2 ตุลาคม 2550 18:09 น.
ผู้หญิงช่างฝัน
แมลงสาบ..
บินสะเปะสะปะมาเกาะฉันสองครั้งสองคราด้วยกัน ทั้งที่ฉันพยายามไล่มันไป
ทำให้ฉันรู้สึกว่า มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
ครั้นแหงนมองดูท้องฟ้า..
หมู่เมฆสีแดงเคลื่อนตัวแผ่คลุมห้วงฟ้ายามค่ำคืนอย่างรวดเร็ว
หรือพระเจ้าจะปราณีมนุษย์ด้วยการหลั่งฝนลงมาดับความร้อนซึ่งแผดเผา
สุนัขจรจัดสีน้ำตาลตัวเดิมเวียนมานั่งจ้องมองฉันอีกครั้ง
ด้วยท่าทางอยากผูกมิตร ฉันไม่รู้ว่า มันต้องการเช่นนั้นหรือเปล่า
และอะไรกันแน่ที่มันต้องการ ในเมื่อฉันไม่มีสิ่งใดพอจะเอื้อแก่มันได้เลย
นอกจากรอยยิ้มและความไว้วางใจ
ฉันมองดูมันและยิ้มอย่างเศร้า ๆ ด้วยความเบื่อหน่าย
ฉันไม่อยากให้มันคิดว่า การแสดงออกของฉัน
เป็นการบ่งถึงความรู้สึกชั่วคราวเท่านั้น แต่เป็นเพราะฉันเบื่อหน่ายเหลือเกิน
ฉันยื่นปลายปากกาให้ขณะที่มันนั่งอยู่ที่เดิม
มันยื่นจมูกเข้ามาดมและแลบลิ้นเลีย ฉันจึงเอื้อมมือลูบคลำหัวของมัน
วางนิ่ง ๆ มันไม่มีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด สายตาจ้องมองฉันแน่นิ่ง
แม้มันจะรับรู้ถึงความจริงใจของฉัน
แต่มันคงรับรู้ถึงความเบื่อหน่ายได้เช่นกัน มันจึงผละจากมือฉันไป
ฉันไม่ได้โทษมันหรอก.. แต่ออกจะรู้สึกเสียใจ
ที่ฉันไม่สามารถให้ความรื่นเริงแก่มันได้แม้เพียงเล็กน้อย
ด้วยความรู้สึกแสนเหนื่อยล้า ไม่อยากทำอะไร
ไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหน และไม่อยากอยู่ที่ใด
ชีวิตช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อเสียจริง...
แน่ะ มันวิ่งมาอีกแล้ว
จากหนังสือ เอาผืนดินห่มให้หายหนาว / วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล
15 มิถุนายน 2550 15:34 น.
ผู้หญิงช่างฝัน
จะบีบแตรไล่ทำไมนักหนาวะ กับอีแค่ผมจอดทับเส้นกากบาทเหลือง
จริงๆ แล้วผมไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่ไม่นึกว่ารถข้างหน้าจะขยับไปได้แค่นั้น
คุณก็รีบ ผมก็รีบ ใครๆ ก็รีบกันทั้งนั้น เอ้า เอาเข้าไป บีบเข้าไป
มันยังบีบแตรอีกนับสิบครั้ง ผมหันไปมอง ช่างเถอะ!.. มันก็แค่ไอ้แท็กซี่คันหนึ่ง
ท่าทางคนขับคงจะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ตอนหลังก็ดูจะโวยวายโหวกเหวกไม่แพ้กัน
จะรีบไปไหนนักหนาวะ.. แต่โดนเข้าไปหลายครั้งก็อายเหมือนกันแฮะ
เสียงแตรที่ดังสนั่นทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว
แล้วจะให้ทำไงล่ะ ผมมองซ้ายมองขวา รถติดออกอย่างนี้จะถอยหลังก็ไม่ได้
รถคันหลังก็จ่อมาซะติด จะขยับไปข้างหน้าก็อย่าหวัง ช่างมันเถอะ ทนอายเอาหน่อย
พอเถอะวะ.. จะบีบไปทำไม ออกจากซอยได้ก็ต้องมาติดไฟแดงด้วยกันอยู่ดี
ทั้งคนขับและผู้โดยสารชี้โบ้ชี้เบ้มาที่ผม จะว่าอะไรผมก็ไม่เข้าใจหรอก
ตาของผมกับตาของคนขับแท็กซี่ประสานกันเข้าอย่างจัง ทำไงดีล่ะ
เห็นทีงานนี้ต้องกวนตีนกันแล้ว
ผมยกนิ้วกลางให้พร้อมกับเหยียบคันเร่งกระชากรถออกจากสี่แยก
ขยับไปได้นิดเดียว แท็กซี่คันนั้นก็ปาดแทรกรถคันที่ตามหลังผมทันที
เอาวะ งานนี้เป็นไงเป็นกัน ผมคิด
แท็กซี่คันนั้นยังบีบแตรและเปิดไฟสูงต่ำไล่ผมมาตลอด มันแน่งานนี้..
ถนนช่วงนี้ถึงแม้การจราจรจะค่อนข้างคับคั่ง แต่ก็ไม่เหลือวิสัยหากผมจะหลีกทาง
ให้มันแซงขึ้นไปข้างหน้า แต่ถ้าลองเล่นกันถึงขั้นนี้แล้ว
ก็เห็นที่จะต้องตามกวนตีนกันไปให้ถึงที่สุด
ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดีว่าผมขับรถเร็วขนาดไหน
รู้แต่ว่าผมทำทุกวิถีทางที่ไม่ให้มันแซงหน้าไปได้
ถ้าเผลอปล่อยให้แซงหน้าได้เมื่อไหร่ ผมจะเร่งแซงกลับไปดักหน้าไว้ทุกครั้ง
ต้องให้บทเรียนไอ้คนพวกนี้บ้าง
ผมเบื่อเต็มทนกับพวกแท็กซี่ที่จอดรับส่งผู้โดยสารไม่เลือกที่
คิดอยากจะจอดตรงไหนก็จอด ที่รถรามันติดกันยาวเหยียดอยู่ทุกวันนี้
ก็ไอ้พวกนี้แหละเป็นส่วนหนึ่ง ต้องเล่นซะบ้างจะได้เข็ด
แท็กซี่คันนั้นยังใช้ความเร็วอยู่เหมือนเดิม
แซงซ้ายแซงขวาปาดหน้าปาดหลังเค้าไปทั่ว
ผมหลับตานึกถึงผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในนั้น ป่านนี้คงหายใจไม่ทั่วท้องแน่ๆ
ทำไมถึงได้รีบขนาดนี้วะ..
ผมเหยียบคันเร่งจนมิดแซงรถคันโน้นคันนี้แล้วก็ไปปาดหน้ามันอีกครั้ง
แล้วก็ชลอความเร็วกันท่าไม่ให้มันแซงผม ก็ได้ผล
มันทั้งบีบแตรทั้งเปิดไฟไล่ใส่ผม
ช่าง.. บีบแตรไล่นัก จะกันท่าไปตลอดอย่างนี้แหละ
อีกแค่สองแยกก็จะถึงที่หมายของผมแล้ว
วันนี้ผมลางานครึ่งวันเพื่อมาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแห่งนี้
จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรหรอก
เวลาของผมยังมีเหลือเฟือ กวนตีนกันอีกซักพักเวลาก็ยังเหลือแหล่
ไอ้การตรวจร่างกายสมัยนี้ก็ไม่ได้เสียเวลาอะไรนักหนา
เถลไถลไปโน่นไปนี่ก็ยังกลับไปทำงานช่วงบ่ายได้ทัน
รถติดไฟแดงอีกแล้ว ท่าทางจะติดยาวเสียด้วย แท็กซี่ที่ตามหลังผมมาติดๆ
ปาดเข้าเลนซ้าย ก่อนจะแซงหน้าผมไป
คนขับหันมามองผมแล้วก็ส่ายหน้าเหมือนกับรำคาญผมเต็มประดา
ผมหักพวงมาลัยตาม จากนั้นรถก็ค่อยๆ เขยิบทีละนิดไปตามจังหวะสัญญาณไฟ
มันพยายามแทรกรถคันอื่นๆ เพื่อที่จะไปอยู่แถวหน้าสุด
ผมปาดรถเข้าช่องว่างตามไป
จังหวะนั้นเลนขวาว่าง ผมเหยียบคันเร่งปาดเข้าขวาแล้วปาดเข้าซ้าย
ตัดหน้ารถแท็กซี่ไปนิดเดียว เสียงเบรกของมันดังสนั่น
แต่นาทีนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว งานนี้มันต้องทำให้รู้สึกกันบ้าง
เหลืออีกนิดเดียวผมก็จะถึงที่หมายแล้ว หลังจากนั้นเอ็งจะไปไหนก็ไปเหอะ
หลุดจากไฟแดง รถของเราทั้งสองคันก็ปราดออกจากสี่แยกพร้อมๆ กัน
ยังไงซะผมก็ไม่ยอมให้มันขึ้นหน้าหรอก..
เสียงแตรของแท็กซี่ดังไล่หลังมาไม่ขาดระยะ
ถึงซะที.. คราวนี้ จะไปไหนก็ไปเถอะ ผมเลี้ยวซ้ายเข้าโรงพยาบาล
รับบัตรจอดรถจากยามแล้วแล่นเข้าสู่ลานจอด
มันยังตามมาติดๆ ยังไม่เลิกเหรอวะ ผมคิด เอาก็เอา
ที่ล็อคเกียร วางอยู่บนเบาะหลัง ผิดนักก็คงได้ฟาดกันมั่งหรอก
ผมขับรถเข้าที่จอด เปิดและปิดประตูรถอย่างแรงเหมือนไม่กลัวว่ามันจะพัง
แท็กซี่ที่ตามมาก็จอดพร้อมๆ กันกับผม
ประตูแท็กซี่ทั้งสี่ด้านเปิดผลัวะออกมาทั้งๆ ที่รถยังจอดไม่สนิทด้วยซ้ำ
ในทันใดนั้น ผมได้แต่ยืนตะลึง แขนซึ่งถือที่ล็อกเกียร์ เตรียมจะประจัญบาน
ตกลงมาข้างตัวเหมือนจะหมดแรง ไม่น่าเชื่อ..
ทุกสิ่งทุกอย่างในรถคันนั้นเต็มไปด้วยเลือด ทั้งบนเบาะ ที่บานประตูด้านใน
ไม่เว้นกระทั่งบนเสื้อของคนขับแท็กซี่
ผู้ชายสูงอายุแต่งตัวมอมแมมคนนึงถูกอุ้มอย่างทุลักทุเลลงมาจากรถ
เลือดเปรอะอยู่ทั้งบนลำตัวและใบหน้าของเขา
และบนเนื้อตัวของหญิงสาวทั้งสองคนที่คอยประคองอยู่ เธอทั้งคู่ร้องไห้เสียงดัง
โชเฟอร์เท็กซี่ที่ผมคาดว่าคงจะเปิดประตูเข้ามาลุยกับผม
รีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองชายสูงอายุ ผมยืนมองจนบุรุษพยาบาลวิ่งเข้ามา
และนำชายคนนั้นขึ้นรถเข็นพร้อมทั้งปั้มหัวใจกันพัลวัน
ตลอดเวลานั้น ผู้หญิงทั้งสองคนเกาะราวรถเข็นไม่ยอมห่าง
ผมได้แต่ยืนงงทำอะไรไม่ถูก
คนแก่คนนั้นเขาจะโดนอะไรมาก็เถอะ ถูกยิง ตกตึก หรือรถชน
แกคงจะมีโอกาสรอดแน่ๆ ถ้ามาถึงโรงพยาบาลได้เร็วกว่านี้
นี่ถ้าผมไม่แกล้งเขา ลุงแกอาจจะรอด เขาอาจจะมาถึงที่นี่ซักสิบนาทีก่อนหน้านี้
นั่นก็ยังดี ลุงอาจจะรอด ผมคิด ลุงคงจะรอด..
ทำไม ไม่เปิดกระจกมาบอกกรูซักคำวะ ผมแช่งชักหักกระดูกคนขับแท็กซี่
ในขณะนั้นผมไม่ได้คิดถึงความเลวของตัวเองซักนิด
นาทีนั้นผมสับสนอยากอ้วก ไม่มีแรงจะพยุงตัวเองไว้ได้
ผมเปิดประตูกลับเข้าไปในรถ แว่บนั้นผมเห็นคนขับแท็กซี่เดินเข้ามาหา
ช่าง.. อยากจะทำอะไรกรูก็ทำ กรูไม่มีกะจิตกะใจจะสู้อีกแล้ว
ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย ผมได้ยินเสียงคนขับแท็กซี่ดังแว่วเข้ามา
มันทำให้ผมรู้สึกเย็นเยือกไปถึงขั้วหัวใจว่า
"พี่รู้ไหม ลุงแกตายแล้ว เพราะพี่นั่นแหละ"
นั่นเป็นเสียงสุดท้าย ก่อนที่ผมจะซบหน้าลงกับพวงมาลัยและร้องไห้
14 กุมภาพันธ์ 2550 14:11 น.
ผู้หญิงช่างฝัน
ไม่เคยมีความหมายในวันนี้
และไม่มีความสำคัญในวันไหน
เป็นเพียงแค่ดอกหญ้าค่าต่ำไป
มิเทียมได้กับค่าคำว่า รัก
อาจมีคนหลงใหลในบางครั้ง
แต่ก็ยังไม่มีที่แน่นหนัก
เคลิ้มคล้อยปล่อยใจเคียงเพียงชั่วพัก
เมื่อตระหนักความจริงก็ทิ้งไป
เป็นเจ้าของกุหลาบงามที่ล้ำค่า
มีศักดิ์กว่าดอกหญ้าดินเป็นไหนไหน
แค่ดอกหญ้าไร้กลิ่นถิ่นพงไพร
เหยียบย่ำช้ำเพียงไหนใครอาทร..
หมดสิ้นความสำคัญ วันแห่งรัก
ได้ประจักษ์ถึงค่าดอกหญ้าอ่อน
ถูกละเลยทิ้งร้างบนทางจร
ให้ร้าวรอนสะท้อนทกกับอกดิน
ดอกหญ้าวาเลนไทน์ :: 13 ก.พ. 49 - 17:14
..
วันนี้ของปีก่อน.. ฉันเขียนบทกลอนตัดพ้ออะไรบางอย่าง
วันแห่งความรัก.. วันที่ไม่เคยมีความหมายกับฉันมานานนักแล้ว
ของขวัญวันวาเลนไทน์..
ดอกไม้... สำหรับวันแห่งความรัก
ดอกไม้หรือ...
มีเพียงคนใกล้ชิดไม่กี่คนกระมัง.. ที่รู้ว่าฉันโปรดปรานช่อดอกไม้สดเป็นที่สุด
ไม่กี่คน.. ที่รู้ว่าของขวัญที่ทำให้ฉันสุขใจและยิ้มได้ในทุก ๆ เทศกาล
คือดอกไม้เล็ก ๆ ช่อเดียวเท่านั้น
แต่.. ดอกไม้เล็ก ๆ และคนใกล้ชิดในไม่กี่คนนั้น ได้ห่างหายจากชีวิตฉันไปนานแล้ว..
ยังคงมีบ้างในบางโอกาส ที่ฉันสั่งช่อดอกไม้สดเป็นของขวัญให้ตัวเอง..
และก็น่าขัน.. ครั้นเมื่อบอกกับคนช่างสงสัยรอบข้างว่าฉันซื้อเอง
พวกเขามักไม่อยากจะเชื่อ..
ไม่เห็นจะแปลกนี่นะ.. ก็ในเมื่อฉันรอที่จะมีคนมอบให้ไม่ไหวนี่นา..
แต่คุณว่ามั้ย..
ชีวิตคนเรา.. บางทีก็ตลกกว่าที่คิด..
สิ่งที่เคยอยากได้ กลับไม่ได้
สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ กลับมีเข้ามา...
.. ปีนี้...
กุหลาบแดงช่อเล็ก ๆ ยิ้มรับฉันในอรุณรุ่งของวันแห่งความรัก
การ์ดเล็ก ๆ กับข้อความสั้น ๆ แด่.. นางฟ้าของผม
ที่แม้จะไม่ได้ลงชื่อ.. แต่ฉันก็รู้..
คิดให้ขำขำ ป่านนี้แล้วยังมีคนหูตาฝ้าฟางหลวมตัวมาซื้อดอกไม้ให้อีกแฮะ..
แต่ยามนี้ฉันกลับขำไม่ออก...
ฉันนึกไปถึงเรื่องราวที่คนช่างเล่าคนหนึ่งเล่าให้ฟัง
เรื่องราวของชายหนุ่มผู้ซึ่งไม่ต้องการรับดอกไม้จากบรรดาหญิงสาว
ด้วยมีความคิดว่าหากตนรับ นั่นหมายถึงตนได้เปิดรับความรู้สึก
ของหญิงสาวเหล่านั้นเข้ามา ซึ่งเขาไม่ต้องการ..
แต่กลับมีบางเสียง ที่แย้งความคิดของเขา
การรับดอกไม้นั่น..
..หมายถึงการเปิดโอกาสให้คนอื่นได้แสดงความรู้สึกที่เขามีต่อเราต่างหาก
มันทำให้ฉันสงสัยต่อไปว่า
การเปิดโอกาสให้คนอื่นได้แสดงความรู้สึกที่มีต่อเรา...
คือการให้ความหวัง เพื่อที่จะต้องพบกับความผิดหวังในวันข้างหน้าหรือเปล่านะ
แล้วฉันควรจะรับกุหลาบช่อนี้ไว้ดีหรือเปล่า (วะ) นี่..!..
ทำไมเราถึงคบกันไม่ได้.. ช่วยบอกผมหน่อย
ฉันนึกเลยเถิดไปถึงคำที่เจ้าของกุหลาบช่อนี้เคยคาดคั้นถาม..
เฮ้อ...อ...อ....! ฉันถอนหายใจยาว ๆ แล้วบอกไปว่า.. ก็รู้ ๆ อยู่.. จะต้องถามทำไม
มันไม่สำคัญหรอกนะ ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ เขายังไม่ยอมแพ้
ฉันลอบถอนใจเบา ๆ เพื่อระบายความอึดอัด.. แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร
มันสำคัญมากนักหรือ สำคัญมากกว่าความจริงใจที่ผมมีใช่มั้ย.. เขาถามอีก..
มันก็แค่ความรู้สึกฉาบฉวยน่ะ.. อีกไม่นานก็จะหายไปเอง
ฉันพูดอย่าง (กับ) คนเข้าใจชีวิต
แต่มันเกือบปีแล้วนะ.. ที่ผมรู้สึกแบบนี้..
.......... ฉันเงียบ..
.......... เขาก็เงียบ
เอางี้.... ..อีกสองปี ถ้ายังรู้สึกเหมือนเดิมอยู่ค่อยมาคุยกันใหม่ ดีมั้ย
.. ฉันพยายามหาทางออก เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า..
... แล้วถ้าวันนั้นผมยังรู้สึกเหมือนเดิมล่ะ...
..ก็ค่อยมาว่ากันงัย.. ฉันรีบสรุป
............
....
ฉันดึงความคิดตัวเองกลับมาที่กุหลาบช่อน้อยบนโต๊ะทำงาน...
ของขวัญวันวาเลนไทน์.. ที่ฉันเคยหวัง.. และเฝ้ารอคอย
ความจริง...ฉันอยากจะมีความสุข ปลาบปลื้ม และยิ้มบาน ๆ ให้กับกุหลาบช่อนี้นะ
เพียงแต่..
ฉันไม่เข้าใจ..
ว่าทำไมชีวิตต้องเล่นตลกกับฉันอย่างนี้ด้วย...
ทำไมชายหนุ่มที่ทำให้ฉันสมหวัง...และ (แอบ) ชื่นใจเล็ก ๆ แบบนี้ได้...
...
......
........
ถึงต้องเกิดทีหลังฉันตั้งเป็นสิบปีอย่างนี้ด้วยเนี้ย.ย..ย.. แง๊... ง... ง
14 มกราคม 2550 13:00 น.
ผู้หญิงช่างฝัน
เช้านี้.. ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง
เป็นคืนแรกในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ฉันรู้สึกเต็มอิ่ม.. กับการพักผ่อน
ที่เคยเหนื่อย..
ที่เคยล้า...
ที่เคยว้าวุ่น..
ก็ดูเหมือนจะสิ้นฤทธิ์ หมดพิษสง..
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรู้สึกฉันได้ตกต่ำจนถึงที่สุดแล้ว หรือเพราะฉันเข้มแข็งขึ้น
หรือที่เค้าว่า..
เมื่อเราถูกทำให้เจ็บปวด
หรือทำตัวเองให้เจ็บปวดได้ถึงที่สุดแล้ว
เราจะรู้สึกถึงได้ว่า - - -
ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดอีกแล้ว
ไม่มีอะไรน่าเจ็บปวดอีกต่อไป
หรือไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดต่อไป - - เพื่ออะไร - -
..จะเป็นจริง ..
ฉันทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา กับอีกบางเรื่องราวที่กำลังจะผ่านไป
ฉันมองเห็นความไร้สาระของตัวเองผ่านชีวิตอันเปี่ยมด้วยสาระของคนอื่น
- ความเศร้า - ทำลายฉันจนแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้าของตัวเองไปแล้ว
ฉันหยิบหนังสือหลายต่อหลายเล่มมากองไว้
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามีหนังสืออื่นที่ควรอ่านมากกว่านั้น ..เอาน่า.. ครั้งสุดท้ายแล้ว
ฉันบอกตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้
หนังสือหลายต่อหลายเล่ม..
หนังสือดีดี ที่ฉันเคยหยิบประโยคนั้น ประโยคนี้ ไว้คอยสอนใจคนอื่น
แต่หลงลืมที่จะเก็บมันมาบอกตัวเอง
ความทรงจำสุดสวยหวาน ทำให้คุณหายใจออกมาเป็นคำว่า.. เสียดาย..
หนังสือเล่มหนึ่งบอกฉันอย่างนั้น..
คุณปล่อยเวลาหมดไปกับการคิดถึงอดีตและเฝ้าหวังให้มันย้อนคืนกลับมา
ฉันอยากรู้นักเชียว ความต้องการเหล่านั้นจะไปอ้อนวอนจากใคร
คุณรู้บ้างหรือเปล่าว่าชีวิตคุณกำลังจะเดินทาง เดินทางไปในที่สักแห่งหนึ่งที่เป็นจุดหมาย
ยากที่คุณจะมองเห็นวันวานหรือพบเจอกับความทรงจำเก่า ๆ
จะมีเพียงแค่โลกกว้างให้คุณได้สูดอากาศ
ผู้คนมากหน้าหลายตาที่อาจหยิบยื่นมิตรภาพอันอบอุ่น
และการยิ้มรับชีวิตใหม่ของคุณผู้เข้มแข็ง แล้วไยคุณจึงฉุดรั้งชีวิตของคุณเองเช่นนั้น
ไยคุณกล้าที่จะเจ็บจมกับอดีต มากกว่าที่จะออกไปพบกับสิ่งสวยงาม... ฉันไม่เข้าใจ
นั่นสินะ.. ฉันคิดตาม
อะไรกันที่ทำให้ฉันอ่อนแอได้จนถึงขนาด... ฉันยึดติดและเสียดายอะไรกันนะ
.. ความผูกพันอันเหมือนเส้นใยเบาบาง..
ที่เพียงแค่กระแอม..ก็ปลิวหายจากฉันไปไหนต่อไหน. อย่างนั้นหรือ..
.. หยดน้ำค้าง..
ที่นำพาความชุ่มชื่นมาให้ประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็เลือนหาย อย่างที่มีคนเปรียบให้ฉันฟัง..อย่างนั้นหรือ...
คุณคือ ผื น ห ญ้ า อ่ อ น ไว้นอนหนุน
ให้อบอุ่นในคืนวันอันหมองหมาง
ซับน้ำตาประโลมปลอบใจบอบบาง
ดับอ้างว้างด้วยดวงใจมิตรไมตรี..
บทหนึ่งของงานที่ฉันตั้งใจเขียน เมื่อครั้งรู้สึกขอบคุณใครที่ให้รู้สึกดีดีมากมายแก่ฉัน
ผืนหญ้าอ่อน.. อย่านอนนาน
หนังสือเล่มนี้กลับบอกฉันอย่างนั้น
ผืนหญ้านุ่มที่แผ่กว้าง..
ให้คุณทิ้งตัวลงนอนพักผ่อนเอนกายได้เสมอ
แต่แท้จริงแล้วหญ้านั้นช่างอ่อนไหวนัก
หากต้องแบกรับคุณนานเกินไป
อย่างไรมันก็มีวันแห้งเหี่ยวเฉา
นั่นสินะ.. ฉันคิด..
11 มกราคม 2550 21:12 น.
ผู้หญิงช่างฝัน
พัดผ่านมาอีกระลอกแล้ว... ลมหนาว
แต่ครั้งนี้.. ฉันกลับสัมผัสไม่ได้ถึงความอบอุ่นแห่งหนาวนั้น
อุ่นเดียวที่ฉันปรารถนา.. และเฝ้ารอคอย..
อุ่นเดียวที่แม้มิอาจจับต้อง แต่ฉันก็เคยได้สัมผัส.. ได้รู้สึก...
แล้ววันนี้
วันที่ลมหนาวเยือน.. ใยฉันจึงรู้สึก ห น า ว เ ห น็ บ บาดลึกลงไปถึงเนื้อในเช่นนี้เล่า
เพราะเหตุใด.. ลมหนาวเจ้าเอย
ฉันเศร้านัก..
น้ำตาเธอไหลในคืนเหงา
เงียบงันอยู่กับเงาอันเปล่าว่าง
ร่องแก้มมีน้ำใสไหลเป็นทาง
ค่อยค่อยแห้งแล้งร้างไปจากตา
ดวงใจเธอโศกเกลื่อนรอยโศก
ฉีกขาดวิปโยค ปรารถนา
ฝันบิน ดั่งนกที่ผกฟ้า
แรงก็กล้า ปีกก็หลุบลงเกลือกดิน
ชีวิตเธอช้ำและอับเฉา
ผลิดอกไม้สีเทาที่ไร้กลิ่น
ซุกอยู่ในมุมแคบแห่งราคิน
อึดอัดทัดถวิลถึงชีวี
ความฝันเธอแห้งเหมือนแล้งฝัน
แสวงหานิรันดร์อันริบหรี่
แต่งดาวประดับฟ้าในราตรี
ดาวก็ดับทับทวีทรมาน
ความหวังเธอปลิวลิ่วถลา
สลายหวังวุ่นว้าทุรนร่าน
สลายแล้วสลายเล่าช่างร้าวราน
หวังแล้วขาดพลาดผ่านเพียงสายลม
เธอเปิดประตู ออกจากห้อง
เหม่อมองด้วยตาอันขื่นขม
มองดิน มองฟ้า มองสังคม
รับน้ำค้างพร่างพรมในราตรี
เธอเห็นดาวตกที่ปลายฟ้า
เห็นดาวอื่นยังคงค่าฉายแสงสี
ทำให้เธอเข้าใจในชีวี
รอให้มีความหวังพลังใจ
เธอเดินเหงาหงอยอยู่ริมถนน
มองผู้คนคึกคักขวักไขว่
คนอื่นก็มองเธอสลับไป
ไม่รู้ใครเป็นใครที่ผ่านทาง
เธอเห็นราตรีที่มืดมิด
ใจเธอคิดถึงอรุณจะรุ่งสาง
ดวงตา เงียบเหงา อ้างว้าง
ฝ่ามอง ฟ้ากว้างและทางไกล
เธอกลับเข้าไปอยู่ในห้อง
นั่งมองฝาผนังเห็นหยากไย่
พอหลับตาก็เห็นภาพใครต่อใคร
กวักมือเรียกเธอออกไปร่วมเดินทาง / ไพวรินทร์ ขาวงาม
ฉันซ้ำโศก.. ด้วยกวีบทเศร้า (สำหรับฉัน)
เพิ่มดีกรีความรานร้าวที่ท่วมท้นจากฤดูกาลที่แสนรัก
ลมหนาวเจ้าเอย ..
ใยเจ้ามาแปรเปลี่ยนไปในช่วงที่คืนวันเว้าแหว่ง แล้งไร้.. วันที่เศร้าสุมรุมหัวใจเช่นนี้นะ
ฉันเฝ้าแต่คร่ำครวญ..
หนาวราวคมแห่งมีดมากรีดเนื้อ
เนื้อยังเหลือรอลมกรีดคมให้
และทุกครั้งดั่งมีดมากรีดใจ
จะทนไว้ให้กรีดสักกี่คม
เรณูฤดูหนาวปวดร้าวนัก
ปลิวไปในความรักที่ขื่นขม
ผิวจักขาดบาดผิวด้วยริ้วลม
เกินจักห่มบาดแผลด้วยแพรพรรณ
ดวงเนตรฤดูหนาวราวฉ่ำน้ำ
ค้างผลึกลึกล้ำสะท้านสั่น
เพียงพร่ำพลอดยอดหญ้าท้าตะวัน
หนาวสิ่งนั้นสิ่งนี้นี่หนาวนัก / ไพวรินทร์ ขาวงาม
อุ่ น เ ดี ย ว ที่ ฉั น ป ร า ร ถ น า.. แ ล ะ เ ฝ้ า ร อ ค อ ย..
อุ่ น เ ดี ย ว ที่ แ ม้ มิ อ า จ จั บ ต้ อ ง แ ต่ ฉั น ก็ เ ค ย ไ ด้ สั ม ผั ส.. ไ ด้ รู้ สึ ก...
พัดผ่านไปโดยเร็วเถิด... ลมหนาว
ฉันภาวนา...