24 พฤษภาคม 2547 12:37 น.

หน้า-ต่าง

พัชร์

หน้า-ต่าง

ถ้าสักวันหนึ่ง ฉันหายไปจากโลกนี้เสียเฉยๆ จะมีใครถามถึงและใส่ใจในตัวฉันบ้างไหม แล้วตัวฉันล่ะต้องการคำตอบกลับที่จริงใจมากน้อยแค่ไหนกัน

วาตต์เบือนหน้าหนีจากกระจกเงาที่เธอนั่งอยู่ตรงหน้าเป็นเวลานาน แสงสลัวที่เล็ดรอดผ่านช่องพัดลมระบายอากาศเริ่มจะเลือนรางหายไป วันนี้เป็นวันอะไรนะ วาตต์ได้แต่ก้มหน้าก้มตากล่าวรำพึงรำพันพร้อมถอนหายใจ - เสียงถอนหายใจ ไม่สามารถที่จะตอบความหมายที่ตัวเธอนั้นอยากรู้ และยอมรับได้ไม่ใช่หรือ -

เธอเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปทางกระจกเงาอีกครั้ง ภายในห้องหับอับแสงทรงสี่เหลี่ยมที่กำลังจะถูกปกคลุมไปด้วยความมืด

ความกระวนกระวาย และสับสนที่คุกรุ่นอยู่ในอณูความคิดต่างๆ นาๆ นั้น เริ่มที่จะเผยความหมายอะไรบางอย่าง

อีกไม่นานก็คงใกล้ถึงวันนั้นแล้วสินะ วันที่ตัวฉันต้องยอมรับ เธอเดินหันหลังออกจากกระจกเงาด้วยความหมดหวังผสมผสานกับความเชื่อมั่นเพียงน้อยนิด  ในใจเธอเพียงแค่อยากจะเอ่ยคำลาจากความจำเจที่จำใจที่เธอนั้นต้องยอมรับในไม่ช้านี้...เพียงเท่านั้น

หลังจากที่ละสายตาจากกระจกเงาบานเล็กที่ตั้งติดอยู่กับผนังห้อง  ความว่างเปล่าได้กลับคืนสู่ห้วงความคิดของเธอเช่นเคย

มันเป็นการยากมิใช่หรือกับการต้องทำความเข้าใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น  ดวงตาของเธอกำลังจะมืดมิดเปรียบเสมือนแสงไฟสลัว ถึงจะหลับตาลงสักกี่ครั้งแต่การลืมตาตื่นแล้วไม่สามารถเห็นสิ่งใด...มันช่างขมขื่นนัก

สิ้นลมหายใจไปเสียกี่ครั้งก็ยังไม่สามารถที่จะเอาชนะบางสิ่งที่ตัวเองนั้นไม่สามารถที่จะทำอะไรกับมันได้ เธอเปรยขึ้นมาในความคิด

คำถามที่ปลงตกกับความคิด ฉันจะอยู่ได้อย่างไรโดยไม่มีดวงตาคู่นี้  จะอยู่ได้อย่างไรเมื่อไม่มีแม้กระทั่งแสงไฟที่สอดส่องเล็ดรอดผ่านตา มีเวลาอยู่เพียงน้อยนิดเหลือเกินที่จะต้องยอมรับกับสิ่งที่แปลงเปลี่ยน ช่วงเวลาเพียงน้อยนิดนั้นทำให้วาตต์ได้ตระหนักถึงความว่างเปล่าที่มันคอยกัดกร่อนความรู้สึกของเธอให้ขาดหายไปทีละนิดๆ

-	ต่อไปความมืดมิดจะมาปกปิดดวงตาฉัน -

จะทำอย่างไรกับมันดี ในเมื่อ เมื่อวานวันฉันยังมีความหวังอยู่เลย วาตต์พยายามที่จะจ้องมองไปยังรูปถ่ายในกรอบรูปที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก  เธอค่อยๆ ก้าวออกจากห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงแสงสลัวสาดส่อง  สองเท้าที่ค่อยๆ ย่างก้าวกำลังจะหยุดย่ำลงบนพื้นที่หน้ากรอบรูปที่เธอพยายามจับจ้อง  เธอเอื้อมมือหยิบจับมันขึ้นมาอย่างช้าๆ คล้ายกับรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายกับการที่เธอจะได้สัมผัสกรอบรูปนั้นจากการมองเห็นของตาทั้งสองข้างของตนเอง น้ำใสๆที่ไหลเปรอะลงบนผิวแก้มได้ช่วยให้ความเจ็บปวดของเธอลดทุเลาลงเลย

