24 พฤษภาคม 2547 12:37 น.
พัชร์
หน้า-ต่าง
ถ้าสักวันหนึ่ง ฉันหายไปจากโลกนี้เสียเฉยๆ จะมีใครถามถึงและใส่ใจในตัวฉันบ้างไหม แล้วตัวฉันล่ะต้องการคำตอบกลับที่จริงใจมากน้อยแค่ไหนกัน
วาตต์เบือนหน้าหนีจากกระจกเงาที่เธอนั่งอยู่ตรงหน้าเป็นเวลานาน แสงสลัวที่เล็ดรอดผ่านช่องพัดลมระบายอากาศเริ่มจะเลือนรางหายไป วันนี้เป็นวันอะไรนะ วาตต์ได้แต่ก้มหน้าก้มตากล่าวรำพึงรำพันพร้อมถอนหายใจ - เสียงถอนหายใจ ไม่สามารถที่จะตอบความหมายที่ตัวเธอนั้นอยากรู้ และยอมรับได้ไม่ใช่หรือ -
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปทางกระจกเงาอีกครั้ง ภายในห้องหับอับแสงทรงสี่เหลี่ยมที่กำลังจะถูกปกคลุมไปด้วยความมืด
ความกระวนกระวาย และสับสนที่คุกรุ่นอยู่ในอณูความคิดต่างๆ นาๆ นั้น เริ่มที่จะเผยความหมายอะไรบางอย่าง
อีกไม่นานก็คงใกล้ถึงวันนั้นแล้วสินะ วันที่ตัวฉันต้องยอมรับ เธอเดินหันหลังออกจากกระจกเงาด้วยความหมดหวังผสมผสานกับความเชื่อมั่นเพียงน้อยนิด ในใจเธอเพียงแค่อยากจะเอ่ยคำลาจากความจำเจที่จำใจที่เธอนั้นต้องยอมรับในไม่ช้านี้...เพียงเท่านั้น
หลังจากที่ละสายตาจากกระจกเงาบานเล็กที่ตั้งติดอยู่กับผนังห้อง ความว่างเปล่าได้กลับคืนสู่ห้วงความคิดของเธอเช่นเคย
มันเป็นการยากมิใช่หรือกับการต้องทำความเข้าใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ดวงตาของเธอกำลังจะมืดมิดเปรียบเสมือนแสงไฟสลัว ถึงจะหลับตาลงสักกี่ครั้งแต่การลืมตาตื่นแล้วไม่สามารถเห็นสิ่งใด...มันช่างขมขื่นนัก
สิ้นลมหายใจไปเสียกี่ครั้งก็ยังไม่สามารถที่จะเอาชนะบางสิ่งที่ตัวเองนั้นไม่สามารถที่จะทำอะไรกับมันได้ เธอเปรยขึ้นมาในความคิด
คำถามที่ปลงตกกับความคิด ฉันจะอยู่ได้อย่างไรโดยไม่มีดวงตาคู่นี้ จะอยู่ได้อย่างไรเมื่อไม่มีแม้กระทั่งแสงไฟที่สอดส่องเล็ดรอดผ่านตา มีเวลาอยู่เพียงน้อยนิดเหลือเกินที่จะต้องยอมรับกับสิ่งที่แปลงเปลี่ยน ช่วงเวลาเพียงน้อยนิดนั้นทำให้วาตต์ได้ตระหนักถึงความว่างเปล่าที่มันคอยกัดกร่อนความรู้สึกของเธอให้ขาดหายไปทีละนิดๆ
- ต่อไปความมืดมิดจะมาปกปิดดวงตาฉัน -
จะทำอย่างไรกับมันดี ในเมื่อ เมื่อวานวันฉันยังมีความหวังอยู่เลย วาตต์พยายามที่จะจ้องมองไปยังรูปถ่ายในกรอบรูปที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก เธอค่อยๆ ก้าวออกจากห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงแสงสลัวสาดส่อง สองเท้าที่ค่อยๆ ย่างก้าวกำลังจะหยุดย่ำลงบนพื้นที่หน้ากรอบรูปที่เธอพยายามจับจ้อง เธอเอื้อมมือหยิบจับมันขึ้นมาอย่างช้าๆ คล้ายกับรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายกับการที่เธอจะได้สัมผัสกรอบรูปนั้นจากการมองเห็นของตาทั้งสองข้างของตนเอง น้ำใสๆที่ไหลเปรอะลงบนผิวแก้มได้ช่วยให้ความเจ็บปวดของเธอลดทุเลาลงเลย
