18 กรกฎาคม 2545 20:20 น.

คนที่ใช่......ในวันที่ผิด (ตอนที่ 3 จบ)

ฝันหวาน

ตอนนี้ฉันกำลังรอคอยด้วยความหวัง ทั้งๆ ที่ความหวังริบหรี่ซะเต็มทน และแล้วเขาก็โทรมาหาฉัน นั้นเป็นวันที่ฉันรู้สึกเป็นสุขเหลือเกินชีวิตฉันสดใสขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว

	หลังจากการฝึกอบรมเสร็จสิ้นลง เขาโทรมาหาฉันในวันรุ่งขึ้น ฉันดีใจมากหลังจากที่ตลอดทั้งคืนต่อกับอีกครึ่งวัน ฉันต้องกลายเป็นโรคซึมเศร้า เราคุยกันเพียงนิดหน่อยเท่านั้น แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลยค่ะแต่ในที่สุดเขาก็ไม่ติดต่อมาอีกเป็นเวลาเดือนกว่าๆ ช่วงระยะเวลานั้นฉันรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก แม่บอกว่าฉันดูแย่มากๆ โดยที่แม่พยายามถามฉันว่าฉันเป็นอะไร ก็เพราะว่าตอนนี้ฉันกำลังรอคอยด้วยความหวังทั้งๆ ที่ความหวังริบหรี่ซะเต็มทน
		..กริ๊ง...กริ๊งงงง.....วันหนึ่งที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นปกติ
		"ฮัลโหล ซา-วัด-ดี-ค่ะ"  ฉันรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงซังกะตาย
		"หวัดดีครับ......" เสียงผู้ชายค่ะคุณขา ผู้ใดกันเนี่ย....
		"เอ่อ....ขอสาย....ครับ" ขอสายฉันด้วยค่ะคุณขา 
		"กำลังพูดอยู่ค่ะ ใครค่ะนั่น" ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เพราะฉันคิดว่าคงไม่พ้นไอ้พวกเพื่อนตัวดีโทรมาแกล้งแน่นอน
		"นี่พี่เองนะ....." ฉันก็นึกในใจว่าพี่ไหน ตั้งแต่ฉันลืมตาดูโลกฉันก็ไม่มีพี่น้องที่ไหนนี่นา(ฉันเป็นลูกคนเดียวค่ะ)
		"พี่ไหนค่ะ"  ฉันถามกลับไปอย่างแปลกใจแกมใคร่รู้
		"พี่...จำพี่ไม่ได้แล้วเหรอ" คุณขาพี่เขานี่เองค่ะ ฉันดีใจแทบช๊อกแน่ะค่ะ
		"จำได้สิค่ะ พี่หายไปไหนมาตั้งนาน" ฉันถามอย่างรีบร้อนอย่างกับกลัวว่าเขาจะรีบวางไปเสียก่อน
		"พี่ก็ต้องไปฝึก งานพี่เยอะจ้ะช่วงนี้" เราคุยกันได้สักประมาณ 2 นาที ก็มีสายซ้อนเข้ามา ให้ตายซิทำไมมันต้องมาซ้อนตอนนี้ด้วยก็ไม่รู้บังเอิญอีกนะค่ะว่ามันเป็นสายของแม่ ฉันก็เลยต้องหยุดพักการคุยกับพี่เขาไว้เพียงแค่นั้น แต่เขาสัญญาว่าเขาจะโทรมาอีก......ฉัน ได้ แต่ รอ คอยต่อ ไป
	
		เขาหายไปอีกแล้วค่ะ เขาหายไปนานกว่าเก่าอีกคราวนี้เดือนครึ่ง แล้วก็ปล่อยให้ฉันเป็นฝ่ายรออีกเช่นเคย อย่าสงสัยเลยนะค่ะว่าทำไมฉันถึงไม่โทรหาเขา นั่นก็เป็นเพราะว่าเบอร์ที่เขาให้ฉันมันเป็นเบอร์ที่ทำงานซึ่งแน่นอนค่ะ เขาไม่ได้เข้าทำงานมานานแล้ว (เนื่องจากเขาถูกขอตัวไปช่วยในการฝึกครั้งนี้) ในวันที่เขาโทรมาหาฉันครั้งนี้ก็มีอุปสรรคอีกเช่นเคย่จะอะไรซะอีกล่ะค่ะ สายซ้อนอีกตามเคยของแม่อีกเช่นกันค่ะ(อะไรกันนักกันหนาก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ) เราคุยกันเพียงนิดหน่อยแต่ความดีใจก็ยังคงท่วมท้นอีกเช่นเคย แล้วก็จบด้วยการรอ........คอยเพื่อให้เขาโทรมาเหมือนทุกครั้ง

		จนเมื่องานที่เขาทำได้รับความสนใจ เพราะถืองานเป็นเพื่อสังคม และทางช่อง 3 ได้นำเสนอข่าวงานของพวกพี่เขาออกทางหน้าจอโทรทัศน์ฉันได้เห็นเขาอีกครั้งในทีวีนั่นเอง และนั่นเป็นสาเหตุให้ความคิดถึงที่มันอัดแน่นและมีมานานทะลักทะลายแบบอดรนทนไม่ได้ ในวันรุ่งขึ้นฉันคิดว่ายังไงฉันก็ต้องเจอพี่เขาให้ได้ ฉันเริ่มปฏิบัติการ โดยการโทรไปหาพี่หรั่ง (พี่เขาเคยให้เบอร์ไว้ เพราะตัวเขาเองตอนนั้นยังไม่มีมือถือ) 
		"หวัดดีค่ะพี่หรั่งนี่หนูเองนะค่ะ" พี่หรั่งคงสงสัยนิดหน่อยว่าฉันเป็นใครแต่พอฉันแนะนำตัวเรียบร้อยแล้ว พี่เขาก็จำได้ ฉันรีบขอสายพี่เขาด้วยความรวดเร็ว  (เพราะกลัวจะเปลืองค่าโทรศัพท์ง่ะ) 
		"ฮาโหล พี่.....หนูเองน่ะ ทำไมไม่โทรมาหาเลยง่ะ แล้วตอนนี้ฝึกอยู่ที่ไหนค่ะเนี่ย" ฉันยิงคำถามใส่เขาเป็นพัลวัน เขาก็ตอบฉันในทุกคำถามที่ฉันอยากรู้ แต่สิ่งที่ฉันคิดไว้ก็คือวันนี้ยังไงฉันต้องเจอเขาให้ได้
		"หนูไปหาพี่ได้ไหม ตอนนี้" ฉันก็ไม่รู้ว่าความเป็นกุลสตรี และฟอร์มที่เคยมีมันหายไปไหนหมด สิ่งที่ฉันเรียกร้องมันถูกตอบสนองด้วยน้ำเสียงที่น่าฟังยินนัก
		"มาสิ ถ้ามาจริงพี่จะดีใจมากเลย" ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ฉุดฉันไม่อยู่แล้ว ฉันถึงขนาดโดดเรียนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ (ฉันรู้ดีค่ะว่ามันไม่สมควรแต่อารมณ์มันพาไปนี่นา อย่าเอาอย่างนะค่ะ)

		หลังจากเขาบอกสถานที่ที่เขาอยู่เรียบร้อยแล้ว ฉันก็ไปหาเขาในทันทีทันใด เราได้พบกันอีกครั้งนั่นเป็นวันที่ฉันไม่สามารถลืมเลือนไปตลอดชีวิต การไปหาเขาในครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ ฉันทำในหลายสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดจะทำมันเลยตลอดชีวิต ฉันโกหกแม่ ฉันนอนค้างที่อื่นคงไม่ต้องบอกต่อนะค่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนั้นมันเป็นเรื่องที่ฉันอยากให้มันเกิดขึ้นในชีวิตฉันเพียงคนเดียว อยากให้หลายๆ คนอย่าผิดพลาดหรือต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับฉัน เขาบอกว่าเขารักฉัน แน่นอนค่ะฉันเชื่อเชื่อจนถึงทุกวันนี้เชื่อทุกสิ่งทุกอย่าง........แต่คุณขามันว่างเปล่าเหลือเกินค่ะทุกอย่างว่างเปล่าและไร้จุดหมายค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่ง

		หลังจากที่เรา........เขายังคงเหมือนเดิมทุกอย่างค่ะ แต่แล้ววันหนึ่งสิ่งที่ฉันคิดไม่ถึง และไม่เคยคิดมาก่อนก็เกิดขี้น เมื่อฉันได้รับข้อมูลบางอย่างจากเพื่อนของเขา ฉันมารู้ทีหลังว่าเขาไม่ได้ถือครองสถานภาพโสดอย่างที่เขาบอกฉัน  ฉันตัดสินใจถามเรื่องนี้กับเขาตรงๆ หลังจากที่ฉันเคยถามเขามาแล้ว แต่คำตอบที่ได้ทุกครั้งก็คือ เขาบอกว่าเขาอยู่คนเดียวยังไม่มีใครนอกจากฉัน แล้ววันหนึ่งที่เราได้พบกันฉันก็ขุดคุ้ยเรื่องนี้มาพูดอีกครั้ง คราวนี้คำตอบที่ฉันได้รับตรงกับข้อมูลจากเพื่อนผู้หวังดีกับเขาเหลือเกิน จะต่างกันก็ตรงที่ว่า เพื่อนของเขาบอกว่าพี่เขามีภรรยา (ต้องเรียกอย่างนี้เลยค่ะ) แล้วและเลิกกันไปแล้วมีลูกคนหนึ่ง แต่สิ่งที่ออกจากปากเขาก็คือ เขามีภรรยาแล้วจริงๆ แถมยังไม่ได้เลิกกันด้วยซ้ำ ความรู้สึกที่ต้องรับรู้ความเป็นจริงในตอนนั้น ฉันไม่มีน้ำตาสัก
หยดที่จะไหล ฉันรู้แต่ว่าโลกใบนี้ไม่น่าพิศมัยเอาซะเลยยยยยยย.........

		ฉันตัดสินใจขอเลิกกับเขา แต่มันไม่เป็นผล เขาไม่ยอมเลิกกับฉันค่ะ.......ใจฉันเองก็ไม่พร้อมที่จะตัดเขาออกไปอย่างทันท่วงที ทั้งๆที่ฉันเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางที่ฉันกับเขาจะได้อยู่ร่วมกันแน่นอน ความรักที่มาทีหลัง  ความรักที่เป็นเสมือนภาพลวงตา แน่นอนค่ะฉันรักคนที่ใช่.....เพียงแต่มันผิดที่ผิดเวลาเท่านั้นเอง

		ถึงวันนี้เป็นเวลาปีกว่าๆ แล้วที่เรายังคงคบกันอยู่ ฉันรู้ดีว่าสิ่งที่ฉันทำมันอาจไม่ถูกต้อง แต่ตลอดเวลาที่คบกันเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉันมีโอกาสได้รู้จักกับเพื่อนๆของเขาในฐานะแฟนเขา ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นไม่มีโอกาส เขาไม่เคยพาผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเมียเขาไปไหนด้วยสักครั้ง สังคมของเขาฉันคือแฟน แต่ครอบครัวของเขาคือผู้หญิงคนนั้น ฉันรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจสักนิด และฉันก็รู้ว่าไม่มีวันที่เขาจะทิ้งครอบครัวของเขาเพื่อมาอยู่กับฉันแน่นอน ทุกวันนี้สิ่งที่เป็นอยู่ฉันไม่ได้ปราถนามันสักนิด ฉันทำในสิ่งที่ทำร้ายหัวใจตัวเองและผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ฉันรู้ดี.........

		ฉันได้พาตัวเองตกไปในเหวลึกแสนลึก ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะฉุดตัวเองขึ้นมาได้ ฉันพยายามตะเกียกตะกายแต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นผล  ฉันยังคงทำผิดต่อไปเพราะหัวใจที่ไม่เข้มแข้งพอ และเพราะความรักที่ยังคงทำให้ฉันมองข้ามความจริง ทุกอย่าง...................ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะทำยังไงต่อไปเหมือนกัน ฉันได้แต่รอรอไม่ได้รอให้เขาเลิกกับภรรยาเขาหรอกค่ะ แต่รอให้หัวใจตัวเองตัดเขาได้ซะที รอให้ตัวเองขึ้นมาจากเหวนี้ซะทีรอ รอ แล้วก็ รอค่ะ

		ก็เพราะเธอคือคนที่ใช่...ในวันที่ผิด
		ฉันนั้นไม่มีสิทธิ์คิดจะมีเธอไว้..................
******************************************************************************************
		ปล. หากคิดว่าจะรักใครสักคนจงรักอย่างมีเหตุผลและสตินะค่ะ อย่ารักเพราะรักเพราะนั่นจะทำให้คุณตาบอด ทำอะไรโดยไม่คิดถึงความจริงค่ะ และขอให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น ฉันหวังให้เป็นอย่างนั้นค่ะ ฉันรักเขาค่ะแต่เป็นรักที่ไม่ถูกทำนองคองธรรมแต่ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้นี่นา..............สักวันหนึ่งฉันจะเลิกรักเขาค่ะเป็นกำลังใจให้ด้วยนะค่ะ
******************************************************************************************
		จบแต่ไม่บริบูรณ์..........สักวันมันต้องจบแบบบริบูรณ์ฉันสัญญากับตัวเอง				
13 กรกฎาคม 2545 23:08 น.

คนที่ใช่......ในวันที่ผิด (ตอนที่ 2)

ฝันหวาน

วันที่ 4 ของการฝึกตอนเช้าของวันนี้เป็นการโชว์การดับไฟ และจับผู้ร้ายของทาง 191 เด็กๆ และฉันนั่งดูกันอย่างไม่กระพริบตา เขาพยายามเข้ามานั่งใกล้ๆ ฉันรู้สึกไปเองอีกแล้วรึเปล่า เด็กพยายามจับคู่ให้เรา พวกเด็กเหล่านี้ตัวแสบทั้งนั้น เขาก็ได้แต่หัวเราะส่วนฉันเองก็แกล้งดุเด็กๆเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้ผลเด็กจะล้อและผลักดันความรู้สึกฉันกับเขาต่อไป
	ตอนกลางวันฉันก็มีหน้าที่เตรียมอาหารให้เด็กๆอีกเช่นเคย วันนี้เขาก็มาช่วยตักกับข้าวเหมือนเคย แต่สักพักก็มีกลุ่มเด็กสาวกลุ่มหนึ่งเดินทางเพื่อมาหาเขาโดยเฉพาะ เขาคุยกันกระหนุงกระหนิงสนิมสนมกับเด็กสาวกลุ่มนั้น ฉันรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากมองอย่าไม่พอใจสักเท่าไหร่ และสงสัยว่า...มัน!....เป็นใครง่ะ
	วันนี้เป็นวันที่จะมีการแสดงรอบกองไฟ แต่ตอนบ่ายก็จะมีการเล่นเกมเงียบ เกมเงียบการคือการให้เด็กแสดงละครโดยออกแค่ลีลาท่าทาง ประกอบกับเสียงพากษ์ของครูฝึกสีต่างๆ สีแสดแสดงเรื่องเงาะป่าค่ะ เด็กๆเล่นได้น่ารักดีมากเลยค่ะ  หลังจากการแสดงเกมเงียบจบลง ก็ถึงเวลาของการแสดงรอบกองไฟ เด็กๆ พักทานข้าวในตอนเย็นแล้วก็ต้องเตรียมตัวที่จะแสดงรอบกองไฟต่อไป เขามีหน้าที่ต้องไปเล่นกีต้าร์บนเวทีกับเพื่อนๆ ของเขา ฉันจึงต้องดูแลเด็กๆ พร้อมกับเพื่อนของเขาอีกคนหนึ่ง
	ตลอดเวลาที่เขาอยู่บนเวที ฉันมองเขาแทบจะตลอดเวลา สิ่งที่ฉันได้พบก็คือเขาก็มองฉันเช่นเดียวกัน ฉันเริ่มรู้สึกอีกครั้งว่าฉันกับเขาเขาคิดตรงกัน.....แต่ฉันอาจจะคิดผิดก็ได้ ฉันพูดกับเพื่อนว่า
	ฉัน "ถ้าคืนนี้พี่เขาไปส่งเราก็ดีสิเนอะ ออมเพี้ยง" ฉันยกมือท่วมหัวได้แต่หวังว่าขอให้แรงอธิฐานเป็นจริง   หลังจากการแสดงรอบกองไฟจบลงก็เป็นเวลา 4 ทุ่มแล้ว มีครูฝึกหลายคนเสนอตัวไปส่งฉันที่บ้าน(ตามประสาคนสวยมีแต่คนสี555) แต่ฉันปฏิเสธจนถึงเขา
	เขา "กลับบ้านอย่างไงล่ะเนี่ย แล้วบ้านอยู่แถวไหนเหรอ"
	ฉัน "เดี๋ยวกลับกับเพื่อนก็ได้ค่ะ ถามทำไมค่ะหรือพี่จะไปส่งหนู" ฉันพูดแบบทอดสะพานให้เขาเลยนะเนี่ย
	เขา "ไกลไหมล่ะบ้านนะ" เขาถามในขณะที่กำลังง่วนกับการเก็บของที่กองอยู่เต็มตรงหน้า
	ฉัน "ไม่เป็นไรดีกว่า พี่คงเหนื่อยพักผ่อนเถอะค่ะเดี๋ยวหนูกลับเองก็ได้ค่ะ"  ความจริงฉันก็อยากจะให้เขาไปส่งจะตายแต่เห็นท่าทางที่แสนจะอิดโรยของเขาแล้วฉันรู้สึกว่าเขาคงเหนื่อยเหลือเกิน ฉันเดินออกมาหาเพื่อนที่รออยู่อีกทางหนึ่ง
	เพื่อน "เฮ้ย...เดี๋ยวพี่สามล้อเขาจะไปส่งเราแล้วเธอจะกลับไงล่ะ"
	ฉัน  "อ้าวไหงเป็นงี้ล่ะ ไหนว่าจะกลับพร้อมกัน"
	พี่สามล้อ "ก็พี่จะไปส่งง่ะ ทำไมล่ะแล้วเราไม่มีคนไปส่งเหรอ"
	พี่หนุ่ม "พี่ไปส่งเอาไหม" 
	ฉัน "ไม่เป็นง่ะค่ะกลับเองก็ได้" ครูฝึกอีกคนเสนอตัวไปส่งฉันแต่ว่าฉันไม่อยากไปกับเขาเลย เพราะเขาเป็นผู้ชายน่ากลัว~o^  ขณะนั้นเพื่อนฉันกำลังกระซิบกระซาบกับพี่สามล้อครูฝึกอีกคนหนึ่ง แล้วพี่สามล้อก็ตะโกนเรียกเขา	
	พี่สามล้อ "........ไปส่งน้องเขาหน่อยซิ" ฉันตกใจ
	ฉัน " พี่เดี๋ยวหนูกลับเองก็ได้" บอกด้วยความเสียเกรงใจสุดขีดแต่บอกไปงั้นแหละความจริงถ้าเขาไปส่งก็จะดีไม่น้อย
	เขา "อืมได้สิ แต่รอเดี๋ยวนะเอาของไปเก็บก่อนแล้วกัน" เขาหันมายิ้มให้ฉันเล็กน้อยแล้วเดินเอาของไปเก็บ ฉันเหลือบไปเห็นเพื่อนตัวดีหัวเราะกิ๊กกั๊ก...ฉันก็ได้แต่อมยิ้มความจริงก็นึกขอบใจมันอยู่ไม่น้อยเชียวแหละ