นี่หรือสิ่งที่ฉันต้องสูญเสีย จากเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น วาตต์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องอะไรคืนกลับมาได้อีก  เธอค่อยๆ เอานิ้วโป้งของเธอปาดหยดน้ำตาที่ไหลหล่นลงบนกรอบรูป  รูปในกรอบนั้นแสดงถึงรูปของสามี และลูกชายของเธอ เธอกอดมันไว้แน่นกับอกพร้อมกับความรู้สึกที่บอบช้ำเป็นที่สุด

มันจะมีค่าอะไรกับการที่ได้มองเห็น เพราะสิ่งที่เธอต้องการที่จะเห็น และต้องการที่จะคอยเอาใจใส่ดูแลนั้นได้จากเธอไปเสียแล้ว

ความเงียบสงัดได้เข้ามาสร้างความคุ้นเคยในโสตประสาทของวาตต์อยู่เป็นพักใหญ่แล้วจนกระทั่งมีเสียงๆ หนึ่งได้ดังขึ้น   เสียงดังกล่าวได้ทำลายความคุ้นเคยที่มีอยู่นั้นจนหมดสิ้น

ที่รัก  คุณทำอะไรอยู่?
นี่ฉันหูฝาดไปหรือ? วาตต์ตั้งคำถามให้กับตัวเอง
เมื่อวานผมได้คุยกับคุณหมอเรื่องอาการของคุณแล้วนะ  เค้าบอกว่าเราพอมีหวังนะคุณรู้ไหม
ไป...เดี๋ยวผมจะพาคุณออกไปเดินเล่นข้างนอก ลูกเราเพิ่งกลับมาจากไปเรียน  เดี๋ยวผมจะชวนเค้าไปด้วย
แต่นี่ฟ้ามันค่อนข้างจะมืดแล้วนะ  วาตต์ครุ่นคิดอยู่ในใจ
เออ...ใช่แล้ว ผมจะถามคุณอย่าง ทำไมคุณชอบปิดหน้าต่างกับม่านนักนะ เปิดรับแสงข้างนอกให้มันรอดผ่านเข้ามาบ้างสิ

วาตต์วางกรอบรูปลงแล้วค่อยๆ เดินไปยังต้นเสียงของสามีเธอ  สามีของเธอคลี่ม่านออกเชิงว่าจะให้วาตต์นั้นได้รู้ว่าอากาศภายนอกบ้าน และห้องที่เธอเคยนั่งอยู่นั้นช่างสว่างไสว  แต่ทว่าแสงสลัวที่เธอเห็นว่าเล็ดรอดผ่านช่องม่านเมื่อครู่นั้นก็ยังคงเป็นความมืดมนอย่างเช่นเคย

คุณไม่เห็นหรือวาตต์...ว่าวันนี้ท้องฟ้าออกจะสดใส  คุณดูสิ
พ่อ...ท้องฟ้ามันจะไปสดใสได้อย่างไรเมื่อพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว ยอมรับความจริงเถอะครับพ่อ  ผมเองก็คิดถึงแม่เค้าเหมือนกัน

วาตต์ยืนอึ้งเงียบอยู่สักพัก น้ำใสๆ ที่ไหลเปรอะลงบนแก้มที่แทบจะกลายเป็นคราบเหนียวเกรอะอยู่นั้นไหลหลั่งลงมาอีกครั้ง ความหวังที่แทบจะหมดสิ้นไปแล้วนั้นกลับยิ่งทวีความบอบช้ำให้กับเธอมากขึ้น
- นี่หรือคำถามที่ตัวฉันนั้นต้องการคำตอบ 

วาตต์ได้รับคำตอบที่เธอนั้นอยากรู้มันอย่างจริงใจแล้ว


							^ พู่กัน ^				
3 พฤษภาคม 2547 12:21 น.

