30 พฤศจิกายน 2553 21:07 น.
พงษ์ สุนนท์
เมื่อละเลยหลงไปอยู่ไนม่าน
หลายคนกร้านหยาบหนาปัญญาหนัก
ความรู้สึกหดหู่ไม่รู้รัก
ทั้งจมปลักดักดานมานานปี
สิ่งสำคัญอันใดอยู่ในกรอบ
ก็ไม่ชอบลำบากแล้วอยากหนี
เป็นผู้ลากหลากสายมากมายมี
โคตรเหง้านี้พบเห็นเคยเป็นมา
บรรพบุรุษของเราที่เขาสร้าง
สกุลต่างมั่นคงดำรงค่า
แต่วันนี้พบเห็นกับเย็นชา
ลูกหลานพากันเปลี่ยนให้เพี้ยนไป
บ้างอ้างคำนำเคราะห์เสนาะโสต
บางคนโทษกาลีอับปรีย์ให้
บางคนมีการันต์ว่าจัญไร
เลยเปลี่ยนใหม่ให้หมดกำหนดความ
ในโลกที่บังเอิญเราเดินอยู่
ใครจะรู้รากเหง้าที่เฝ้าถาม
เป็นความลับมืดมนบนนิยาม
เกิดขึ้นตามเทือกเถาของเหล่ากอ.
....................................
26 พฤศจิกายน 2553 22:05 น.
พงษ์ สุนนท์
โศกนาฏกรรมที่ซ้ำซาก
เกิดขึ้นจากชีวิตความคิดเขลา
หวังจะช่วยครอบครัวหลงมัวเมา
เลยหูเบาติดกับจนยับเยิน
มีโครงการประกันให้ฝันชื่น
ต่างหยิบยื่นบำบัดไม่ขัดเขิน
ช่วยชาวนาตาดำทำจำเริญ
แต่บังเอิญคาดเคลื่อนมีเงื่อนงำ
เมื่อข้าวเปลือกเลือกหาราคาหด
ทั้งยอมอดยอมทนจนถลำ
รัฐบาลเห็นด้วยช่วยจำนำ
โรงสีทำอุบายซื้อขายแพง
เมื่อกฎหมายกำหนดเป็นกฎหมู่
เลยมีผู้ชี้นำทำกำแหง
ให้สมมุติทุจริตเข้าพลิกแพลง
แล้วสำแดงฉ้อฉลเกิดมลทิน
ความคาดหวังที่เห็นเป็นกระดาษ
ไม่สามารถเป็นเงินเกินจะดิ้น
ในหัวอกชาวนาน้ำตาริน
มีหนี้สินทั่วหน้าชะตากรรม
มีบ้างไหมในสิทธิ์เสรีภาพ
ไม่ต้องอาบความทุกข์รุกกลืนกล้ำ
ช่วยเยียวยาตามหายุติธรรม
มาชี้นำเป็นหลักพิทักษ์คืน.
..................................
24 พฤศจิกายน 2553 23:17 น.
พงษ์ สุนนท์
เสียงนาฬิกา เวลาตั้งปลุก
ไม่อยากจะลุก หน้าซุกลงหมอน
ก่อนหกโมงเช้า เหน็บหนาวร้าวรอน
ไม่อยากตื่นนอน เก็บซ่อนกายา
ในห้วงภวังค์ เสียงดังละเมียด
ลุกบิดขี้เกียจ ก่อนเครียดมาหา
จัดแจงรีบเร่ง ก่อนเปล่งวาจา
โอ้สายแล้วหนา เวลาเข้างาน
อยู่ในเมืองหลวง หลอกลวงความคิด
รถก็ยังติด คนผิดสันดาน
ทุกคนพร่ำบ่น ก่นด่าประจาน
เกิดขึ้นมานาน ประมาณหลายปี
ซ้ำซ้ำซากซาก จากงานที่ทำ
ชีวาชอกช้ำ ประจำหน้าที่
เช้าชามเย็นชาม เลวทรามสิ้นดี
ไม่เกินหนึ่งปี หน้าที่ใหญ่โต
บางคนชอบอู้ กูรูทุกเรื่อง
ว้าวุ่นขุ่นเคือง ปั้นเรื่องคุยโว
มีอยู่ทุกที่ ลิ้นนี้ยาวโข
ทั้งเลียทั้งโล เติบโตนานมา
ได้แต่รำพึง พร่ำถึงความหลอน
ระบบเก่าก่อน สะท้อนเวลา
มีความเคลื่อนไหว แต่ไร้ชีวา
พูดถึงศรัทธา จากค่าของคน
พอสี่โมงเย็น รีบเซ็นกลับบ้าน
อ่อนเปลี้ยเพลียงาน ประมาณว่าทน
นั่งรถใจเหม่อ ภาพเบลอสับสน
อยู่ในวังวน หลุดพ้นเมื่อใด
นี่คือชีวิต ยึดติดประจำ
เป็นฉากสีดำ ค่ำคืนหวั่นไหว
คืนนี้เข้านอน กอดหมอนอ่อนใจ
พรุ่งนี้วันใหม่ แต่ในเรื่องเดิม.
