่ริม แม่แตง เชียงดาว และฝาง 
ขณะที่เขาขับอยู่ในตัวอำเภอฝาง ด้วยประสบการณ์ในการขับรถของเขา เขารู้สึกถึงความผิดปกติของรถ เขาจึงประคับประคองรถจอดตรงไหล่ทางและรีบลงจากรถมาดูอาการล้อรถและก็พบว่าล้อหน้าฝั่งผมเกิดรั่วโดยไม่มีสาเหตุ ยางล้อรถแบนแต๋อย่างเห็นได้ชัด แต่เจ้าของรถยังคงวางมาดนิ่ง
	ผมเป็นลูกมือช่วยหยิบอุปกรณ์เมื่อเขาต้องการ ด้วยความชำนาญเขาเปลี่ยนยางล้อได้อย่างรวดเร็วมันแสดงให้เห็นถึงความพร้อมต่อการเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่าง ๆ ผมรู้แต่เพียงว่าเราต่างคนจะไม่ทอดทิ้งกัน
	จากปากทางเข้าเขตถึงปลายทางมีระยะทางกว่าห้าสิบกิโลเมตร ถนนที่อุดมไปด้วยโขดหินและดินลูกรังสีแดง บางจุดก็เป็นหลุมเป็นหล่มอีกทั้งเส้นทางก็คดเคี้ยวไปตามแนวสันเขาและยังต้องขับรถไต่ระดับขึ้นไปชวนให้หวาดเสียวยิ่งนัก แต่สำหรับนักขับรถที่ช่ำชองดังเช่นสุภานั้นถือเป็นเรื่องง่าย เขาไม่รู้สึกปริวิตกอันใดเลย สมาธิในการขับรถของเขายังยอดเยี่ยมอยู่เสมอ เพราะคนขับคือสุภาจึงทำให้ผมอุ่นใจได้
	รถของเขามาถึงที่บ้านพักเอเฟรมซึ่งตั้งอยู่ใกล้เส้นทางสู่ยอดดอยในเวลาเที่ยงวัน ผมรู้สึกชอบใจกับหลังคาของบ้านสีน้ำตาลแดงซึ่งกางปีกสยายยาวลงครอบตัวบ้านครึ่งหนึ่ง ที่จั่วบ้านมีขื่อไม้กั้นขวางเป็นแนวยาวจึงมองดูเป็นรูปตัวเอ
	พรุ่งนี้เราจะขึ้นดอยผ้าห่มปกกัน เขาบอกผม
	