ขอโทษ..

พัชร์

ขอโทษ
	
           โณชย์  ลูกแม่   แม่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เหตุการณ์ต่างๆเป็นไปอย่างนี้หรอกนะลูก   แม่เสียใจ  สำหรับคำพูดทั้งหลายที่เคยต่อว่าลูก   แม่หวังดี   ขอโทษที่คำว่า หวังดี ของแม่ทำให้ลูกเป็นอย่างนี้   ถึงแม้ว่านี่จะเป็นคำพูดของแม่   ที่ลูกคิดว่า   มันสายไปเสียแล้ว   แต่แม่ก็ขอเถอะนะลูก แม่ผิดไปแล้วจริงๆ ยกโทษให้กับแม่เถอะนะ
	แม่น่ะ   รักลูกยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้   ลูกเปรียบเสมือนชีวิตของแม่  เลือดเนื้อเชื้อไขของแม่   ลูกเติบโตมาในท้องของแม่   จากเป็นเพียงแค่ส่วนของก้อนเนื้อเล็กๆ  เติบโตขึ้นมา   จนเป็นลูกของแม่อยู่อย่างทุกวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ทำมาจนถึงทุกวันนี้ก็เพียงเพื่อลูกของแม่คนเดียวเท่านั้นนะลูก   แม่ขอเพียงอย่างเดียวว่า   ให้ลูกเข้าใจแม่นะ   คนเราทุกคนล้วนก็ต้องมีข้อผิดพลาดกันทุกคน   ไม่มีใครหรอกลูกที่เค้าไม่เคยทำอะไรพลั้งพลาดไป   อย่าน้อยใจแม่เลย   ที่แม่เอาแต่ต่อว่าลูกเวลาที่ลูกทำผิด   ตอนนี้แม่รู้ตัวแล้วล่ะลูก   จริงๆแม่ภูมิใจในตัวลูกมากเลยนะ   แต่แม่ก็ขอโทษที่แม่เอาลูกที่รักของแม่ไปเปรียบเทียบกับคนอื่น   ทำให้ลูกของแม่นั้นรู้สึกน้อยใจ   ขอโทษที่แม่นั้นเอาแต่ไปภูมิใจกับสิ่งที่มันมองไม่เห็นด้วยตา   สำหรับแม่แล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย   เมื่อเทียบกับตัวลูกของแม่   ขอโทษที่แม่ปิดกั้นความคิดที่ลูกคิดว่าจะสร้างสรรค์กับสิ่งที่ลูกนั้นรัก   แม่ไม่ได้ตั้งใจจะพรากสิ่งที่ลูกนั้นรัก
ในชีวิตไป   แม่ขอโทษที่เอาแต่คิดว่าตัวเองนั้นยื่นแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวลูกเสมอ   ให้โอกาสแม่เถอะนะลูก   ให้โอกาสแม่ในสิ่งที่แม่นั้นพลาดผิดไปที่แม่ต่อว่าลูก   ใส่อารมณ์กับลูก   ที่แม่ทำลงไปแบบนี้  ไม่ใช่แม่ไม่รักลูกหรอกนะ
	ลูกยังจำตอนที่เราไปเที่ยวทะเลกันสองคนได้ไหมลูก  ตอนนั้นลูกยังว่ายน้ำไม่เป็นเลย  แม่ต้องคอยดูลูกไม่ให้ลูกไปตรงที่ที่เป็นน้ำลึกๆ   ลูกยังบอกกับแม่เลยว่า   อย่าปล่อยมือนะแม่   เดี๋ยวลูกจมน้ำ   ลูกรักของแม่   ลูกรู้ไหมว่า แม่ไม่เคยปล่อยมือของลูกแม้แต่เสี้ยวนาทีหนึ่งเลย   ตอนนั้นมือของลูกยังเล็กนิดเดียว   แม่เฝ้าคอยประคับประคองลูกอยู่เสมอ   แม้ว่าลูกจะเกิดปัญหาอะไร   แม่ก็ยังจะคอยจูงมือลูกของแม่   จับมือลูกของแม่ไว้   แม่เข้าใจเมื่อมือของลูกเริ่มที่จะโตขึ้น   ลูกก็เริ่มจะปัดป้อง   มือที่ค่อยๆชราภาพลงอย่างแม่จัดสรรค์สร้างสิ่งต่างๆด้วยมือของลูกเอง   แม่ก็ขอโทษที่รู้อย่างนี้แล้ว   ยังจะเข้าไปก้าวก่ายกับเรื่องของลูก   ทำให้เกิดปัญหา        
	ลูกก็รู้ตั้งแต่พ่อของลูกจากไป   แม่ก็ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากลูกถึงแม่จะรักพ่อของลูกมาก   แต่ตั้งแต่ที่พ่อเค้าทิ้งเราไป   แม่ก็ไม่เคยคิดอะไรนอกจากจะให้ลูกของแม่นั้น   มีชีวิตที่ดี   อยากให้ลูกของแม่มีความสุข   ไม่อยากให้ลูกของแม่นั้นต้องลำบาก   บางทีพ่อเค้าก็ไม่ค่อยเข้าใจแม่สักเท่าไหร่ก็เลยทำให้เกิดปากเสียงกันอยู่บ่อยครั้ง   พ่อเค้าคงทนไม่ไหว   พ่อถึงทิ้งเราไป   แต่ไม่เป็นไรหรอกนะลูก   แม่จะไม่ทิ้งลูก   พ่อเค้าจะไม่สนใจลูกของแม่ก็ตามใจ   แม่คอยดูแลลูกของแม่ได้
	นี่ไง   ขนมผักกาดที่ลูกชอบ   ทานซะสิลูก   วันนี้แม่ไปแวะซื้อที่ตลาดมาให้   แม่คิดว่าลูกคงอยากทาน   เห็นว่าไม่ได้ทานตั้งนานแล้ว   เดี๋ยวแม่จะไปเอาน้ำมาให้   เป็นอะไรไปล่ะลูก   ทำไมไม่ลุกมาทานซะล่ะ   เอาแต่นอนเฉยอยู่ได้   เดี๋ยวมันจะเย็นซะหมดนะ   เป็นแบบนี้อีกแล้ว   เมื่อวานแม่ก็บอกให้ลูกลุกขึ้นมาทาน   ลูกก็ไม่ฟังแม่   ไม่ค่อยสบายอีกแล้วล่ะซิ   อากาศมันเปลี่ยนก็อย่างนี้ล่ะ   ก็แม่เคยบอกลูกแล้วใช่ไหมล่ะว่า   ลูกไม่เหมาะกับโลกใบนี้ซักเท่าไหร่หรอก				
3 พฤษภาคม 2547 12:14 น.

