31 ธันวาคม 2550 08:57 น.
ฝากรักฟากฟ้า
ฝนยังคงตกอยู่ ดูเหมือนจะชุกมาก อาจจะเป็นเพราะอยู่ติดเชิงเขาด้วยทำให้ฝนตกแทบไม่เว้นวัน กิจกรรมของน้องฝันจึงขลุกอยู่ในห้องเป็นส่วนใหญ่ เจ้าพูห์กำลังซนเป็นเพื่อนเล่นที่ดีของแม่หนูน้อย
วันนี้ทอรุ้งต้องพลอยวุ่นไปกับการเตรียมของทำบุญวันเกิดให้น้องฝัน ทั้งยังจะมีงานเลี้ยงเล็กๆ ให้เจ้าตัวอีกด้วย ป้าพรรณอยากจะทำเค้กวันเกิดด้วย จึงต้องเตรียมการกันสนุกสนานแสงจิ่งถึงกับยอมไม่ไปงานวัดอื่น ทอรุ้งให้น้องฝันนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง แต่บางครั้งหนูน้อยก็จะเดินมาดูด้วยความสนใจ
ม๊ะ รายค๊า
ถึงแม้จะพยายามเปลี่ยนการเรียกแต่ดูเหมือนไม่เป็นผล เธอจึงต้องปล่อยเลยตามเลย
ครูกำลังทำขนมให้น้องฝันไงคะ
หนม ชอบๆ
เด็กน้อยยิ้มฟันหลอเกาะโต๊ะใหญ่กลางห้องครัว พยายามจะเอามือคว้ากาละมังแป้ง ทอรุ้งต้องคอยเลื่อนหนีให้พ้นมือ
น้องฝันอย่าซนสิคะ
ดูๆๆๆ
เธอพยายามที่จะเอื้อมให้ได้ มีอย่างเดียวคือต้องอุ้มขึ้นนั่งบนเก้าอี้ ทอรุ้งแบ่งแป้งให้เล่นจึงพอจะหยุดความอยากรู้ไปได้บ้าง สุดท้ายเมื่อหันไปดูก็ตอนที่ได้ยินเสียงเจ้าพูห์เห่าวุ่นวายอีกตัว ปรากฎน้องฝันเอาแป้งละเลงตัวเจ้าพูห์แล้ว ผงแป้งร่วงฟุ้งกระจายไปทั่วตั้งแต่ผม หน้าตา เสื้อผ้ามอมแมมพอกัน
ป้าว่าครูพาน้องไปเปลี่ยนเสื้อแล้วเอานอนเถอะค่ะ
ป้าพรรณคงจะทนไม่ได้ต่อไป ทอรุ้งจำต้องพาหนึ่งคนกับหนึ่งตัวออกจากครัวไป เดินสวนกับปราชญ์และหญิงสาวเจ้าของโรงคัดส้มคนเดิมที่ห้องโถงก่อนจะขึ้นไปชั้นบน
ป๊ะ เธอทำท่าจะโผไปหาพ่อทันที
น้องตัวเปื้อนค่ะ กำลังจะพาไปอาบน้ำ
ไม่เป็นไรครับ
ปราชญ์เอื้อมมือไปรับร่างลูกสาวอุ้มหอมแก้มอย่างรักใคร่ หากหญิงสาวที่ยืนเยื้องไปด้านหลังกลับเบะปากอย่างไม่เกรงใจครูผู้ดูแล
ชื่นใจๆๆๆ อาบน้ำแล้วหลับนะครับคนเก่งของป๊ะ
เก่งๆ น้องเก่ง น้องฝันพูดเลียนคำพูดของพ่อ พลางเอามือดึงหนวดเฟิ้มเล่น
ทำอะไรกันเหรอครับ
ก้อเตรียมของไปวัดพรุ่งนี้ ป้าพรรณจะทำขนมเค้กด้วยค่ะ
มีอะไรเหรอคะ วัสสิกาถามปราชญ์
วันเกิดน้องฝันครับ พรุ่งนี้
เหรอคะ มีอะไรให้ช่วยมั๊ยคะ
ไม่รู้สิ ต้องถามครูรุ้ง
สายตาวาววามคู่นั้นตวัดมามองทอรุ้งแวบหนึ่งหากไม่เอ่ยปากถามแต่อย่างใด ทอรุ้งได้แต่บอกให้ไปหาป้าพรรณที่ครัวก่อนที่จะรับร่างบางจ้อยคืนมา เธอพาน้องฝันขึ้นไปบนห้องตามที่ตั้งใจไว้โดยมีเจ้าพูห์วิ่งตามขึ้นไปติดๆ
เย็นนั้นวัสสิกาจึงเป็นแขกอาหารมื้อเย็นไปด้วยโดยปริยาย เธอพยายามช่วยจัดเตรียมของ ในขณะที่ป้าพรรณจะคอยปฏิเสธในเรื่องที่เธอจะจัดการ
พรุ่งนี้ไปวัดแต่เช้าเลยเหรอคะ พี่ปราชญ์ วัสสิกาชวนคุยระหว่างมื้ออาหาร
ครับ แล้วจะพาน้องไปไหนรึป่าวคะ
คงไม่ครับ พรุ่งนี้ไปวัดแล้วก้อจะพาน้องไปโรงเรียนด้วย เขาหันกลับมาถามทอรุ้งต่อ ครูเตรียมเอกสารของน้องฝันรึยังครับ
ยังนี่คะ ไม่ทราบว่าเอกสารของน้องอยู่ที่ไหน เธอตอบ
ต้องใช้อะไรบ้างครับ
ก้อมีใบสูติบัตร สำเนาทะเบียนของพ่อกับแม่
ใบเกิดคงไม่มีปัญหา แต่หลักฐานของพ่อกับแม่คงหายากล่ะ วัสสิกาแทรกขึ้นมา อาหลินก้อตายไปแหละ แล้วยังพ่อ...
คุณส้ม! ปราชญ์เรียกชื่อเพื่อนหญิงต่างวัยเสียงเข้มเชิงห้ามปราม คิ้วขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจ เรื่องต่างๆ ผมรู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
แหม ไม่เห็นต้องทำเสียงแบบนี้เลยนี่คะ วัสสิกาสะบัดเสียง
ทอรุ้งรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องมานั่งอยู่กับคนทั้งสอง โดยไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร
ความจริงตาของน้องฝันก้อยังอยู่ พี่ปราชญ์ไม่เห็นต้องมารับภาระอะไรแบบนี้ วัสสิกาพูดออกมาอย่างอัดอั้น
น้องฝันไม่ได้เป็นภาระอะไร
นั่นสิคะ คิ้วเรียวที่ได้รับการตกแต่งมาอย่างสวยงามขมวดขึ้ง ส้มบอกแล้วว่าน่าจะส่งไปอยู่โรงเรียนประจำก้อสิ้นเรื่อง
พี่เปลี่ยนใจแล้ว ไม่อยากส่งลูกไปอยู่กับคนอื่น เขาอธิบายเรียบๆ อย่างสะกดอารมณ์
...อีกแล้ว เรื่องแม่ของน้องฝันอีกแล้ว... ทอรุ้งรู้สึกว่าเขาไม่สบายใจบ่อยขึ้นเมื่อพูดถึงผู้หญิงที่ล่วงลับไปหลายปี
พี่คิดว่า คุณส้มไม่ควรพูดนะครับ
ตายจริง ลืมไปค่ะ เธอจีบปากจีบคอพูด ไม่ควรพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่นนะคะ
วัสสิกาเน้นเสียงคำว่า คนอื่น จนทอรุ้งรู้สึกหน้าชาขึ้นมาเฉยๆ เธอยกแก้วน้ำขึ้นดื่มช้าๆ หลังจากรวบช้อนไว้
ม๊ะ ฟังนิทาน ม๊ะ
น้องฝันพูดขึ้นพร้อมวางช้อนบ้าง เธอไถลตัวลงจากเก้าอี้ ทอรุ้งจึงถือโอกาสนี้ขอตัวลุกจากโต๊ะอาหาร น้องฝันค่อยๆ เดินไปหาพ่อ เธอเหลือบมองวัสสิกาอย่างหวาดๆ ปราชญ์ก้มตัวลงกอดลูกสาว ก่อนที่จะให้ครูรุ้งพาลูกสาวไปฟังนิทานตามต้องการ ก่อนที่จะพ้นห้องมายังได้ยินเสียงของวัสสิกาพูดไม่เบานัก
ครูทอรุ้งเธอไม่รู้เหรอคะว่า พ่อของน้องฝันเป็นใคร
ทอรุ้งใจหายวาบ อะไรกัน...กำลังพูดกันเรื่องอะไร..... เธอเดินพ้นออกมาเสียก่อนที่จะได้ยินคำตอบ ปราชญ์จะตอบหญิงสาวว่าอะไร เธออดที่จะนึกสงสัยไม่ได้ น้องฝันกลับไม่สนใจเรื่องราวที่แม้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงเธอแท้ๆ การที่ไม่สามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆ คงเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง ไม่ต้องเสียใจ
เสียงฝนที่มาตั้งแต่ช่วงเย็นเริ่มเบาลงจนกลายเป็นเพียงเสียงหยดเผาะเปาะแปะ อากาศเย็น ชื้น เธอต้องเหน็บชายผ้าห่มกับที่นอน เมื่อแน่ใจว่าร่างน้อยๆ หลับสนิทเธอจึงดับไฟดวงใหญ่เหลือแต่ไฟดวงเล็กเหนือเตียง เธออุ้มเจ้าพูห์ขึ้นเพื่อเอากลับไปนอนที่เรือนพักของเธอ ปิดประตูห้องเบาๆ
ห้องข้างล่างเงียบเชียบ คงจะกลับกันแล้ว ทอรุ้งเดินย่องลงบันได ไฟที่ห้องโถงดับเหลือแต่ไฟดวงเล็กพอให้เห็นทาง ขณะเธอกำลังเดินผ่านโต๊ะทำงานตัวใหญ่ พลันโคมบนโต๊ะก็สว่างขึ้น ทอรุ้งยืนตัวแข็งจ้องมองผู้ที่อยู่หลังโต๊ะทำงาน
ดูเหมือนคุณชอบซุ่มอยู่อย่างนี้เหลือเกินนะคะ
พอรู้ว่าเป็นใครเธอก็อดที่จะตำหนิเขาไม่ได้
ดูเหมือนคุณครูชอบตกใจง่ายๆ จริงๆ นะครับ เขาพูดล้อคำพูดของเธอหน้าตาเฉย ผมลืมไปว่าคุณอยู่บนห้องน้องฝัน
บังเอิญคืนนี้น้องหลับยากค่ะ ทอรุ้งชี้แจง กว่าจะหลับได้เล่านิทานจบไปสามเรื่อง
ครูง่วงรึป่าวครับ เขาถามไม่มีปี่มีขลุ่ย
ทอรุ้งนิ่งมองคนถามก่อนที่จะตอบอย่างระมัดระวัง
คุณปราชญ์ มีอะไรจะฝากไปทำหรือเปล่าคะ
วันนี้ไม่มีหรอกครับ แต่อยากคุยด้วยหน่อย
ปราชญ์ขยับนั่งตัวตรง เชื้อเชิญให้เธอนั่งที่เก้าอี้นวมหน้าโต๊ะ มีซองเอกสารสีน้ำตาลซองใหญ่วางอยู่ มีลายมือที่หนักแน่นเขียนชื่อบนหน้าซอง
เด็กหญิงอาเหม่ย (น้องฝน)
ของน้องฝนครับ
ค่ะ พรุ่งนี้คงต้องเอาติดไปด้วยนะคะ
ใบหน้าเขามีแววกังวลบางอย่างจนทอรุ้งต้องเอ่ยปากถาม
มีปัญหาอะไรรึป่าวคะ
เขาถอนใจเฮือกก่อนจะตัดสินในพูดออกมา
น้องฝน ความจริงไม่ใช่ลูกผมจริงๆ หรอก...
คะ! ทอรุ้งอุทานเบาๆ ล่ะ...แล้วมาบอกดิ...เอ่อ รุ้งทำไมคะ
ถ้าครูอ่านหลักฐานของน้อง ครูก้อต้องสงสัยอยู่ดี ปราชญ์จ้องมองครูทอรุ้งคล้ายต้องการความจริงใจ ในใบเกิด......
ทอรุ้งเพียงเหลือบมอง ปราชญ์จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังที่เกิดขึ้นหลายปีก่อนที่น้องฝนจะลืมตามาดูโลก....
อาหลิน...แม่ของน้องฝัน... เป็นลูกสาวของคนในหมู่บ้านบนดอยสูงที่เขาสนิทสนมคุ้นเคยเป็นอย่างดีคนหนึ่ง เนื่องเพราะเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขในการเดินหลงป่ากันแล้ว
อาหลินเด็กสาวที่น่ารักที่มีความตั้งใจจะเรียนต่อในตัวจังหวัด ด้วยคิดว่าสักวันหนึ่งเธอจะช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของคนในชนเผ่าของเธอ ซึ่งไม่ค่อยมีโอกาสได้เรียนต่อ หากวันหนึ่งเรื่องร้ายแรงของชีวิตก็เกิดขึ้นอย่างไม่น่าให้อภัย ผู้ชายที่มาหลงรักหมายปองเธอทำลายเธอจนย่อยยับ
อาหลินเสียใจและรู้สึกอับอายจนถึงขนาดพยายามจะฆ่าตัวตาย ยิ่งเมื่อรู้ว่าเธอกำลังท้องกับไอ้ทรชนนั้น อาหลินแทบไม่สามารถอยู่ในหมู่บ้านได้ พ่อและแม่ของอาหลินทั้งรักทั้งสงสารลูกถึงกับต้องมาขอร้องกับปราชญ์ซึ่งอาหลินให้ความนับถือเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ให้รับอาหลินมาอยู่ที่บ้านสวนข้างล่าง
ปราชญ์รับปากจะดูแลอาหลินเป็นอย่างดี เขากำชับไม่ให้ใครแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป แต่ก่อนที่น้องฝันจะได้ออกมาดูโลก ผู้ชายคนที่ทำอาหลินก็ได้มาสารภาพบาปทั้งหมดที่ทำลงและขอให้อาหลินยกโทษให้ อาหลินไม่สามารถทำใจได้เลย
เป็นแผลลึกในใจของเด็กสาว เธอทั้งอับอาย หวาดกลัว และเมื่อเขายืนยันจะรับผิดชอบลูกที่จะเกิดมา อารมณ์โกรธแค้นที่รุนแรงทำให้เธอตัดสินใจฆ่าตัวตายพร้อมกับเด็กในท้อง หากปราชญ์ช่วยเหลือได้ทันแต่ไม่สามารถเยียวยาหัวใจเธอได้อีก
ไม่นานน้องฝันก็ลืมตาดูโลก แต่ด้วยสภาพจิตใจที่อ่อนแอ บอบช้ำมาโดยตลอดทำให้อาหลินไม่แข็งแรงเพียงพอและเสียชีวิตลงหลังจากคลอด ผู้เป็นพ่ออ้อนวอนขอรับน้องฝันไปเลี้ยงดู แต่พ่อของอาหลินไม่ยอมกลับยกน้องฝันให้ปราชญ์ ปราชญ์จึงขอได้เพียงให้ผู้ชายคนนั้นมีชื่อว่าเป็นพ่อในใบเกิดเท่านั้น หากมีเงื่อนไขที่ต้องลงชื่อมอบน้องฝันให้อยู่ในการปกครองของเขาตลอดไปโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดอีก
...มิน่าเล่า น้องฝันถึงมีอาการผิดปกติทางด้านสมอง เป็นเพราะการพยายามฆ่าตัวตายถึงสองครั้งนี่เอง....
ยิ่งได้มารับทราบปัญหาเหล่านี้ทอรุ้งยิ่งรู้สึกสงสารเด็กน้อย เห็นใจปราชญ์ที่ต้องมารับผิดชอบชีวิตที่เขาไม่ได้เป็นผู้กระทำ ทอรุ้งคิดว่าวัสสิกาน่าจะเข้าใจชายที่ตนหมายปองมากกว่าจะทำท่ารังเกียจน้องฝันแบบนี้
ผมคงต้องไปจดทะเบียนรับน้องฝันเป็นลูกบุญธรรมซะแล้ว
เขากล่าวเมื่อเล่าเรื่องราวทั้งหมด ท่าทางสบายใจขึ้นมากกว่าเดิม
ดีค่ะ แต่ก้อน่าจะลองปรึกษาคุณส้มด้วยนะคะ ทอรุ้งให้คำแนะนำ
ทำไมครับ ปรึกษาทำไม เขาย้อนถาม
อ้าว! ก้ออีกไม่นานคุณทั้งสองก้อจะแต่งงานกันนี่คะ
ฮ่าๆๆๆๆ!!!! เขาหัวเราะเสียงดัง แววตาวิบวับ ใครที่ไหนบอกคุณล่ะนี่ โธ่เอ๊ย!
30 ธันวาคม 2550 10:02 น.
ฝากรักฟากฟ้า
หลังเข้าพรรษามาได้เกือบสองเดือน เด็กแสงจิ่งเริ่มตื่นเต้นกับเรื่องใหม่นั่นคืองานเทศกาลสลากภัตของวัดในหมู่บ้าน เป็นงานประเพณีที่สำคัญงานหนึ่งของท้องถิ่นอยู่ไม่น้อย ฟังจากแสงจิ่งที่มักจะมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟังตลอด และที่เธอตื่นเต้นมากกว่านั่นคือการที่เธอได้เป็นนางรำของกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน
แม่ครู เจ้าได้เป๋นจั่งฟ้อนโตยเน้อปี๋นี้
เอ็งไม่ได้สวยอะไรหรอกนะ นังจิ่ง แค่เขาขาดคนเท่านั้นเอง
ป้าพรรณแกล้งขัดคอ ทำเอาแสงจิ่งค้อนขวับ
จ้างเต๊อะ เจ้าตึงจะไปฟ้อน
ไปยังไงละคะ ทอรุ้งถาม ด้วยความสนใจ
ไปกับหัววัดนา แม่ครู
เธอตั้งใจอธิบาย ขณะน้องฝันกำลังนั่งทำท่ารำอย่างที่แสงจิ่งเคยรำให้ดู ท่าทางมีความสุขไม่แพ้กัน
วัดบ้านเฮาจะได้ไปหลายวัดอยู่ แผวไชยปราการตวยเน้อ
เธอหมายถึงอำเภอใกล้เคียงซึ่งแยกจากอำเภอฝางออกเป็นอำเภอใหม่ร่วมยี่สิบปีมาแล้ว
งานนี้สนุกค่ะ ครูรุ้ง ชาวบ้านรอให้ถึงงานนี้กัน ป้าพรรณเล่าเสริมอีก
เป็นงานบุญตามประเพณีเดือนสิบของคนเหนือ ที่จะได้ทำบุญถึงผู้ล่วงลับไปซึ่งจะทำกันพร้อมกันทั้งหมู่บ้าน หรือหากวัดใดมีหลายหมู่บ้าน พระสงฆ์ในวัดจะไม่เพียงพอต่อการรับถวายของจากศรัทธายาติพี่น้อง แต่ละวัดจึงต้องนิมนต์พระภิกษุสามเณรจากวัดอื่นๆ มาร่วมงาน กลายเป็นการแลกเปลี่ยนกันไปในตัว การกำหนดวันงานประเพณีจะไม่ตรงกันทั้งหมด ดังนั้นระยะเวลาของเทศกาลจะยาวนานร่วมเดือน
ของปี้น้องไตเปิ้นเป๋นงานปอยเตียน นางซอเล่าเสริม
เป็นยังไงคะ
เป๋นงานอย่างเดียวกั่บสลากของคนเมือง แต่เปิ้นมีตอนเมื่อคืน
ม่วนขนาด คนมากั๋นจ๊าดนัก แสงจิ่ง ม่วน อย่างเดียว น้องฝัน มา ปี้จิ่งจะสอนฟ้อน
เธอชวนเด็กน้อยที่นั่งฟังตาแป๋วให้ลุกตาม แสงจิ่งร้องเพลงด้วยภาษาไทยใหญ่ที่แปลกหู แต่ทำนองเพลงกลับคุ้นๆ เพราะนำเพลงจากนักร้องยอดนิยมมาดัดแปลงเนื้อเพลง น้องฝันมองดูแล้วทำท่าทางตามเก้ๆ กังๆ รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าบอกถึงความพึงพอใจ
เอาอิ๊ แม่ครูตี๋ก๋องแบบอีก้อเน้อ
ปุบปับเธอก็เปลี่ยนใจไปเฉยๆ ทอรุ้งงงเพราะไม่รู้จัก
อะไร เขาทำยังไง ครูจะรู้มั๊ยเนี่ย
บ่ายากๆ จะอิ๊นา
แล้วสาวจิ่งก้อร้องเลียนเสียงกลองเป็นจังหวะให้เธอฟัง
อี่จิ่งสึงตึง มันใคร่นุ่งซิ่นสั้นเต้น ผู้เป็นแม่กล่าวพร้อมกับหัวเราะ
อ่ะๆ ครูอยากดู ทอรุ้งรับปากอย่างเอาใจพร้อมกับตบมือตามจังหวะที่เธอบอก ยังงี้ได้ป่าว ถูกยังล่ะ
แม่นนะๆ แม่ครูหลวก เป๋นโว่ย แสงจิ่งชม
ป้าพรรณเอาตะกร้าผักที่จะทำอาหารมื้อต่อไปมาร่วมวง นางซอจึงหันไปช่วยเด็ด
มันชมเหรอคำนี้ ป้าพรรณถามประชดกับนางซอ
นางซอไม่ตอบแต่หัวเราะอย่างขบขันลูกสาวตัวเอง แสงจิ่งไม่สนใจยังคงตั้งใจสอนลูกศิษย์ทั้งสอง
ท่ากำเดว เจ้าจะไปเอาก๋องหน้อยมา
พูดจบเธอก็วิ่งปรู๊ดออกไปจากครัวไม่ฟังคำตอบจากใคร น้องฝันยังคงยืนรำอยู่คนเดียว ไม่สนใจใคร
ทอรุ้งมองดูเงียบๆ ฟังเสียงอืออาที่หนูน้อยพยายามส่งเสียงให้เป็นเพลงอย่างที่แสงจิ่งร้องให้ฟัง น่าทึ่งมากที่น้องฝันสามารถจำได้และทำได้แม้จะไม่ถูกต้องทั้งหมดก็ตาม
มาละๆ
เสียงแปร่งๆ ในภาษาดังขึ้นก่อนตัว ในมือแสงจิ่งมีกลองใบเล็กซึ่งเป็นของเล่นที่ทอรุ้งหามาสำหรับให้น้องฝันเล่นนั่นเอง
แม่ครู ตี๋จะอี้เน้อ
ครูดนตรี สอนตีกลองตามจังหวะแม้จะเพี้ยนไปบ้างแต่เธอก็มั่นใจว่าถูกต้อง ทอรุ้งพอจะจับจังหวะได้
แม่ครูตี๋ เจ้าจะฟ้อนอีก้อหื้อผ่อ
ครู มอบหมายหน้าที่ให้ ทอรุ้งรับกลองใบเล็กมาทดลองตี น้องฝันหัวเราะด้วยความพอใจ เมื่อพอเป็นจังหวะ แสงจิ่งก็เริ่มแสดง ฟ้อนอีก้อ ให้ดู น้องฝันยืนดูสักพักด้วยความสนใจก่อนจะขยับตาม ป้าพรรณและนางซอเป็นคนดูพร้อมกับการเตรียมอาหาร
แม่ครูมาหยะโตยบ๋อ
แสงจิ่งชวนเมื่อแสดงจบ ทอรุ้งหัวเราะกับคำชวน
ครูเต้นไม่เป็น
ง่ายจ่ะต๋าย น้องฝันยังเต้นได้ ดูหล่อนว่า
ไม่พูดเปล่ายังเดินมาดึงมือเธอให้ลุกด้วย ทอรุ้งจึงยอมร่วมกิจกรรม
ลีๆ ก่อ ส่งแม่ครูไปเป๋นจ้างฟ้อมแหมคน นางซอบอกทั้งที่ยังไม่เห็นฝีมือ
คงโดนไล่ออกตั้งแต่วันแรกมั้ง ซอ