	เราสองคนออกเดินทางในเวลาเช้าตรู่ ต่างคนต่างขนสัมภาระเท่าที่จำเป็นอย่างน้อยมีข้าวห่อคนละถุง เขาพร้อมผมก็พร้อมและออกยาตราสู่ดอยซึ่งสูงเป็นอันดับสองของประเทศรองจากดอยอินทนนท์
ทางเดินช่วงแรกยังไม่พบว่าโหดเท่าใดนัก ผมกับเขาเดินพูดคุยกันอย่างสบายใจ ดอกมะลิวัลย์สีขาวบานสะพรั่งอยู่เต็มสองข้างทาง เพราะสภาพอากาศอันหนาวเย็นส่งผลให้ต้นไม้บางต้นมีพืชสีเขียวคลุมเต็มต้นคล้ายต้นไม้สวมเสื้อผ้า บรรดานกกระจิ๊ดและนกจับแมลงส่งเสียงดังระงมและมันเคลื่อนไหวจากกิ่งไม้หนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว เราเดินไปตลอดทางโดยไม่หยุดพักเลยจวบจนกระทั่งเราทั้งสองคนมาถึงที่ลำธาร เบื้องหน้าของเราคือหน้าผาอันสูงชันตั้งตระหง่านที่พร้อมรับคำท้าทายจากเราสองคนในการปีนป่ายขึ้นไปให้จงได้ หน้าผาทางฝั่งขวามือเป็นแนวกันไฟซึ่งยังมีกลิ่นควันคุกรุ่นอยู่ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมประหวั่นพรั่นพรึงเสียแล้ว
เฮ้ย! คิม เดี๋ยวต้องปีนขึ้นไป สุภาพูดห้วน ๆ
ไม่อยากขึ้นเลยว่ะ 
เอาน่า...ไม่ยากหรอก กูเคยปีนขึ้นไปแล้ว
ฉับพลันเขาหยิบไม้ยาวที่วางอยู่ข้างทางจากนั้นเอามีดพกควั่นไม้และเหลาให้ปลายแหลม
เอ้า! เอาไว้ค้ำ
แล้วมึงล่ะ
โอ๊ย! หน้าผาแค่นี้ไม่เกินกำลังกูหรอก
เขาเดินนำหน้า ผมพยายามตั้งสติอย่างเต็มที่ พื้นดินโคลนมีเศษหญ้าปะปนทำให้มีโอกาสลื่นไถลได้ฉะนั้นการปีนป่ายขึ้นไปจึงยากลำบาก เส้นทางด้านหน้าคือเนินดินอันสูงชันที่ปราศจากแนวขั้นบันได จังหวะเดินขึ้นแต่ละก้าวก็ต้องใช้ไม้ค้ำพื้นไปตลอดทางผิดกับเขาที่เดินขึ้นเหมือนเดินอยู่บนทางเรียบ ผมพยายามหาต้นไม้ที่อยู่ข้างทางเพื่อใช้เป็นที่ยึดเกาะหรืออย่างน้อยมีต้นไม้เตี้ยก็ยังดีกว่าไม่มี จนในที่สุดเราเดินมาถึงสามในสี่ของยอดดอย ทางข้างหน้าก็ยังคงเป็นทางวิบากเมื่อเราต้องเดินเลาะริมหน้าผาซึ่งเกือบตั้งฉากกับพื้นดินมีเพียงรอยทางเดินเท้าเท่านั้นและไม่มีราวจับยึดเกาะมันไม่มีทางเลือกที่ต่างคนต้องเดินอย่างระมัดระวังกันเองไม่สามารถจับมือจูงกันได้
ค่อย ๆ เดิน ไม่มีอะไรน่ากลัว เขาให้กำลังใจ ผมพยายามเดินโดยไม่เหลียวมองเหวที่อยู่ทางซ้ายมือ ยิ่งเดินย่ำผ่านก็ยิ่งทำให้ดินที่พื้นแตกกระจายมากเท่านั้นเป็นเรื่องที่น่าหวาดหวั่นว่าขากลับอาจเดินยากกว่า
	เส้นทางที่เหลือก็ไม่ยากเย็นสักเท่าไรมีขึ้นเนินบ้าง มีพุ่มหญ้ารกสูงท่วมหัว เราสองคนมาถึงยอดดอยในเวลาเที่ยงกว่า บนยอดดอยนั้นเป็นท้องทุ่งหญ้าอันเขียวขจีมีต้นไม้ให้เห็นกันหร็อมแหรม อากาศช่างน่าอภิรมย์ยิ่งนัก ดอกกุหลาบพันปีดอกใหญ่สีแดงสดบานแรกแย้มเสมือนต้อนรับการเยือนของเรา ผมกับเขาถือโอกาสนั่งกินข้าวกลางวันกัน การมาถึงยอดดอยได้สำเร็จก็ถือเป็นความภาคภูมิใจครั้งหนึ่งในชีวิต มองทอดสายตาไกลออกไปโดยรอบก็จะเห็นแนวทิวเขาน้อยใหญ่โอบผืนนา เขาบางลูกกลายเป็นแปลงผัก บางลูกก็เป็นผืนนาข้าว นกอินทรีสีน้ำตาลออกคล้ำกางปีกบินตัดท้องฟ้าอย่างสง่าผ่าเผย
เมื่อถึงเวลาบ่ายสามโมง เราสองคนต้องรีบเดินลงเพราะหากลงเขาช้ามากเท่าไรก็จะยิ่งลำบากในการเดินลงมากเท่านั้น
	เร็วเถอะ รีบลงเดี๋ยวแสงแดดหมดจะลงไม่ได้ 
	เขาเดินนำหน้าผม เขายังคงดูทะมัดทะแมงและเดินได้อย่างคล่องแคล่ว จุดที่ผมต้องตั้งสติเวลาเดินนั่นคือจุดที่ต้องเดินเลาะริมหน้าผาแต่เพลานี้อาจเดินลำบากกว่าตอนแรกที่เดินเข้ามาเพราะเราสองคนเดินย่ำกันมาก่อน ทำให้พื้นดินร่วนซุยกว่าเดิม ที่สำคัญไม่มีราวเกาะ ด้านขวามือคือเหวซึ่งหากใครพลั้งพลาดเซถลาลงไปก็จะไม่เหลือชีวิตรอดกลับไป ความประหวั่นพรั่นพรึงทำให้ผมไม่กล้าเดินแต่เขาเดินผ่านหน้าผานั้นอย่างคล่องแคล่วและกำลังจะเดินลง แต่เขาต้องหยุดชะงักเพราะมองเห็นผมไม่กล้าขยับก้าวเท้า
	คิม...ค่อย ๆ เดินมาเลยไม่มีอะไรน่ากลัว พยายามโน้มตัวเข้าหาที่หน้าผาอย่าพยายามมองด้านล่าง สุภาตะโกนขณะที่เขายืนพักขาที่โขดหินด้านล่างถัดลงไปแล้ว 
	ผมกลั้นใจค่อย ๆ เดินเลาะไปเรื่อย ๆ เหงื่อกาฬซึมไปทั่วไหล่และแผ่นหลังทั้ง ๆ ที่อากาศก็ไม่ร้อน แต่เมื่อเดินไปได้พอประมาณผมเริ่มก้าวเท้าอย่างมั่นใจและในที่สุดผมก็สามารถเดินผ่านเส้นทางนั้นได้  ต้องอย่างนี้สิวะ...ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เขาให้กำลังใจผม นั่นหมายถึงเขาแสดงให้เห็นถึงความห่วงใย
	เส้นทางอันตรายสุดท้ายคือช่วงที่ต้องลงจากหน้าผา เคยได้ยินมาว่าการปีนขึ้นง่ายกว่าการลงจากเขาเพราะช่วงเดินลงต้องทรงตัวให้ดีที่สุด เขาให้ผมเดินนำหน้าลงไปก่อนและให้คำแนะนำในการเดินลง 
เวลาเดินลงนั้นพยายามวางเท้าเป็นแนวขวางเพื่อให้เกิดแรงเสียดทานจะได้ไม่ลื่นไถลลงไป ไม่ต้องกลัว สุดท้ายแล้ว เดี๋ยวก็ถึง ยังไหวนะ ผมพยักหน้าทั้ง ๆ ที่ขาสั่นไปหมดแล้ว 
	เขาให้ผมเดินลงไปก่อน 
	เอ้า ! ค่อย ๆ ลงไม่ต้องกลัว เขาตะโกนอยู่ข้างหลัง ผมยังอุ่นใจเมื่อเขายังยืนอยู่เคียงข้าง คำว่าคุณจะไม่มีวันเดินเดียวดายยังคงดังก้องในโสตประสาทของผม แต่แล้ว...
	โอ๊ะ! โอ๊ะ! ช่วยด้วย ด้วยความที่ดินโคลนลื่นส่งผลให้ผมลื่นไถลครูดพื้นดินเป็นรอยเท้าแนวยาว ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ผมร้องเสียงหลง โชคดีที่เขารีบคว้าแขนผมไว้ได้
	เฮ้อ! เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ
	ความอกสั่นขวัญแขวนผุดขึ้นมา เฮ้ย! ไหวนะ ทำใจดี ๆ ไว้ 
	เราสองคนลงจากหน้าผาด้วยความสวัสดิภาพราวกับยกภูเขาออกจากอก เราต่างนั่งแช่เท้าที่ลำธารและดื่มน้ำอย่างอ่อนระโหยมันเป็นการผจญภัยที่สนุกสนานและเสี่ยงตายมากที่สุดครั้งหนึ่ง เขาดูจะสนุกสนานกับการขึ้นยอดดอยครั้งนี้มากแต่สำหรับผมแล้วคงเป็นการปีนหน้าผาครั้งสุดท้ายจริง ๆ 
	เมื่อกลับมาถึงพี่พักเราสองคนช่วยกันทำอาหาร เขาหุงข้าวด้วยหม้อสนามที่เปื้อนไปด้วยรอยเผาไหม้จากการใช้มานานแรมปี ผมทำกับข้าวสองอย่าง ยำปลากระป๋องกับไข่เจียวอาหารก้นครัวสำหรับนักเดินป่า ดังนั้นอาหารเย็นมื้อนั้นเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา
	มันเป็นค่ำคืนอันหนาวเย็น นาฬิกาวัดอุณหภูมิวัดได้สององศาเซลเซียส สายลมโบกพลิ้วพัดปลิวผ่านทีไรเป็นต้องทำให้ผมเก็บแขนไว้แนบกับตัวทุกที ในไม่ช้าเขานำกิ่งไม้แห้งและเศษไม้มาสุมเพื่อใช้ในการก่อไฟขับไล่ความหนาวเย็น แต่ถึงแม้ว่าอากาศภายนอกจะหนาวเหน็บเพียงใดแต่สำหรับผมกับเขามีความอบอุ่นให้กันเสมอ
เราสองคนจะไม่มีวันเดินเดียวดาย ผมกระเซ้าเขา เขายิ้มอย่างพอใจ