	เขาหายไปซักพักใหญ่ๆ ก็กลับออกมาพร้อมมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเป็นของเพื่อนเขา พี่สามล้อเองก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งเพื่อนฉันเหมือนกัน ฉันขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถเขาอย่างเขิน ฉันรู้สึกว่าตัวฉันร้อนมากทั้งๆ ที่ฉันว่าฉันก็สบายดี เขาขับรถช้าช้าอย่างไม่รีบเหมือนกับว่าไม่อยากถึง.....คิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้วง่ะ เราคุยกันตลอดทาง 
	ฉัน "ทำไมพี่ถึงไม่ค่อยพูดเลยล่ะค่ะ" ฉันถามเขาในขณะที่เขาขับรถเหมือนชมวิวไปเรื่อย เบาะรถนี่ก็ช่างกระไรมันชอบทำฉันไหลไปใกล้เขาซะทุกที ไอ้ครั้นจะถอยออกมามันก็ไหลกลับไปอีก ก็เลยจำยอมชิดเขาแบบถูกเบาะบังคับง่ะค่ะ
	เขา "พี่ก็เป็นงี้แหละถ้าคนไม่รู้จักพี่จะไม่ค่อยพูด พี่พูดไม่เก่ง" เขาตอบ
	ฉัน "อ้าวแล้วกับแฟนพี่ล่ะพูดไหมค่ะ" เหมือนเขาไม่ได้ยินหรือแกล้งไม่ได้ยินก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาเงียบไม่ตอบฉันฉันก็ไม่กล้าถามต่อ (และเก็บความสงสัยไว้ในใจ) จนถึงร้านจิ้มจุ่มร้านหนึ่งพี่สามล้อก็ชวนพวกเราแวะเราก็ได้นั่งคุยกันอีกพักใหญ่แต่ส่วนมากเราสองคนไม่ค่อยได้ใช้ปากคุยกันสักเท่าไหร่ เราใช้สายตาในการสื่อสารกันมากกว่า แววตาของเขาบอกอะไรหลายๆ อย่างให้ฉันรู้ว่า สิ่งที่ฉันคิดคงไม่แตกต่างจากเขาเท่าไหร่ เรานั่งกันอยู่สักพักเขาก็ขับรถมาส่งฉันที่บ้าน คราวนี้ได้คุยกันต่ออีกนิด
	ฉัน "รบกวนพี่แย่เลยนะค่ะเนี่ย เกรงใจจัง" พูดแบบมีมารยาทสุดขีดเลยค่ะ ดูแล้วเป็นคนขี้เกร๊งใจขี้เกรงใจเนอะค่ะ
	เขา "อืมไม่เลยจ้ะ พี่อยากมาส่งตั้งแต่แรกแล้ว" ฟังเขาตอบสิค่ะ แล้วอย่างงี้จะไม่ทำให้ใจฉันตะเลิดได้ไงเนี่ย ทีนี้หัวใจพองโตเลยค่ะ
	แต่เมื่อมอเตอร์ไซค์จอดตรงหน้าบ้าน เจอของแข็งเลยค่ะคุณขา แม่รอการกลับมาของฉันด้วยอาการโมโหสุดขีดค่ะ ก็ตอนนี้มัน ตี 2 แล้วนี่ค่ะ สมควรโดนแล้วแต่ฉันก็โทรมาบอกท่านแล้วนะค่ะ แต่ยังว่าล่ะค่ะแม่ก็ยังคงเป็นห่วงเช่นเคย แล้วยิ่งผู้ชายมาส่งด้วยนะค่ะ ความจริงเราไม่ได้กลับกัน 2 คนหรอกค่ะ ความจริงพี่สามล้อกับเพื่อนฉันเองก็ขับรถตามมาแต่เราหลงกันนิดหน่อยค่ะ ทันทีที่รถจอด	
	แม่ "ทำไมกลับดึกขนาดนี้" ชีวิตนี้ฉันไม่เคยกลับได้ดึกขนาดนี้เลยค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและจะมีครั้งต่อๆ ไปตามมา(อย่าเอาอย่างนะค่ะไม่ดีค่ะ) แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่คนได้ฟังคงรู้สึกไม่ดีหนัก ฉันก็ไม่ได้เถียงอะไรแม่สักแอะ เพราะรู้ตัวว่าผิดค่ะ พี่เขาเองก็กุลีกุจอรีบสตาร์รถออกแบบอัติโนมัติเลยค่ะ ฉันก็รีบเข้าบ้านสิค่ะก่อนที่จะโดนอะไรมากไปกว่านี้ค่ะ
	แม่ "ใครมาส่ง" ถามอย่างอยากรู้ ความจริงฉันแทบไม่เคยโกหกแม่เลยสักครั้งมีอะไรก็เล่าให้ฟังหมด ไม่เว้นแม้กระทั่วเรื่องแฟน แม่ฉันเป็นคนหัวสมัยใหม่ในบางเรื่อง เช่นถ้าคิดจะคบใครต้องบอกให้เขารู้อยู่ในสายตาผู้ใหญ่แต่บางเรื่องแม่ก็หัวโบราณเอามากๆ เลยแหละ แต่ฉันก็รักแม่นะ ~o^
	ฉัน "พี่ที่เป็นครูฝึกเขามาส่งจ้ะ" ฉันตอบพร้อมกับหลบสายตา เพราะกลัวว่ามันจะฟ้องว่าฉันคิดอะไรอยู่ แม่เป็นคนที่รู้ว่าฉันคิดอะไร ต้องการอะไรโดยที่ไม่ต้องบอกด้วยคำพูดเลย ฉันรีบไปอาบน้ำและเข้านอนอย่างด่วนที่สุด 
	คืนนั้นก่อนนอนฉันได้แต่บอกกับตัวเองว่าถ้าปาฏิหาริย์ในโลกนี้มีจริง ขอให้วันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้ายแล้ว(ของการฝึก)ที่เราจะได้พบกันเกิดอะไรขึ้นสักอย่างได้ไหม ที่ทำให้เราได้รู้จักกันต่อไป ได้คบกัน ขอให้ใจเขากับฉันตรงกัน........ฉันได้แต่อธิฐาน และหลับไปในที่สุด

	และแล้ววันสุดท้ายก็เดินทางมาถึง ฉันบอกตรงๆ ว่าฉันไม่ชอบวันนี้เอาเสียเลย ในตอนเช้าก็เป็นการปิดการฝึกอบรม พวกเด็กๆ ร้องไห้กันกระจองอแงเลย ฉันเองก็ไม่ต่างจากเด็กๆ เท่าไหร่ ที่ร้องเนี่ยไม่ใช่ว่าไม่อยากจากเด็กหรอกนะ แต่ไม่อยากจากผู้ใหญ่มากกว่า (555 ล้อเล่น) ความจริงมันก็ไม่อยากจากทั้งเด็กทั้งครูฝึกแหละ แต่ในการพบย่อมมีการจากฉันต้องทำใจกับมัน 
	ในขณะที่ฉันร้องไห้ขี้มูกโป่ง เขาก็ยังคงจ้องมองฉันเหมือนทุกวัน เขายิ้มเล็กน้อยพร้อมกับแววตาที่เหมือนจะมีอะไรอยู่ในนั้นมากมาย ฉันรู้สึกว่ามันช่างน่าค้นหาซะจริงๆ แววตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นที่มองฉัน ฉันรู้สึกชอบมันเหลือเกิน แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงฉันก็จะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว หรืออีกตลอดไป.......
	หลังจากที่เด็กจากไปพร้อมน้ำตา ทีนี้ก็เหลือแต่ครูฝึกกับบรรดาพี่เลี้ยงทั้งหลาย เพราะจะมีการจัดเลี้ยงส่งให้แก่พวกเราหลังที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานที่ไม่ได้รับอะไร นอกจากประสบการณ์และความรู้สึกดีดีของการอยู่ร่วมกัน ฉันเองคงจะได้อะไรจากค่ายนี้เยอะกว่าบรรดาพี่เลี้ยงด้วยกัน เพราะนอกจากประสบการณ์แล้วฉันยังได้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันรอคอยมานาน คนที่ใช่ไงค่ะ แล้วคุณคิดว่าฉันจะปล่อยให้คนที่ฉันรอคอยเดินจากไปเฉยๆ งั้นเหรอค่ะไม่มีวันค่ะ~o^
	งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย  บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกและเป็นกันเอง เขานั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่งซึ่งมีบรรดาเพื่อนเขาเต็มไปหมด ส่วนฉันนั่งอยู่โต๊ะไม่ห่างกันนักฉันมองเขาอย่างไม่คาดสายตาเพราะกลัวว่าเขาจะหนีกลับไปเสียก่อน เขาเองก็หันมามองฉันเป็นระยะเหมือนกัน ฉันภาวนาร้องขอปาฏิหาริย์อีกครั้งขอให้เขากับฉันได้คุยกันอย่างเปิดใจสักทีเถอะ  ฉันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เพราะรู้สึกอะไรๆ มันก็ไม่ได้ดั่งใจเลย ฉันพยายามเดินออกไปข้างนอกหลายครั้ง (เข้าห้องน้ำง่ะ) ด้วยหวังว่าเขาอาจจะหันมาเห็นและเดินตามออกมา แต่คุณขาจนแล้วจนรอดเขาไม่ออกมาสักที มั่วแต่บริโภคสุราลงกระเพาะอยู่นั่นแหละ หงุดหงิดจริงเชียว
	และแล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นจริงๆ ค่ะ ^o^ ในขณะที่เขาหยุดบริโภคสุราชั่วคราว เขาหันมามองฉันอีกครั้งพร้อมกับแสดงอาการโบกไม้โบกมือ ชี้โบ๊กชี้เบ้ให้ออกไปข้างนอก ดีใจสุดฤทธิ์เลยค่ะคุณขาแต่เก็บอาการอยู่ค่ะทั้งๆ ที่ใจเต้นไม่รู้จะเป็นจังหวะอะไรเลยค่ะคราวนี้ เขาเดินออกไปก่อนค่ะพอคล้อยหลังเขาฉันก็เดินตามออกไปติดๆ ค่ะ เดินแบบไม่รีบง่ะค่ะ พอฉันออกไปก็ไม่เจอเขาซะอีก ฉันพอเดาได้ว่าเขาคงเข้าห้องน้ำอยู่ ฉันก็เลยฟอร์มเข้าห้องน้ำบ้างค่ะ พอหลังจากฉันทำธุระเสร็จฉันก็เดินออกมาพร้อมกับเห็นเขาอยู่หันหลังให้อยู่ตรงบริเวณระเบียงของหอประชุม ฉันเดินไปหาเขา
	เราเงียบกันอยู่พักใหญ่แล้วก็เริ่มคุยกัน 
	เขา "เราคงรู้นะว่าพี่คิดยังไง พี่คิดว่าเราคงรู้สึกเหมือนกัน" เขาเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา ความจริงฉันก็รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ฉันก็ไถลไปเรื่อยทั้งๆ ที่ตอนนี้ฉันดีใจยิ่งกว่าสอบผ่านอีกนะเนี่ยที่ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ แต่ยังว่าผู้หญิงมารยาร้อยเล่มเกวียน ถ้าผู้หญิงไม่มีมารยาก็เหมือนกระเทยยังไม่แปลงเพศ เหมือนไก่ไม่มีขน (มันเกี่ยวกันไหมเนี่ย555) 
	ฉัน "พี่คิดอะไรหนูจะเป็นรู้ได้ไงล่ะ ก็บอกสิค่ะ" ฉันกลายเป็นผู้หญิงที่แสนอินโนเซนในพริบตา ซึ่งมันขัดกับความเป็นจริงซะเหลือเกิน ~o^
	เขา "เราก็รู้ใช่ไหมว่าพี่ทำงานแบบนี้ พี่ไม่ได้อยู่กับที่ต้องฝึกไปเรื่อยไปตามที่ต่างๆ (ใครถามเนี่ย555) ไอ้เรื่องที่จะต้องเจอกผู้หญิงที่มาช่วยฝึกอย่างเราอย่างเนี่ย หรือเด็กๆ เนี้ยนะมันเป็นเรื่องธรรมดา คือพี่อยากให้เราเข้าใจงานของพี่" อ้ออออออถึงบางอ้อเลยค่ะที่นี้  เขาคงอยากให้เรารู้ว่าเขามีผู้หญิงมาพัวพันเยอะว่างั้นเหอะแล้วเราเองน่ะรับได้แค่ไหน แต่ขอบอกเรื่องแค่นี้สบายมากถ้าอยากจะเป็นแฟนเขาต้องอดทน..........
	ฉัน "ค่ะ หนูเข้าใจแล้วสรุปว่าพี่คิดยังไงกับหนูล่ะเนี่ย" ฉันทำไร้เดียงสาต่อค่ะ คือแบบอยากฟังจากปากเลยค่ะ
	เขา "พี่ชอบเราตั้งแต่วันแรกที่เจอกันแล้วล่ะ" จริงหรือเนี่ย ไม่น่าเชื่อฉันดีใจจนแทบอยากจะกรี๊ดออกมาสักร้อยครั้งค่ะ แต่เก็บอาการค่ะ
	ฉัน "จริงเหรอค่ะ เจอกันวันแรกพี่ก็ดุหนูแล้วหนูก็คิดว่าพี่ไม่ชอบขี้หน้าหนูซะอีก" ทำไขสือค่ะ5555
	เขา "ใครว่าหล่ะ พี่เห็นเราตั้งแต่วันที่มาฝึกพวกพี่เลี้ยงแล้ว พี่รู้นะว่าเราก็คิดเหมือนพี่ใช่ไหมล่ะ" อืมให้ตายสิ เขาเห็นฉันในวันนั้นวันที่เขาแต่งตัวโทรมสุดฤทธิ์วันที่เขายังไม่ได้อยู่ในสายตาฉันซะนิดเดียววันนั้น ผู้ชายที่ใส่เสื้อคลุมสีขาวคนนั้น เขาบอกว่าชอบฉันตั้งแต่วันแรก นั่นหมายความสิ่งที่ฉันคิด สิ่งที่ฉันรู้สึกเขาก็ไม่แตกต่างจากฉันเลย ไชโย.......ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาเขานิดหนึ่งก่อนจะตอบออกไปด้วยประโยคสั้นแต่ได้ใจความซะเหลือเกิน
	ฉัน "ค่ะ" การสนทนาของเราต้องจบลงอีกครั้งหลังจากที่เพื่อนเขาเข้ามาก่อกวนด้วยการมาฉุดเขาเข้าไปภายในงานอีกครั้ง
เรากลับเข้าไปในงานและส่งสายตาให้กันบ่อยครั้ง จนกระทั่งงานเลิกและสิ้นสุดลง
	เขาเดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับบอกว่าเขาจะไปส่ง เรากลับพร้อมกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เราอาศัยรถของพี่หรั่งนั่งไปลงข้างทางแล้วต่อรถแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน เราเดินจูงมือกันไปเรื่อยๆ เขาบอกว่าคิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ ฉันเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อฉันตบหน้าตัวเองหลายครั้ง จนกระทั่งเริ่มรู้สึกเจ็บก็รู้ว่าฉันไม่ได้ฝันไปจริงๆ เราแลกเบอร์โทรศัพท์กันเขามาส่งฉันอีกครั้งที่บ้าน และจากกันในที่สุด 
	คืนนั้นฉันนอนกระสับกระส่ายทั้งคืน เพราะกลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกตลอดชีวิต กลัวเขาจะไม่โทรมาหา ฉันอาศัยแรงอธิฐาน และขอปาฏิหาริย์อีกครั้ง ขอให้เราได้พบกัน.........ฉั น จ ะ ร อ ก า ร ไ ด้ พ บ กั น ข อ ง เ ร า อี ก ค รั้ ง รอคนที่ฉันคอยมาตลอดชีวิต รอ รอ รอ ถึงมันจะนานก็เถอะฉันได้แต่อธิฐาน.....................

============================================================
ปล.เรื่องยังไม่จบแค่นี้หรอกค่ะ นี่เป็นเพียงเหตุการณ์เริ่มต้น เป็นเพียงการได้พบคนที่ใช่.........หลายคนคงอยากรู้ว่าแล้วผิดอย่างไงตอนไหน ถ้าคนอ่านไม่เบื่อซะก่อนก็จะมา Post ให้อ่านกันเรื่อยๆ ค่ะ รักทุกคนค่ะ
============================================================				
12 กรกฎาคม 2545 00:44 น.

คนที่ใช่......ในวันที่ผิด (ตอนที่ 1)

ฝันหวาน

คุณเคยรู้สึกไหมค่ะว่าชีวิตนี้เหมือนกำลังรอคอยการมาของใครสักคน....คุณเคยวาดภาพคนรักของคุณไหม..
คนในฝัน..คุณมีไหมแล้วคุณได้พบเขาหรือยังเขาสมบูรณ์แบบอย่างที่คุณคิดไว้หรือเปล่า..เขาคือคนที่ใช่..ในใจคุณไหมแต่
สำหรับฉันฉันเจอแล้ว เพียงแต่เขาคือคนที่ใช่ในวันที่ผิดเท่านั้นเอง........
	
	เช้าวันหนึ่งในวันที่อากาศสดใสซะเหลือเกิน ฉันออกเดินทางเพื่อไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนั่นก็คือ
การเข้าเป็นส่วนร่วมในการฝึกอบรมค่ายเยาวชนต้านยาเสพย์ติด หรือที่เรียกกันว่าค่ายเยาวชนสัมพันธ์ ค่ายนี้เป็นค่าย
ของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฉันเองมีโอกาสได้เข้าไปเป็นผู้ช่วยครูฝึกในช่วงเวลา 5 วันที่ฝึกอบรม
	
	สาเหตุที่ฉันมีโอกาสได้เข้าไปร่วมโครงการนี้ด้วยก็เพราะเหตุว่า เมื่อครั้งที่ฉันเรียนปวส.ปีสุดท้ายฉันต้อง
ออกฝึกงานและฉันเองก็เลือกไปฝึกที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง(ไม่มีที่อื่นให้ฝึกง่ะ) และเมื่อมีงานอะไรที่ทางโรงพักต้อง
การอาสาสมัครฉันก็จะถูกเรียกไปใช้งานทุกครั้ง งานนี้ก็เช่นเดียวกัน
	
	วันแรกของการฝึกเริ่มด้วยการฝึกให้พี่เลี้ยงที่มีทั้งอาสาสมัครและตำรวจเอง ได้รับการฝึกจากครูฝึกของทาง
สำนักงานตำรวจ วันนั้นฉันจำได้ว่าทุกคนที่เป็นครูฝึกของทางสำนักงานตำรวจฝึกอย่างจริงจังและเคร่งเครียด พวกเขา
ได้แบ่งเราให้อยู่ตามสีต่างๆ ฉันเองได้อยู่สีแสด เพื่อนที่ไปด้วยกันอยู่สีน้ำเงินพวกเรามีหน้าที่ในการช่วยหยิบนู่นจับนี่
เพราะจำนวนครูฝึกของเขามีน้อย และคอยดูแลเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน การแสดงหน้าเวที อืม.ลืมบอกไป
ว่าครูฝึกที่ค่ายนี้เป็นตำรวจทั้งหมด
	
	ฉันยังไม่ได้เข้าเรื่องสักที ตกเย็นของการฝึกวันแรกเราก็ได้ร่วมรับประทานอาหารกับครูฝึกเหล่านั้นความรู้สึก
ของฉันคือเหนื่อยและอยากกลับบ้านเหลือเกินแต่ฝนก็ดันตกลงมาได้ ฉันก็เลยต้องนั่งร่วมวงกินข้าวกับครูฝึกเหล่านั้น
(ผู้ชายทั้งนั้นเลยชอบ.....~o^) แล้วสายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อคลุมแขนยาวสีขาวใส่หมวกปกปิด
หน้าตาที่ไม่รู้ว่าจะหล่อแค่ไหน (อาจไม่หล่อเลยก็ได้) เขาเงยหน้ามองฉันนิดหนึ่งแต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไร(เพราะไม่
เห็นหน้าตาที่แท้จริงกลัวไม่หล่อง่ะ)และแล้วฉันก็กลับบ้านไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น
	
	วันแรกของการฝึก วันนี้เป็นวันแรกที่เด็กๆ หลายๆโรงเรียนมาฝึกเป็นวันแรก วันนี้ฉันเองก็ออกเดินทางมา
จากบ้านประมาณ 7.30 น. ก็ถึงสถานที่ฝึก ฉันก็แต่งตัวธรร มด๊าธรรมดา กางเกงยีนส์แล้วก็เสื้อสีขาวที่มีรอยปะที่หน้าอก
นิดหน่อยเอง
	
	ทันทีที่ฉันก้าวเข้าไปในสุ่มบริเวณที่พักของสีแสด ฉันได้เจอครูฝึกสองนายยืนอยู่ คนแรกเป็นคนที่ฉันเพิ่งได้
รู้จักเมื่อวานนี้เอง ส่วนอีกคนเป็นใครฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าเขาเป็นครูฝึกคนหนึ่งและรู้สึกเหมือนกับว่าฉันคุ้นเคยกับเขาซะเหลือ
เกินทั้งที่เราเพิ่งพบกันครั้งแรก ความรู้สึกของฉันตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าได้เจอคนที่รอคอย คนที่วาดไว้และคนที่ฝันไว้
มานานมายืนอยู่ตรงหน้า  (แล้วคุณคิดว่าฉันควรจะไขว่คว้าเขาไว้หรือเปล่า.......แน่นอนค่ะแต่....อ่านกันต่อนะ)
	
	ฉันยังคงวางท่าทีไม่สนใจ (ด้วยความเป็นลูกผู้หญิงที่ยังมียางอายเหลืออยู่ง่ะค่ะ) ทั้งที่ในใจมันเต้นตูมตามแทบ
จะดิ้นออกมาเต้นข้างนอกอยู่แล้ว เราสบตากันเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้สวมหมวกสีดำที่มีตราโล้โก้ของตำรวจติดอยู่(บ่งบอกยี่ห้อ)
 แต่เอ๊ะเหมือนผู้ชายคนเมื่อวานเลยง่ะคนที่ใส่เสื้อคลุมแขนยาวใส่หมวกใบนี้ใช่เลย เขานั่นเอง...เขามองฉันด้วยสายตานิ่งเฉย
 และท่าทีขรึมเหมือนไม่มีความรู้สึกอะไรเลย (ทั้งๆที่ฉันออกจะสวยขนาดนี้5555)
	ฉัน "พี่หรั่งค่ะ ทำไมหนูไม่มีป้ายชื่อเหมือนเก๋เลยง่ะ"
	พี่หรั่ง "อ้าวพี่ลืมทำให้ ทำเอาเองนะ นั่นกระดาษพี่ตัดไว้แล้วเหลือแต่เขียนชื่อจ้ะ"
ทันใดนั้นตานั่นก็ทำโครมครามไม้ที่อยู่ในมือของเขาถูกฟาดลงบนโต๊ะอย่างแรง ....."โครม"
	ตานั่น "ทำเองไม่เป็นเหรอไง ต้องมาถามด้วย" เขาพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ แต่แฝงด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ทำให้ฉัน
เกิดความไม่พอใจนิดหน่อย
	ฉัน "หนูจะไปรู้เหรอแค่นี้ต้องมาดุด้วย"
	
	แล้วฉันกับเพื่อนฉันก็ตั้งฉายาเขาว่าไอ้ขี้เก๊ก......ความจริงเพื่อนฉันมันก็มากระซิบบอกฉันว่าอีตานีหล่อดีนะ
ฉันก็ทำเฉยๆ บอกเพื่อนไปว่า "ก็งั้นๆ แหละ หล่อตรงไหนขี้เก๊กก็ปานนั้น" แต่ในใจฉันน่ะชอบเขาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ555
	วันนี้ฉันต้องทำงานร่วมกับอีกตานี่ทั้งวันเลย ฉันคงต้องทำใจกับอาการขี้เก๊กของเขาแล้วล่ะเฮ้อ......เราทำงาน
ร่วมกันทั้งวันตกกลางวันฉันจะต้องทำหน้าที่หาข้าวให้เด็กๆสีแสดทาน เขาเองก็ลงมาช่วยเหมือนกันในขณะที่เราเตรียม
อาหารให้เด็กๆ เราได้มีโอกาสคุยกันนิดหน่อย(เล่นเอาฉันใจเต้นเป็นจังหวะดาจิมเลย)
	เขา "เป็นครูเหรอฮะ สอนเด็กป.อะไรครับเนี่ย" แหมทำมาเป็นพูดดีด้วย แล้วหาว่าเราแก่อีกต่างหาก
	ฉัน "หน้าหนูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอพี่ หนูไม่ได้เป็นครูสักหน่อย หนูยังเรียนอยู่เลยเนี่ยเพิ่งจบปวส.จะไปต่อ
	        มหาวิทยาลัยค่ะ"
	เขา "อ้าวเหรอ! พี่ไม่ได้ว่าเราหน้าแก่ แต่พวกที่มาช่วยพวกพี่ฝึกเนี่ยครูทั้งนั้นเลยไม่ใช่เหรอ"
	ฉัน "ก็ส่วนหนึ่งมั้งค่ะ แต่หนูกับเพื่อนไม่ช่ายแน่นอนง่ะ"
	เขา "แล้วเรียนที่ไหนล่ะเนี่ย" ทำมาเป็นชวนคุยง่ะ....แต่ก็ดีอยากคุยเหมือนกัน555
	ฉัน "กำลังจะเรียนต่อปริญาตรีที่ ม.............. ค่ะ"
	เขา "พี่ไม่รู้จักหรอกพี่ไม่เคยมาแถวนี้"
	ฉัน "เหรอค่ะ"
	การสนทนาของเราสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้เพราะเด็กๆ ลงมาทานข้าวพอดีเรายิ้มให้กันนิดนึงก่อนที่จะตักข้าวให้
เด็กๆ ทาน 
	ช่วงบ่ายเป็นการเรียนรู้ในฐานต่างๆ เป็นการบรรยายเล็กๆน้อยๆ ฉันต้องคุมเด็กๆไปตามฐานต่างๆ ที่แต่ละจุด
อยู่ไม่ห่างกันนัก เขานั่งอยู่ประจำฐานที่สอนการผูกเงื่อนต่างๆ ฉันมีความรู้สึกว่าถูกจ้องมองตลอดเวลาจะใครซะอีกล่ะก็อี
ตาขี้เก๊กนั่นแหละ ไม่รู้จะมองอะไรกันนักหนา ฉันเองก็กลัวซะเมื่อไหร่มองมาก็มองไปซิค่ะท่าน ระหว่างที่ส่งสายตาอยู่
นี่เองฉันก็เริ่มรู้สึกได้ว่า ในความขี้เก๊กของเขาแฝงไว้ด้วยความเจ้าชู้อย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกต่างๆ กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้ค่ายเลิกประมาณ 5 โมงเย็น เสียงเพลงที่ฉันได้ยินก่อนที่วิทยากรเหล่านี้จะปล่อยเด็กๆ กลับบ้านก็คือเพลง ""เป็นเพลงที่เพราะที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา  เมื่อเพลงจบ  และแล้วฉันก็เตรียมตัวกลับบ้านแต่คุณรู้ไหมฉันเห็นอะไร 
	ในขณะที่เด็กๆ กำลังจะกลับบ้านฉันเห็นเขากับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้ฉันว่าเขาน่าจะอายุอยู่ราวๆ 40 
ปลายๆ แต่กระชากวัยด้วยการแต่งตัวให้สาวซะเหลือเกิน เขาเดินคลอเคลียกันฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นอะไรกัน แล้วฉัน
ก็ไม่อยากจะคิดในแง่ร้ายด้วย...........ฉันกลับบ้านด้วยความสงสัย
	
	วันที่ 2 ของการฝึก วันนี้เป็นวันสำคัญเพราะวันนี้มีคนใหญ่คนโตมาเปิดงาน ฉันก็แต่งตัวธรรมด๊าธรรมดาอีกเช่นเคย
วันนี้ฉันใส่เสื้อที่ทางโรงพักแจกให้อาสาสมัครทุกคนใส่เหมือนกันหมด วันนี้ไม่มีการฝึกอะไรหนักหนาแต่มีกีฬาสีที่แสนจะพิสดาร
พวกเขาให้ชื่อว่า "กีฬาบ้าๆบวมๆ" เป็นกีฬาที่ไม่เน้นการแพ้ชนะ ผู้ชนะได้ถ้วยรางวัลที่ใครๆก็ไม่พึงปราถนา...มันไม่ใช่ถ้วยใบสวย
ไม่ใช่เหรียญทองอย่างที่พวกคุณเคยเห็น...คุณอย่าเดาเลยค่ะไม่มีใครเดาถูกหรอก รางวัลของผู้ชนะวันนั้น กลับกลายเป็น ไม้กวาด 
ถังขยะ ไม้ถูพื้นและ ที่ตักผง วิทยากรบนเวที (พวกเขาเรียกตัวเองว่าวิทยากรร่อนเร่) ให้เหตุผลว่า "คุณแข่งกันคุณคิดถึงแต่ชัยชนะแต่คุณไม่คิดว่าคุณได้อะไรจากกีฬาเหล่านี้ คุณฝันถึงถ้วยรางวัลที่เอาไปทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากตั้งโชว์ ให้เห็นว่านี่ข้าผู้คือชนะ ตรงกันข้ามคุณลองมองดูสิ่งของเหล่านี้สิ ไม้กวาด คุณใช้งานได้ ถังขยะ คุณก็ใช้งานได้ ไม้ถูพื้นมันทำให้บ้านคุณดูสะอาด ที่ตักผงอืมมันช่วยคุณโกยขยะที่อยู่ตรงหน้าคุณได้นะ กีฬาให้สุขภาพที่ดีกับคุณ ทำให้คุณมีเพื่อนและที่สำคัญมันดึงความสนใจคุณออกจากยาเสพติดสิ่งชั่วร้ายคุณว่าจริงมะ" เอ๋นี่ฉันเขียนอะไรออกนอกเรื่องอีกแล้วเนี่ยเอาล่ะเข้าเรื่องดีกว่า	
	วันนี้ฉันกับเขาก็สบตากันเหมือนเดิม ทั้งวันสายตาของเขามันทำให้ฉันว้าวุ่นใจอย่างพิลึก เขาไม่พูดอะไรนอกจากเรื่องงาน บางทีฉันอาจจะเข้าใจผิดหรือคิดไปเองก็ได้ ตกเย็นฉันก็กลับบ้านตามเคยแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายังคงทอดสายตามองฉันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่า
	เขา "พรุ่งนี้เจอกันนะ อืม!...พรุ่งนี้ไม่ต้องแต่งตัวสวยก็ได้นะเอาแบบโทรมเลยแล้วกัน เสื้อสีดำๆ หน่อยพอจะมีไหม" เขาบอกพร้อมรอยยิ้มที่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์ในแววตา
	ฉัน "ไม่ค่อยมีอ่ะค่ะพี่ ใส่สีเขียวได้ไหมค่ะ"
	เขา "แหม! ไม่มีเลยเหรอ สีดำทั้งบ้านนะ ตามใจสีอะไรก็ใส่เถอะ แต่พรุ่งนี้เละเลยนะจะตอบให้" พรุ่งนี้ต้องวันที่ต้องเข้าฐานผจญภัยลุยขี้โคลน ซึ่งพี่เลี้ยงครูฝึกต้องทำกับเด็กๆด้วยเหมือนกัน
	ฉัน "ค่ะ จะพยายามหาค่ะ หวัดดีค่ะพี่หนูไปก่อนนะคะ" ฉันยกมือไหว้เขาอย่างคนที่มีสมมาคาราวะ ทั้งๆที่ในใจอยากจะวิ่งเข้าไปหอมแก้มเป็นการบอกลาซะหนึ่งที แต่เอาไว้ก่อนดีกว่า
	เขายิ้มอีกครั้งพร้อมกับยกมือขึ้นตะแบ้ะแบบตำรวจเป็นรับไหว้

	วันที่ 3 ของการฝึกอบรม เช้านี้ฉันแต่งตัวโทรมกว่าทุกวันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลุยฐานเต็มที ฉันเดินไปที่สุ่มที่พักของสีแสด เขายืนจิบกาแฟด้วยสีหน้าที่ขรึมและคงความขี้เก๊กเหมือนเคย เมื่อฉันเดินเข้าไปถึง สายตาที่เขามองฉันดูจะบ่งบอกความรู้สึกภายในใจได้ชัดเจนกว่าทุกครั้ง เพราะครั้งนี้ดูเขาจะเริ่มเปิดเผยให้รู้ว่าเขาเองก็สนใจฉันเหมือนกัน รอยยิ้มที่ดวงตาและใบหน้าเกิดขึ้นในเวลาพร้อมกัน วันนี้ฉันไปถึงประมาณเกือบ 8 โมงเต็ม เด็กนั่งรออยู่เพื่อเตรียมการฝึกต่อไป
	เขา "บอกว่าวันนี้ไม่ต้องแต่งตัวสวย แล้วดูแต่งซะ......" เขาพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยพร้อมน้ำเสียงที่ดูน่าเอ็นดู้น่าเอ็นดู
	ฉัน "เนี่ยโทรมที่สุดแล้วพี่โธ่......." โธ่เอ่ย! ก็เนี่ยฉันอุตส่าห์แต่งโทรมๆ แล้วนะเนี่ยเขายังเห็นว่ามันดูดีอีกทั้งๆที่ฉันคิดว่ามันดูแย่ที่สุดแล้วนะเนี่ย แต่ยังว่าแหล่ะนะคนมันสวยนี่หน่าทำไง้ทำไงมันก็สวยง่ะ คุณว่ามะ 5555
	เขายิ้มเล็กน้อยกับคำต่อล้อต่อเถียงของฉัน
	ในที่สุดวันนี้ก็จบลงด้วยสภาพเละจริงๆ อย่างที่เขาบอก แต่ก็สนุกดีง่ะ วันนี้เราก็ยังคงส่งสายตาให้กันเหมือนเดิม หลังจากวันนี้แล้วก็เหลืออีก แค่ 2 วันเท่านั้นที่ฉันจะได้พบเขา เวลามันช่างสั้นเสียจริงฉันบอกกับตัวเองเฮ้อ.........

ปล.เรื่องยังไม่จบหรอกค่ะไว้อ่านตอนต่อไปอีกนะค่ะ อีกยาว				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฝันหวาน
Lovings  ฝันหวาน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฝันหวาน
Lovings  ฝันหวาน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฝันหวาน
Lovings  ฝันหวาน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฝันหวาน