14 สิงหาคม 2551 20:27 น.
ฝนทอง
อารมณ์ในความรัก
หวั่นไหวนักมักอ่อนไหว
ความรักเกิดจากใจ
ย่อมทำให้เพ้อรำพัน
อารมณ์ในความรัก
ใครประจักษ์มักเหมือนฝัน
รักใครใจแบ่งปัน
เพราะรักนั้นเผื่อวันตรม
อารมณ์ในความรัก
แสนตระหนักรักคงสม
มีรักอย่าระทม
จึงอยากชมรักจริงใจฯ
10 สิงหาคม 2551 22:00 น.
ฝนทอง
โอ้ว่านิจจาหัวใจไฉนเป็น
รักซ่อนเร้นกลางทรวงเฝ้าห่วงหา
เผลอใจใฝ่ปองนวลน้องกานดา
หมายเพียงว่ามีรักจริงจากดวงมาน
เผลอใจใฝ่ปองจึงหมองหม่น
เพราะว่าจนไม่เจียมเตรียมสังขาร
ถูกผลักไสให้ท้อทรมาน
สุดร้าวรานดวงฤดีที่เป็นไป
รักเอยรักเขาเฝ้าแต่รัก
ดวงใจภักดีแท้เกินแก้ไข
แม้ถูกเย้ยเสียดสีทิ่มแทงใจ
ยังรักใคร่ครวญรักเพียงลำพัง
โอ้ว่านิจจาหัวใจไฉนหนอ
มาเฝ้ารอความรักด้วยความหวัง
ปองใจรักภักดีอย่างจีรัง
ไม่ยับยั้งหยุดคิดสักนิดเดียว
โอ้ว่านิจจาหัวใจไฉนหรือ
ยังมาดื้อรอรักอย่างโดดเดี่ยว
เมื่อเขาไม่สนใจจะแลเหลียว
ยังมาเที่ยวใฝ่ปองให้ตรอมตรม
โอ้ว่านิจจาหัวใจไฉนเป็น
ยังมาเร้นความรักอย่างหมักหมม
เก็บความรักด้วยรักอย่างนิยม
เพียงหวังสมปองรักหรือใจเอย ฯ
6 สิงหาคม 2551 22:43 น.
ฝนทอง
ในราตรีย่อมมีดีและร้าย
ก็อย่าหมายว่าจันทร์ส่องจะผ่องใส
ค่ำคืนยามราตรีที่เป็นไป
เวลาไม่คงที่อย่างแน่นอน
รัตติกาลหมุนผ่านก็มืดมิด
ยามเดือนปิดแสงนวลชวนสะท้อน
ว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน
เมื่อถึงตอนพลัดพรากก็จากกัน
คืนนี้มีดาวที่พราวพร่าง
จันทร์กระจ่างแสงนวลชวนให้ฝัน
ถึงชีวิตที่สุขทุกคืนวัน
ทุกข์ถูกบั่นด้วยรักประจักษ์จริง
ถ้าเปรียบราตรีกับความรัก
ก็คงจักเทียบได้ทั้งสองสิ่ง
ความรักเมื่อยามร้าย ก็ร้ายจริง
เมื่อรักยิ่ง ก็ยิ่งรักปักฤดี ฯ
3 สิงหาคม 2551 01:35 น.
ฝนทอง
ถ้าเปรียบแม่เราเป็นเช่นน้ำหมึก
ก็ขอนึกว่าแม่มีสีสัน
สีที่หนึ่งสีขาวเรารู้กัน
เปรียบแม่นั้นเป็นมะลิที่งดงาม
สีที่สองสีเขียวเที่ยวเปรียบเทียบ
มีความเงียบร่มเย็นเป็นสนาม
ที่พักผ่อนพักพิงอิงทุกยาม
ต้นไม้งามให้ร่มครึ้มคือแม่เรา
สีที่สามสีแดงฤทธิ์แรงนัก
คือความรักของแม่ดั่งขุนเขา
เป็นเกราะกำบังลูกแต่ยังเยาว์
แม่ยังเฝ้าดูแลต่อต่อมา
ถ้าเปรียบแม่เราเป็นเช่นน้ำหมึก
จะขอนึกถึงคุณแม่มีมากกว่า
จะเป็นสีวาดภาพนานา
คุณมารดามีมาก...เกินบรรยาย ฯ
2 สิงหาคม 2551 01:31 น.
ฝนทอง
ดิน...แห้งผากยากจะชุ่มชื้น
ไม่อาจคืนดินดำฉ่ำน้ำได้
ด้วยแล้งฝนหล่นล่วงลงมาไง
จึงทำให้ดินแยกแตกจากกัน
น้ำ...ในลำธารละหานห้วย
ไหลรินด้วยแรงต่ำเอื่อยเอื่อยนั่น
ในลำคลองบางคลองขาดจากกัน
เพราะน้ำนั้นไม่อาจไหลไปบรรจบ
ต้นไม้...ไร้ใบเขียวขจีสด
ความงามลดทั่วไพรในพื้นภพ
ด้วยว่าฝนบนฟ้ามาหลีกหลบ
ไม่ยอมกลบความชื้นชุ่มคลุมพนา
แลไพรพฤกษ์นึกไปไม่อาจฝัน
เห็นแล้วหวั่นฤทัยเป็นนักหนา
ธรรมชาติ...ขาดรัก ความเมตตา
ฝนจากฟ้าไม่โปรยโรยละออง
เห็นมนุษย์ทำร้ายซึ่งธรรมชาติ
แสนอนาจดวงใจจึงหม่นหมอง
ตนรักตนเป็นไปตามครรลอง
ชนทั้งผองปองรักตระหนักจริง
ทำไมใจดำซ้ำเติมธรรมชาติ
แสนประหลาดรักตัวเหนือทุกสิ่ง
เมื่อไม่รักอย่าทำร้ายให้ชังชิง
ขอท้วงติงโปรดไตร่ตรองมองที่ตัว
ในวันหนึ่งเห็นคนไปตัดไม้
ไม่สนใจใหญ่น้อยตัดไปทั่ว
แล้วเลือกเอาไม้ใหญ่ไปใช้ชัวร์
แหมช่างมั่วไม่เลือกทำกรรมเวร
อีกวันหนึ่งเห็นคนระเบิดภูเขา
เพียงเพื่อเอาปูนไปปั้นเป็นบ้านเด่น
เรือนหลังน้อยร้อยวา ช่างทำเป็น
เข้าไปเข่นภูเขาเสียแหลกลาญ
เมื่อสิ้นป่าตาน้ำก็เหือดแห้ง
ถึงหน้าแล้งน้ำหมดอดอาหาร
โดยเฉพาะน้ำดื่มน้ำใช้ที่ต้องการ
ผลที่ผลาญรานรุกบุกทำลาย
ดินจะดำน้ำจะดีได้นั้น
พนาวันต้องสมบูรณ์อย่างหลากหลาย
ธรรมชาติไม่ขาดรัก...ถูกทำลาย
ความวอดวายก็ไม่เป็นให้เห็นเอย ฯ