16 กุมภาพันธ์ 2555 22:35 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
ต้องพลิกฟื้น ชีวา ผืนนาไร่
พัฒนา ขึ้นใหม่ ให้เหมาะสม
หญ้าขึ้นรก ปรกนา มิน่าชม
ลอกโคลนตม ก้นบ่อ น้ำก็มี
เตรียมหาควาย กำยำ ไถดำหว่าน
เรื่องการงาน เราขยัน ขมันขมี
แม้เหงื่อกาฬ ไหลรวม ท่วมกายี
ทั้งชีวี นี้อยู่ เพื่อสู้งาน
บ้านทรุดโทรม ลมพา หลังคาหลุด
ก็รีบรุด เอาจากมุง มุ่งประสาน
เปลี่ยนเสาผุ ต้นเดิม เสริมนอกชาน
เกลี่ยดินลาน นวดข้าว เอาอย่างเดิม
เกวียนเล่มเก่า กงหลุด รีบรุดซ่อม
เปลี่ยนคอกล้อม เสียใหม่ ใช้ไม้เสริม
แอกมันหัก ก็หา มาเพิ่มเติม
พอฝนเริ่ม โปรยลง นาคงคืน
เป็นไร่นา สวนผสม น่าชมนัก
ปลูกพืชผัก พันธ์ไม้ ให้ร่มรื่น
ขุดบ่อปลา เล้าไก่ ให้กลมกลืน
เร่งพลิกฟื้น พื้นที่ นี้เร็วไว
แต่ตกค่ำ ลมครวญ ก็หวนคิด
ถึงชีวิต ครั้งก่อน ตอนสดใส
คิดถึงเจ้า คนดี ที่จากไกล
นึกคราใด ความเศร้า ก็เข้าเยือน
พลายแก้ว
กาญจนบุรึ
28 มกราคม 2555 23:13 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
ฟ้าเมืองกาญจน์ วันนึ้ ไยสีหม่น
ทำให้คน อยู่เดี่ยว เปลี่ยวใจเหงา
เสร็จหน้านา เหนื่อยน้อย ค่อยบางเบา
พอใกล้เข้า พรรษา ฝนมาพลัน
ก่อนทำไร่ ไถนา รอฟ้าฝน
จึงคิดค้น ตำรา มาพลิกผัน
ธรรมชาติ เปลี่ยนแปร แก้ไม่ทัน
เราช่วยกัน พัฒนา หาแนวทาง
กักน้ำไว้ ใช้ตอน ก่อนฝนเริ่ม
ปลูกป่าเติม เพิ่มฝาย รีบให้สร้าง
สำรวจจุด ขุดบ่อ ต่อลำราง
ร่วมกันวาง โครงการ ป้องกันภัย
เรื่องเหนื่อยกาย คลายผ่อน ตอนหยุดพัก
แต่ยังหนัก กมล ที่หม่นไหม้
ตกคืนค่ำ สำเนียง เสียงเรไร
มันทำให้ ใจเปลี่ยว เหมือนเดียวดาย
สาวชาวนา หน้าหวาน อยู่บ้านใต้
เห็นน้ำใจ ไมตรี มีมากหลาย
รู้จักกัน วันที่ ตอนปีกลาย
ทำเราอาย สับสน ปนอาทร
ในกมล คนเหงา ที่เศร้าสร้อย
มักใจลอย คิดฝัน ถึงวันก่อน
แต่วันนี้ ใจเรา ยิ่งร้าวรอน
สิ่งใดหลอน หลอกให้ ....ใจวกวน
พลายแก้ว
26 มกราคม 2555 22:53 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
ด้วยดวงจิต คิดสู้ อยู่เสมอ
แต่พบเจอ อุปสรรค สุดหนักหนา
จะอดทน จนถึง ซึ่งเวลา
วันหลับตา คราใด เลิกไตร่ตรอง
เมื่อตกอับ กับภาวะ เศรษฐกิจ
ดุลยพินิจ คิดใคร่ ใช้สมอง
ทนอาบเหงื่อ เพื่อชีวี ที่หมายปอง
และประคอง ครอบครัว มิมัวเมา
พอฝนมา ฟ้าฉ่ำ ด้วยน้ำทิพย์
แลลิ่วลิบ ไร่นา หาอับเฉา
ปีก่อนนี้ หนี้หลุด สุดแบ่งเบา
ปีนี้เรา เอากำไร ให้งดงาม
วางแผนงาน หว่านไถ ให้คุ้มผล
เฉกเช่นคน มีสติ มิผลีผลาม
เรียนบริหาร งานไว้ ก็ได้ความ
ดำเนินตาม หลักการ อย่างมั่นใจ
บอกตัวเจ้า จงตรอง มองตัวพี่
สิ่งที่ดี โดดเด่น เจ้าเห็นไหม
มินานหรอก ดอกนะ จะว่าไป
เศรษฐีใหญ่ ย่านนี้ คือพี่ยา
คนขยัน หมั่นเพียร เรียนมาเยอะ
เพียงแต่เจอะ วิกฤต ที่ผิดท่า
หลังปรับตัว ตั้งตน ยลอีกครา
จะเห็นว่า พลายแก้ว..สุดแวววาว
พลายแก้ว
21 มกราคม 2555 21:35 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
มองสายฝน หล่นมา จากฟ้าครึ้ม
ยังนั่งซึม เหมือนใจ ไร้แรงสู้
หลายสิ่งเข้า เร้ารุม สุมน่าดู
ช่างหดหู่ จริงหนอ ชักท้อใจ
แลสายชล ล้นริน หมดสิ้นแล้ว
มันส่อแวว จะต้อง หม่นหมองไหม้
เห็นผืนนา เวิ้งว้าง ช่างกระไร
น้ำขุ่นไหล บ่ารวม นั้นท่วมนอง
นานั้นล่ม จมหาย กับสายน้ำ
ใจก็ช้ำ ตรอมตรม ระทมหมอง
คนรักที่ ตัวเรา นั้นเฝ้าปอง
ไม่มามอง งอนเง้า น่าเศร้าจัง
พอยินคำ ย้ำว่า สัญญามั่น
มอบให้กัน วันชื่น คืนฝนหลั่ง
รักเราสอง ต้องมี ความจีรัง
เมื่อได้ฟัง ยังปลื้ม ถึงลืมตรม
ว่าละเมอ เผลอใจ ก็ใช่หรอก
มานเคยบอก เตือนตัว กลัวขื่นขม
เหตุว่าด้อย ศักดินา ค่านิยม
เกรงไม่สม ขึ้นมา น้ำตาริน
รู้ความใน ใจเจ้า เรายิ้มรื่น
วันมะรืน น้ำลด คงหมดสิ้น
มีแรงใจ ไถนา มุ่งหากิน
ยังถวิล ร่วมเรียง เคียงนงราม
พลายแก้ว
18 มกราคม 2555 22:27 น.
พลายแก้ว เมืองกาญจน์
เมื่อร้อนคลาย กายผ่อน สิ้นอ่อนล้า
แลดูนา ลิบลิ่ว สุดทิวเขา
ซังข้าวกรอบ ยังอยู่ ดูซบเซา
เริ่มย่างเข้า วสันต์ อันชุ่มเย็น
ท้องฟ้าปิด มิดมัว สลัวฝน
ที่เบื้องบน แสงแปลบ แลบให้เห็น
ลมแรงจัด พัดกอง ของกระเด็น
สาดกระเซ็น ฝนปราย เป็นสายมา
ดินที่แยก แตกระแหง เมื่อแล้งก่อน
ค่อยชุ่มอ่อน ดูดี มีคุณค่า
น้ำนองไหล หลากตรง ลงธารา
แล้วยอดหญ้า เขียวแยง แทงจากดิน
หาคันไถ ควายจอบ พร้อมงอบเสียม
เพื่อจะเตรียม พลิกนา หาทรัพย์สิน
นี่แหละแหล่ง ปฐพี ที่ทำกิน
เลี้ยงชีวิน เรามา ครั้งตายาย
ถือหางไถ ไล่ทุย เดินลุยทุ่ง
ตะวันรุ่ง รีบจร ก่อนจะสาย
ดินยังเปียก อุ้มน้ำ ทำสบาย
ขอแรงควาย กายมัน ช่วยกันทำ
พอเหนื่อยนัก พักหลัง นั่งอมยิ้ม
หยิบรูปพิมฯ มามอง จ้องงามขำ
ภาพความหลัง ทั้งหมด ยังจดจำ
ไม่ลืมคำ สัญญา ว่าจะรอ
พลายแก้ว