นี่หรือสิ่งที่ฉันต้องสูญเสีย จากเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น วาตต์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องอะไรคืนกลับมาได้อีก เธอค่อยๆ เอานิ้วโป้งของเธอปาดหยดน้ำตาที่ไหลหล่นลงบนกรอบรูป รูปในกรอบนั้นแสดงถึงรูปของสามี และลูกชายของเธอ เธอกอดมันไว้แน่นกับอกพร้อมกับความรู้สึกที่บอบช้ำเป็นที่สุด
มันจะมีค่าอะไรกับการที่ได้มองเห็น เพราะสิ่งที่เธอต้องการที่จะเห็น และต้องการที่จะคอยเอาใจใส่ดูแลนั้นได้จากเธอไปเสียแล้ว
ความเงียบสงัดได้เข้ามาสร้างความคุ้นเคยในโสตประสาทของวาตต์อยู่เป็นพักใหญ่แล้วจนกระทั่งมีเสียงๆ หนึ่งได้ดังขึ้น เสียงดังกล่าวได้ทำลายความคุ้นเคยที่มีอยู่นั้นจนหมดสิ้น
ที่รัก คุณทำอะไรอยู่?
นี่ฉันหูฝาดไปหรือ? วาตต์ตั้งคำถามให้กับตัวเอง
เมื่อวานผมได้คุยกับคุณหมอเรื่องอาการของคุณแล้วนะ เค้าบอกว่าเราพอมีหวังนะคุณรู้ไหม
ไป...เดี๋ยวผมจะพาคุณออกไปเดินเล่นข้างนอก ลูกเราเพิ่งกลับมาจากไปเรียน เดี๋ยวผมจะชวนเค้าไปด้วย
แต่นี่ฟ้ามันค่อนข้างจะมืดแล้วนะ วาตต์ครุ่นคิดอยู่ในใจ
เออ...ใช่แล้ว ผมจะถามคุณอย่าง ทำไมคุณชอบปิดหน้าต่างกับม่านนักนะ เปิดรับแสงข้างนอกให้มันรอดผ่านเข้ามาบ้างสิ
วาตต์วางกรอบรูปลงแล้วค่อยๆ เดินไปยังต้นเสียงของสามีเธอ สามีของเธอคลี่ม่านออกเชิงว่าจะให้วาตต์นั้นได้รู้ว่าอากาศภายนอกบ้าน และห้องที่เธอเคยนั่งอยู่นั้นช่างสว่างไสว แต่ทว่าแสงสลัวที่เธอเห็นว่าเล็ดรอดผ่านช่องม่านเมื่อครู่นั้นก็ยังคงเป็นความมืดมนอย่างเช่นเคย
คุณไม่เห็นหรือวาตต์...ว่าวันนี้ท้องฟ้าออกจะสดใส คุณดูสิ
พ่อ...ท้องฟ้ามันจะไปสดใสได้อย่างไรเมื่อพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว ยอมรับความจริงเถอะครับพ่อ ผมเองก็คิดถึงแม่เค้าเหมือนกัน
วาตต์ยืนอึ้งเงียบอยู่สักพัก น้ำใสๆ ที่ไหลเปรอะลงบนแก้มที่แทบจะกลายเป็นคราบเหนียวเกรอะอยู่นั้นไหลหลั่งลงมาอีกครั้ง ความหวังที่แทบจะหมดสิ้นไปแล้วนั้นกลับยิ่งทวีความบอบช้ำให้กับเธอมากขึ้น
- นี่หรือคำถามที่ตัวฉันนั้นต้องการคำตอบ
วาตต์ได้รับคำตอบที่เธอนั้นอยากรู้มันอย่างจริงใจแล้ว
^ พู่กัน ^
3 พฤษภาคม 2547 12:21 น.
