14 มกราคม 2555 23:16 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
จับปากกา เขียนกลอน ตอนหนหลัง
ก็ทุกครั้ง ตั้งใจ ให้หวานหอม
เหมือนบุปผา ล่อภมร ร่อนดมดอม
ต้องเพียบพร้อม มธุรส พจน์จำนรรจ์
ทุกวันเพียร เขียนคัด หัดให้คล่อง
เพื่อมิต้อง หมองใจ ใครเย้ยหยัน
ยังถูกทิ้ง ห่างไกล ไล่ไม่ทัน
จึงมุ่งมั่น ทุ่มเท ทุกเวลา
เคยห่างหาย หลายครั้ง ยังมิผละ
ก็ใช่จะ ละวาง ทางภาษา
ท้องมันร้อง จ๊อกจ๊อก เหมือนบอกมา
ต้องรีบหา สิ่งใด เอาใส่ลง
วางปากกา คว้างอบ แบกจอบเสียม
งานต้องเตรียม ดินน้ำ ตามประสงค์
เพราะผืนนา หญ้าปรก รกเป็นดง
เดินดุ่มตรง ถางไถ ให้โล่งเตียน
เสร็จงานมา ล้าอ่อน อยากนอนพัก
สุดเหนื่อยนัก จึงไม่ ใคร่ได้เขียน
บางครั้งฝืน ตื่นตา ทำท่าเพียร
ผลงานเลี่ยน ทำไป มิได้ความ
ใจยังรัก อักษรา ภาษาศิลป์
มิเคยสิ้น ในกมล ยังล้นหลาม
ทุกวันยัง ไขว่คว้า พยายาม
ขอฝากนาม พลายแก้วไว้ ให้เอ็นดู
พลายแก้ว
7 มกราคม 2555 23:46 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
มือถือไถ ใจสั่น กลั้นสะอื้น
บางครั้งยืน เหม่อมอง จ้องขอบหล้า
ปล่อยหางไถ ล้มขวาง ข้างคันนา
ควายทำเหมือน เบือนหน้า มาปลอบเรา
ฟ้าเมืองกาญจน์ วันนี้ เป็นสีหม่น
ดั่งเย้ยคน หมองไหม้ ใจเงียบเหงา
รักเคยคิด ว่าหวาน จนนานเนา
วันนี้เขา เปลี่ยนแปร ไม่แน่นอน
คำสัญญา หวานชื่น คืนฝนตก
มันคลุมปก ฉายฉาบ ด้วยภาพหลอน
คงจะไหล ไปตาม ลำสาคร
แม้ตะกอน มิเหลือ เป็นเยื่อใย
หมายมั่นยิ่ง จริงจัง เป็นฝั่งฝา
แต่กลับเหมือน เวลา อายุไข
ผิดกับมาน ของฉัน มั่นอย่างไร
มิเปลี่ยนไป ไขว้เขว หรือเรรวน
จะทำนา ถางไร่ อีกไหมหนอ
ใจเริ่มท้อ แล้วนะ เรื่องนาสวน
ทั้งดินฟ้า ไม่แน่ มันแปรปรวน
อีกรัญจวน เพราะใจ ไร้คนดู
เราเผลอใจ ไปจึง ถึงต้องช้ำ
จะกล่าวคำ แก้ตัว กลัวอดสู
อยากจะหา คนอ้อน วอนพธู
ใครจะรู้ ความนัย ของใจเรา
พลายแก้ว