.................................
23 พฤศจิกายน 2553 20:46 น.
พงษ์ สุนนท์
๑. กลับบ้าน
o กี่ครั้งแล้วที่นับได้กลับบ้าน
คงประมาณไม่มีปีละหน
นานเท่าไหร่ไม่รู้อยู่กับคน
ที่เวียนวนเพลิดเพลินการเดินทาง
o หยิบกระเป๋าหนึ่งใบแบกใส่บ่า
พร้อมศรัทธาข้างหลังหวังอยู่บ้าง
มองเห็นแสงไฟเคลื่อนอย่างเลือนลาง
เหงาอ้างว้างอบอุ่นละมุนใจ
o ฤดูหนาวแบบเก่าย่างเข้ามา
ทอดสายตาผ่านกระจกอกสั่นไหว
ไม่อาจรู้และเห็นความเป็นไป
จากคนไกลไปลับใกล้กลับคืน
o ถึงหน้าบ้านใจสั่นหวั่นการพบ
โผกอดซบตระหนกอกสะอื้น
น้ำตาไหลไปพลางระหว่างยืน
ที่กล้ำกลืนฝืนต่อการรอคอย
o พ่อและแม่แก่ชราคงหว้าเหว่
ยังทุ่มเทงานหนักให้พักหน่อย
ใบหน้ารับกับผิวเห็นริ้วรอย
กำลังถอยทุกแห่งล้าแรงลง
o มีของฝากจากเมืองอยู่เบื้องหน้า
ซื้อกลับมาเพื่อให้อย่าไหลหลง
โทรทัศน์ที่พร่ำตามจำนง
เพื่อเสริมส่งความรู้ที่อยู่ไกล.
๒. กลับเมือง
o มากับความมุ่งหวังกำลังล้า
ด้วยแววตามุ่งมั่นถึงวันใหม่
หิ้วกระเป๋าเดินทางขึ้นอย่างไว
ท่องเที่ยวในนครอันร้อนรุม
o เสียงเครื่องยนต์บรรเลงเปิดเพลงรับ
นั่งลงหลับพักตาเวลากลุ้ม
อยู่ในโลกอ้างว้างนั่งข้างมุม
ประมาณทุ่มกว่ากว่าตีตั๋วมา
o ผ่านหมู่บ้านร้านค้าไฟฟ้าดับ
เริ่มต้นนับการเดินเผชิญหน้า
ความห่วงใยจดจำเพื่ออำลา
เหลือเพียงว่าโชคดีทวีคูณ
o มองเห็นตึกสูงใหญ่แล้วใจเศร้า
ชีวิตเราอ่อนเพลียอาจเสียศูนย์
ในสังคมขาดเหลือไม่เกื้อกูล
หลงเทิดทูนเงินทองและของแพง
o มีของฝากจากหลังกำลังกรุ่น
ข้าวเหนียวอุ่นไก่แนบมาแอบแฝง
เติมกำลังห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง
ให้ใจแกร่งหาญกล้าพร้อมฝ่าฟัน
o เพื่อเริ่มต้นความฝันของวันใหม่
สู้ต่อไปพลั้งพลาดอย่าหวาดหวั่น
กำลังใจสดชื่นที่ยืนยัน
รอเพียงวันต้อนรับการกลับมา.
.........................................
13 พฤศจิกายน 2553 13:47 น.
พงษ์ สุนนท์
วันที่มีความสุขในชีวิต
คือวันที่บรรจุติดคิดการใหญ่
พร้อมพร้อมกับรอยยิ้มอย่างอิ่มใจ
เป็นครูใหม่บนดอยเด็กคอยนาน
การศึกษาแตกต่างช่างห่างนัก
ให้ประจักษ์สายตาน่าสงสาร
เพียงแค่เราหันมองความต้องการ
ร่วมกันสานศรัทธามาชี้นำ
เพราะหนทางข้างหน้ายังป่ารก
ใครจะปกป้องถางอย่างอิ่มหนำ
จากสองมือบรรเทาที่เราทำ
คอยเคี่ยวกรำผลักไสในสังคม
ด้วยรอยยิ้มเต็มปริ่มอิ่มเอิบสุข
เกิดจากทุกดวงตามาเหมาะสม
กล่าวทักทายคนอื่นอย่างชื่นชม
ตามอารมณ์เกื้อหนุนของคุณครู
เด็กชาวเขาเหล่านั้นยังฝันใฝ่
ถึงครูใหม่หยอกเย้าพอเข้าหู
ให้วิชาเด็กน้อยคอยอุ้มชู
จนต้องรู้พูดจาภาษาเป็น
อยากให้โลกเปลี่ยนแปลงแห่งคุณค่า
ธรรมดาลำบากแม้ยากเข็ญ
ให้คิดซึ้งถึงภาระทุกประเด็น
เมื่ออยากเห็นสังคมอุดมการณ์.
.....................................