พัชร์
ขอโทษ
โณชย์ ลูกแม่ แม่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เหตุการณ์ต่างๆเป็นไปอย่างนี้หรอกนะลูก แม่เสียใจ สำหรับคำพูดทั้งหลายที่เคยต่อว่าลูก แม่หวังดี ขอโทษที่คำว่า หวังดี ของแม่ทำให้ลูกเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นคำพูดของแม่ ที่ลูกคิดว่า มันสายไปเสียแล้ว แต่แม่ก็ขอเถอะนะลูก แม่ผิดไปแล้วจริงๆ ยกโทษให้กับแม่เถอะนะ
แม่น่ะ รักลูกยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้ ลูกเปรียบเสมือนชีวิตของแม่ เลือดเนื้อเชื้อไขของแม่ ลูกเติบโตมาในท้องของแม่ จากเป็นเพียงแค่ส่วนของก้อนเนื้อเล็กๆ เติบโตขึ้นมา จนเป็นลูกของแม่อยู่อย่างทุกวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ทำมาจนถึงทุกวันนี้ก็เพียงเพื่อลูกของแม่คนเดียวเท่านั้นนะลูก แม่ขอเพียงอย่างเดียวว่า ให้ลูกเข้าใจแม่นะ คนเราทุกคนล้วนก็ต้องมีข้อผิดพลาดกันทุกคน ไม่มีใครหรอกลูกที่เค้าไม่เคยทำอะไรพลั้งพลาดไป อย่าน้อยใจแม่เลย ที่แม่เอาแต่ต่อว่าลูกเวลาที่ลูกทำผิด ตอนนี้แม่รู้ตัวแล้วล่ะลูก จริงๆแม่ภูมิใจในตัวลูกมากเลยนะ แต่แม่ก็ขอโทษที่แม่เอาลูกที่รักของแม่ไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้ลูกของแม่นั้นรู้สึกน้อยใจ ขอโทษที่แม่นั้นเอาแต่ไปภูมิใจกับสิ่งที่มันมองไม่เห็นด้วยตา สำหรับแม่แล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย เมื่อเทียบกับตัวลูกของแม่ ขอโทษที่แม่ปิดกั้นความคิดที่ลูกคิดว่าจะสร้างสรรค์กับสิ่งที่ลูกนั้นรัก แม่ไม่ได้ตั้งใจจะพรากสิ่งที่ลูกนั้นรัก
ในชีวิตไป แม่ขอโทษที่เอาแต่คิดว่าตัวเองนั้นยื่นแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวลูกเสมอ ให้โอกาสแม่เถอะนะลูก ให้โอกาสแม่ในสิ่งที่แม่นั้นพลาดผิดไปที่แม่ต่อว่าลูก ใส่อารมณ์กับลูก ที่แม่ทำลงไปแบบนี้ ไม่ใช่แม่ไม่รักลูกหรอกนะ