ทอรุ้งพูดปนหัวเราะขำๆ และเมื่อคนสอนตั้งใจสอน ทอรุ้งจึงต้องตั้งใจเรียนโดยมีน้องฝันทำท่าตาม จังหวะที่เต้นไม่ยากสำหรับเธอที่เคยผ่านการเต้นรำจังหวะสากลมาแล้ว แต่ออกจะขัดเขินอยู่บ้างกับการที่ต้องทำท่าร่ายรำไปด้วยขณะเต้น
แม่ตี๋ก๋องหื้อกำ
แสงจิ่งหันไป สั่ง ผู้ดู
โฮ๊ะ! อีนี่ ฮาหยะบ่จ้าง นางซอโวยวาย
ง่ายจะต๋าย แม่ครูยังจ้าง เธอไม่ฟังเสียงส่งกลองพร้อมไม้ตีให้
เอ้า! ช่วยๆ มันหน่อย กำลังสนุก
ป้าพรรณช่วยคะยั้นคะยอ นางซอจึงยอมวางมือจากการหั่นผักมาเป็นมือกลองจำเป็นให้ แสงจิ่งสอนผู้เป็นแม่ตีให้เป็นจังหวะให้ได้ ทอรุ้งมองดูแล้วคิดว่าแสงจิ่งออกจะเป็นเด็กสาวที่มีความตั้งใจอย่างยิ่งคนหนึ่ง
หลังจากที่นางซอสามารถทำได้ตามความต้องการของแสงจิ่ง คณะผู้แสดงทั้งสามก็เริ่มแสดงโดยมีแสงจิ่งเป็นผู้นำ สิ่งที่ทอรุ้งพึงพอใจนั่นคือการที่น้องฝันเข้าร่วมกิจกรรมด้วยความสนุกสนาน แก้มบางใสแดงระเรื่อ หายใจเหนื่อยๆ เพราะต้องกระโดดโลดเต้นตามจังหวะกลอง
ถึงแม้จะยังไม่สามารถทำตามได้เหมือนคนนำ รอยยิ้มและแววตาที่เลื่อนลอยเริ่มฉายแววของความรู้สึก เธอแอบบันทึกสิ่งที่เธอสังเกตเหล่านี้ไว้ในใจ ป้าพรรณยิ้มขำๆ ให้เธอ
โอ่ย... เหนื่อย พอแหละ
ทอรุ้งอุธรณ์ หายใจหอบๆ หยุดฝึกเต้นหันกลับมานั่งร่วมวงกับแม่บ้าน แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกอิงประตูห้องครัว ท่าทางสบายๆ มีรอยยิ้มอย่างครึกครื้นหลังใบหน้าที่รกเครา
เสียดายจัง เพิ่งมาดูได้แป็บเดียว
...มิน่าล่ะ ป้าพรรณถึงแอบขำเรา... ทอรุ้งได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้ ไม่รู้เขาจะคิดอย่างไรเมื่อได้มาเห็นเธอออกไปกระโดดโลดเต้นอย่างเด้กๆ แบบนั้น
ป๊ะ! น้องฝันเรียกและวิ่งไปหาอย่างดีใจ เขาก้มตัวลงอุ้มร่างน้อยไว้แล้วชูขึ้นสุดแขน หมุนไปรอบๆ
โอ้ๆๆๆๆ หนักๆๆๆๆ ปุยนุ่นกลายเป็นลุกหมูแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ
น้องฝันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ เขาอุ้มลูกสาวไว้ในอ้อมแขนราวกับกับอุ้มตุ๊กตา
ทำอะไรเหรอครับ เห็นสนุกกัน
ซ้อมฟ้อนเจ้า ป้อเลี้ยง คนรายงานกลับเป็นแสงจิ่ง
ฟ้อนรัยล่ะเรา เขาหันไปคุยด้วยอย่างใจดี ได้ยินข่าวปีนี้ได้เป็นจ้างฟ้อนกับเขาด้วยนี่ ใช่ป่าว
แม่นล่ะเจ้า เธอตอบพร้อมกับยิ้มหน้าบานอย่างภูมิใจ
โห ยังงี้ก้อเป็นสาวล่ะสิ
โฮะ ป้อเลี้ยง ว่าไปเรื่อย แสงจิ่งหน้าแดง อายม้วนต้วน
มันแห้นนะป้อเลี้ยง นางซอขัดคอ
ไม่เป็นไรหรอก ...แล้วครูล่ะครับ เขาหันมาถามครูทอรุ้ง
เปล่าค่ะ แค่ฝึกเล่นตามแสงจิ่งเท่านั้นเองค่ะ
ม๊ะ เต้ง น้องฝันบอกพ่อเสียงแจ๋ว
น้องฝันชอบมั๊ยคะ ปราชญ์ก้มลงพูดกับลูกสาวด้วยน้ำใจที่อ่อนโยน
น้อง เต้งกะม๊ะ
น้องฝันกับแม่ครูหลวก สอนกำเดวก้อจ้างล่ะ แสงจิ่งอวดลูกศิษย์
แล้วจะไปออกงานเมื่อไหร่ล่ะ จิ่ง เขาหันไปถามแสงจิ่ง
แหมสองติ๊ดจะได้ไปฟ้อนล่ะ
แสงจิ่งตอบพร้อมขออนุญาตนายจ้างไปช่วยงานวัด
ช่วงนี้มันท่าจะได้ไปบ่อยเน้อเจ้า ป้อเลี้ยง นางซอช่วยพูดให้ลูกสาว
ไปเถอะ ช่วยงานวัดมั่ง เขาอนุญาต แล้ววัดเราจะมีงานเมื่อไหร่กัน
เห็นนายหรุ่งบอกเดือนตุลานะคะ คุณปราชญ์ ป้าพรรณตอบแทน
อือ ช่วงส้มจะสุกพอดี งานยุ่งๆ หน่อย เขารับทราบ ทางวัดมีอะไรจะให้ช่วยก้อบอกนะครับ ป้าพรรณ
งั้นรับต้นสลากโชคไว้ต้นนึงสิคะ
ป้าพรรณเสนอซึ่งเขารับปากทันที แสงจิ่งยิ้มกว้างอย่างสนุกสนานไปตามประสา
ปี๋นี้สวนเฮาท่าจะม่วน
ทำไมล่ะ
ก่อป้อเลี้ยงฮับต้นสลากโจ้ก เขาก่อมาฮอม ล่ะคนทางบ้านใต้ของป้อเลี้ยงแฮ่มลอ
แสงจิ่งสาธยาย ทำให้รู้ว่างานนี้จะมีญาติพี่น้องของปราชญ์จากสุพรรณบุรี ...บ้านเกิดของเขา.... จะขึ้นมาเที่ยวด้วย ทอรุ้งรับฟังไปเงียบๆ ด้วยไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร แต่ละคนต่างคุยกันถึงเรื่องงานวัดบ้าง ของที่ต้องเตรียมบ้าง
ดูจะเป็นงานที่สำคัญอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่แต่เพียงแสงจิ่งเท่านั้น คนงานในสวนล้วนแต่คุยกันเรื่องนี้ ช่วงกลางคืนตอนหัวค่ำหลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเรียบร้อย แสงจิ่งก็จะไปฝึกการแสดงที่วัดในหมู่บ้านร่วมกับบารรดาสาวๆ ของหมู่บ้าน โดยมีนายหรุ่งขับรถรับส่งตามที่ปราชญ์มอบหมายให้รับผิดชอบ ทั้งยังมักจะมีหนุ่มๆ สาวๆ ในสวนติดรถออกไปที่วัดด้วย แสงจิ่งจะมาเล่าให้ฟังบ่อยๆ
ทุกคืนจะได้ยินเสียงเพลงลอยแว่วมาจากวัด บางคืนก็เป็นการแจ้งข่าวต่างๆ จากทางวัดเกี่ยวกับงาน นายหรุ่งจะเป็นตัวแทนของปราชญ์ไปโดยปริยายที่จะรับงานตามที่วัดขอมา
วันพระหน้า คุณปราชญ์ไปวัดนะ ป้าพรรณกำชับขณะมื้ออาหารในเย็นวันหนึ่ง
อ้าว ทำไมล่ะ
คุณปราชญ์จำไม่ได้เหรอ
ป้าพรรณมองมาอย่างตำหนิ เขายังทำหน้างง
วันเกิดน้องฝันค่ะ
โอ... ผมลืมไปจริงๆ
ทอรุ้งมองดูเขาอย่างแปลกใจ ...ลืมวันเกิดลูกสาวเนี่ยนะ...