	ผมกับสุภามีเวลาท่องเที่ยวอีกสองวันเพราะลางานเพิ่มเติมได้ ฉะนั้นจึงได้แวะไปเที่ยวที่อื่นต่อ
	ภา..เอาไง จะไปต่อที่ดอยหมาก-ลางหรือเชียงดาวดี
	งั้นเอาเป็นว่าไปดอยหมาก-ลางกันก่อนและค่อยต่อไปเชียงดาวก็แล้วกัน
	โอเค ว่าแต่มึงขับรถไหวมั้ย เห็นเมื่อคืนมึงนอนดึก
	โอ๊ย ! ไหวน่า กูขับจนชินแล้ว
	รถกระบะขับเคลื่อนด้วยความเร็วแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ออกจากฝางเข้าเขตแม่อาย ดูเหมือนเขาเริ่มสะลึมสะลือจนผมอดเป็นห่วงไม่ได้ 		 
กูว่ามึงนอนพักผ่อนเถอะว่ะ ใจผมอยากขับรถแทนเขาแต่ผมขับรถไม่เป็น
	ไหวน่า ไหวน่า ไม่เชื่อมือกูหรือไง เมื่อได้ยินเช่นนั้นผมก็ไม่อยากขัดใจเขา 
	ขณะที่จวนเข้าเขตบ้านท่าตอนนั้นเขายิ่งขับรถเร่งความเร็ว เร็วจนผมอดหวาดผวาไม่ได้ 
	ขอร้องล่ะ มึงขับลดความเร็วหน่อยเถอะวะ
	อะไรของมึงวะ กูชักรำคาญแล้วนะเว้ย เขาเริ่มอารมณ์เสีย
	เขาเร่งความเร็วขึ้น และเร็วยิ่งขึ้น เข็มหน้าปัดความเร็วแสดงที่หน้าจอว่าหนึ่งร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง รถพุ่งฉิวราวติดจรวดเขาเร่งความเร็วเพื่อจะได้ถึงที่หมายเร็วขึ้น ผมเริ่มอกสั่นขวัญแขวนเพราะเขาไม่ยอมลดความเร็วลงเลย รถกระบะขับมาถึงบริเวณสี่แยก ฉับพลันนั้นผู้หญิงวัยรุ่นสองคนขับรถจักรยานยนต์ตัดหน้า เขาสะดุ้งโหยง ผู้หญิงทั้งสองคนก็ตกใจไม่แพ้เราสองคนเช่นกัน เขาพยายามแตะเบรกดังเท่าที่จะทำได้ 
	เฮ้ย ! เฮ้ย ! ผมโวยวายลั่น

เมื่อมารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่านอนอยู่บนม้านั่งไม้ยาวของศาลาพักร้อนซึ่งตั้งอยู่หัวมุมสี่แยกที่แท้ผมฝันไป มันเป็นฝันร้ายครั้งหนึ่ง ผมแปลกใจที่มานอนอยู่ที่นี่และก็ไม่พบสุภาแม้แต่รถกระบะของเขาก็ไม่อยู่ ผมสันนิษฐานว่ายางล้อรถของเขาอาจมีปัญหาซึ่งคงนำไปเข้าอู่ซ่อมที่ไหนสักแห่ง ผมคงต้องนั่งรอเขาอยู่ที่ศาลาแห่งนี้และเป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีใครเดินสัญจรผ่านแถวนี้เลย 
ผมนั่งรอที่ศาลาพักร้อนด้วยความอดทนโดยหวังว่าเขาจะกลับมารับผม แต่เป็นเพราะต้องนั่งรอเป็นเวลาหลายชั่วโมงทำให้เกิดความหงุดหงิด เริ่มเห็นชาวบ้านเดินผ่านมาแต่ผมก็ไม่คิดจะเดินไปถามว่าเห็นรถกระบะโตโยต้าไทเกอร์คันสีตะกั่วมีหลังคาสีดำบ้างหรือไม่ ผมยังมองโลกในแง่ดีว่าอีกไม่ช้าเขาต้องกลับมา
ดวงตะวันคล้อยตัวลงจนลับจากแนวทิวเขา ยามรัตติกาลคืบคลานเข้ามาแทนที่ ผมนั่งรอด้วยความอดทน เริ่มวิตกกังวลถึงงานที่ยังต้องสะสางให้เสร็จ อีกสามวันข้างหน้ามีประชุมของแผนกการตลาดรวมถึงอาทิตย์ต่อไปผมมีนัดเจรจากับลูกค้าที่มาสั่งซื้อสินค้าล็อตใหญ่ ถ้าพรุ่งนี้เขาไม่มาเห็นทีผมอาจต้องอาศัยรถสองแถวหรืออย่างน้อยรถสิบล้อสักคันที่หลงผ่านมาเพื่อออกไปให้พ้นบริเวณนี้ 
ในค่ำคืนอันวิเวกวังเวงไร้เสียงรถยนต์และผู้คนเว้นแต่เสียงนกแสกร้องเป็นจังหวะ ต้นไผ่เอนไหวตามแรงลม เสียงไม้เสียดสีกันดังเอี๊ยดอ๊าดให้ได้ยินเป็นระยะ ผมนอนขดตัวด้วยความหนาวเหน็บที่ศาลาริมทางแห่งนี้ หยาดน้ำค้างโปรยเป็นสาย เขาไปไหนนะทำไมไม่มาเสียที ผมทำได้เพียงแค่บ่นรำพันด้วยความสิ้นหวัง
ในเช้าวันใหม่ ผมจำเป็นต้องถามชาวบ้านละแวกนั้น แต่เมื่อผมเดินไปถามก็ไม่มีใครสนใจที่จะตอบผมเลยว่าเคยเห็นรถกระบะคันสีตะกั่วบ้างหรือไม่
ผมนึกโกรธเขาขึ้นมาเพราะเหตุใดจึงทิ้งผมให้อยู่คนเดียวแบบนี้ ผมไม่อยากเชื่อว่าเขาคือคนเดียวกับที่เคยช่วยเหลือผมเมื่อครั้งลงจากหน้าผา เคยไปดูบอลที่อังกฤษด้วยกัน เคยสาบานกันว่าจะไม่ทอดทิ้งกันเพราะความที่เราเป็นเดอะค็อปเหมือนกัน คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย ยูวิลล์เนฟเวอร์วอล์คอะโลน คำพูดนี้ยังก้องอยู่ในโสตประสาทผมตลอดเวลา แต่บัดนี้เขากำลังจะลืมคำพูดนี้
ผมรอแล้วรอเล่า รอให้เขาขับรถกลับมารับผมแต่ก็ไม่มีวี่แววเลย ความหนาวเหน็บ ความหิวโหยด้วยเหตุที่ไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว ผมเดินตระเวนหาซื้ออาหารมาประทังชีวิตแต่เมื่อผมค้นหากระเป๋าเงินก็พบว่ากระเป๋าเงินหายไปแล้ว ทำไมถึงได้โชคร้ายอย่างนี้ ผมได้แต่ตัดพ้อต่อโชคชะตา
แต่เมื่อเดินไปตามริมถนนเรื่อย ๆ ก็พบบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีอาหารชั้นดีตั้งวางเรียงราย ผมหันรีหันขวางดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่น่าจะมีคนอยู่ ถ้าเข้าไปหยิบกินบ้างคงไม่เป็นไร เมื่อกำลังจะหยิบกินก็มีชายคนหนึ่งอยู่ในชุดสูทพระราชทานเหมือนพวกเจ้าคุณปรากฏกายขึ้นมองอย่างถมึงทึง
เอ็งจะมากินข้าวของข้าไม่ได้ เสียงนั้นดังก้องกังวานทำเอาผมตกใจ
ขอเถอะครับ ผมไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน
อาหารพวกนี้เป็นของคนใจบุญนำมาให้ข้า เอ็งไม่มีสิทธิ์แตะต้อง
แต่ผมหิวจนทนไม่ไหวแล้วครับ
เอ็งไปให้พ้น ข้าไม่ต้อนรับ ชายผู้นั้นขับไล่ไสส่งอย่างไม่ใยดี ผมได้แต่เดินวนเวียนพลางกุมท้องเพราะความหิวโหย ผมต้องทนกับความหิวโหยอยู่หลายวันและเที่ยวไปขออาหารจากชาวบ้าน บางคนก็ไม่สนใจแต่บางคนก็รู้สึกหวาดกลัวเมื่อเจอผม 