ลูกยังจำตอนที่เราไปเที่ยวทะเลกันสองคนได้ไหมลูก ตอนนั้นลูกยังว่ายน้ำไม่เป็นเลย แม่ต้องคอยดูลูกไม่ให้ลูกไปตรงที่ที่เป็นน้ำลึกๆ ลูกยังบอกกับแม่เลยว่า อย่าปล่อยมือนะแม่ เดี๋ยวลูกจมน้ำ ลูกรักของแม่ ลูกรู้ไหมว่า แม่ไม่เคยปล่อยมือของลูกแม้แต่เสี้ยวนาทีหนึ่งเลย ตอนนั้นมือของลูกยังเล็กนิดเดียว แม่เฝ้าคอยประคับประคองลูกอยู่เสมอ แม้ว่าลูกจะเกิดปัญหาอะไร แม่ก็ยังจะคอยจูงมือลูกของแม่ จับมือลูกของแม่ไว้ แม่เข้าใจเมื่อมือของลูกเริ่มที่จะโตขึ้น ลูกก็เริ่มจะปัดป้อง มือที่ค่อยๆชราภาพลงอย่างแม่จัดสรรค์สร้างสิ่งต่างๆด้วยมือของลูกเอง แม่ก็ขอโทษที่รู้อย่างนี้แล้ว ยังจะเข้าไปก้าวก่ายกับเรื่องของลูก ทำให้เกิดปัญหา
ลูกก็รู้ตั้งแต่พ่อของลูกจากไป แม่ก็ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากลูกถึงแม่จะรักพ่อของลูกมาก แต่ตั้งแต่ที่พ่อเค้าทิ้งเราไป แม่ก็ไม่เคยคิดอะไรนอกจากจะให้ลูกของแม่นั้น มีชีวิตที่ดี อยากให้ลูกของแม่มีความสุข ไม่อยากให้ลูกของแม่นั้นต้องลำบาก บางทีพ่อเค้าก็ไม่ค่อยเข้าใจแม่สักเท่าไหร่ก็เลยทำให้เกิดปากเสียงกันอยู่บ่อยครั้ง พ่อเค้าคงทนไม่ไหว พ่อถึงทิ้งเราไป แต่ไม่เป็นไรหรอกนะลูก แม่จะไม่ทิ้งลูก พ่อเค้าจะไม่สนใจลูกของแม่ก็ตามใจ แม่คอยดูแลลูกของแม่ได้
นี่ไง ขนมผักกาดที่ลูกชอบ ทานซะสิลูก วันนี้แม่ไปแวะซื้อที่ตลาดมาให้ แม่คิดว่าลูกคงอยากทาน เห็นว่าไม่ได้ทานตั้งนานแล้ว เดี๋ยวแม่จะไปเอาน้ำมาให้ เป็นอะไรไปล่ะลูก ทำไมไม่ลุกมาทานซะล่ะ เอาแต่นอนเฉยอยู่ได้ เดี๋ยวมันจะเย็นซะหมดนะ เป็นแบบนี้อีกแล้ว เมื่อวานแม่ก็บอกให้ลูกลุกขึ้นมาทาน ลูกก็ไม่ฟังแม่ ไม่ค่อยสบายอีกแล้วล่ะซิ อากาศมันเปลี่ยนก็อย่างนี้ล่ะ ก็แม่เคยบอกลูกแล้วใช่ไหมล่ะว่า ลูกไม่เหมาะกับโลกใบนี้ซักเท่าไหร่หรอก
3 พฤษภาคม 2547 12:14 น.
พัชร์
เพราะ..?
