24 พฤศจิกายน 2549 09:02 น.

ถังน้ำ ไอ้ด่าง และอิสรภาพ

ป.ยุทธ

แดดยามสายส่องประกายร้อนไปทั่วบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งของภาคอีสาน
 
			ด่าง ด่าง ด่าง... จุ๊ จุ๊      
      
			ไอ้ด่างได้ยินเสียงเรียก มันกระดิกหางอย่างดีใจวิ่งเข้าหาเจ้านายใหญ่อย่างนอบน้อม พลางเลียแข้งเลียขาเอาอกเอาใจ        
      
			เจ้านายใหญ่รีบจับตัวแล้วกอดรัดมันไว้แน่น      
      
			มา..มาเอาเร็วๆ  จับไว้แล้ว        
      
			ชายแปลกหน้าเดินเข้าใกล้แล้วเอาเชือกรัดที่คอกระชากอย่างแรง  มันสะดุ้งตกใจ  ดิ้นสะบัด แต่ยิ่งดิ้นยิ่งรัดแน่นหายใจแทบไม่ออก  เจ้านายใหญ่ของมันเข้ามาจับตัวมันอีกครั้งมันจึงหยุดดิ้น  และแล้วคนแปลกหน้าอีกคน  อ้อมมาด้านหลังค่อยๆ จับตัวมันแทนเจ้านายใหญ่  จากนั้นมันถูกโยนเข้าไปในกรงที่อยู่บนรถกระบะอย่างแรงจนดังโครม         
      
			มันยอมรับว่าในชีวิตไม่เคยเจ็บปวดครั้งไหนมากเช่นครั้งนี้มาก่อน  มันเจ็บปวดเสียจนร้องเสียงหลง      
      
			เอ๋ง  เอ๋ง  เอ๋ง      
      
			มันถูกดึงมาประชิดลูกกรง  ก่อนที่จะถูกแก้เชือกออกจากคอ  น้ำตาของมันเอ่อซึมออกมาอย่างไร้การปลอบประโลมหรือได้รับการลูบหัวใดๆ ทั้งสิ้น      
      
			มันมองรอบๆ กรงเหล็กสี่เหลี่ยมอย่างหวาดกลัว และยอมรับว่าไม่เคยกลัวครั้งใดมาก เช่นครั้งนี้มาก่อนในชีวิต      

			มันมองเจ้านายใหญ่ที่ยืนพูดคุยกับคนแปลกหน้าอย่างกระหยิ่ม
      
			นี่ครับถังน้ำ คนแปลกหน้าพูด พลางยื่นให้      
      
			ขอสองใบไม่ได้เหรอ? ตัวมันอ้วนนะไม่เหมือนหมาตัวอื่น      
      
			ไม่ได้หรอกครับเดี๋ยวขาดทุน       
      
			เอา...ใบเดียวก็ใบเดียว เอาไปให้พ้นเสียที  หมาอะไรก็ไม่รู้  วันๆ กัดเป็ด กัดไก่ชาวบ้าน บางวันกัดคน เสียเงินเสียทอง  เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ      
      
			คิดถูกแล้วล่ะครับที่ให้พวกผมเอาไปจัดการให้    พูดจบคนแปลกหน้าก้าวขึ้นรถขับออกไป      
      
			ไอ้ด่างได้แต่สงสัยว่าคนพวกนี้จะเอาตัวมันไปไหน ทำไมเจ้านายใหญ่ยอม  นี่ถ้าคนแปลกหน้าพวกนี้ไม่เอาเชือกรัดคอและเจ้านายใหญ่ไม่อยู่ใกล้ๆ ล่ะก็  จะแว้งกัดสู้แบบจนตรอกทีเดียว      
	      
			มันมองบ้านที่เคยอาศัยอยู่กิน  ซึ่งบัดนี้ห่างออกไป ห่างออกไปจนถูกบดบังจากบ้านหลังอื่น      

			อิสรภาพที่เคยมี บัดนี้จบสิ้นเสียแล้วหรือ
      
			โหล...โหล...หนึ่งสองสาม  สวัสดีครับ  วันนี้หน่วยบริการถังน้ำแลกหมามาแล้วครับ... ถังน้ำแลกหมา- หมาตัวไหนดื้อ เกเร เลี้ยงไม่เชื่อง กัดเป็ด-กัดไก่-กัดผู้-กัดคน  เอามาแลกถังน้ำได้  หมาหนึ่งตัวแลกถังน้ำหนึ่งใบ  เสียงประกาศดังออกจากวัตถุบนหัวรถ  ดังเสียงแหลมจนแสบแก้วหู  เวลานี้ไอ้ด่างแสดงอาการหวาดผวา ตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด มันมึนงงตาลาย และวิงเวียนไปกับรถที่พาเคลื่อนไปข้างหน้า แล้วก็หยุดเป็นช่วงๆ       
      
			ไม่นานนักมันเริ่มมีเพื่อนร่วมกรง  การเข้ามาของเพื่อนๆ จะถูกโยนเข้ามาตัวแล้วตัวเล่าไม่ต่างจากมันเลย   
      
			เพื่อนใหม่แต่ละตัวไม่มีตัวใดกล้าแสดงอำนาจ หรือทะเลาะเบาะแว้งกันเลยสักนิด ทุกตัวอยู่อย่างสงบสันติ เจียมเนื้อเจียมตัว และหดหู่  ช่างต่างจากอยู่ข้างนอกกรง ที่แต่ละตัวเจอกันเป็นไม่ได้ต้องแสดงอำนาจบาตรใหญ่ โดยการยิงฟันคำรามใส่กันและกัน  กระทั่งกระโดดกัดฟัดเหวี่ยงจนกว่าจะมีผู้แพ้และล่าถอย      
      
			ไอ้ด่างมองเพื่อนแต่ละตัวไม่ต่างไปจากมันนัก       
      
			มันและเพื่อนๆไม่รู้ตัวว่า เจ้านายยอมให้คนแปลกหน้าพวกนี้ จับตัวโยนเข้ากรง มีจุดเพื่ออะไร  ไปไหน  และไปทำไม        
      
			พลัน...มันดีใจกระดิกหางเมื่อรถวิ่งช้าๆ กลับมาทางเดิมแล้วผ่านบ้านเจ้านายของมันอีกครั้ง      
	      
			เอาไอ้ด่างของผมคืนมา  เอาคืนมา  ฮือๆ เจ้านายน้อยของมันร้องตะโกนทั้งน้ำตาพลางกวักมืออยู่ไวไว โดยมีเจ้านายใหญ่รั้งตัวไว้       
      
			อย่า...ลูก  ให้เขาเอามันไปเถอะ มันเกเร มันเป็นหมาไม่ดี เราหามาเลี้ยงใหม่นะ มีเยอะแยะ เดี๋ยวพ่อจะพาไปขอเอา      
      
			ไม่เอา...จะเอาไอ้ด่าง  ทำไมเขาต้องเอาไอ้ด่างของเราไปด้วย  ฮือ ฮือ...      
      