ป้าช่วยเตรียมของไว้ด้วยก้อแล้วกัน
ค่ะ ป้าพรรณรับปาก
เต็มสี่ขวบแล้วใช่ป่าวเนี่ย ปราชญ์พูดเบาๆ คล้ายพูดกับตัวเองมากกว่า
ใช่ค่ะ สี่ปีแล้ว
เขามองดูลูกสาวตัวจ้อยที่กำลังตักอาหารกินเอง ครุ่นคิดบางอย่างก่อนที่จะมองเลยไปยังรูปของผู้แม่ที่วางอยู่หลังโต๊ะทำงาน ป้าพรรณเข้ามาตักข้าวเพิ่มในจานให้แต่เขาโบกมือปฏิเสธ
อิ่มล่ะครับ ป้า
เขาขยับตัวลุกจากโต๊ะอาหาร ก่อนจะบอกกับทอรุ้ง
ผมขอตัวก่อนนะครับ ตามสบายเถอะ
ค่ะ
ทอรุ้งตอบ เธอคงยังลุกไปไม่ได้จนกว่าน้องฝันจะรับประทานอาหารอิ่ม นึกแปลกใจที่เรื่องวันเกิดของน้องฝันทำให้บรรยากาศในโต๊ะอาหารเปลี่ยนไปได้ ทั้งที่ก่อนหน้าเธอกำลังฟังเขาพูดถึงงานในสวนส้มอย่างภูมิใจ ป้าพรรณเองเหมือนมีเรื่องสะเทือนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
เท่าที่ทอรุ้งเคยรับทราบมาเพียงว่า แม่ของน้องฝันเสียชีวิตในวันที่คลอดน้องฝัน เรื่องนี้คงทำให้หัวใจเขาแหลกสลาย ทั้งยังต้องเลี้ยงดูลูกสาวผู้พิการมาตามลำพังอีก
...อาการไม่รับรู้ทุกข์ใดของน้องฝัน อาจจะเป็นโชคดีก็ได้....
29 ธันวาคม 2550 07:34 น.
ฝากรักฟากฟ้า
อุ๊ยตาย! ทำอะไรกันมาคะนั่น พี่ปราชญ์
เสียงแหลมๆ ดังขึ้นทันทีที่ทั้งสองเข้ามาถึงบ้าน สายตาสี่คู่ที่มองมาบอกความรู้สึกแตกต่างกัน โดยเฉพาะเจ้าของเสียงทักทายบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างเปิดเผย ใบหน้าบึ้งตึง
ปราชญ์ไม่ได้ใส่ใจนัก เขาแบกร่างครูทอรุ้งไว้บนหลังลงมาจากป่าหลังบ้านภายหลังการบังคับให้เธอยินยอม
ครูเดินไม่ได้ ท่าผมอุ้ม ผมก้อเดินลงดอยไม่ได้ มีอย่างเดียวคือครูต้องขี่หลังผมไป
ค่อยเดินลงไปก้อได้นี่คะ แค่นี้เอง
แค่นี้อะไร ยืนยังไม่ไหว จะเดินลงไปแบบไหน มา...ขึ้นหลังนี่
เขาค่อยๆ วางทอรุ้งลงบนเบาะเก้าอี้นั่งเล่นในห้องโถง แสงจิ่งมองดูด้วยความชื่นชมนายจ้างและเข้ามาช่วยประคองพร้อมกับป้าพรรณที่นั่งอยู่ไม่ห่างน้องฝัน ทอรุ้งทำหน้าเหยเก
หกล้มตกดอยค่ะ ป้าพรรณ เธอบอกแม่บ้านเบาๆ
รั้นมากเลยนะ แม่ครูของป้าพรรณน่ะ
ปราชญ์เล่าเสริมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคร่าวๆ
มะ รัยก๊ะ เสียงแจ้วๆ ของน้องฝันแทรกขึ้นมา แววตาใสจับจ้องผู้เป็นครู
มะของน้องฝันดื้อพ่อค่ะ เลยหกล้ม น้องฝันอย่าดื้อแบบมะนะคะ
เขามีแก่ใจพูดล้อเลียนเธอโดยไม่ได้สนใจหญิงสาวอีกคนสักนิด หากทอรุ้งกลับรู้อึดอัดใจกับสายตาที่มองมาคุ่นั้น
ครูรุ้งค่ะ... ทอรุ้งทักท้วง "ไม่ใช่ ม๊ะ"
หากหญิงสาวคนนั้นยืนหันรีหันขวางด้วยความรู้สึกว่าตนกำลังจะกลายเป็นคนนอก เธอจึงข่มใจออกปากบ้าง
คราวหลังครูรุ้งก้อระวังบ้างนะคะ ทางเส้นไหนไม่ชินก้อไม่ควรออกไปเดินเล่น
ค่ะ ขอบคุณค่ะ
คำขอบคุณนั้น ทอรุ้งเองก็ไม่รู้ขอบคุณเรื่องอะไร แต่ก็เพื่อไม่ให้เข้าใจกันเลยเถิดมากไปกว่านี้
ป้าพรรณคะ รุ้งอยากกลับไปที่ห้องนะคะ
เดี๋ยวผมจะพาไปหาหมอที่อนามัยก่อน ปราชญ์ไม่ยินยอม
พี่ปราชญ์คะ แล้วที่นัดกับส้มล่ะคะ
รออยู่ที่นี่ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมา
ปราชญ์หันไปบอกสั้นๆ ทอรุ้งยิ่งรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย
ไม่เป็นไรค่ะ ให้นายหรุ่งไปส่งก้อได้ค่ะ
นั่นสิคะ ส้มเธอรีบเอออวยทันที
ผมจะพาไปเอง
ปราชญ์ย้ำหนักแน่น ฝ่ายหนึ่งทำหน้าปั้นยาก อีกฝ่ายหนึ่งทำหน้าบึ้งตึงมากขึ้น แต่คนพูดไม่ได้สนใจ
ไม่นานนักนายหรุ่งก็เข้ามาบอกว่ารถมาจอดเตรียมให้แล้ว ทอรุ้งขยับตัวจะลุกแต่ต้องล้มทิ้งตัวตามเดิม ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ปราชญ์ทำท่าจะเข้ามาอุ้มหากป้าพรรณถึงตัวก่อน
เดี๋ยวป้าพยุงไปกับแสงจิ่งเอง คุณปราชญ์ไปที่รถก่อนเถอะค่ะ
แสงจิ่งเข้ามาประคองอีกข้าง
ป่ะๆ!