แสงแดดกำลังแผดเผา ชโลมชะเลียผิวกายของกานต์ ชายหนุ่มวัยกลางคนที่กำลังจ้องมองเม็ดฝนที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างไม่ขาดสาย เขากำลังฉงนกับการเล่นตลกของธรรมชาติ ที่นำทั้งความร้อนและความชุ่มชื้นมาอยู่ในเขตปกคลุมของฟ้าผืนเดียวกัน กานต์ชูมือขึ้นมาบดบังแสงแดดที่ทำให้เขานั้นรู้สึกระคายตา ส่วนเม็ดฝนก็เริ่มทวีความถี่ตกกระทบลงบนผิวเนื้อของกานต์อย่างหน่วงหนักและไม่มีทีท่าที่จะหยุดหย่อน กานต์เริ่มหันซ้ายหันขวาเพื่อหาที่พักพิงโดยหวังที่จะให้ร่างกายได้ละลดความเปียกปอนลงได้ไม่มากก็น้อยแต่มันก็เป็นไปได้อย่างลำบากเพราะความถี่ของเม็ดฝนเริ่มเบียดตัวกันแน่นจนกลายเป็นม่านสีใสบังหนายากแก่การชำเลืองมอง
เท้าทั้งสองข้างที่ยืนนิ่งแนบอยู่กับพื้นนั้น ก็เริ่มจะรู้สึกได้ถึงน้ำที่เริ่มเอ่อนองไหลซึมเข้าถึงเส้นรอยแตกตามฝ่าเท้า กานต์ใช้นิ้วชี้ของเขาป้ายปัดหยดน้ำที่เปื้อนแปะอยู่ตามหน้าปัดนาฬิกาเพื่อดูเวลาที่เลื่อนตามการเคลื่อนเข็ม ขาทั้งสองที่ย่ำน้ำจนชุ่มแฉะก็ก้าวข้ามเขตขอบฟุตบาทลงบนพื้นถนน ในชั่วพริบตาที่จ้องมองเข็มนาฬิกาอยู่นั้น ก็มีแสงสะท้อนกระทบเข้าตาของกานต์ กานต์หันขวับไปหาต้นตอของแสงที่ส่องสอดเข้าตาจนต้องยกมือขึ้นปัดป้อง วัตถุเจ้าของแสงนั้นพุ่งเข้าชนร่างของกานต์อย่างแรง ร่างร่วมวิญญาณของกานต์ลอยฝ่ามวลอากาศที่ว่างเปล่าแล้วจึงตกกระทบลงบนผิวพื้นหล่อคอนกรีต กานต์นอนแน่นิ่งไม่มีแนวโน้มที่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนกาย
กลุ่มคนที่หลบฝนอยู่บริเวณนั้นเริ่มเข้ามารายล้อมมองดูร่างที่หมดสติของเขา น้ำฝนที่ไหลเปรอะอยู่ตามพื้นนั้นเปลี่ยนจากสีขุ่นเป็นสีแดงจางๆจนกลายเป็นสีแดงก่ำ สักพักร่างของเขาก็ถูกอุ้มลอยขึ้นมาบนเปลสีขาวแล้วจึงถูกยกขึ้นบนรถที่ติดไฟหมุนสีแดง กลุ่มคนแตกฮือออกจากกันเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจาก จุดที่เหตุเกิด เมฆฝนที่ปกคลุมชั้นบรรยากาศอยู่นั้นได้ถูกลมพัดจางหายไป แสงแดดก็เข้ามาครอบคลุมเขตพื้นที่นั้นอย่างเต็มตัว สายตาที่จับจ้องอยู่กับเหตุการณ์นั้นได้ละสายตากันไปหมดแล้ว หลงเหลือเพียงแต่ภาพเก่าๆที่ได้ผ่านตาไป
อ้าว! รู้สึกตัวแล้วหรือครับคุณ นี่คุณหลับไปนานเลยนะเนี่ย เสียงที่ขาดสายได้แทรกสอดเข้าไปถึงโสตประสาทของกานต์
คุณได้ยินรึเปล่าน่ะ เสียงดังกล่าวได้ทวีความถี่ชัดขึ้นเรื่อยๆจนได้ยินอย่างชัดเจน กว่ากานต์จะตอบกลับคำถามนั้นก็มีเสียงดังแทรกเข้ามาอีก
คงยังมึนๆอยู่ล่ะสิ ก็คุณโดนรถชนซะกระเด็นเลย พอจบกลุ่มคำดังกล่าว กานต์จึงถามขึ้นมาบ้าง
เออ นี่ผมอยู่ที่ไหน และคุณเป็นใคร
คุณนี่ถามแปลกๆนะ คุณก็อยู่ที่โรงพยาบาลน่ะสิครับ ส่วนผมก็เป็นหมออยู่ที่นี่ พอกานต์ได้ยินอย่างนั้นแล้วจึงรีบถามถึงครอบครัวของเขาทันทีที่ความคิดดังกล่าวนั้นฉุกขึ้นมา