			มันเห็นเจ้านายน้อยดิ้นจนหลุดจากมือเจ้านายใหญ่  แล้ววิ่งตามรถมา  โดยมีเจ้านายใหญ่วิ่งไล่ตามหลังมาติดๆ      
       
			ไอ้ด่างดีใจ...แสดงว่าเจ้านายทั้งสองของมันพยายามที่จะวิ่งมาช่วยมันเป็นแน่  แต่...มันก็ต้องสิ้นหวัง  เมื่อรถห่างไกลออกมาจนเลือนหายไปกับโค้งถนนที่มีกอไผ่บดบัง      
      
			รถเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางถนนดำบ้าง  แดงบ้าง และบางครั้งก็กระแทก  กระโดดหลุม  จนไอ้ด่างกับเพื่อนๆ ต่างกระเด็นกระดอนปวดระบมไปทั้งตัว       
      
			รถผ่านหมู่บ้านเมื่อไหร่ มันจะเห็นคนแปลกหน้าที่ขับรถพามันมา  โยนเพื่อนใหม่เข้ามาในกรงสภาพที่ไม่แตกต่างจากมันนัก  เพื่อนใหม่แต่ละตัวจะร้องเหมือนมันทุกครั้งไป  โดยเฉพาะคราวนี้ ถูกโยนเข้ามาหลายตัว บางตัวกระแทกกับเพื่อนที่อยู่ในกรงร้องประสานเสียงด้วยความเจ็บปวดอยู่นาน         
	      
			เอาไปหน่อย...หลายตัวจริงๆ เปลืองข้าวตั้งนาน...ทำไมช่วงนี้ไม่เห็นมานานแล้ว?      
	      
			ไปเดินสายทางอื่นนะครับ  ทำไมคราวนี้มีหลายตัวล่ะครับ?...ดีจังเลย       
      
			ลูกมันดก...ไม่มีใครมาขอไปเลี้ยงเลย...แย่จริง  ยังดีที่มีหน่วยบริการแลกถังน้ำจะได้แลกไว้ใช้  ประหยัดเงินซื้อ      
      
			ครับผม...ขอตัวก่อนนะครับโอกาสหน้าจะมาใหม่ อย่าลืมเลี้ยงไว้เยอะๆ พูดจบก็ก้าวขึ้นรถขับไป       
      
			เวลานี้กรงที่ขังมันกับเพื่อนๆ เริ่มแออัดยัดเยียด  หากรถหยุดนิ่งเมื่อไหร่  มันจะรู้สึกว่าอึดอัดหายใจไม่ออก จะค่อยยังชั่วก็ต่อเมื่อรถเคลื่อนไปเท่านั้น      
      
			และแล้วรถก็หยุดนิ่ง-นิ่งอยู่กลางแดดจ้า ไอ้ด่างแหงนมองที่มาของลำแสงและความร้อน มันเพ่งมองได้แว๊บเดียว ก็ต้องเบือนหน้าหนี เพราะสิ่งนั้นทำให้สายตาของมันพร่ามัว  บัดนี้ความร้อนที่ได้รับ ทวีความรุนแรงจนมันกับเพื่อนๆ ลิ้นห้อยกระเส่าไปตามๆ กัน       
      
			ว้า...ต้นไม้ริมทางไม่มีซักต้นเลยลูกพี่ กะว่าจะจอดให้หมาพวกนี้เข้าร่มซะหน่อยเดี๋ยวตายซะก่อน        
	      
			เออนี่...ข้าว่าเอ็งเอาไอ้ตัวผอมโซตัวนั้น มาทำเป็นกับข้าวเที่ยงหน่อยวะ  ข้าซักน้ำลายไหล  ไม่ได้กินเนื้อพวกนี้มาหลายวันแล้ว       
      
			ดีเหมือนกันลูกพี่ ผมว่าไอ้ตัวนั้นมันไปไม่ถึงบ้านหรอกตายกลางทางแหงๆ        
      
			เดี๋ยวข้าไปก่อไฟรอที่กระท่อมนาโน่นนะ      
      
	ไอ้ด่างมองคนแปลกหน้าค่อยๆ หย่อนเชือกที่เป็นบ่วงลงไปที่คอไอ้ผอมโซตัวนั้น-ตัวที่มันนึกสมเพชกับความผอมแห้งขี้โรค ขณะที่สวมลงที่คอ  ไอ้ผอมโซกำลังนั่งแลบลิ้นหอบแหกๆ  คล้ายจะไม่รอด      
	      
			พลัน!!!...มันและเพื่อนๆ ทุกตัวก็ต้องสะดุ้งโหยง ตะลึงงันไปกับภาพที่เห็น      
      
			นรก...เป็นพยาน      
      
			ไอ้ผอมโซถูกเชือกโยงที่คอขึ้นกับลูกกรงด้านบน ขาทั้งสี่ดิ้นสะบัดไปมา ดวงตาถลน  ของเหลวราดออกจากทวารหนัก  กระเด็นเรี่ยราดลงมาถูกเพื่อนด้านล่าง    แม้แต่ไอ้ด่างก็ยังโดนเปรอะที่หัว มันจำต้องสลัดหัวไป-มาอย่างแรงสี่-ห้าที เพื่อทำความสะอาด      
	      
			คนแปลกหน้าเอาร่างที่แน่นิ่งของไอ้ผอมโซออกทางประตูกรง   มันมองตามอย่างไม่วางตา      
	      
			ร่างไอ้ผอมโซถูกโยงไว้กับต้นไม้ แล้วถูกมีดเฉือนเอาเนื้อหนังออกมาให้อีกคนหั่นลงกระทะที่ตั้งไฟจนเดือด  กลิ่นหอมโชยมากระทบจมูก ไอ้ด่างรู้ตัวแล้วว่ากำลังหิว-หิวจนตาลาย มันเลียปากแลบๆ เพื่อนๆ ร่วมกรงก็ไม่ต่างกัน   มันยอมรับว่าหิวที่สุดของที่สุดที่เคยหิวมา มันนึกถึงจานข้าวที่เจ้านายเคยให้  มันกินและเลียอย่างเอร็ดอร่อย       
      
			ไอ้ด่างได้แต่คิดว่าสักวันจะต้องได้กลับไปกินเช่นนั้นอีก        
      
			มันมองคนแปลกหน้าโยนเศษกระดูก เศษข้าวที่เหลือกินทิ้ง  เวลานี้มันอยากดลใจให้โยนมาทางมันเหลือเกิน  แต่...ไร้วี่แวว      
      
			เฮ้ย...เอ็งไปเอาผ้าคลุมกรงไว้หน่อย เดี๋ยวพวกมันตายเสียก่อน  เจ๊งนะเว้ย อย่าลืมนะว่าเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น ชำแหละมาโลละสาม-สี่ร้อยเชียว       
      
			โอ้...จริงนะครับลูกพี่  ผมลืมไปว่ามีผ้า      
      
			ความร้อนคลายไปบ้างแล้ว  แต่...ความหิวยังคงดังเดิม  ลำคอแห้งเป็นผง ไอ้ด่างได้แต่นอนคดคู้จนผล็อยหลับ      
      
			มันรู้สึกตัวว่ารถเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่นานก็มีเพื่อนใหม่ขึ้นมาสมทบทั้งๆ ที่แน่นอัดอยู่แล้ว ยิ่งแออัดเข้าไปอีก หายใจแทบไม่ออก  มันเห็นเพื่อนบางตัวถูกทับจนหายใจรวยรินจะตายมิตายแหล่      
      
			ความมืดเริ่มโรยตัวเข้ามา  แต่รถยังเคลื่อนไปไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ความหนาวเหน็บเข้ามาเยือนแทนความร้อนเมื่อตอนกลางวัน      
      
			นานเท่าไหร่ไม่รู้ ไอ้ด่างรู้เพียงว่ารถจอด ณ สถานที่แห่งหนึ่ง       
	      
			หลวงพ่อครับผมขออาศัยนอนที่ศาลาซักคืนเถอะครับ      
	      
			เห็นจะไม่ได้หรอกโยม อาตมาสงสารหมาพวกนี้ อย่าหาว่าใจจืดใจดำเลยนะ ถ้าโยมมาเร่ขายอย่างอื่นไม่ว่าหรอก  โยมไปพักตามกระท่อมนาก็แล้วกัน      
      
			ฮ้า...ไม่กลัวนรกกินกบาลเลยพวกนี้ ประโยคหลังเป็นเสียงบ่นพึมพำเมื่อรถเคลื่อนออกไป      
      
			ไม่นานนักรถก็จอดอีกครั้งในความมืด      
      
      
			แดดอุ่นๆ ฉายแสงมากระทบผิวหนัง ไอ้ด่างชะโงกหน้ามองไปรอบบริเวณ สองข้างทางมีเพียงทุ่งนาโล่งเตียน       
	      
			มันเพ่งมองประตูกรงที่คนแปลกหน้าเปิดก่อนโยนเพื่อนใหม่เข้ามาแล้วปิดไว้แน่นหนาตามเดิม  หากมันจะออกไปพบกับอิสรภาพก็คงมีทางเดียว        
      
			ใช่แล้ว  อิสรภาพอันยิ่งใหญ่ที่มันหวนหา ณ เวลานี้      
      
			มันตัดสินใจเดินแทรกตัวกับเพื่อนๆ แต่ละตัวที่ยืนบ้างนอนบ้าง มานั่งยองๆ ใกล้ประตู มองโซ่คล้องเส้นใหญ่ ประหนึ่งนักโทษประหารคอยการแหกที่คุมขังไปสู่อิสรภาพ       
	      
			ถังน้ำแลกหมา  มาแล้วครับ  หนึ่งตัวต่อถังน้ำหนึ่งใบ เร็วครับใกล้จะหมดแล้ว      
      
			รถจอดแล้ว  ไอ้ด่างจดจ้องรอเวลา- เวลาที่คนแปลกหน้าเปิดออก เพื่อโยนเพื่อนใหม่เข้ามา มันจะต้องฉวยโอกาสนั้น  มันคอย  คอยทุกลมหายใจเข้าออก      
	      
	      
			และแล้ว..      
      
			อ้าวเฮ้ย...มันออกไปแล้วไปจับมันเร็ว...แม่งออกได้ไงวะ?      
      
      
			ไอ้ด่างวิ่ง-วิ่งเท่าที่คิดว่าเร็ว พลางมองย้อนหลังเห็นคนแปลกหน้าทั้งสองตามมากระชั้นชิด มันสะดุ้งเมื่อเชือกโยนมาตกที่กลางหลังของมัน      
      
			แม่งพลาด...จนได้      
      
			เฮ้ยเหนื่อย...ช่างมันกลับไปแลกตัวใหม่ต่อดีกว่า  เสียดายว่ะตัวอ้วนเสียด้วยสิ       
      

			ไอ้ด่างวิ่งเยาะๆ พลางมองสองข้างทางเป็นป่าละเมาะ และทุ่งนาที่มีตอซังข้าวล้มระเนระนาดบนผืนนาที่แตกระแหง      
      
			ต้องกลับบ้านให้ได้ แม้จะวิ่งนานสักแค่ไหน?วิ่งไกลเพียงไร?  ก็ต้องพยายาม มันพอจำได้เลือนๆ ว่าน่าจะเป็นทางนี้ทีรถพามา        
      