แต่ไม่นานต่อมาก็มีคนมาสร้างบ้านไม้ขึ้นในบริเวณนั้น ลางสังหรณ์บอกผมว่านี่คือเรือนตายของผม พวกเขาสร้างให้ผมอยู่ ผมก้าวเท้าเข้าบ้านด้วยความมั่นใจ ภายในบ้านมีกลิ่นหอมอบอวลไปด้วยดอกมะลิและดอกรัก  และในเวลาต่อมาก็มีคนใจบุญนำอาหารมาให้ผม บางครั้งก็มีดอกไม้สดมามอบให้เป็นกำลังใจอาจเป็นเพราะพวกเขาสงสารถึงแม้ว่าผมกล่าวคำขอบคุณแต่พวกเขาก็ไม่เคยตอบรับคำขอบคุณของผมเลย
ผมอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้เป็นเวลาหลายปี ผมเชื่อแล้วว่าเขาลืมผมไปแล้ว เขาไม่เคยย่างกรายผ่านมาแถวนี้อีกเลย ผมไม่เข้าใจและไม่เคยคิดว่าเพื่อนสนิทอย่างเขาจะทอดทิ้งผมได้ลงคอ คำพูดและบทเพลง คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย นั้นคงเป็นคำพูดสวยหรูเพื่อเชียร์ฟุตบอลให้สนุกเท่านั้นเอง 
เอ็งเป็นอะไรไป ชายคนที่เคยไล่ผมออกจากบ้านของเขาเพราะเห็นว่าผมจะขโมยของกินวันนั้นถามผม
เพื่อนผม เพื่อนผมเขาทอดทิ้งผม เราเคยสัญญากันว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน เราจะไม่มีวันเดินอย่างเดียวดาย ผมคร่ำครวญ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอ็งคงเหงาล่ะซิ ชายคนนั้นหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
คุณหัวเราะอะไร 
เอ็งไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ถ้าเอ็งอยากให้เขามาอยู่ด้วย เอ็งต้องทำอะไรสักอย่าง
ทำยังไงหรือครับ
ข้าเชื่อว่าสงกรานต์ในปีถัดไป เขาและเพื่อนอีกหลายคนจะผ่านมาแถวนี้ เอ็งก็ลองวิ่งไปดักที่สี่แยกเท่านั้นแหละ เอ็งก็จะได้เพื่อนเยอะแยะไม่ต้องเหงาอีกต่อไป
ชายผู้นั้นพูดจบก็เดินกลับเข้าบ้านไป ผมยังสงสัยกับคำพูดนั้นอยู่

ช่วงวันเทศกาลสงกรานต์ในปีถัดมามีรถสัญจรแถวนั้นไม่ขาดสาย รถบางคันก็บีบแตรส่งสัญญาณให้และก็ขับเลยไป 
ในคืนดึกสงัดของวันที่สิบสี่ ลางสังหรณ์บอกผมว่าเขากำลังกลับมา ณ ที่แห่งนี้เขาจะมาพร้อมกับเพื่อนอีกหลายคน หลังจากที่รถสิบล้อขนผักขับผ่านไป ไม่นานนัก เสียงรถขับเคลื่อนก็แว่วมากระทบโสตประสาทของผม และเริ่มดังขึ้น ดังขึ้นจนปรากฏเป็นรถสีขาวที่ฝ่าความมืดออกมาด้วยความเร็วสูง ผมคะเนเอาว่ามีผู้โดยสารอีกแปดชีวิตร่วมหัวจมท้ายอยู่ในนั้นด้วยกำลังจะวิ่งผ่านสี่แยกนั้น 
ผมนึกถึงคำพูดของชายผู้นั้นจึงไม่รอช้าวิ่งออกไปดักที่หน้าสี่แยกนั้น สี่แยกที่เขาเคยขับผ่าน ผมมองหน้าคนขับรถอย่างเศร้าซึม ตัดพ้อ และน้อยใจในสิ่งที่เขาทำกับผม เขาสะดุ้งเฮือก สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความตื่นตระหนก จากสีหน้าตื่นตระหนกพลันเปลี่ยนเป็นความหวาดผวา แสงไฟจากหน้ารถส่องแสงสว่างจ้ามาที่ผม คนขับรถคือสุภานั่นเอง เขาพยายามหักพวงมาลัยเบี่ยงรถให้พ้นรัศมีผมและแหกปากลั่นอย่างสะพรึงกลัว เสียงเบรกเอี๊ยดดังลั่น รถตู้เสียหลักออกนอกช่องทางรถ ล้อรถไถลครูดจนเกิดรอยล้อรถเป็นแนวยาว และในที่สุดรถตู้คันนั้นก็เสียหลักชนกับเสาไฟฟ้าแรงสูงพลิกคว่ำ เสาไฟฟ้าหักลงมากระแทกตัวรถอีกครั้ง กระจกหน้าแตกละเอียด สุภาซึ่งเป็นคนขับรถถูกอัดบี้กับตอเสาไฟฟ้า ร่างกายแหลกละเอียด มันสมองทะลักกระจัดกระจาย ไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว บางศพเป็นชาวต่างประเทศ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งกระจายไปทั่วอาณาบริเวณ เลือดสีแดงฉานและสีแดงคล้ำเจิ่งนองทั่วพื้นถนน บรรดาชาวบ้านที่ได้ยินเสียงอุบัติเหตุและเสียงร้องโหยหวนต่างกรูมายื้อแย่งสิ่งของอันมีค่าที่พึงจะหาได้อย่างบ้าคลั่ง บางคนยื้อยุดนาฬิกาข้อมือ บางคนล้วงกระเป๋าเพื่อค้นหาสิ่งของอันมีค่าแม้แต่ต่างหูทองเคก็ไม่มีเว้น นี่แหละหนาคนตายไปแล้วยังอุตส่าห์ไปซ้ำเติมศพเหมือนดั่งแร้งคอยรุมทึ้งซากศพที่เน่าเปื่อยไปแล้ว ผมอดสมเพชคนเหล่านี้ไม่ได้	

