17 พฤษภาคม 2551 11:27 น.
ผ้าขี้ริ้ว
๔
ทิ้งสายลมให้หยุดนิ่งไม่พริ้วพัด
เงียบสงัดเย็นเยียบทุกเส้นเสียง
แสงกระจ่างชวนใจใหลเรียง
ยลสำเนียงแว่วว่างในภวังค์
ไม่อาลัยในโลกโศกเศร้า
เก็บความเขลาซ่อนไว้ในที่ขัง
แม้นนิพานกองอยู่ยังชิงชัง
ไม่เคยคลั่งหลงใหลยินดี
ขอเดินเล่นท่องไปในวัฏฏะ
เรียงอักขระเป็นจังหวะเป่าสี
สร้างภาพแปลคำทำดนตรี
ซึมซดบทกวีซาบทรวง
สังเวยสัจด้วยศรัทธา
ปฏิญญาแกร่งกล้าลือสรวง
ไม่เคยหวังวิญญูสถิตเป็นดาวดวง
ขอเพียงทวงทำนองทุกค่ำคืน
ไม่กระหยิ่มยิ้มย่องในพระศาสนา
ลืมมรรคาอริยะขัดขืน
เสพแสงดาราดุจไฟฟืน
กลืนกินหมดสิ้นกลิ่นเดือน
ผ้าขี้ริ้ว
16 พฤษภาคม 2551 10:04 น.
ผ้าขี้ริ้ว
๑
งามราวภาพ วาดทอ วรวิจิตร
ดุจมณีแก้ว แพรวพิศ สถิตสรวง
แสงระยิบ กระพริบซ้ำ กำซาบทรวง
ลุกโชนช่วงกระจ่างหล้า อย่างปราณี
ทุกรอยแสง แห่งจันทร์ นั้นเย็นเงียบ
ชโลมเรียบ เหยียบพื้น ทุกถิ่นที่
บรรจงจูบ ลูบพรม ทั้งอินทรีย์
มอบมณี บริสุทธิ์ สู่ผืนดิน
พร้อมประทับ บทบรรเลง เพลงจันทร์
สนั่นสรวง รวงลั่น พรรณเสียงศิลป์
ทุกเส้นแสง แสดงกราว ราวสายพิณ
ให้ยลยิน ถึงวิญญา ราตรีกาล
แล้วฟ้านั่น ลั่นแตก แยกเป็นสอง
ระรวยกลอง หลั่งจำเนียร เสียงประสาน
เมฆทมิฬ บินลุก เป็นเพลิงกาฬ
แต่เย็นซ่าน ผ่านผิว แล้วปลิวไป
เมื่อแสงร่ำ เพลงค่ำ ก็ฉ่ำทรวง
ถึงแดนสรวง อัศจรรย์ สั่นไหว
สะท้านโสต สรรพางค์ อยู่กลางใจ
คือมนต์กาล ขับขานไข บทเพลงจันทร์ฯ
ผ้าขี้ริ้ว