เพราะ..?

พัชร์

เพราะ..?

             แสงแดดกำลังแผดเผา   ชโลมชะเลียผิวกายของกานต์   ชายหนุ่มวัยกลางคนที่กำลังจ้องมองเม็ดฝนที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างไม่ขาดสาย   เขากำลังฉงนกับการเล่นตลกของธรรมชาติ   ที่นำทั้งความร้อนและความชุ่มชื้นมาอยู่ในเขตปกคลุมของฟ้าผืนเดียวกัน   กานต์ชูมือขึ้นมาบดบังแสงแดดที่ทำให้เขานั้นรู้สึกระคายตา   ส่วนเม็ดฝนก็เริ่มทวีความถี่ตกกระทบลงบนผิวเนื้อของกานต์อย่างหน่วงหนักและไม่มีทีท่าที่จะหยุดหย่อน   กานต์เริ่มหันซ้ายหันขวาเพื่อหาที่พักพิงโดยหวังที่จะให้ร่างกายได้ละลดความเปียกปอนลงได้ไม่มากก็น้อยแต่มันก็เป็นไปได้อย่างลำบากเพราะความถี่ของเม็ดฝนเริ่มเบียดตัวกันแน่นจนกลายเป็นม่านสีใสบังหนายากแก่การชำเลืองมอง
            เท้าทั้งสองข้างที่ยืนนิ่งแนบอยู่กับพื้นนั้น   ก็เริ่มจะรู้สึกได้ถึงน้ำที่เริ่มเอ่อนองไหลซึมเข้าถึงเส้นรอยแตกตามฝ่าเท้า   กานต์ใช้นิ้วชี้ของเขาป้ายปัดหยดน้ำที่เปื้อนแปะอยู่ตามหน้าปัดนาฬิกาเพื่อดูเวลาที่เลื่อนตามการเคลื่อนเข็ม   ขาทั้งสองที่ย่ำน้ำจนชุ่มแฉะก็ก้าวข้ามเขตขอบฟุตบาทลงบนพื้นถนน   ในชั่วพริบตาที่จ้องมองเข็มนาฬิกาอยู่นั้น   ก็มีแสงสะท้อนกระทบเข้าตาของกานต์   กานต์หันขวับไปหาต้นตอของแสงที่ส่องสอดเข้าตาจนต้องยกมือขึ้นปัดป้อง   วัตถุเจ้าของแสงนั้นพุ่งเข้าชนร่างของกานต์อย่างแรง   ร่างร่วมวิญญาณของกานต์ลอยฝ่ามวลอากาศที่ว่างเปล่าแล้วจึงตกกระทบลงบนผิวพื้นหล่อคอนกรีต   กานต์นอนแน่นิ่งไม่มีแนวโน้มที่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนกาย
          กลุ่มคนที่หลบฝนอยู่บริเวณนั้นเริ่มเข้ามารายล้อมมองดูร่างที่หมดสติของเขา   น้ำฝนที่ไหลเปรอะอยู่ตามพื้นนั้นเปลี่ยนจากสีขุ่นเป็นสีแดงจางๆจนกลายเป็นสีแดงก่ำ   สักพักร่างของเขาก็ถูกอุ้มลอยขึ้นมาบนเปลสีขาวแล้วจึงถูกยกขึ้นบนรถที่ติดไฟหมุนสีแดง   กลุ่มคนแตกฮือออกจากกันเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจาก จุดที่เหตุเกิด   เมฆฝนที่ปกคลุมชั้นบรรยากาศอยู่นั้นได้ถูกลมพัดจางหายไป   แสงแดดก็เข้ามาครอบคลุมเขตพื้นที่นั้นอย่างเต็มตัว   สายตาที่จับจ้องอยู่กับเหตุการณ์นั้นได้ละสายตากันไปหมดแล้ว   หลงเหลือเพียงแต่ภาพเก่าๆที่ได้ผ่านตาไป
       อ้าว! รู้สึกตัวแล้วหรือครับคุณ   นี่คุณหลับไปนานเลยนะเนี่ย  เสียงที่ขาดสายได้แทรกสอดเข้าไปถึงโสตประสาทของกานต์
        คุณได้ยินรึเปล่าน่ะ  เสียงดังกล่าวได้ทวีความถี่ชัดขึ้นเรื่อยๆจนได้ยินอย่างชัดเจน   กว่ากานต์จะตอบกลับคำถามนั้นก็มีเสียงดังแทรกเข้ามาอีก
       คงยังมึนๆอยู่ล่ะสิ  ก็คุณโดนรถชนซะกระเด็นเลย   พอจบกลุ่มคำดังกล่าว   กานต์จึงถามขึ้นมาบ้าง
       เออ นี่ผมอยู่ที่ไหน และคุณเป็นใคร
        คุณนี่ถามแปลกๆนะ  คุณก็อยู่ที่โรงพยาบาลน่ะสิครับ  ส่วนผมก็เป็นหมออยู่ที่นี่  พอกานต์ได้ยินอย่างนั้นแล้วจึงรีบถามถึงครอบครัวของเขาทันทีที่ความคิดดังกล่าวนั้นฉุกขึ้นมา