หลังเหตุการณ์วันนั้นทำให้ผมได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นมากมาย ในบ้านไม้ของผมมีเสียงพูดคุยไม่ขาดสายทำลายความเงียบเหงาจนหมดสิ้น สุภาสารภาพว่าวันนั้นเขาขับรถด้วยความเร็วสูง เมื่อรถจักรยานยนต์วิ่งตัดหน้า เขาตกใจและรีบหักพวงมาลัยเพื่อเบี่ยงให้พ้นรัศมีแต่หักหลบไม่พ้นรถกระบะชนกับรถจักรยานยนต์ ร่างของเด็กสาวทั้งสองคนกระเด็นออกจากตัวรถจักรยานยนต์ส่วนรถกระบะเสียหลักพลิกคว่ำ ดวงชะตาของเขายังไม่ถึงฆาตแต่ผมสิตายคาที่
เมื่อผมต่อว่าเขา เขาสำนึกผิดและขอโทษผมต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเขาขอโทษผมแล้วผมก็ไม่ติดใจกับอดีตที่ผ่านมา เพื่อนกันย่อมให้อภัยกันได้เสมอ 

ก็บอกแล้วว่า คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย ยูวิลล์เนฟเวอร์วอล์กอะโลน				
10 พฤศจิกายน 2549 23:39 น.

การตัดสินใจครั้งสำคัญ

พัฒนา สุดยาใจ

ฉันจะไปทันงานสังสรรค์เย็นนี้หรือเปล่าเนี่ย หากคะเนจากสภาพการจราจรอันเป็นอัมพาตเช่นนี้ คงสรุปได้ว่าต้องไปไม่ทันตามเวลาที่กำหนดยิ่งวันนี้เป็นวันศุกร์เสียด้วย
	เฮ้อ! นึกถึงสมัยเรียนทีไรเป็นต้องมีความสุขทุกครั้ง ฉันและเพื่อนอีกเก้าคนเคยเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน แน่นอนว่าพวกเรามีความแน่นแฟ้นกันมาก ยามค้นคว้าหาข้อมูลทำรายงานก็มักจะไปแหล่งเดียวกัน ยามเที่ยวก็มักไปเที่ยวด้วยกัน ใครเห็นก็รู้สึกอิจฉาที่พวกเราสิบคนกลมเกลียวกันดี 
	ฉับพลันเมื่อสัญญาณไฟแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว บรรดายวดยานพาหนะต่างแล่นกันอย่างรวดเร็ว เสียงเครื่องยนต์ดังกังวานที่มาพร้อมกับควันดำจากบรรดาวัตถุสี่ล้อเคลื่อนที่ตลบอบอวลไปทั่วท้องถนน เมื่อขับพ้นสี่แยกนี้ไปแล้วก็ปรากฏว่าฉันสามารถขับเร่งความเร็วได้มากขึ้นเพราะจำนวนรถบนท้องถนนเริ่มน้อยลง
	จุดนัดพบคือร้านอาหารแถวอนุสาวรีย์ชัยฯ เพ่งมองดูที่นาฬิกาข้อมือปรากฏว่าฉันมาสายไปครึ่งชั่วโมงจึงตะลีตะลานเข้าไปที่ร้านอาหาร บรรดามิตรสหายจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรสชาติบนโต๊ะอาหาร
	อ้าว! วีณา เชิญ เชิญ มานั่งนี่ ตระการเพื่อนชายรีบผายมือเชิญให้ไปนั่งข้างเขาและจัดจาน ถ้วยน้ำแกง ช้อน และส้อมให้ รถติดมากเลยล่ะซิ ขวัญตาเพื่อนหญิงถาม
	อื้อ 
	ตระการตักต้มย้ำปลาช่อนจากหม้อไฟให้ฉัน
	การสนทนาพลางละเลียดอาหารเป็นไปอย่างครื้นเครงแต่ฉันไม่ค่อยชอบใจนักที่แต่ละคนถามไถ่กันในเรื่องของเงินเดือนและตำแหน่งหน้าที่การงาน สำหรับบางคนที่มีตำแหน่งสูง ๆ ก็คงไม่ตะขิดตะขวงใจแต่ถ้าคนที่ยังต๊อกต๋อยได้เป็นแค่เสมียนหรือแม้แต่ฉันเองก็คงไม่ชอบใจนักหรอก
	ว่าไงณา...ยังทำบัญชีอยู่หรือเปล่า เป็นผู้จัดการหรือยัง ขวัญตายิงคำถามเดิมเหมือนครั้งที่มีการสังสรรค์กันครั้งแรก
	อ๋อ...ตอนนี้ฉันไม่ได้ทำบัญชีแล้วล่ะ ไปเป็นเซลส์แล้ว สบายใจดี ฉันไม่ชอบพวกพนักงานบัญชีที่จุกจิกและค่อนข้างเรื่องมาก ฉันเห็นสีหน้าของขวัญตาเจื่อนลงทันทีเพราะเท่ากับหลอกด่าหล่อนนั่นแหละ
	งานเลี้ยงเลิกราในเวลาห้าทุ่มเพราะทุกคนไม่อยากกลับบ้านดึกดื่น
	
	จริงอยู่ที่งานด้านการขายมีความเป็นอิสระเพราะไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศมาตอกบัตรเข้างานแต่ก็เคร่งเครียดหนักยิ่งกว่าการทำงานอยู่กับโต๊ะเพราะต้องเป็นฝ่ายไปพบลูกค้า เจอลูกค้าหลายรูปแบบทั้งประเภทที่ชอบเอาเปรียบผู้ขาย มีทั้งที่มีโอภาปราศรัยและชอบโขกสับ 
	และสิ่งที่เป็นตัวกดดันพนักงานขายดังเช่นฉันก็คือการถูกกำหนดเป้ายอดขายนี่แหละ ฉันจำได้ดีว่าครั้งแรกที่เข้ามาทำงานที่นี่นั้นถูกตั้งเป้ายอดขายที่หนึ่งล้านบาท เผอิญฉันทำได้หนึ่งล้านห้าแสนแทนที่จะสบาย กลับกลายเป็นว่าฉันต้องทำให้ได้มากกว่าหนึ่งล้านห้าแสนถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์แต่ฉันก็เอาตัวรอดมาได้แต่ปัจจุบันนี่สิ ฉันกำลังอยู่ในภาวะความเสี่ยงที่จะตกงานหากไตรมาสนี้ทำยอดขายไม่ถึงสิบสองล้านบาท
	นอกเหนือจากความเครียดกับลูกค้าแล้ว ฉันยังต้องเคร่งเครียดกับภาระทางบ้าน น้องชายของฉันถูกตรวจพบเมื่อไม่นานมานี้ว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วจึงต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจซึ่งก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก ไหนจะค่าผ่อนบ้าน ยังดีว่ารถไม่ต้องผ่อนแล้ว คิดไปก็ยิ่งกลัดกลุ้ม 
 	
	แสงแดดยามสายส่องผ่านกระจกหน้าต่างที่ปิดสนิทกระทบใส่ใบหน้าทำให้ฉันตื่นจากนิทรารมณ์ ฉันรีบหยิบนาฬิกาปลุกจากหัวเตียง มันบอกเวลาที่เก้าโมงเช้า 
	แม้ว่าเป็นวันเสาร์ฉันก็ต้องขับรถตระเวนเยี่ยมลูกค้ายิ่งช่วงนี้ฉันต้องหมั่นไปเสาะหาลูกค้าเพราะโดนย้ายเขตขายจากสาทรมาอยู่แถวบางนา-ตราดซึ่งก็ไกลจากบ้านฉันที่อยู่วงเวียนใหญ่ไปมากกว่าเดิม	เหลืออีกหนึ่งเดือนก็จะหมดไตรมาสที่สามแล้ว ฉันเพิ่งทำยอดขายได้เพียงสี่ล้านบาทเท่านั้นยังห่างไกลความจริงอยู่มากยกเว้นว่าจะมีออร์เดอร์ใหญ่สักแปดถึงสิบล้านมาช่วยต่ออายุงานให้ฉัน แต่ ณ ปัจจุบันเป็นเรื่องยาก คู่แข่งขันมีมากขึ้นจนเรียกได้ว่าลูกค้ามีโอกาสเลือกซื้อสินค้าได้มากกว่าเดิม

	สุดท้ายฉันส่งรายงานยอดขายของไตรมาสนี้ได้เพียงห้าล้านเศษ และเดินออกมาจากแผนกบัญชีอย่างหน้าบอกบุญไม่รับ เห็นทีชะตาของฉันอาจขาดผึงแล้วก็ได้
	เสียงกริ่งโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขณะที่ฉันขับรถกลับบ้านพลางทอดสายตามองไปที่พื้นถนนอย่างไร้ชีวิตชีวา
	ฮัลโหล...คุณทรงพลหรือคะ
	คุณวีณาใช่มั้ย พรุ่งนี้ผมอยากให้คุณเข้ามาที่ออฟฟิศด่วนเลยนะ 
	ค่ะ สีหน้าของฉันยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น ฉันรู้ดีถึงสิ่งที่เขาต้องการจะพูดแต่ถึงยามนี้ก็ให้นึกถึงสุภาษิตฝรั่งเขาบอกว่า วอท เอฟเวอร์ วิลล์ บี วิลล์ บี ฉันพยายามจะทำใจยอมรับชะตากรรม
	ฉันเข้าบริษัทตั้งแต่เช้าตรู่ เป็นที่รู้กันว่าคุณทรงพลเป็นผู้บริหารที่ไม่เคยมาสายฉะนั้นจึงไม่มีพนักงานกล้าแตกแถวมาสาย
	การเข้าพบคุณทรงพลคราวนี้อาจเป็นการชี้ชะตาของฉันก็เป็นได้ ก่อนเปิดประตูเข้าไปฉันพยายามหาเหตุผลที่ดูเข้าทีที่สุด
	ฉันเห็นเขามีสีหน้าเคร่งเครียดเรียกได้ว่าคิ้วสองข้างขมวดกันแบบจะชนกันเลยทีเดียว
	นั่งซิ เขาผายมือเชื้อเชิญ
	ค่ะ
	เอาล่ะ...เข้าเรื่องกันเลยนะ เมื่อวานนี้ทางแผนกบัญชีได้ส่งรายงานมาว่าไตรมาสนี้คุณทำยอดได้ไม่ถึงครึ่งของเป้าที่ตั้งไว้ มันเกิดอะไรขึ้น
	เอ่อ...คือ
	คุณอย่าได้ปิดบัง ขอให้พูดความจริง พวกเราจะได้ช่วยกันแก้ไข
	คืออย่างนี้ค่ะ เป็นเพราะดิฉันถูกย้ายเขตขายซึ่งต้องสร้างลูกค้าใหม่จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยประกอบกับมีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาเรื่อย ๆ
	เขาทำสีหน้าเครียดมากขึ้นกว่าเดิมพลางขยับแว่นตา คุณไม่ควรอ้างเหตุผลข้อนี้ เหตุที่คุณถูกย้ายเขตขายก็เพราะทางบริษัทเห็นว่าคุณหาลูกค้าได้เก่ง บริษัทจึงอยากให้คุณนำข้อดีตรงนี้มาช่วยเจาะตลาดลูกค้าใหม่เป็นการหาเงินเข้าบริษัทให้เป็นกอบเป็นกำ แต่ในเมื่อคุณพูดเช่นนี้มันเป็นสิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้เลย เพราะคำพูดของเขาทำให้ฉันไม่กล้าสบตาเขา
	ถ้าตามนโยบายของบริษัท คุณน่ะต้องพ้นสภาพการเป็นพนักงานของที่นี่แล้ว แต่เห็นว่าคุณเคยมีผลงานให้กับบริษัท ดังนั้นผมจะให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย ผมจะอนุโลมให้คุณทำยอดขายให้ถึงสิบสองล้านเหมือนเดิม หากทำไม่ได้คุณก็ไม่มีข้อแก้ตัวนะ เขาพูดเสียงแข็ง
	ฉันเดินคอตกออกจากห้องทันที ได้แต่ตัดพ้อต่อโชคชะตา การที่คุณทรงพลให้โอกาสแก่ฉันในคราวนี้ก็เป็นได้แค่การต่ออายุงานของฉันไปอีกสามเดือนเท่านั้น

	เส้นทางที่ทอดยาวไปตลอดแนวบนถนนบางนา-ตราด ฉันขับรถตระเวนไปตามร้านค้าต่าง ๆ มีทั้งผิดหวังและสมหวัง ประเด็นที่ลูกค้าไม่สนใจซื้อสินค้านั้นยังไม่เท่ากับที่เจ้าของร้านบางคนฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวฉัน บางคนก็แอบจับก้นฉันแต่ฉันก็ไม่อาจส่งเสียงเอะอะมิฉะนั้นแล้วงานติดต่อลูกค้าก็เป็นอันจบสิ้นทันที
	