น้องฝันเกาะกุมมือผู้เป็นพ่อเดินออกไปด้วย แม่เลี้ยงสาวโรงคัดส้มใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองฝางต้องนั่งลงที่เก้าอี้ไม้สักชุดรับแขกหรูอย่างไม่สบอารมณ์ จะอาละวาดออกไปอย่างไรก็ใช่ที่ รู้สึกอึดอัดขัดใจบอกไม่ถูก
ระหว่างความสัมพันธ์ของเธอกับปราชญ์ที่ไม่มากขึ้นหรือลดน้อยกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เธอเป็นฝ่ายแสดงออกตลอดเวลาที่ได้รู้จักกันมาว่าต้องการให้มีความก้าวหน้าขึ้นไปจนถึงการแต่งงาน หากท่าทีของปราชญ์ไม่เคยมากไปกว่านี้
......จะเป็นเพราะลูกสาวคนโปรดหรือเปล่านะ....
จะเป็นเพราะคิดมากไปเองหรือไม่ ตั้งแต่ทราบมาว่าเขาได้รับครูพิเศษมาช่วยดูแลลูกสาวผู้พิการถึงบ้าน เมื่อแรกนั้นก็เบาใจว่าเป็นครูอายุมากแล้ว ผ่านการมีครอบครัวมีลูกถึงสองคน ไม่น่าจะต้องกังวล อย่างไรเสียฝ่ายชายก็ไม่เคยมีข่าวคบหากับหญิงใดเป็นพิเศษนอกจากเธอ
ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะมาจากธุรกิจระหว่างเขากับเธอก็ตามที หากเมื่อได้มาพบกับครูทอรุ้งแล้วเธอเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ทั้งการที่เขาเริ่มห่างหายจากการพบปะเธอ ถ้าไม่ใช่เรื่องงานแล้วเขาแทบจะไม่มีเวลาออกไปพบเธอเลย
คิดมากไปหรือเปล่านะ อาจจะไม่มีอะไร วัสสิกานึกปลอบใจตน
วันนี้ทั้งที่เขารับปากไว้เป็นมั่นเหมาะที่จะไปตกลงเรื่องผลผลิตส้มปีนี้ ทั้งยังรับปากจะไปรับประทานอาหารมื้อค่ำด้วย หากความใจร้อนที่ทำให้เธอไม่สามารถรออยู่กับที่ได้ จึงต้องเข้ามาถึงสวนส้ม
หญิงสาวนั่งรออยู่นานดูเหมือนจะมีแต่นางซอที่บังเอิญผ่านมาบนเรือนใหญ่จึงรู้ว่ามีแขกมารอพบเจ้าของบ้าน เธอจึงได้มีน้ำและผลไม้สดรับประทานเป็นของว่างระหว่างที่รอ
นางซอเองอดที่จะนำผู้หญิงสองคนที่มีวัยวุฒิและคุณวุฒิแตกต่างกันไม่ได้ แสงจิ่งมักจะพูดถึงแม่เลี้ยงคนนี้ว่า เธอไม่ค่อยชอบน้องฝันและทำท่ารังเกียจเสมอเวลาที่น้องฝันเข้ามาพูดคุยอย่างไร้เดียงสา นางได้แต่ห้ามไม่ให้ลูกสาวของตนเอาเรื่องนี้ไปพูดให้คนอื่นฟัง
"เฮาบ่ไจ้เป๋นอะหยังเปิ้น อู้ไปบ่าดี ดักปากเหียเน้อ"
การรอคอยมักจะดูเนิ่นนานเสมอกว่าทั้งหมดจะกลับมา ปราชญ์เดินเข้ามาท่าทีเนือยๆ วัสสิกาอยากจะต่อว่าแต่ก็ต้องสะกดคำไว้ด้วยรู้จักนิสัยของเขาดี
ไปกันรึยังครับ ต้องขอโทษนะครับที่ให้มารอ
ไม่เป็นไรค่ะ ดีก้อใช้ ไข้ก้อรักษาเป็นธรรมดาค่ะ ใบหน้าผ่อง เนียนด้วยเครื่องสำอางค์ยิ้มหวาน ไม่เป็นอะไรมากใช่ป่าวคะ
ข้อเท้าพลิกครับ
อ่อ ค่ะ เราไปธุระของเรากันเถอะค่ะ เธอตัดบทอย่างไม่แยแส
ครับ
แต่ก่อนจะออกไปกันจริงๆ เขาก็ยังไม่วายที่ต้องไปกำชับกำชาเรื่องการดูแลผู้ป่วยอีกหนกับป้าพรรณ วัสสิกาเดินคล้องแขนเขาไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้กับอาการขืนตัวเล็กๆ จากเขาและสายตาที่เขม้นมองของคุณแม่บ้าน
27 ธันวาคม 2550 19:56 น.
ฝากรักฟากฟ้า
ทิวต้นส้มที่เรียงรายสูงๆ ต่ำๆ ไล่ไปตามเนินเขา ดูกว้างใหญ่ไพศาลเรื่อยขึ้นไปตามความสูงชันของไหล่เขา ทำให้ทอรุ้งเกิดความสงสัยเสมอว่า เวลาเก็บส้มคนงานจะทำอย่างไร ตอนนี้ส้มยังไม่สุกเต็มที่ ยังเป็นสีเขียวเข้ม คนงานสวนแบ่งกลุ่มกันไล่ตัดผลส้มทิ้งบางส่วนเพื่อช่วยลดปริมาณผลส้มในพวงและรักษาคุณภาพของรสชาด ป้าพรรณมักจะเอาส้มนอกฤดูวางไว้ในตะกร้าผลไม้บนโต๊ะอาหารทุกมื้อ
แต่ละต้นมีไม้ไผ่ที่ผ่าซีกค้ำยันประคองกิ่ง ที่หนักไม่ให้หักลง ส่วนหนึ่งของสวนเป็นเนื้อที่ของสวนลิ้นจี่ที่เพิ่งถูกเก็บผลผลิตหมดไปไม่นาน ต้นลิ้นจี่สูงใหญ่ เป็นพุ่มหนา จนทำให้บริเวณส่วนนั้นเป็นป่ากลายๆ ร่มรื่น โชคดีที่ในสวนมีลำธารเล็กๆ ไหลผ่านจึงในทำให้มีน้ำใช้ แต่ปราชญ์เคยพูดให้เธอฟังอยู่ว่า ต้องระวังไม่ให้เกิดปัญหาการใช้น้ำสำหรับสวนที่อยู่ถัดไป เพราะเขาเองก้อไม่ใช่คนในพื้นที่โดยกำเนิด ไม่อยากให้ถูกมองว่าเป็นนายทุน
ทอรุ้งกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปตัวเล็กเก็บภาพสวนส้มและสวนลิ้นจี่อย่างเพลิดเพลิน เธอไม่ได้เดินเข้าไปในส่วนของสวน เพียงแต่เดินไปตามทางขึ้นเนินเขาจากด้านสนามหลังบ้าน จุดที่เธอกำลังยืนอยู่เป็นจุดที่อยู่สูงสามารถมองลงเห็นบริเวณอาณาเขตสวนตลอดไปจนถึงทั่วหมู่บ้านสุดลูกหูลูกตา เบื้องหลังเป็นเขาสูงสลับซับซ้อนกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่าด้านตะวันตกเฉียงเหนือ บริเวณบ้านจะแยกอยู่คนละส่วนของสวนโดยมีลำธารเล็กๆ กั้นส่วนไว้ บ้านถูกบดบังด้วยต้นไม้หลากหลายที่นำมาปลูกประดับได้อย่างลงตัว
ที่ตรงนี้คุณปราชญ์มาซื้อไว้ก่อน แล้วค่อยๆ ขยายไปซื้อที่สวนมาทำ
ป้าพรรณเคยเล่าให้ฟังเป็นความรู้พร้อมกับชี้มือกวาดไปให้ดูความกว้างใหญ่ของสวน
ช่วงที่เขาพ่นยาส้ม ครูรุ้งก้ออย่าเพิ่งเข้าไปนะคะ กลิ่นยามันเหม็น เดี๋ยวจะไม่สบายเอา
กลิ่นสารเคมีที่ฉีดพ่นกลิ่นฉุน รุนแรงจริงๆ เมื่อครั้งแรกที่ได้กลิ่นเธอถึงกับรื้อค้นทุกซอกในเรือนพัก ด้วยเข้าใจว่ามีอะไรมาเน่าเหม็นจนเด็กแสงจิ่งมาเฉลยนั่นแหละ
ทางเดินขึ้นเล็กๆ ที่ไล่สูงขึ้นไปคล้ายไม่ค่อยมีใครเดินผ่านไป แต่กลับชวนให้อยากเดินต่อ บ่ายวันนี้เป็นวันว่างเพราะน้องฝันนอนหลับหลังมื้ออาหารกลางวัน
ในตอนแรกๆ ปราชญ์ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นักแต่เธอยืนยันที่จะให้เด็กน้อยได้พักผ่อน
วัยนี้ต้องได้หลับกลางวัน จะดีต่อสุขภาพค่ะ ร่างกายแล้วก้อสมองเจริญเติบโตเต็มที่
แต่กว่าจะให้น้องฝันคุ้นเคยกับการหลับกลางวันก็ยากเอาการ เธอต้องเปิดเพลงและเล่านิทานให้ฟังเสมอ พัฒนาการของน้องฝันเป็นไปช้าๆ หากเปรียบเทียบกับเมื่อเธอมาดูแลครั้งแรกน้องฝันนับว่าดีขึ้นเป็นลำดับ
พรุ่งนี้ปราชญ์ต้องพาน้องฝันไปพบหมอที่ศูนย์ฯ อีก เธอได้จัดเตรียมรายงานพัฒนาการไว้เพื่อให้หมอประจำตัวของน้องฝันได้อ่าน
พรุ่งนี้ครูรุ้งคงต้องไปด้วยนะครับ เพื่อหมออยากจะได้คุยกับครูด้วย
เขาสั่งไว้ เธอเองก็คิดอยู่ว่าจะขอตามไปในตัวเมืองเชียงใหม่ด้วยเช่นกัน
ทอรุ้งคิดเพลินขณะที่เดินขึ้นไปตามทางเล็กๆ นั้น จนสุดทางเดินเป็นลานดินแคบๆ รกเรื้อด้วยต้นไม้ คงจะสูงพอประมาณเมื่อมองลงไปจะเห็นหมู่บ้านไกลๆ ได้ยินเสียงน้ำในลำธารไม่ดังนัก เงียบสงบ
เธอยกกล้องคู่มือขึ้นเก็บภาพทิวทัศน์เบื้องล่างและต้นไม้ บริเวณนั้นจนลืมสังเกตกลุ่มเมฆสีเทาเข้มจากบนยอดดอย จู่ๆ เม็ดฝนก็โปรยปรายลงมาและมีท่าทีจะตกหนักขึ้น ทอรุ้งรู้สึกละล้าละลังด้วยไม่รู้จะทำอย่างไร เธอหันไปมองหาที่ที่พอจะหลบฝน
พลันเหลือบไปเห็นโพรงที่ถูกคลุมด้วยเถาวัลย์ที่ไม่ได้สังเกตแต่แรก เธอจึงรีบแทรกตัวไป...คงพอหลบฝนได้บ้าง..
เดินเข้ามาอีกหน่อยก้อได้ครับ ครู
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากส่วนที่ลึกเข้าไป ทอรุ้งสะดุ้งเฮือก มือไม้เย็นเฉียบ เธอหันขวับไปจ้องมองฝ่าความมืดภายใน สักครู่เธอจึงค่อยๆ เห็นแสงสว่างที่เรื่อเรืองจากดวงไฟดวงเล็กๆ ร่างหนึ่งลุกขึ้นยืนทะมึน ทอรุ้งเซผงะถอยหลังออกไป
ผมเองครับครู
ร่างนั้นเคลื่อนตัวเข้าอย่างรวดเร็ว สายตาที่ชินต่อความมืดจึงรู้ว่าเป็นเงาร่างที่คุ้นตา
ตกใจเหรอครับ
อ่ะ เอ่อ ...ค่ะ ม่ะ..ไม่คิดว่าเป็นคุณปราชญ์ เธอพูดตะกุกตะกัก ก้าวถอยหลังออกไปอีกอย่างไม่รู้ตัว ปราชญ์เอื้อมมือมาคว้าแขนเธอดึงกลับเข้ามา
ระวังครับ ฝนตก ถนนลื่น เขาไม่วายพูดหยอก
เธอรู้สึกถึงลมหายใจที่รดบนเรือนผมจนต้องเบี่ยงตัวออกจากการจับกุมของเขา หากเขาไม่ยอมปล่อยกลับเปลี่ยนเป็นจูงมือเธอเข้าไปด้านใน
แท้จริงโพรงนี้อยู่ในชะง่อนผาที่ยากจะสังเกตจากภายนอก ภายในไม่กว้างมาก แค่พออยู่ได้สองคนสบายๆ ด้านในสุดลึกพอจะหลบฝนได้ แสงสว่างที่เรื่อเรืองนั้นมาจากตะเกียงน้ำมันดวงเล็ก พอให้เห็นภายใน
ปราชญ์พาเธอมานั่งลงที่เก้าอี้สนามตัวเล็ก ข้างเก้าอี้เป็นหีบใบเขื่องซึ่งน่าจะเป็นลังไม้ เขายกฝาขึ้นค้นหาอะไรกุกกักอยู่ ก่อนจะยกเก้าอี้สนามแบบพับอีกตัวนหนึ่งออกมากางนั่งอีกด้านหนึ่งของลังไม้
ที่ปลีกวิเวกของผมครับ เขาพูดแบบชวนคุย ไม่ค่อยมีใครรู้ นอกจากผมกับป้าพรรณ
เขาเปิดลังไม้อีก คราวนี้ส่งผ้าผืนใหญ่ นุ่มให้เธอ
เอาคลุมตัวหน่อยครับ ตัวเปียก เดี๋ยวไม่สบาย
น้ำเสียงเชิงสั่งกลายๆ ทอรุ้งกล่าวขอบคุณก่อนเอื้อมมือไปรับมาทำตามที่เขา สั่ง พลางเหลือบไปมองลังไม้ให้นึกสงสัยว่าจะมีอะไรอีก ...รถยนต์มั้ง.... ดูเหมือนเขาจะมองเห็นความสงสัยของเธอในแววตา
ผมเอาสัมภาระแบบเดินป่ามาเก็บในลัง บางทีผมอยากจะตัดความวุ่นวายบ้าง ผมก้อแอบมาที่นี่
ค่ะ
ป้าพรรณจะไม่ให้ใครมายุ่งแถวนี้
ดิฉันเดินมาเที่ยวด้านหลัง ไม่ได้ตั้งใจค่ะ ทอรุ้งทำเสียงขุ่น
ครับ ผมรู้
...รู้ได้ไง....
ดูเหมือนปราชญ์จะชอบตอบคำถามในแววตาคู่นั้นเสมอ
ผมเห็นคุณเดินขึ้นมาแล้ว ไม่คิดว่าจะขึ้นมาจนถึงข้างบน
ค่ะ ทอรุ้งตอบเบาๆ ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น ปกติแล้วเธอกับนายจ้างหนุ่มใหญ่วัยไล่เลี่ยกันนี้ ยังไม่เคยอยู่ตามลำพังในที่คับแคบแบบนี้ เสียงฝนที่ตกข้างนอกยังคงกึก้องให้รู้ว่าตกหนักเพียงใด โชคดีที่โพรงนี้ลึกพอไม่ให้ละอองฝนกระเซ็นเข้ามาได้
มาอยู่เกือบสองเดือน เริ่มคุ้นกับชีวิตในสวนรึยังครับ ครู เขายังคงชวนคุยไปเรื่อยๆ
ก้ออยู่ได้ค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ทอรุ้งยิ้มขณะที่ตอบ ปราชญ์รู้สึกชอบมองกิริยานี้ของเธอเสมอ
ทุกคนใจดีกับดิฉันมาก
ผมด้วย เขาโมเมตามหน้าตาเฉย ทอรุ้งเหลือบมองอย่างนึกฉงน ความจริงครูน่าจะเรียกชื่อตัวเองมากกว่านะครับ อย่างเวลาคุยกับป้าพรรณ
แต่เธอไม่ตอบด้วยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
บางคืนผมเห็นครูรุ้งทำงานดึกจัง ไม่เหนื่อยเหรอครับ
ไม่หรอกค่ะ ชินค่ะ คือ..เขียนบทความส่งให้เพื่อนค่ะ
เป็นนักเขียนเหรอ
เปล่าค่ะ แค่บทความเล็กๆ เท่านั้นเองค่ะ
แล้วส่งยังไงครับ ไม่เห็นครูเข้าไปเวียง
อ๋อ! ส่งทางเมล์ค่ะ
...ทันสมัยไม่เบาเลย ครูคนนี้...
พรุ่งนี้เข้าเชียงใหม่ ครูจะไปธุระที่ไหนบ้างรึป่าวครับ
มีค่ะ ดิ..เอ่อ พอดีมีนัดค่ะ ทอรุ้งบอกสั้นๆ ละคำเรียกชื่อตัวเองไปเฉยๆ
....สงสัยนัดเจ้าหมอแหง ยังงี้ต้องให้น้องฝันประกบไว้ก่อนดีกว่า.... ปราชญ์รู้สึกไม่เข้าใจตนเองที่ทำไมจู่ๆ จึงคิดไปอย่างนั้น
เตรียมอะไรไปฝากคนเชียงใหม่รึป่าวล่ะครับ
เมื่อใจเกิดเกเร น้ำเสียงของเขาจึงปิดไม่ค่อยมิด แต่อีกฝ่ายยังมีท่าทีไม่รู้สึกรู้สมอย่างใด
ไม่หรอกค่ะ แค่ไปเจอเท่านั้นก้อพอค่ะ
คนตอบตอบไปอย่างปกติ แต่คนฟังกลับทำหน้าบึ้งอยู่ใต้หนวดเครานั้น
เขาคงดีใจนะครับ
ค่ะ ไม่ได้เจอกันนาน
...แม่คู้ณ ดูจะดีใจจนปิดไม่ได้เชียวนะ....
ปราชญ์นั่งจ้องดูครูของลูกสาว ผมที่เปียกฝนลุ่ยกรอบหน้าแฉล้ม เจ้าตัวไม่ได้สนใจจะปัดหรือจะทำให้เรียบร้อยกว่านี้ ใบหน้าไร้เครื่องสำอางค์แต่ยังชวนให้มองไม่เบื่อตา ต่างกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนนั้นแทบไม่มีครั้งใดที่ปราศจากเครื่องสำอางค์
ดูเหมือนฝนจะหยุดแล้วค่ะ เธอพูดอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับลุกขึ้นพับเก็บผ้าผืนนุ่มนั้น ปราชญ์กลับลุกขึ้นเก็บของอย่างอ้อยอิ่ง
ป่านนี้น้องฝันคงตื่นแหละ
ครับ
เขาเก็บของลงไว้ในลังไม้เหมือนเดิม ก่อนจะดับตะเกียงน้ำมัน เขาบอกให้เธอออกไปรออยู่ที่ปากโพรง สักครู่เขาจึงเดินตามออกมา
ทอรุ้งค่อยๆ เดินลงทางเดินป่าแคบๆ ซึ่งหลังจากฝนเพิ่งหยุดทางเดินที่เปียกชื้นยิ่งเพิ่มความเฉอะแฉะทำให้เดินลำบากยิ่งขึ้น เธอคอยเหนี่ยวกิ่งไม้ข้างทางขณะลงทางลาดชัน บางแห่งยังมีน้ำไหลลงมาเป็นทางเล็กๆ ดินร่วนร่วงพรูตามเท้าที่ย่ำลงไป
ค่อยเดินลงนะครับ ทางลื่น
ปราชญ์คอยบอกเตือนเป็นระยะ บางครั้งเขาพยายามส่งมือไปให้จับแต่ครูทอรุ้งกลับคว้าเพียงกิ่งไม้ตามทาง
...ท่าทางดื้อเอาการอยู่แฮะ....
เขามองดูทอรุ้งที่กำลังค่อยๆ ย่ำลงไปก้อนหินที่ดินรอบๆ ถูกน้ำฝนชะร่วงไปไป ตะไคร่น้ำที่คลุมเป็นเมือกลื่น เธอขยับเท้าไปมาเพื่อหยั่งดูว่าดินรองรับนั้นจะอ่อนยุบตัวไปหรือไม่ ปราชญ์จึงส่งมือให้อีกครั้งเมื่อเธอเงยหน้าเหลียวมองหากิ่งไม้ที่จะเหนี่ยวพยุงตัว
จับมือผม เดี๋ยวลื่น
ทอรุ้งเพียงหันมายิ้มบางๆ แต่ยังคงไม่ส่งมือให้เหมือนเดิม
ขอบคุณค่ะ ไม่เป็นไร พอด่ะ......!!!!
อ๊ะ! ทอรุ้ง ระวัง!
ปลายมือเอื้อมไปคว้าไม่ทัน ร่างอ้อนแอ้นนั้นลื่นไถลลงไปจนได้ เขากระโจนตามโดยไม่คิดแต่ความที่คล่องตัวในการเดินป่ากว่า ทำให้เขายังทรงตัวยืนอยู่ได้ แต่คุณครูของลูกสาวกลับล้มนั่งกับโคลนเปียกๆ ขาข้างหนึ่งเหยียดไปข้างหน้า อีกข้างหนึ่งงอพับ รองเท้าผ้าใบเลอะโคลนสีดำไปเต็มๆ เช่นกับกางเกงลูกฟูกสีดำและเสื้อยืดคอกลมสีน้ำตาล ตัวเอียงโดยมีศอกข้างซ้ายยันตัวไว้ มืออีกข้างชูกล้องถ่ายรูปไว้
เป็นไงมั่งครับ เจ็บตรงไหน
เขาถามอย่างเป็นห่วง แต่เจ้าตัวกลับเงยหน้าขึ้นมองยิ้มฝืนๆ
กล้องยังอยู่ค่ะ
ผมไม่ได้ถามเรื่องกล้อง
เขาทำเสียงฮึ่มฮั่มในคอทั้งฉุนทั้งขำคนรั้นที่อยู่ตรงหน้า ทอรุ้งยิ้มจืดๆ หลบตาเข้มคู่นั้น
....หนวดกระดิกเลย หว่า....
เขาคุกเข่าลงข้างตัวพร้อมกับค่อยๆ ขยับขาที่พับอยู่
เจ็บมั๊ยครับ
ทอรุ้งพยายามเบี่ยงตัวหลบแต่เขาไม่ได้สนใจ เธอทำได้เพียงกัดฟันไม่ส่งเสียงครางเมื่อรู้สึกแปลบที่ข้อเท้า
ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เจ็บ ล้มนิดเดียว
นิดเดียวอะไร ยังกะช้างตกดอยแน่ะ
เขาตอบอย่างนึกหมั่นไส้คนปากแข็ง ผลก็คือตาคมคู่นั้นยิ่งเข้มขึ้น ริมฝีปากแดง เต็มอิ่มเม้มแน่น
ช้างตัวเล็กๆ ครับ
ไม่เคยคิดว่าเขาจะชอบยั่วโมโหคนได้เหมือนกันแม้ในยามนี้ ทอรุ้งใช้มือซ้ายยันตัวขึ้น มือขวายังไม่ยอมปล่อยกล้องถ่ายรูป ทั้งยังเบี่ยงตัวออกจากการพยุงของนายจ้างหนุ่มใหญ่
ขอบคุณค่ะ ไม่เจ็บอะ...โอ๊ย!
ทอรุ้งเซเกือบถลาล้มอีกแต่คราวนี้เขาคว้าตัวได้ทัน แขนที่แข็งแรงรวบร่างนั้นไว้
อย่ารั้นนักเลย ครู
เมื่อปราชญ์ทำเสียงเข้ม ทอรุ้งจึงได้แต่นิ่งเงียบ