1 ตุลาคม 2555 22:54 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
เมื่อฟ้าครึ้ม ก่อเงา ของเค้าฝน
เดี๋ยวคงหล่น ทั่วหล้า ให้นาชื่น
เรียกชีวิต ชาวนา กลับมาคืน
จะพลิกฟื้น นาร้าง อย่างที่เคย
พอฝนแรก แทรกพื้น ผืนดินชุ่ม
เจ้าควายหนุ่ม เก่งกล้า เพื่อนข้าเอ๋ย
จงเตรียมแรง ร่างกาย ไว้นะเอย
มิอยู่เฉย จัดการ งานไถดำ
พอเช้าตรู่ กู่ก้อง เสียงร้องไก่
แบกคันไถ ออกหน้า พาควายย่ำ
เอาแอกคล้อง ลองไถ ให้ควายนำ
เพื่อนเอ๋ยจำ คำสอน ตอนปีกลาย
ต้องเลือกสรร พันธ์กล้า เอามาหว่าน
ดูผลงาน ปีนี้ ที่มุ่งหมาย
รอคอยฝน จากฟ้า อย่างท้าทาย
ดูแล้วคล้าย ฝากชีวา กับฟ้าดิน
กล้าใบเขียว เหี่ยวแห้ง ฝนแล้งอีก
มิอาจหลีก ความจริง ทุกสิ่งสิ้น
ฝนทิ้งช่วง ความหวัง นั้นพังภินท์
จนในจินต์ เหมือท้อ หนอตัวเรา
ลิ่วระยิบ แดดแรง ส่องแสงจ้า
ในอุรา ยอมรับ ว่าอับเฉา
รอเมฆฝน หล่นฟ้า มาบรรเทา
คนนี้เล่า รอใคร ไหนปลอบโยน
พลายแก้ว กาญจนบุรี
31 กรกฎาคม 2555 22:36 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
กลับจากดง พงไพร ไกลเขตขันธ์
ที่ด้นดั้น ฟันฝ่า หามรรคผล
อยากสงบ หลบทุกข์ ที่รุกรน
เพราะสุดทน ขมขื่น จำฝืนใจ
สิ่งที่หวัง พลั้งพลาด มลาศสิ้น
วางชีวิน อนาคต ต้องสดใส
ด้วยมุ่งมั่น ปณิธาน มองการณ์ไกล
กับทรามวัย คนรัก จักมิคลาย
เหตุเธอลา พาให้ ใจหมองหม่น
เจ็บกมล เกินกว่า รักษาหาย
ลองหลบหลีก สังคมเมือง เรื่องวุ่นวาย
ขอท้าทาย เข้าป่า รักษามาน
เอาพฤกษ์ไพร ขุนเขา เข้ามาช่วย
สงบด้วย ธรรมะ มาประสาน
ธรรมชาติ สดใส ใจเบิกบาน
เวลาผ่าน หลายปี มีความจริง
ย้อนกลับมา นาไร่ เป็นไงหนอ
ไร้คนรอ ท้อทด สลดยิ่ง
เห็นนารก ไร่ร้าง น่าชังชิง
เพิงเคยพิง พักอาศัย ไร้คนแล
ใต้เงาแจ่ม แสงจันทร์ คืนวันนี้
กับใจที่ มุ่งหวัง อย่างแน่วแน่
เธอยังอยู่ ในใจ ไม่เปลี่ยนแปร
มีก็แต่ ที่เรา ยังเศร้าตรม
พลายแก้ว
24 มีนาคม 2555 21:59 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
ดั่งสัจจา
กับสัญญา ผูกพัน ในวันนี้
เราจะมี รักมั่น ถึงวันไหน
กำแพงกีด กั้นขวาง จนห่างไกล
จึงหมองไหม้ เพราะต่าง อยู่ห่างกัน
ต้องเจ็บอีก เพียงใด รู้ไหมหนอ
จะทดท้อ เพียงใด รู้ไหมนั่น
มิร้องขอ หัวใจ ใครแบ่งปัน
แต่สุขสันต์ มีก็ พอแบ่งไป
เส้นทางนี้ ที่ฝัน ในวันก่อน
คงถึงตอน สิ้นฝัน ในวันใกล้
สิ่งสำคัญ แหนหวง เท่าดวงใจ
รักที่ให้ สุดหวง เท่าดวงจินต์
รักที่เธอ มอบไว้ จะไม่สูญ
คงเพิ่มพูน ห่วงไย จะไม่สิ้น
ชั่วชีวิต ลับลา ตราบฟ้าดิน
มอบชีวิน ดั่งสัจจา แห่งฟ้าเดิม
รออรุณ อุ่นไอ คราใกล้รุ่ง
ปลายโค้งคุ้ง ฟ้าใส ก็ใกล้เริ่ม
ริ้วสุรีย์ ทอแสง คอยแต่งเติม
ทิวาเพิ่ม เหลืองแดง คอยแต่งตาม
ลมรวยริน โลมไล้ จนไหวหวั่น
แว่วจำนรรจ์ ครั้งใด ชวนไหวหวาม
ขอเพียงเธอ มีสุข ทุกนิยาม
จบบทความ อาจเห็น เป็นนิยาย
พิมพิลาไลย
คำคนเดิม
คำสัญญา แม่นมั่น ในวันก่อน
เธออาทร กลัวจบ พบวันหน่าย
เกรงถ้อยคำ วาจา มาเสื่อมคลาย
หมดความหมาย ศรัทธา พาเสื่อมลง
จะเนิ่นนาน ปานใด ไม่ลืมคิด
เคยตั้งจิต บอกว่า อย่าลืมหลง
เฝ้าปกปัก รักษ์ไว้ ให้มั่นคง
ขอเธอจง เชื่อฉัน เถอะมั่นใจ
หากชาตินี้ จะไม่ ได้พบเห็น
ก็คงเป็น ชาติหน้า มาพบใหม่
ถึงอยู่ห่าง ต่างแคว้น ถิ่นแดนไกล
ก็มิใช่ ต้องพราก จากแดนทอง
วาดภาพฝัน กันไว้ ในคืนก่อน
อาจสั่นคลอน ประสบ พบคืนหมอง
แม้ทุกข์ตรม ขมขื่น ฝืนลำพอง
ใจจึงต้อง เก็บงำ ตามลำพัง
ในความฝัน ฉันคู่ อยู่เคียงข้าง
ความอ้างว้าง ทิ้งไว้ ให้อยู่หลัง
อนาคต ที่ปอง ต้องจริงจัง
ถึงบางครั้ง หงอยเหงา เศร้าจริงเจียว
เมื่อมีทุกข์ ช่วยแก้ เฝ้าแลหา
ตรมวิญญาณ์ ท้อแท้ คอยแลเหลียว
ความห่วงใย มอบเสมอ เธอคนเดียว
หากเปล่าเปลี่ยว จงจำ คำคนเดิม
พลายแก้ว
กาญจนบุรี
19 มีนาคม 2555 22:41 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
วันนี้หม่น ปนเหงา ดูเศร้ายิ่ง
เหมือนมีสิ่ง ส่ออย่าง ลางสังหรณ์
จิ้งจกทัก การ้อง ก้องดงดอน
เมื่อคืนนอน ไม่สุข ต้องลุกเดิน
หมายคว้าไถ ไปนา ก่อนฟ้าสาง
แต่ใจช่าง อึดอัด สุดขัดเขิน
ก่อนเจ้าควาย เคยนำ ยังทำเมิน
อาจบังเอิญ เหนื่อยนัก ต้องพักกาย
ข่าวแม่พิม พิลาไลย จากไปแล้ว
หัวใจแป้ว แทบหยุด ทรุดสลาย
เจ้าเคยบ่น ป่วยไข้ ไม่สบาย
บอกให้รอ พี่พลายฯ หมายไปเยือน
น้ำตาไหล หยดเผาะ เกาะสองแก้ม
ดั่งหนามแหลม ปักใจ สิ่งใดเหมือน
พี่ไม่ไป ใช่ห่าง แรมร้างเลือน
ทุกอย่างเหมือน ก่อนเก่า เราสัญญา
หลับเถิดนะ คนดี สุดที่รัก
เจ้าจงพัก กายใจ ให้หรรษา
สองดวงเนตร สนิท ดั่งนิทรา
สูเวหา แห่งสรวง ยอดดวงใจ
บทละคร กลอนกวี ที่วาดฝัน
เป็นสีสัน วงการ จึงขานไข
เมื่อสิ้นแล้ว แม่พิม พิลาไลย
ทำฉันใด ดีเล่า หนอเจ้าพลาย
พลายแก้ว
กาญจนบุรี
9 มีนาคม 2555 22:30 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
แดดระยิบ ลิบลิ่ว มองทิวทุ่ง
ฝุ่นคละคลุ้ง ตะวัน นั้นแผดแสง
สีเขียวสด ของกล้า กลับมาแดง
บ้างกรอบแห้ง กอพับ ลงกับดิน
ฝนทิ้งช่วง ห่างหาย หลายเดือนแล้ว
มองเห็นแวว หม่นไหม้ ใจถวิล
เหมือนปีก่อน ครั้งเก่า เราเคยชิน
แต่มิสิ้น ความหวัง กำลังใจ
จะถากทำ อีกที เมื่อมีฝน
มิย่อย่น กับการ เรื่องหว่านไถ
แต่ฤดี ที่ช้ำ ทำฉันใด
คนอยู่ใน ดวงมาน ว่าขานมา
เชื่อข่าวลือ ใส่ร้าย เขาป้ายสี
บอกตัวพี่ เจ้าชู้ ดูกังขา
คนยุแหย่ ไยยัง ฟังวาจา
จึงถามหา สัจจะ อธิบาย
สาวท้ายบ้าน นั้นเป็น เช่นพี่เพื่อน
แม้เยี่ยมเยือน เหมือนญาติ ขาดความหมาย
จะแต่งงาน เดือนยี่ ก่อนพี่ชาย
เพราะพ่อพลาย หาสตังค์ ยังไม่พอ
พิมฯนั้นกลัว แก้วผ่อง ช้ำหมองหม่น
หรือเพราะคน เศรษฐี ที่รูปหล่อ
แอบออดอ้อน วอนเว้า เฝ้าพะนอ
จึงแสร้งพ้อ ต่อว่า เหมือนหาความ
คนจริงใจ ไยถึง จึงอาภัพ
เหมือนดั่งกับ ลุยดง พงขวากหนาม
ถ้าพิมฯยัง ข้องใจ ให้ติดตาม
อย่าวู่วาม เตือนใจ ให้ไตร่ตรอง