	เหลืออีกเพียงสิบห้าวันฉันเพิ่งทำยอดขายได้เพียงหกล้านเท่านั้นทั้ง ๆ ที่หากพิจารณาให้ถ่องแท้ก็น่าจะถือว่าฉันประสบความสำเร็จในการเจาะตลาดลูกค้าใหม่เสียด้วยซ้ำ แต่ปัจจุบันนายจ้างสามารถเลือกผู้ใช้แรงงานได้มากกว่าในอดีต บริษัทต่าง ๆ จึงเลือกที่จะจ้างพนักงานหน้าใหม่เพื่อจะได้จ่ายเงินเดือนในอัตราต่ำลงยิ่งฉันมีฐานเงินเดือนสูงแล้วโอกาสโดนปลดออกจากงานมีมากทีเดียว
	ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา ฉันไม่น่าลืมตระการเลยเพราะเขาทำงานอยู่ในย่านถนนบางนา-ตราดนี่เอง เขาอาจช่วยฉันได้ ฉันไม่รอช้ารีบกดเลขหมายโทร.หาทันที
	ฮัลโหล...ว่าไงณา
	ตระการ ฉันอยากให้เธอช่วยฉันสักเรื่อง
	เรื่องอะไรหรือ เสียงหัวเราะเล็ดลอดให้ฉันได้ยิน
	ไตรมาสนี้ฉันต้องทำยอดขายให้ได้สิบสองล้านแต่ตอนนี้ฉันทำได้เพียงหกล้านเท่านั้นถ้าไม่ถึงเห็นทีฉันต้องออกจากงานโดยไม่ได้ค่านายหน้า
	เฮ้อ! ฉันว่าเธอคงอยู่บริษัทนี้ไม่ยืดแน่ ๆ ลาออกเสียตอนนี้จะดีกว่านะ
	ถ้าทำได้ฉันทำไปนานแล้ว เพราะฉันต้องหาเงินมารักษาน้องชาย เปลี่ยนลิ้นหัวใจทีหนึ่งใช้เงินไม่น้อย เอาเป็นว่าขอให้ผ่านไตรมาสนี้ให้ได้ก่อน
	อืมม์ ฉันเห็นใจเธอ เอาอย่างนี้ เธอช่วยส่งอีเมล์รายการสินค้าทั้งหมดมาให้ฉัน ฉันจะพยายามช่วยเธออย่างเต็มที่
	ขอบคุณมาก ฉันเริ่มมีความหวังขึ้นบ้าง
	เมื่อมาถึงบ้าน ฉันส่งอีเมล์รายการสินค้าให้ตระการด้วยความหวังว่าเขาคงช่วยฉันได้บ้าง
	  
	ผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์ยอดขายกระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อยแต่ยังขาดอีกสี่ล้าน กับเวลาหนึ่งอาทิตย์คงไม่ง่ายอย่างแน่นอน แต่ฉันก็ยังยึดถือคติว่าหากเวลายังไม่สิ้นสุดจริง ๆ ก็ยังมีความหวังอยู่ คำตอบจากตระการก็ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
	เสียงกริ่งโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขณะขับรถอยู่บนท้องถนนในยามเปลวแดดอันร้อนระอุ ฉันรีบหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าสะพาย ปรากฏว่าเป็นเบอร์ของตระการทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมากทีเดียว ฉันหวังว่าคงมีข่าวดี
	ฮัลโหล...ตระการเหรอ ตกลงมีหนทางไหม
	อื้อ...เจ้าของโรงแรมบลูแม็กพายส์สนใจจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าชุดใหญ่เพื่อนำมาติดตั้งแทนเครื่องใช้ไฟฟ้าชุดเก่า 
	เหมือนยกภูเขาออกจากอก ฉันเริ่มมีความหวังเพิ่มขึ้นอักโข โรงแรมนี้อยู่ที่ไหน 
	อยู่เกือบถึงบางพลี รู้จักซอยศรีกิจมั้ย
	อื้อ อื้อ รู้จักสิ
	นั่นแหละอยู่ในซอยนั้น เป็นอาคารสิบห้าชั้นอยู่ตรงข้ามภัตตาคารเฮงหลี ป้ายโรงแรมเด่นชัดมาก เธอไม่น่าหลงหรอก ติดต่อคุณชาญชัยนะ เธอหยิบกระดาษมาจดเบอร์โทรศัพท์ไว้เลย
	ฉันรีบหยิบกระดาษและปากกาเตรียมจดเลขหมายพลางนึกไปว่าคงเป็นชายหนุ่มวัยสี่สิบต้น ๆ ดูภูมิฐาน ฉันคิดเลยเถิดไปว่านี่อาจเป็นรักแรกพบก็เป็นได้ 
	
