31 ตุลาคม 2547 22:12 น.
ผู้เฒ่า
ชีวิตผันวันผ่านมานานนัก
เหลียวหารักจริงแท้เพียงแค่หน
เหมือนเสาะหาเข็มล่วงในห้วงชล
ล้วนผจญเจ็บจำต้องลำเค็ญ
เข็ดขยาดขาดใจจะไขว่คว้า
เปลี่ยวเอกาช้ำใจผู้ใดเห็น
กลืนน้ำตาลำบากอย่างยากเย็น
รอยรักเร้นปวดร้าวทุกคราวลา
อยู่ลำพังเดียวดายสิ้นสายรัก
หลงจมปรักมนต์เล่ห์สิเน่หา
ยามเจ้าจาก ลับหายห่างสายตา
เหลือเวลาอยู่ไปเพื่อใครกัน
มิเหลือใครอีกแล้วสิ้นแววหวาน
คนซมซานห้วงทุกข์สิ้นสุขสันต์
ละร่างเหลือเบื่อโลกต้องโศกพลัน
คงจาบัลย์สายสวาทอนาถเทียว
ให้หยุดลมล้มหายสลายร่าง
ดีกว่าร้างเงารักสักประเดี๋ยว
มนต์รักโศกสับสนอยู่คนเดียว
ความเปล่าเปลี่ยวยากเลือนเสมือนตาย
เหม่อมองฟ้าชลนัยน์เจ้าไหลเอ่อ
หลั่งบำเรอรักเร้นเป็นเส้นสาย
อาบสองแก้มของคนทุรนทุราย
ดุจเวียนว่ายวนเล่ห์ทะเลตรม
จะต้องอยู่โศกเศร้าอีกเท่าไหร่
จึงสาใจคนยื่นความขื่นขม
เทพเจ้าแห่งความทุกข์ระทม
หยุดเชยชมจมสายสวาทเอย.@
30 ตุลาคม 2547 22:10 น.
ผู้เฒ่า
ผืนทรายขาวอ่าวยางเมื่อย่างเยื้อง
สละเรื่องร้าวรุมที่สุมหัว
ปล่อยความคิดจิตหม่นให้พ้นตัว
ละวางทั่วอารมณ์ระดมเพลิน
ตะวันผลัดอัสดงลงจากฟ้า
หมู่ปักษาเคียงออพะนอเหิน
ทิวไศลเรียงแถวเป็นแนวเนิน
ยากจะเมินยามมองดั่งต้องมนต์
ริมฝั่งน้ำสนธยาฟ้าสลัว
ชอุ่มทั่วอาบแฝงทุกแห่งหน
กระโจมน้อยแดนสรวงริมห้วงชล
กางเหลื่อมบนพื้นทรายชายวารี
หนึ่งความฝันสรรวาดปรารถนา
เพียรเสาะหาบรรลุความสุขี
บรรจถรณ์ฟังคลื่นชลธี
ชีวิตมีฝันนำกระทำตาม
ศศิฉายเต็มดวงห้วงเวหา
ผิวธาราเรื่อประกายมิวายหวาม
สรรพสิ่งสวยสดช่างงดงาม
สวรรค์ยามมืดแกมกับแจ่มจันทร์
ริ้วกระเซ็นคลื่นโลดสาดโขดหิน
กระเส่ายินยลขนางทบทางฝัน
งามละไมใช่แสร้งแสดงกัน
รูปรำพันนุ่มนวลรัญจวนใจ
ลมอื้ออึงอู้ครวญหวนระโหย
น้ำค้างโรยหยดหยาดเสียงหวาดไหว
แผ่วแผ่วดังหลังกระโจมโลมฤทัย
ผสานไออบอุ่นกรุ่นกรุ่นกาย
ทะเลสมห่มฟ้าทุกคราหนาว
จันทร์สกาวเราห่มก็ข่มหาย
ยามหนาวเนื้อเอื้อห่มระทมคลาย
แต่จะวายเพราะห่มมิสมกัน
บนเส้นทางหว่างค่าคำว่าคน
ร่ำรวยจนมีสิทธิ์ลิขิตฝัน
หวังไกลไกลใฝ่สานทุกวารวัน
จุดหมายนั่นเส้นชัยมิไกลเลย.@
หลังเสร็จภาระกิจ ก็ไปพักริมทะเล..ใครเขาอยู่บ้านพัก ..
แต่เรามากางเต้นท์นอน ริมน้ำเลย..บนที่นอนยาง...
กลอนเรื่องนี้ค่อนข้างกระท่อนกระแท่น..เพราะน้ำซัดตลอด..
สมาธิในการเรียบเรียงไม่ดี..เรื่องที่เขียนจึงขาดๆเกินๆ..ขออภัย..
25 ตุลาคม 2547 22:26 น.
ผู้เฒ่า
เวิ้งฟ้าหุ้มคลุมครอบล้อมรอบน้ำ
ฤาตอกย้ำความกว้างเสน่หา
ฟ้าจรดน้ำมองไปไกลไกลตา
เปรียบคลุมข้ากักขังเหมือนดั่งชล
ระลอกพลิ้วริ้วแผ่วเป็นแนวคลื่น
เข้ากลบกลืนทรายขาวทุกคราวหน
เหมือนเติมรักมิละในกมล
ยามได้ยลชลชื้นกับผืนทราย
แสงเรื่อเรืองกระพริบยิบระยับ
เข้าทาบทับชลเชี่ยวทุกเกลียวสาย
ประดับคลื่นดั่งรุ้งพรรณราย
มิคืนคลายเช่นรักข้าภักดี
เพียงสักครั้งทะเลเอ๋ยเคยบ้างไหม
เจ้าหลับไหลปิดตาก้มหน้าหนี
ให้ห่างฟ้าขาดสิ้นแสงสุรีย์
ดั่งข้านี้คงมั่นนิรันดร
ผืนหาดทรายสายชลกับคนเหงา
ลำนำเก่าเพียงอันทุอนุสรณ์
ฟ้าเก่าเก่ากับห้วงห่วงนิวรณ์
ถึงบทตอนสิ้นทางฤาร้างลา
รอยเท้าเลื่อนเลือนลางบนทางทราย
คงกลับกลายมิสมปรารถนา
เหลือรอยโศกรุมเร้าเคล้าน้ำตา
ใต้เวิ้งฟ้าครอบคลุมดั่งหลุมตาย..@
20 ตุลาคม 2547 22:15 น.
ผู้เฒ่า
เพียงมดปลวกพวกบ่างที่ช่างฝัน
ขอมีกันร่วมยลบนวิถี
สืบสานมธุรสบทกวี
ในเวทีขจรบ้านกลอนไทย
หวังฝากฝันหมั่นเขียนเพียรศึกษา
ทรงคุณค่ากวีศรีสมัย
รักษ์ภาษาสร้างฝันอันวิไล
ร่วมก้าวไปจารวจีกวีนิพนธ์@
.ใกล้เทศกาลปีใหม่แล้ว นึกถึงเพื่อนที่บ้านกลอนไทยทุกท่าน
สำหรับความปรารถนาดี.และมิตรไมตรีที่มีให้กับผม..มาโดยตลอด..
สิ่งหนึ่งที่จะขอตอบแทนไมตรี ทุกๆท่าน..คือ..
ซี.ดี. การอ่านร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะรวมทั้งรูปแบบฉันทลักษณ์. (แผนผังการเขียน).ของ..
โคลงสี่สุภาพ..ฉันท์คณะ ๘๑๑๑๒๑๔๑๕๑๖๑๙๒๐
กาพย์ยานี๑๑ - กาพย์ฉบัง ๑๖ - กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
ร่าย..และ กลอนแปด.
ซี.ดี นี้ใช้ประกอบการสอนสำหรับนักเรียน-นักศึกษา จึงเป็นหลักที่ถูกต้อง..
สำหรับท่านที่รักในการเขียน ควรมีไว้ศึกษาเป็นอย่างมาก..
อย่างที่ผมเคยบอก เขียนแล้วลองอ่านเป็นทำนองเสนาะดู..
เราจะรู้ได้ว่า เราเขียนได้ใกล้เคียงมาตรฐานหรือยังและที่สำคัญ..
ซี ดี. นี้ทำความเข้าใจไม่ยาก..สำหรับมือใหม่ทั้งหลาย ที่ยังไม่คิดจะ..
เขียนกลอนให้ถูกหลัก..ก็ไม่แปลกนะ ที่จะมีไว้ศึกษาเล่น ..ความฝันของทุกคน..
เขียนยังไงก็สวยงามออกมาจากใจทั้งสิ้น
ผมมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ ท่านละ 1 แผ่น..เฉพาะสมาชิก และมีเพียง..
100 แผ่นเท่านั้นส่งให้เฉยๆไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องตอบกลับ และไม่ต้องจ่ายตัง..ทั้งสิ้น..
เพียงเข้าระบบสมาชิก และโพส ที่อยู่ที่ชัดเจนมา
สำหรับคุณสุภาพสตรี อาจจะไม่เหมาะนัก จะเปิดเผยที่อยู่ ในที่สาธารณะ..
แนะนำให้หาที่อยู่ของ เพื่อนสนิท จะดีกว่า..
สำหรับท่านที่เรียกผม ว่า..คู..กรุณารับไว้ด้วยนะครับ (เจาะจง) จะได้เบาแรงคนแก่..
ไปบ้าง สวัสดีทุกท่านครับ ผมจะส่งให้ก่อนปีใหม่นะครับ..
19 ตุลาคม 2547 22:21 น.
ผู้เฒ่า
มิเพลินเดินดงดอน ตะวันรอน..อ่อนแสงลา
.เจื้อยแจ้วสกุณา หมู่ปักษาบินกลับรัง.
สูรหลบลบเหลี่ยมเขา เหลือเพียงเงา..เคล้าความหลัง
สิ้นแสงสิขรบัง สิ้นความหวังมลายเลือน
ลมพลิ้วริ้วระลอก กระซิบบอก..หลอกเชือดเฉือน
กรีดแผ่วคอยย้ำเตือน ว่ารักเบือนจรลี
.
น้ำคำย้ำสะอื้น รักขมขื่น..ฝืนราศี
สิ้นฝันรักเคยมี เพราะคนดีมาเปลี่ยนไป
บุหลันอันกระจ่าง ลับเลือนลาง..ร้างไสว
ความรักอันวิไล เคลื่อนจากใจดังแสงจันทร์
ยามค่ำย่ำเสียงฆ้อง เคยฟังพ้อง..คล้องความฝัน
กาลผ่านมินานวัน เสียงฆ้องลั่นสิ้นมนต์คลาย
นิทราราตรีกาล ทรมาน..ซ่านมิหาย
พลิกกลับขยับกาย ภาพมิวายดวงฤดี
จนแจ้งแสงสล้าง ฟ้ากระจ่าง..หว่างวิถี
ลืมตาขึ้นทุกที ยังคงมีภาพกานดา
ร้อยรสบทสัมผัส มนต์ขจัด..มัดหรรษา
ปั่นป่วนเสน่หา มวลมายาร้อยเล่มเกวียน
วันใหม่ใจดวงเก่า คงซึมเศร้า..เงาเสถียร
รอยรักยังวนเวียน ยากจะเปลี่ยนสิ้นมลาย
น้ำใสไหลกระเซ็น ระลอกเห็น..เป็นริ้วสาย
หมู่มัศยาว่าย มิงมงายประหนึ่งเรา
ห้วงจิตพิศวาส ตัดไม่ขาด..คาดคนเขลา
เพราะรักปัญญาเบา หลงเพียงเงานะแน่งนาง
อยู่เดียวเปลี่ยวอุรา มองท้องฟ้า..พาเมินหมาง
ลิขิตรักสิ้นทาง มิอาจอ้างพรรณนา
สุดท้ายปลายดำริ ขยาดริ..สิเนหา
ขอเป็นสกุณา ผ่านเวหาบินเรื่อยไป
สูรคล้อยลอยลงต่ำ ใกล้ยามค่ำ..พร่ำสงสัย
คืนนี้หลับอย่างไร จะมีใครกล่อมนิทรา
พรุ่งนี้มีสุขไหม จะมีใคร..ใฝ่มองหา
มาดแม้นอยู่เอกา พรุ่งนี้หนาจงอย่ามี..