ครอบครัวของผมล่ะ เขามากันหรือยังครับ
คำถามดังกล่าวไม่ได้รับการตอบกลับให้กานต์นั้นหายข้องใจ
แล้วกานต์ก็เริ่มรู้สึกว่าเตียงที่เขานอนอยู่นั้นกำลังถูกเข็นไปที่ไหนสักแห่ง สักพักก็มีเสียงดัง ตึง คล้ายประตูบานใหญ่ปิดสนิทเข้าหากัน นั่นเป็นเพียงแค่เสียงที่กานต์ได้แต่สันนิษฐานมันขึ้นมา เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถที่จะขยับแขนขาไปตามที่เขานั้นปรารถนาได้ บรรยากาศรอบกายนั้นเริ่มเย็นลงเปรียบเสมือนว่ามีเกล็ดน้ำแข็งมาติดตามผิวหนังของเขา แล้วก็มีเสียงประตูเปิดปิดลงอีกครั้งเหมือนกับที่เขานั้นได้ยินในครั้งแรก เป็นเวลานานแล้วที่ความเงียบงันมาตีแผ่ปกคลุมพื้นที่ที่กานต์นอนอยู่ ไม่มีเสียงใดๆเลยที่ดังเล็ดรอดเข้าถึงโสตประสาทของเขา กานต์รู้สึกอึดอัด จึงพยายามขยับตัวเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายจากบรรยากาศรอบเคียง แต่มันก็ไม่เป็นผล ถึงจะพยายามมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับว่าความรู้สึก อึดอัด นั้นไม่มีทีท่าที่จะหลุดลอยไปจากห้วงความคิดของเขาเลย ในขณะที่เหตุผลต่างๆนานาเริ่มแตกตัวกันจนปนเปอยู่ในขอบข่ายความคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงจากใครคนหนึ่งที่ดังก้องขึ้นมาพอให้กานต์รู้สึกใจชื้น ว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องนี้เพียงลำพัง
สมองของคุณได้รับความกระทบกระเทือนอย่างมาก ส่วนร่างกายก็บอบช้ำเหลือเกิน คงต้องนอนอยู่ที่นี่ไปพักหนึ่งก่อนนะครับ เสียงของหมอคนเดิมหายไปสักระยะหนึ่งแล้วแต่กานต์ยังคงมีเรื่องที่ค้างคาอยู่อีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้ถาม เขาจึงถามหมอว่า
หมอ ตาผมเป็นอะไรครับ ทำทำไมมองอะไรไม่เห็นเลย แล้วหมอไม่รู้สึกหนาวบ้างหรือครับ เสียงของกานต์เริ่มสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ
ผมเข้ามาที่นี่เพื่อคอยดูแลคนป่วยกรณีเดียวกับคุณอยู่บ่อยๆ ส่วนอากาศหนาวแบบนี้ ผมเองก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะชินกับมัน และที่คุณมองไม่เห็นก็เพราะว่ามีผ้าบังตาคุณอยู่น่ะสิครับ
สักพักหนึ่ง เสียงจากประตูใหญ่บานเดิมก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันแตกต่างจากครั้งที่ผ่านๆมา เพราะเสียงที่กานต์ได้ยินกลับเป็นเสียงแหลมทุ้มราวกับมีเหล็กหนาแผ่นใหญ่มาปิดกั้น ทำให้ไม่สามารถที่จะเปิดมันขึ้นมาใหม่ได้อีก เสียงดังกล่าวได้เงียบหายไปครู่หนึ่งแล้ว หากแต่ว่ามันยังคงดังกึกก้องในโสตประสาทของเขาอยู่อย่างนั้น ห้องที่เย็นยะเยือกและเงียบสงัดเช่นนี้ ปราศจากเสียงๆหนึ่งที่น่าจะได้ยินมันอย่างชัดเจน แต่ ห้องที่ไม่มีลมหายใจ อย่างนี้จะไปได้ยินเสียงนั้นได้อย่างไร