	เมื่อแสงแรกแห่งยามเช้าส่องผ่านกระจกหน้าต่างในห้องนอนปลุกให้ฉันตื่นนอน ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยความสบายใจ คุณชาญชัยอาจเป็นอัศวินขี่ม้าขาวที่ช่วยให้ฉันรอดพ้นจากการถูกไล่ออกก็เป็นได้ 
	ฉันใช้กุญแจสำรองเปิดประตูเข้าห้องน้องชายเพื่อดูอาการ แกยังไม่ตื่นนอน ฉันเชยแก้มและลูบหน้าผากอย่างเอ็นดูและหวังใจว่าอีกไม่นานนี้แกคงได้รับการเยียวยาให้กลายเป็นผู้มีสุขภาพดีอีกครั้ง
	ก่อนออกจากบ้านฉันกำชับให้คนรับใช้ดูแลน้องชายและตรวจตราความเรียบร้อยภายในบ้าน เมื่อเบาใจได้แล้วจึงรีบเดินออกจากบ้านและกระวีกระวาดขึ้นรถ 
ดูเหมือนทุกอย่างเป็นใจเมื่อรถราบนท้องถนนมีไม่มากผิดกับทุก ๆ วัน ฉันขับรถขึ้นทางด่วนลงบางนาและเข้าสู่เส้นทางถนนบางนา-ตราด 
	ในที่สุดก็ขับรถมาถึงซอยศรีกิจในเวลาแปดโมงเช้า ฉันขับรถพลางกวาดสายตามองไปโดยรอบจนในที่สุดก็พบอาคารอันสูงตระหง่าน สูงกว่าสิ่งปลูกสร้างในบริเวณนั้นทั้งหมด ฉันเชื่อมั่นว่าตอนขากลับออกมาคงมีแต่รอยยิ้ม
	ฉันรีบรุดไปที่แผนกประชาสัมพันธ์ เจ้าหน้าที่สาวตรวจสอบข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ ไม่นานนักเธอก็ให้ฉันไปพบคุณชาญชัยที่ห้องประชุมชั้นสาม ลิฟท์ตัวเขื่องนำฉันไปที่ชั้นดังกล่าวอย่างรวดเร็ว 
	ผิดคาดแทนที่จะมีคนเดินกันขวักไขว่แต่กลับกลายเป็นวิเวกปราศจากสุ้มเสียงทุกชนิด ดูวังเวงชอบกล ฉันสืบเท้าพลางกวาดสายตามองไปทางซ้ายและทางขวาจนกว่าจะเจอป้ายบอกว่า ห้องประชุม
	ฉันเดินไปจนเกือบสุดทางเหลือห้องสุดท้ายแล้วฉันหวังว่าคงเป็นห้องนี้ 
	จริงดังคาด ห้องนี้คือห้องประชุมจริง ๆ ฉันเคาะประตูเป็นมารยาท
	เชิญครับ ผิดคาดเมื่อได้ยินเป็นเสียงแหบแห้งดั่งคนมีอายุมาก
	ฉันหมุนลูกกุญแจเปิดประตูเข้าไป เสียงเปิดประตูดังเอี๊ยดอ๊าด เมื่อกวาดสายตามองรอบห้อง ฉันอดสะดุ้งโหยงไม่ได้เมื่อพบชายวัยกลางคน หัวเถิก ไว้หนวดไว้เครา อ้วนลงพุง แต่งกายในชุดสูทแต่ผูกเนคไทไม่ใคร่เรียบร้อย
	สะ สวัสดีค่ะ ฉันกระพุ่มมืออย่างนอบน้อม
	อื้ม... เขามองหน้าฉันพลางหยิบรูปถ่ายขึ้นมาดูประหนึ่งเปรียบเทียบรูปร่างหน้าตาของฉัน
	คุณคือวีณาตามที่นายตระการแนะนำมาใช่ไหม
	เอ่อ ค่ะ ฉันรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่ชวนพิสมัยเสียแล้ว
	เอาล่ะ เราเข้าเรื่องกันเสียที
	ค่ะ
	ได้ยินว่าคุณเดือดร้อนเรื่องการทำยอดขายอีกทั้งต้องหาเงินรักษาโรคหัวใจของน้องชายใช่ไหม ฉันพยักหน้า ดีแล้ว ผมยินดีซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าประมาณหกล้านบาทและยังจะแถมเงินก้อนโตให้คุณอีกหนึ่งล้านบาท เขายื่นใบสั่งซื้อ เช็คลงวันที่ปัจจุบันสองฉบับ ฉบับหนึ่งหกล้านบาทสั่งจ่ายในนามบริษัท อีกฉบับคือหนึ่งล้านบาทสั่งจ่ายในนามฉันแต่ทั้งหมดยังขาดลายมือชื่อ
	เพียงแต่ ชายวัยกลางคนหยุดชะงัก
	แต่อะไรคะ
	นับจากวันที่คุณได้รับเงินจากผม คุณต้องเป็นภรรยาลับของผมตลอดไป ยามหลับนอนก็ต้องให้ความสุขกับผมอย่างเต็มที่
	ฉันตวาดกลับด้วยความโมโห ไม่ค่ะ ฉันไม่ใช่นางบำเรอนะคะ ขอตัวค่ะ
	โอ๊ะ โอ๋ ผมไม่ได้บังคับคุณ อันที่จริงผมจะซื้อสินค้ากับบริษัทอื่นก็ยังได้แต่นี่ผมยินดีช่วยเหลือคุณนะ แต่ทุกอย่างต้องมีข้อแลกเปลี่ยน คุณมีเวลาถึงสามทุ่มของวันพรุ่งนี้ที่สามารถให้คำตอบแก่ผมได้ เขายิ้มอย่างผู้ได้เปรียบ ว่าไงล่ะ คุณไม่อยากช่วยชีวิตน้องชายแล้วหรือ 
	ฉันผลุนผลันเดินออกจากห้องนั้นและโทร.หาตระการทันที 
	ฮัลโหล ตระการเหรอ...ทำไมถึงติดต่อตาแก่ลามกให้ฉัน ฉันตวาดอย่างไม่ปรานีปราศรัย
	ณา เข้าใจผิดหรือเปล่า คุณชาญชัยเป็นคนดีนะ แล้วเขาจะทำอะไรเธอหรือ
	ฉันเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ตระการฟังขณะก้าวเดินพ้นจากโรงแรมแห่งนั้น 
	ฉันไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบนี้ ตอนที่ขอรูปถ่ายฉันก็ให้โดยไม่เอะใจ ตระการชี้แจง 
	เธอว่าอย่างไรล่ะ วันจันทร์ต้องส่งรีพอร์ทให้ฝ่ายบัญชีแล้วไม่ใช่เหรอ เหลือพรุ่งนี้อีกวันนะ ตระการย้ำเตือน
	ตกลงว่าเธอเห็นดีเห็นงามไปด้วยงั้นสิ ฉันยังบริภาษตระการต่อ
	ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเธอไม่อยากทำก็ปฏิเสธไป บอกแล้วไงว่าฉันเองก็ไม่คิดว่าเรื่องจะลงเอยแบบนี้
	เพลานี้ฉันสับสนไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไรต่อไป
	ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอวางสายล่ะนะ ตระการวางสายจากฉันทันทีมิให้ฉันพูดต่อ
	ฉันขับรถด้วยจิตใจเหม่อลอย คิดอะไรไม่ออก ดูเหมือนหนทางเริ่มตีบตันมากขึ้นเรื่อย ๆ	
	ฉันนอนเบิกตาโพลงตลอดทั้งคืน ใจพะวักพะวงเกี่ยวกับเรื่องงาน หรือว่าการพลีกายแลกกับเงินล้านคราวนี้เป็นหนทางสุดท้ายจริง ๆ คงเป็นไปไม่ได้หรอกที่จู่ ๆ ว่าพรุ่งนี้จะมีลูกค้าที่อื่นสั่งออร์เดอร์สี่ล้านบาทในบัดดล
	เช้าวันอาทิตย์คือวันสุดท้ายของไตรมาสนี้ วันจันทร์อาจเป็นวันสุดท้ายของการทำงาน ฉันทำใจให้สงบนั่งอ่านหนังสือเล่มโปรด ดูแลน้องชายที่นอนป่วยอยู่ และออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน
	เวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว เหลืออีกเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นที่ฉันยังมีความหวังอยู่ มีอยู่สามทางที่ฉันทำได้คืออาจนิ่งเฉยจนเลยเวลาสามทุ่ม โทร.ไปปฏิเสธหรือไม่ก็ตอบรับตามเงื่อนไข

	ฉันสูดหายใจลึก ๆ ก่อนกดเลขหมายโทร.หาคุณชาญชัย ฉันตัดสินใจแล้ว				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพัฒนา สุดยาใจ
Lovings  พัฒนา สุดยาใจ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพัฒนา สุดยาใจ
Lovings  พัฒนา สุดยาใจ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพัฒนา สุดยาใจ
Lovings  พัฒนา สุดยาใจ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพัฒนา สุดยาใจ