        ครอบครัวของผมล่ะ เขามากันหรือยังครับ
                คำถามดังกล่าวไม่ได้รับการตอบกลับให้กานต์นั้นหายข้องใจ
แล้วกานต์ก็เริ่มรู้สึกว่าเตียงที่เขานอนอยู่นั้นกำลังถูกเข็นไปที่ไหนสักแห่ง   สักพักก็มีเสียงดัง ตึง คล้ายประตูบานใหญ่ปิดสนิทเข้าหากัน   นั่นเป็นเพียงแค่เสียงที่กานต์ได้แต่สันนิษฐานมันขึ้นมา   เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถที่จะขยับแขนขาไปตามที่เขานั้นปรารถนาได้   บรรยากาศรอบกายนั้นเริ่มเย็นลงเปรียบเสมือนว่ามีเกล็ดน้ำแข็งมาติดตามผิวหนังของเขา   แล้วก็มีเสียงประตูเปิดปิดลงอีกครั้งเหมือนกับที่เขานั้นได้ยินในครั้งแรก  เป็นเวลานานแล้วที่ความเงียบงันมาตีแผ่ปกคลุมพื้นที่ที่กานต์นอนอยู่   ไม่มีเสียงใดๆเลยที่ดังเล็ดรอดเข้าถึงโสตประสาทของเขา   กานต์รู้สึกอึดอัด   จึงพยายามขยับตัวเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายจากบรรยากาศรอบเคียง   แต่มันก็ไม่เป็นผล   ถึงจะพยายามมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับว่าความรู้สึก อึดอัด นั้นไม่มีทีท่าที่จะหลุดลอยไปจากห้วงความคิดของเขาเลย   ในขณะที่เหตุผลต่างๆนานาเริ่มแตกตัวกันจนปนเปอยู่ในขอบข่ายความคิดอยู่นั้น   ก็มีเสียงจากใครคนหนึ่งที่ดังก้องขึ้นมาพอให้กานต์รู้สึกใจชื้น   ว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องนี้เพียงลำพัง
            สมองของคุณได้รับความกระทบกระเทือนอย่างมาก  ส่วนร่างกายก็บอบช้ำเหลือเกิน  คงต้องนอนอยู่ที่นี่ไปพักหนึ่งก่อนนะครับ  เสียงของหมอคนเดิมหายไปสักระยะหนึ่งแล้วแต่กานต์ยังคงมีเรื่องที่ค้างคาอยู่อีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้ถาม  เขาจึงถามหมอว่า
           หมอ  ตาผมเป็นอะไรครับ  ทำทำไมมองอะไรไม่เห็นเลย  แล้วหมอไม่รู้สึกหนาวบ้างหรือครับ   เสียงของกานต์เริ่มสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ
          ผมเข้ามาที่นี่เพื่อคอยดูแลคนป่วยกรณีเดียวกับคุณอยู่บ่อยๆ  ส่วนอากาศหนาวแบบนี้ ผมเองก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะชินกับมัน   และที่คุณมองไม่เห็นก็เพราะว่ามีผ้าบังตาคุณอยู่น่ะสิครับ
          สักพักหนึ่ง เสียงจากประตูใหญ่บานเดิมก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง  แต่คราวนี้มันแตกต่างจากครั้งที่ผ่านๆมา  เพราะเสียงที่กานต์ได้ยินกลับเป็นเสียงแหลมทุ้มราวกับมีเหล็กหนาแผ่นใหญ่มาปิดกั้น  ทำให้ไม่สามารถที่จะเปิดมันขึ้นมาใหม่ได้อีก  เสียงดังกล่าวได้เงียบหายไปครู่หนึ่งแล้ว  หากแต่ว่ามันยังคงดังกึกก้องในโสตประสาทของเขาอยู่อย่างนั้น  ห้องที่เย็นยะเยือกและเงียบสงัดเช่นนี้  ปราศจากเสียงๆหนึ่งที่น่าจะได้ยินมันอย่างชัดเจน  แต่ ห้องที่ไม่มีลมหายใจ อย่างนี้จะไปได้ยินเสียงนั้นได้อย่างไร				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพัชร์
Lovings  พัชร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพัชร์
Lovings  พัชร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพัชร์
Lovings  พัชร์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพัชร์