20 มกราคม 2546 21:32 น.
พรระวี
ทั้งทั้งรู้อยู่ว่าเขามีเจ้าของ
เขาเพียงมองเราเห็นเป็นคนอื่น
หักห้ามใจไม่ได้ให้กล้ำกลืน
ยังทนฝืนเสน่หามาเป็นปี
ใจเจ้าเอยทรมาณนานนักแล้ว
คงไม่แคล้วยับย่นหรือป่นปี้
เหมือนไฟรุมสุมกายาทุกนาฑี
เพราะไม่มีสิทธิ์รับเศษเวทนา
แม้จำหลักรักเขาเท่าชีวิต
เพียงแค่สิทธิ์ฝากใจใฝ่ฝันหา
เพื่อประโลมปลอบขวัญทุกวันมา
ด้วยศรัทธา....เขามั่นจนวันวาย.
16 มกราคม 2546 21:40 น.
พรระวี
ณ ริมฝั่งตาปีคลี่ริ้วหนาว
โชยแผ่วผ่าวซ่านมาจากฟ้าเหนือ
คลื่นละลิ่วพริ้วสท้อนย้อนโยนเรือ
ดังโอบเอื้อเพ้อพ้อล้อเลียนกัน
แพเมฆส้มเลือนสลายใกล้ค่ำแล้ว
ราตรีแก้วเริ่มเยือนมาเตือนขวัญ
ให้คนที่เคยซึ้งคิดถึงกัน
ยามเพ็งจันทร์สีทองผ่องนภา
พรายสีนวลชวนมองท้องฟ้าใส
วูบหวิวใจกระต่ายน้อยคอยหวลหา
หลงละเมอเพ้อฝันแต่จันทรา
ชื่นชีวาหมายเขม้นไม่เว้นชม
เพลงหรีดหริ่งร่ำร้องทำนองเศร้า
มอบให้เราผู้รับซับความขม
แล้วย้อนยอกตอกย้ำความระทม
กระต่ายตรมทุกข์ท้อไม่ขอฟัง
อันตัวตนเท่าที่ยังมีอยู่
ก็อย่างผู้...ไหวหวามกับความหวัง
กับเรือนร่างร่อนเร่เที่ยว....เซซัง
มิอาจตั้งสติตน ณ หนใด
อยากตะกายว่ายฟ้าข้ามมาถึง
จันทร์ดวงหนึ่งเสวยสวรรค์อันสุกใส
มอบความรักสลักแน่นจากแดนไกล
เต็มแก่นใจกระต่ายซึ้ง....อีกหนึ่งดวง.
9 มกราคม 2546 16:02 น.
พรระวี
เธอดังเปลวตะวันอันอบอุ่น
ริ้วละมุนลูบกายคล้ายปลอบขวัญ
เช่นสายลมระรินพาผกาพันธ์
โชยกลิ่นอันหวลหอมย้อมเยือนใจ
เธอเหมือนน้ำฉ่ำเย็นเป็นหยดทิพย์
ยามดื่มจิบผ่อนกระหายได้อาศัย
เธอเหมือนดาวพราวพร่างกลางฟ้าไกล
หยาดโยงใยให้ดินถวิลดาว
เธอเหมือนดอกไม้ฟ้ามาจากสรวง
กลีบสวยร่วงพริ้วพรมกับลมหนาว
ค่าสูงส่งกว่าทองผ่องสกาว
ประกายวาวแววพ้อล้อตายล
ใจหมกมุ่นครุ่นเป็นนิจสิน
ให้ถวิลสวาทหวังช่างสับสน
จำทอดท้อระทมใจให้ทุกข์ทน
เหมือนต้องมนตราสาปตราบนิรันดร์
ความเป็นเพื่อนข้ามปีที่เคยคบ
ไม่อาจลบจากใจที่ไฝ่ฝัน
แล้วเราจะทำใจอย่างใดกัน
เมื่อเขานั้น....ให้แค่เพื่อน...เหมือนเช่นเดิม.