16 มกราคม 2555 23:13 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
ที่เหินห่าง วางปากกา เพราะภาระ
จำต้องจะ ผจญ ดิ้นรนสู้
เศรษฐกิจ ผิดไป ไตร่ตรองดู
หากอยากอยู่ รอดได้ ต้องไม่ท้อ
ปากก็กัด เท้าถีบ อย่างรีบร้อน
ทุกขั้นตอน วางแนวทาง สร้างเสริมต่อ
รู้จักกิน รู้จักใช้ ปันให้พอ
อย่ารีรอ เร่งขยัน มุ่งหมั่นทำ
ข้าวของแพง แซงเกิน เงินค่าจ้าง
ทุกคนต่าง ระวังตัว กลัวถลำ
หากเจ้านาย ชังหน้า พาระกำ
อาจชอกช้ำ หัวอก เพราะตกงาน
เป็นนักกลอน มือใหม่ ไม่หาญกล้า
ค้นตำรา หาตำรับ ไว้ขับขาน
ไม่ถ่องแท้ แต่เพียร หมั่นเขียนกานท์
มิเชี่ยวชาญ เช่นเขา เหล่ากวี
ยิ่งทิ้งห่าง ร้างลา พาเลือนลบ
ความรู้หลบ ลืมแนว แถววิถี
พอได้หน้า ลืมหลัง ยังเคยมี
เรียงวลี ไม่เสนาะ เพราะงวยงง
วันนี้ฝึก เขียนคัด หัดอีกครั้ง
ดูแล้วยัง ไม่งาม ตามประสงค์
เขียนแล้วฆ่า คัดใหม่ ใจนึกปลง
ชาตินี้คง ล้าหลัง ..อยู่อย่างเคย
พลายแก้ว
14 มกราคม 2555 23:16 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
จับปากกา เขียนกลอน ตอนหนหลัง
ก็ทุกครั้ง ตั้งใจ ให้หวานหอม
เหมือนบุปผา ล่อภมร ร่อนดมดอม
ต้องเพียบพร้อม มธุรส พจน์จำนรรจ์
ทุกวันเพียร เขียนคัด หัดให้คล่อง
เพื่อมิต้อง หมองใจ ใครเย้ยหยัน
ยังถูกทิ้ง ห่างไกล ไล่ไม่ทัน
จึงมุ่งมั่น ทุ่มเท ทุกเวลา
เคยห่างหาย หลายครั้ง ยังมิผละ
ก็ใช่จะ ละวาง ทางภาษา
ท้องมันร้อง จ๊อกจ๊อก เหมือนบอกมา
ต้องรีบหา สิ่งใด เอาใส่ลง
วางปากกา คว้างอบ แบกจอบเสียม
งานต้องเตรียม ดินน้ำ ตามประสงค์
เพราะผืนนา หญ้าปรก รกเป็นดง
เดินดุ่มตรง ถางไถ ให้โล่งเตียน
เสร็จงานมา ล้าอ่อน อยากนอนพัก
สุดเหนื่อยนัก จึงไม่ ใคร่ได้เขียน
บางครั้งฝืน ตื่นตา ทำท่าเพียร
ผลงานเลี่ยน ทำไป มิได้ความ
ใจยังรัก อักษรา ภาษาศิลป์
มิเคยสิ้น ในกมล ยังล้นหลาม
ทุกวันยัง ไขว่คว้า พยายาม
ขอฝากนาม พลายแก้วไว้ ให้เอ็นดู
พลายแก้ว
7 มกราคม 2555 23:46 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
มือถือไถ ใจสั่น กลั้นสะอื้น
บางครั้งยืน เหม่อมอง จ้องขอบหล้า
ปล่อยหางไถ ล้มขวาง ข้างคันนา
ควายทำเหมือน เบือนหน้า มาปลอบเรา
ฟ้าเมืองกาญจน์ วันนี้ เป็นสีหม่น
ดั่งเย้ยคน หมองไหม้ ใจเงียบเหงา
รักเคยคิด ว่าหวาน จนนานเนา
วันนี้เขา เปลี่ยนแปร ไม่แน่นอน
คำสัญญา หวานชื่น คืนฝนตก
มันคลุมปก ฉายฉาบ ด้วยภาพหลอน
คงจะไหล ไปตาม ลำสาคร
แม้ตะกอน มิเหลือ เป็นเยื่อใย
หมายมั่นยิ่ง จริงจัง เป็นฝั่งฝา
แต่กลับเหมือน เวลา อายุไข
ผิดกับมาน ของฉัน มั่นอย่างไร
มิเปลี่ยนไป ไขว้เขว หรือเรรวน
จะทำนา ถางไร่ อีกไหมหนอ
ใจเริ่มท้อ แล้วนะ เรื่องนาสวน
ทั้งดินฟ้า ไม่แน่ มันแปรปรวน
อีกรัญจวน เพราะใจ ไร้คนดู
เราเผลอใจ ไปจึง ถึงต้องช้ำ
จะกล่าวคำ แก้ตัว กลัวอดสู
อยากจะหา คนอ้อน วอนพธู
ใครจะรู้ ความนัย ของใจเรา
พลายแก้ว
29 ธันวาคม 2554 22:07 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
ต้องพลิกฟื้น ชีวา ผืนนาไร่
พัฒนา ขึ้นใหม่ ให้เหมาะสม
หญ้าขึ้นรก ปรกนา มิน่าชม
ลอกโคลนตม ก้นบ่อ น้ำก็มี
เตรียมหาควาย กำยำ ไถดำหว่าน
เรื่องการงาน เราขยัน ขมันขมี
แม้เหงื่อกาฬ ไหลรวม ท่วมกายี
ทั้งชีวี นี้อยู่ เพื่อสู้งาน
บ้านทรุดโทรม ลมพา หลังคาหลุด
ก็รีบรุด เอาจากมุง มุ่งประสาน
เปลี่ยนเสาผุ ต้นเดิม เสริมนอกชาน
เกลี่ยดินลาน นวดข้าว เอาอย่างเดิม
เกวียนเล่มเก่า กงหลุด รีบรุดซ่อม
เปลี่ยนคอกล้อม เสียใหม่ ใช้ไม้เสริม
แอกมันหัก ก็หา มาเพิ่มเติม
พอฝนเริ่ม โปรยลง นาคงคืน
เป็นไร่นา สวนผสม น่าชมนัก
ปลูกพืชผัก พันธ์ไม้ ให้ร่มรื่น
ขุดบ่อปลา เล้าไก่ ให้กลมกลืน
เร่งพลิกฟื้น พื้นที่ นี้เร็วไว
แต่ตกค่ำ ลมครวญ ก็หวนคิด
ถึงชีวิต ครั้งก่อน ตอนสดใส
คิดถึงเจ้า คนดี ที่จากไกล
นึกคราใด ความเศร้า ก็เข้าเยือน
พลายแก้ว
22 ธันวาคม 2554 23:00 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
กลับจากดง พงไพร ไกลเขตขันธ์
ที่ด้นดั้น ฟันฝ่า หามรรคผล
อยากสงบ หลบทุกข์ ที่รุกลน
เพราะสุดทน ขมขื่น จำฝืนใจ
สิ่งที่หวัง พลั้งพลาด มลาศสิ้น
วางชีวิน อนาคต ต้องสดใส
ด้วยมุ่งมั่น ปณิธาน มองการณ์ไกล
กับทรามวัย คนรัก จักมิคลาย
เหตุเธอลา พาให้ ใจหมองหม่น
เจ็บกมล เกินกว่า รักษาหาย
ลองหลบหลีก สังคมเมือง เรื่องวุ่นวาย
ขอท้าทาย เข้าป่า รักษามาน
เอาพฤกษ์ไพร ขุนเขา เข้ามาช่วย
สงบด้วย ธรรมะ มาประสาน
ธรรมชาติ สดใส ใจเบิกบาน
เวลาผ่าน นานปี มีความจริง
ย้อนกลับมา นาไร่ เป็นไงหนอ
ไร้คนรอ ท้อทด สลดยิ่ง
เห็นนารก ไร่ร้าง น่าชังชิง
เพิงเคยพิง พักอาศัย ไร้คนแล
ใต้เงาแจ่ม แสงจันทร์ คืนวันนี้
กับใจที่ มุ่งหวัง อย่างแน่วแน่
เธอยังอยู่ ในใจ ไม่เปลี่ยนแปร
มีก็แต่ ที่เรา ยังเศร้าตรม
พลายแก้ว