			มันแอบหลบลงข้างทางอย่างหวาดผวา เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์กระหึ่มมาแต่ละคัน กว่ารถคันนั้นจะผ่านไปมันจึงค่อยๆ ขึ้นมาวิ่งต่อที่ริมถนน       
      
			มันแวะเลียน้ำในลำห้วยอย่างกระหาย       
      
			นานมาก นานเหลือเกิน  นานแค่ไหนมันไม่รู้ มันวิ่ง-วิ่งอย่างเดียว ผ่านแต่ละหมู่บ้านจะมีหมาหลายตัวไล่กัด  มันหลบหลีกวิ่งหนีไม่ยอมปะทะ  จนกระทั่งถึงร้านค้า      
      
			ไอ้หนูซื้อปลาทูแล้วรีบเอาไปให้แม่เอ็งเร็วเข้าเดี๋ยวโดนด่า      
	      
			ฮือๆ หมาแย่งไปแล้ว ฮือๆ...      
      
			ไอ้ด่างยอมรับว่ามีกำลังขึ้นมาจากปลาทูเข่งนั้น ความหิวที่ก่อตัวมาเมื่อวันวานคลายลงแล้ว มันบอกกับตัวเองว่าจะให้วิ่งนานแค่ไหนก็ย่อมได้        
      
			เมื่อถึงบ้านแล้วเจ้านายคงจะดีใจ ในชีวิตมันทำดีกับเจ้านายมาตลอด และเจ้านายก็รักมัน  โดยเฉพาะเจ้านายน้อยที่กอดรัดกับมันตลอดเวลา       
      
			บางครั้งไอ้ด่างไม่เข้าใจเจ้านายใหญ่เหมือนกันว่าทำไมต้องไล่ตี ก็มันกัดคนแปลกหน้าที่เข้ามาบ้าน มันพยายามระวังภัยให้  บางครั้งมันกัดพวกเป็ดไก่เพื่อเอามาให้เจ้านายใหญ่ไปทำเป็นอาหาร มันทำความดีที่เห็นว่าดีที่สุดแล้ว  แต่...ทำไมเจ้านายใหญ่จึงไล่ตีมัน บางทีหนีไม่ทันโดนหวดที่กลางหลังเจ็บปวดไม่น้อย       
	      
			พ่อ พ่อ...มาดูสิครับ ไอ้ด่างกลับมาแล้ว...เย้ๆ ดีใจจัง       
      
			มันกระโดดเข้าเลียแข้งเลียขาเจ้านายน้อย-เจ้านายน้อยก็กอดรัด และหอมมันอย่างคิดถึง      
      
			อย่ามาหลอกพ่อเสียให้ยาก เสียงเจ้านายใหญ่อยู่ในบ้าน      
      
			อ้าวเฮ้ย....มันมาได้ไงวะนี่  ไอ้ด่าง...      
      
			มันกระโดดเข้าหาเจ้านายใหญ่ กระดิกหางอย่างนอบน้อมดีใจที่ได้เจออีกครั้ง       
      
			มันดีใจกับอิสรภาพที่ได้รับ และเหตุการณ์ที่ผ่านมาถือว่าฝันร้าย และคงจะไม่เกิดกับมันอีกแล้ว       
      
			แต่...ไอ้ด่างคงดีใจได้ไม่นานนัก  ถ้ามันฟังภาษาที่เจ้านายใหญ่พูดรู้เรื่อง      
      
			กลับมาได้ก็ดีเหมือนกันเว้ย...จะได้แลกถังใช้อีกใบ...กำไรนี่หว่า ฮ่าๆๆ       




      
                                     ∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞				
23 พฤศจิกายน 2549 11:00 น.

คนล่าคน

ป.ยุทธ

ปัง
สิ้นเสียงปืนผมวิ่งหนีไปตามเชิงเขาที่มีแต่โขดหินน้อยใหญ่ประปรายกับพุ่มไม้เล็กๆ เป็นหย่อมๆ  
	          ผมพยายามวิ่ง วิ่ง  และวิ่ง  เพื่อจะไปให้ไกล-ไกลจนเอาตัวรอดจากเป้ากระสุน    
                               ผมเริ่มเหนื่อยบ้างแล้ว  อาจเป็นเพราะสภาพพื้นที่ที่วิ่งหนีขรุขระบวกกับความหิวที่ก่อตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้  แต่จะยังไงผมต้องไปให้ถึงจุดหมาย  ไปโดยที่ไม่ถูกพวกเขาตามมาทันหรือไม่ให้ตกเป็นเป้านิ่ง
ผมหันกลับไปมองจึงรู้ว่ามาไกลมากแล้ว  และพวกเขายังไม่ตามมา  มันอาจยังไม่ถึงเวลาหรือคิดว่าผมเป็นลูกไก่ในกำมือก็ได้    ส่วนจะให้พวกเขาปล่อยผมไปเฉยๆ นั้นเป็นไปไม่ได้แน่  เพราะถึงยังไงพวกเขาก็ต้องตามยิงผมอย่างแน่นอน  ผมเชื่อเช่นนั้น
	            ปัง
	            พลิ้ว
	            ยังไม่ทันขาดคำเสียงปืนดังขึ้นพร้อมเสียงลูกปืนกระทบหินใกล้ตัว สัญชาตญาณบอกให้ผมหมอบหลบวิถีก่อนคืบคลานหาที่กำบัง       ชั่วอึดใจจึงตัดสินใจออกจากที่กำบังแล้ววิ่งส่ายก่อนที่จะหลบเข้าโขดหินใหญ่ข้างหน้าเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าอีกต่อไป 
	            ดวงตะวันตรงหัวแผดแสงร้อนระอุราวจะเผาผลาญสรรพสิ่งบนผืนพิภพให้เป็นจุล ผมกัดฟันพาร่างอันหิวกระหายวิ่งไปอย่างทรหด  เป้าหมายอยู่ข้างหน้าแต่ไม่รู้ว่าไกลสักแค่ไหน และผมก็ไม่มีทางเลือกไปกว่านี้
	            ตั้งแต่เช้ามาผมยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง    แต่ช่างเถอะผมยังมีแรงพอที่จะวิ่งหลบหนีต่อไป   แม้ว่าท้องจะกิ่วลำคอจะแห้งเป็นผงสักแค่ไหนก็ต้องหนีเอาตัวรอดให้ได้เสียก่อน
	            ปัง
                                 ปัง
	           พลิ้ว
                                เสียงปืนบ่งบอกว่าพวกเขาตามใกล้เข้ามาแล้ว  และพวกเขาต้องมองเห็นผม  แต่ผมจะไม่ยอมเป็นเป้านิ่งให้พวกเขาเล็งง่ายๆ  เมื่อได้จังหวะผมกระโจนออกจากที่กำบังอีกครั้งก่อนที่จะวิ่งไปข้างหน้า   
                                 ปัง
                                เป็นไปตามที่คิดไว้เสียงปืนดังขึ้นเมื่อผมออกจากที่กำบัง   ผมจำต้องวิ่งต่อในท่าก้มสลับกับส่ายตัวไปมา    
เวลาผ่านไปราวชั่วโมง  ผมอ่อนล้าคล้ายจะหมดแรงและอยากจะพักหลบแดด  แต่...ไม่ได้ จะพักไม่ได้เดี๋ยวพวกเขาตามทันแน่   
                                ความหิวความกระหายโจมตีผมมากขึ้น  หิวข้าวพอทนแต่ไอ้กระหายน้ำนี่สิมันช่างทรมานเหลือหลาย  ผมรู้จากตำราว่าอดข้าวได้สิบกว่าวันถึงจะตาย  แต่อดน้ำได้ไม่เกินสอง-สามวันตายแน่  เพราะร่างกายคนเราขาดน้ำไม่ได้   จะยังไงก็ช่างเถอะอย่าเพิ่งไปคิดเรื่องนั้น  คิดเรื่องที่จะไปให้ถึงที่หมายหรือไม่ก็หลบหลีกให้พ้นวิถีกระสุนก่อน
                               กลิ่นเหม็นเน่าลอยมากระทบจมูก  ผมไม่สนใจคงมุ่งหน้าวิ่งต่อ และแล้ว...ในเสี้ยววินาทีนั้นผมสะดุดก้อนหินล้มลง  ใบหน้าของผมไปคลุกอะไรบางอย่างกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงแค่ปลายจมูก  พอลุกขึ้น...โอ! มันเป็นซากศพมนุษย์ที่มีแต่หนอนไต่ยั้วเยี้ยจนผมคลื่นไส้อาเจียน  ผมรีบปัดหนอนที่ติดขึ้นมาตามใบหน้าออกไปพร้อมกลั้นลมหายใจก่อนฉุกคิดขึ้นได้ว่ากำลังถูกตามล่า
	          ปัง
	          โอ๊ย
	          ผมร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกเจ็บปวดที่ไหล่ซ้าย  เมื่อหันไปมองเสื้อของผมฉีกขาด  เลือดไหลซึมออกจากแผลที่ถูกกระสุนถากเป็นทางยาว   
	          ผมนั่งลงฉีกเอาชายเสื้อขึ้นมาพันแผลไว้ก่อนวิ่งส่ายไปหาที่กำบังข้างหน้า
	          ผมเห็นซากศพอีกแล้ว  หลายต่อหลายศพแต่ละศพจะมีหนอนไต่บ้าง แห้งกรอบจนเห็นโครงกระดูกบ้าง  ผมรู้ทันทีว่านี่คือเหยื่อของพวกเขา และจุดๆนี้ต้องเป็นจุดที่เหยื่อตกใจเมื่อเห็นศพหรือเป็นจุดที่วิ่งมาหมดแรงก็เป็นได้จึงถูกยิงตายเกลื่อนเช่นนี้ 
/////////////////////////////////////////
 
                                เราได้ข่าวมาว่าเป้าหมายของพวกมันเป็นคนอีสานเสียส่วนมาก จ่าเป็นคนอีสานจ่าจึงเหมาะสมที่สุดสำหรับคดีนี้  
                                 ครับสารวัตร  ผมตอบรับอย่างภูมิใจเมื่อผู้บังคับบัญชาเห็นเป็นบุคคลสำคัญ
                                  ผมสะพายกระเป๋าเป้เดินแฝงตัวกับฝูงชนที่สถานีรถไฟหัวลำโพงในเวลาเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น 
                                   ผมยืนเก้ๆ กังๆ หลังจากก้าวพ้นประตูสถานี 
                                  น้องๆ มาทำงานแม่นบ่?  มาทำกับอ้ายบ่ล่ะ? ชายวัยกลางมองรูปร่างหน้าตาของผมก่อนเดินเข้ามาถาม 
                                  มีงานเบาะครับ งานอีหยัง?  แล้วอยู่ไสครับอ้าย? ผมเร่งถามคืนพร้อมแสดงท่าทางดีใจ
                                  งานดีเงินดีอีหลีเด้อ  รับรองได้  น้องมาถูกหม่องแล้ว...ปะอ้ายสิพาไป พูดจบเขาดึงแขนผมไปที่รถตู้
                                   ผมก้าวขึ้นไปนั่งในรถตามที่เขาเปิดประตูให้   ราวครึ่งชั่วโมงมีคนเข้ามาสมทบอีกห้า-หกคน
                                   ออกรถได้  หมดแล้ว  คนที่พามาสั่งคนขับก่อนหันมาทางผมกับเพื่อนๆ 
                                    ผมแสดงความดีใจกับพวกเฮาทุกๆ คน   และกะขอต้อนรับสู่โรงงานใหญ่  ที่มีค่าจ้างสูง รายได้ดี ผมเชื่อแน่ว่าทุกคนต้องพอใจอย่างแน่นอน  ชายคนเดิมพูดขณะรถเคลื่อนออกไปและอธิบายค่าจ้างเสียยืดยาว
ผมมองข้างทางว่าพวกเขาจะพาไปที่ไหนเพื่อจะได้รายงานความเคลื่อนไหวให้ผู้บังคับบัญชาทราบ  แต่ยังก่อนยังไม่ชัดเจนว่าคนพวกนี้เป็นกลุ่มที่หลอกลวงคนงานไปทำงานแรงงานเถื่อนหรือไม่
                                      ผู้ที่อยู่ในรถต่างพากันพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บ้างบอกเพื่อนว่าจะส่งเงินให้ลูกเมียทางบ้าน คราวนี้ล่ะจะได้มีค่าใช้จ่ายซะที ลูกๆ จะได้เลิกอดอยากมีเงินค่าขนมไปโรงเรียน  บ้างก็ว่าปีนี้จะไม่กลับไปทำนาแล้วมันแห้งแล้งเสียเหลือเกิน
                                      ผมรู้ว่ารถออกจากเขตกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าสู่ภาคตะวันออก  
                                      นานหลายชั่วโมงรถมาจอด ณ สถานที่แห่งหนึ่ง  ดูแล้วเป็นท่าเรือ   
                                      เชิญขึ้นเรือต่อเด้อครับโรงงานของเฮาอยู่ที่เกาะสะดวกสบายทุกอย่าง ชายคนเดิมพูดขึ้นเมื่อเห็นทุกคนแสดงท่าทางสงสัย 
                                      ทุกคนเก็บสัมภาระก่อนก้าวขึ้นเรืออย่างว่าง่าย
                                     ขอให้ทุกคนโชคดีเด้อครับเด้อ เขาพูดนอบน้อมก่อนลงจากเรือไป
                                     เรือเคลื่อนออกจากฝั่งมุ่งหน้าสู่กลางทะเลท่ามกลางแสงตะวันที่สายโด่ง    ข้าวกล่องกับขวดน้ำดื่มถูกแจกให้ผมกับเพื่อนๆ 

	               ตื่นๆ ตื่นได้แล้วโว้ย
	               ผมมารู้สึกตัวเมื่อโดนน้ำราดจนเปียกโชก  เห็นเพื่อนๆที่มาด้วยกันนอนรวมกันอยู่กลางโกดังกว้าง 
	               ชายฉกรรจ์หลายคนถือปืนลูกซองยาว บ้างก็ถือเอ็มสิบหกยืนคุม 
	                พวกผมอยู่ไสครับนี่?  แล้วพวกผมมาได้จั่งได๋? ผมตัดสินใจถามออกไป 
	                ไม่ต้องรู้หรอกว่าที่นี่คือที่ไหน   ส่วนมาที่นี่ได้ไงงั้นรึ  ก็พวกเอ็งดื่มน้ำที่ผสมยานอนหลับตอนอยู่บนเรือไง...ไอ้โง่ เขาตอบอย่างเย้ยหยัน
                                     ไป๊   ไปทำงานได้แล้ว อีกคนร้องสั่งพลางเตะคนที่นั่งนิ่งเฉย  
                                     บางคนร้องเอะอะโวยวายจึงถูกกระแทกด้วยด้ามปืนจนเงียบกริบ
                                     พวกเราถูกต้อนไปรวมกลุ่มกับคนงานเก่าที่มีอยู่ราวห้าสิบกว่าคน  ผมกวาดสายตามองรอบๆ โกดัง   คงไม่สามารถติดต่อรายงานผู้บังคับบัญชาได้แน่  ผมเริ่มวิตก 
                                    กลางคืนพวกเราถูกขังให้นอนห้องละสามคน แต่ละห้องมีกรงเหล็กเป็นประตูปิดกั้นอย่างแน่นหนา  ดูแล้วไม่ต่างจากนักโทษในเรือนจำ  
ผมถูกขังร่วมกับคนงานเก่า  เขาเล่าให้ฟังว่าที่นี่คือเกาะร้างกลางทะเล  โรงงานแห่งนี้เป็นที่เก็บสินค้าหนีภาษี   หลายคนถูกกักขังให้ทำงานมานานหลายปีแล้ว  ทุกคนอยู่กินอย่างอดอยากหิวโหยแถมถูกบังคับให้ทำงานตั้งแต่หกโมงเช้าถึงหกทุ่มโดยไม่ได้รับค่าแรง   ใครเจ็บป่วยทำงานไม่ได้จะถูกปล่อยให้ตายเอง  บางครั้งมีผู้หลบหนีแต่ก็ไปไม่รอดถูกพวกเขายิงตาย   คนงานที่ตายก็ตายไปส่วนคนงานใหม่จะมีมาเพิ่มเรื่อยๆ
                                   คนงานเก่าเล่าให้ฟังต่อว่าทุกวันอาทิตย์เถ้าแก่จะมาเยี่ยม   วันนั้นทุกคนจะถูกสั่งเข้าแถวต้อนรับ  เถ้าแก่ใจดีมากจะให้ทุกคนจับฉลากหาผู้โชคดีหนึ่งคน  ใครได้เป็นผู้โชคดีเถ้าแก่จะพากลับบ้าน  ทุกคนจึงมีกำลังใจรอความหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เป็นผู้โชคดีคนนั้น 
 	             ได้ยินแล้วผมไม่อยากเชื่อว่าพวกเขาจะยอมปล่อยให้คนที่โชคดีที่ว่าได้กลับบ้าน  เพราะฟังดูแล้วมันง่ายเกินไปต้องมีอะไรสักอย่าง
	             หลายอาทิตย์ผ่านไปผมพยายามหาช่องทางหลบหนี โดยชักชวนคนงานหลายคนเป็นแนวร่วม  
ในที่สุด...วันอาทิตย์ตามที่วางแผนไว้ก็มาถึง  จากการขีดเส้นบันทึกไว้มันเป็นวันอาทิตย์ที่ห้าที่ผมมาอยู่ที่นี่  พวกเราวางแผนไว้ว่าจะร่วมมือกันแย่งปืนจากผู้ที่ยืนคุมหลังจากมีการจับฉลากหาผู้โชคดีเสร็จสิ้น   
 	            แต่แล้ว...ก็ต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันเมื่อผมจับฉลากได้รางวัลนั้น
	            ผมถูกพาขึ้นรถจนมาถึงเชิงเขาลูกหนึ่ง
เมื่อถูกสั่งให้ลงจากรถผมชำเลืองดูเถ้าแก่กับสมุนทั้งสองอย่างไม่ไว้วางใจ  เพราะที่เอวของพวกเขามีปืนพกเหน็บอยู่
	            แล้วสิให้ผมกลับบ้านจั่งได๋ครับ?  ผมถามอย่างหวั่นๆ
	            ฮ่าๆ ไม่ยากเลย  แค่เล่นเกม  สมุนด้านขวามือเถ้าแก่พูดขึ้น
	            เกมอีหยังครับ  ผมสงสัย
	             เกมง่ายๆ แค่หนีการตามล่าไง  ถ้าเมื่อไหร่เอ็งไปถึงทะเลก่อนตะวันตกดินล่ะก็เป็นอันว่าเอ็งชนะ จะได้กลับบ้านพร้อมกับเรือสินค้า  โน่นทะเลอยู่ทางโน้นข้ามเขาลูกนี้ไปก็ถึง สมุนด้านซ้ายอธิบายกติกา
	             แล้วถ้าผมไปบ่ถึงหรือถึงหลังตะวันตกดินล่ะ? ผมถามพลางเก็บความรู้สึกที่หวาดหวั่น
กลับบ้านเหมือนกันเว้ย  แต่...กลับบ้านเก่าไง ฮ่าๆๆ  ทั้งสามหัวเราะร่า 
	              พอๆ  ลื้อไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว อั๊วจะยิงปืนให้สัญญาณแล้วลื้อรีบหนีไป  จะให้เวลาหนีสิบนาที  จากนั้นพวกอั๊วถึงจะตาม ฮ่าๆๆ  สนุกอีกแล้วเว้ย ฮ่าๆๆ เถ้าแก่พูดพลางระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
//////////////////////////////////////////////////

	              ความหิวความกระหายทำให้ผมอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ  
	            ไม่นานนักท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม  และแล้วโชคก็เข้าข้างผมเมื่อฝนเริ่มลงเม็ดและเทลงมาอย่างหนัก   ก่อนที่จะหลบฝนตามซอกหินผมโผล่หน้ามองหาพวกเขา  เห็นมีแต่สายฝนมืดมัวไปหมด  พวกเขาคงมีปัญหากับการตามล่าผมอย่างแน่นอน 
ผมดื่มน้ำฝนที่ค้างตามแอ่งหินจนความกระหายหมดไปยังคงเหลือแต่ความหิวอยู่บ้าง  ผมเปิดดูบาดแผลที่ไหล่   เลือดหยุดไหลไปแล้ว
	            ผมนึกถึงศพเหยื่อเหล่านั้น  ผมยิ่งไม่แน่ใจแล้วว่าพวกเขาจะถือตามกฎกติกา ที่พูดไว้  แม้ว่าผมจะไปถึงทะเลพวกเขาก็คงไม่ปล่อยอยู่ดี   สัจจะไม่มีในหมู่โจร   มีอย่างเดียวเท่านั้นที่จะรอด-รอดกลับไปช่วยคนงานในโรงงานนั้นได้  ผมคิดออกแล้ว...ผมต้องเป็นฝ่ายล่าพวกเขาคืน  ผมเคยฝึกหลักสูตรการต่อสู้จับกุมผู้ต้องหาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาก่อน  เวลานี้ผมเริ่มมั่นใจในตัวเองมากขึ้น   ใช่...ผมมีทางเลือกอีกอย่างแล้ว
ผมหมอบคลานหลบตามโขดหินที่กำบังแล้วค่อยๆอ้อมไปทางด้านหลังของพวกเขาเรื่อยๆ อย่างใจเย็น ผมใกล้พวกเขาเข้าไปทีละนิด...ทีละนิด  เวลานี้ฝนเริ่มซาลงแล้วคงเหลือแค่ตกพรำๆ 
	           บ้าซิบหายฝนอะไรวะ   แย่จริงๆยังดีที่มีเสื้อกันฝนมาด้วย  สมุนคนหนึ่งบ่นเสียงดัง
	          ดีโว้ยล่าอย่างนี้ล่ะวะอั๊วชอบได้รสชาติดี ว่าแต่ว่าเดี๋ยวนี้เหยื่ออยู่ตรงไหนวะ?   เสียงเถ้าแก่ร้องแข่งกับสายฝน 
	          ที่โขดหินใหญ่ก้อนโน้นครับเจ้านาย  ยังไงๆ มันก็ไปไม่รอดเราหรอกมันบาดเจ็บ  ผมว่าเรารีบไปจัดการกับมันเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา
	           แต่เดี๋ยวผมขอตัวฉี่ก่อนนะครับเจ้านาย  ปวดจริงๆ  สมุนคนเดิมว่า
	           มันเป็นโอกาสของผมแล้วเมื่อสมุนคนนั้นเดินแยกออกมาจากกลุ่มเดินมาทางผม  เถ้าแก่กับสมุนอีกคนเดินล่วงหน้าไป ผมเลือกเอาก้อนหินที่เหมาะมือ รอจังหวะ รอ...อย่างใจจดจ่อ
	            และแล้ว...ผมตัดสินใจปรี่เข้าประชิดด้านหลังของสมุนคนนั้นแล้วทุบลงที่ท้ายทอยอย่างแรง  แทบไม่มีเสียงร้องร่างนั้นม้วนลงกองกับพื้นแล้วกระตุกสอง-สามทีก่อนแน่นิ่ง  ผมรีบคว้าเอาปืนแล้วหลบที่ซอกหินก้อนเดิม  ไม่นานนักสมุนที่เหลือเดินร้องเรียกหาเพื่อนผ่านมา พอมาถึงก็โดนผมทุบแน่นิ่งไปอีกคน 
	            ผมสะกดรอยตามเถ้าแก่ไป
	            อ้าวเฮ้ย...พวกลื้อไปไหนกันหมดวะ?  เถ้าแก่ร้องเอะอะเมื่อไม่เห็นสมุนตามไป  
	            เสี้ยววินาทีนั้น
	            หยุด...แล้วก็ทิ้งปืนผมทำเสียงขู่พร้อมเล็งปืนเข้าใส่
	            อ้าวเฮ้ย...กะ แก  โอ๊ะอย่าๆ  ใจเย็นๆ นะเราพูดคุยกันได้ ใจเย็นๆ ลื้อต้องการอะไรบอกอั๊วเลย  อยากกลับบ้านไม่ใช่เหรอ?  ดะ ได้  ได้  แล้วอั๊วจะแถมเงินให้ลื้ออีกหลายหมื่นทีเดียว เถ้าแก่พูดอย่างหน้าถอดสี 
	           ไปขึ้นรถ...แล้วพาผมไปที่โรงงาน 
 
                                 ผมวางแผนไว้ในใจขณะขับรถที่ยึดมาได้มุ่งหน้าสู่โรงงาน  ผมชำเลืองดูเถ้าแก่ชายร่างอ้วนหน้าตาหยีที่ถูกมัดมือไขว้หลังนั่งเบาะข้างๆ  อย่างหวาดกลัว 

                                  นี่ล่ะน๊าเวลายิงคนอื่นสนุกสนาน    แต่พอถึงเวลาถูกเอาคืนมั่งกลับกลัวลนลาน  ผมคิด

                                  ผมต้องเอาเถ้าแก่เป็นตัวประกันเพื่อที่จะช่วยเหลือคนงานเหล่านั้นออกมา  จากนั้นพวกเราจะช่วยกันทลายโรงงานเถื่อนแห่งนี้ให้สิ้นซาก  ต่อไปจะไม่มีใครตกเป็นเหยื่อเกมนี้อีก  ก็ไอ้เกมบ้าๆ บอๆ ที่ผมชนะนี้แหละ  แต่...เอไม่ใช่สิ!...ผมอาจจะเป็นผู้แพ้ก็ได้    แพ้ในสายตาเถ้าแก่...   แพ้ตรงที่ผมไม่ปฏิบัติตามกฎกติกาที่พวกเขาวางเอาไว้ไงล่ะ..... 



                                               @@@@@@@@@@@@@@				
22 พฤศจิกายน 2549 09:04 น.

บ้านไม้ไผ่กับชายแปลกหน้า

ป.ยุทธ

บ้านไม้ไผ่กับชายแปลกหน้า 
 
                     บ้านไม้ไผ่ยกพื้นสูงหลังคามุงหญ้าแฝกหลังนี้ ยื่นระเบียงออกไปเหนือลำธารน้ำใสไหลเอื่อยๆ  บริเวณรอบบ้านห้อมล้อมไปด้วยผืนป่า     ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมจนดูหนาทึบเสียจนมืดครึ้มเยียบเย็น
	หญิงสาวรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างงงงันกับสถานที่ที่กำลังนอนอยู่    เธอค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งจากที่นอนชั่วคราวที่มีเสื่อผืนหมอนใบอยู่ชิดฝาผนังไม้ไผ่สานใต้ชายคาหญ้าแฝก  และแล้ว..เธอก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าขาข้างหนึ่งถูกโซ่เส้นเขื่องพันธนาการไว้กับเสาหลักของบ้าน  ไม่นานนักบ้านก็สั่นไหวเล็กน้อยก่อนปรากฏชายแปลกหน้าก้าวขึ้นบันไดมาบนบ้าน  
                      เธอพยายามระงับความตกใจมองเขาเดินไปยืนพิงราวระเบียงหันหน้ามามองเธออย่างยิ้มเยาะ แต่ไม่มีคำพูดใดๆ
	แกจับฉันมาทำไม  เธอตัดสินใจถามออกไป
	เขาไม่ตอบ
	ปล่อยฉันเถอะนะ...ขอร้องล่ะ  อยากได้อะไรบอกมาเลย  เธอเปลี่ยนจากถามมาเอ่ยอ้อนวอน
	นะ  นะ อย่าทำอะไรฉันเลย เธอกล่าวพลางเพ่งมองชายแปลกหน้าอย่างรอคำตอบ
	..เงียบ...
	นี่นายพูดไม่รู้เรื่องหรือไง...อ๋อหรือว่าเป็นใบ้ เธอชักหงุดหงิดเมื่อคู่สนทนาไม่โต้ตอบ
	เขาค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งกับม้านั่งริมระเบียงแล้วไขว่ห้างจ้องเธอเขม็ง
	เธอสบตานั้น...
	ใบหน้าที่คมเข้ม  หนวดเคราเรียวบางดูดุดัน    คาดคะเนอายุอานามคงใกล้เคียงกับเธอ
	ถามจริงๆ เถอะนายจับฉันมาทำไม เธอถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
	เรียกค่าไถ่  เขาตอบก่อนหันหน้าไปมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยผ่านโขดหิน
                      เธอสะดุ้งนิดๆ   ก่อนแสยะที่มุมปาก 
หึ..พวกกระหายเงินนี่เอง หน้าตาก็ดูดี แต่ดันเป็นโจร...ไม่รู้จักทำมาหากิน  ช่างไม่ละอายใจเสียบ้างเลย เธอคิด 
                      แล้วที่นี่ที่ไหนล่ะ  เธอพยายามถามอย่างเป็นมิตร
                      ป่าลึก เขาตอบห้วนๆ  
                      ป่าลึก เธอทวนคำพูดเสียงดัง  พลางนึกประมวลเหตุการณ์ที่ถูกจับมา แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าตกเป็นเหยื่อโจรเรียกค่าไถ่นี้ได้ยังไงกัน
                      แล้วนายจับฉันมาตอนไหน ทำไมฉันจึงไม่รู้ตัวเลย 
                      หึๆ  น่าขัน ผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดินอย่างเธอ  วันๆ ตื่นขึ้นมาก็มีเงินมีทองใช้อย่างเหลือเฟือจะรู้เรื่องรู้ราวอะไร กะอีแค่ถูกจับมาก็ยังไม่รู้ตัว เขาพูดอย่างใส่อารมณ์  แต่เธอก็โต้ตอบทันควัน
                       ใช่..ฉันมีเงิน แต่ก็เป็นเงินที่หามาด้วยธุรกิจอันสุจริต ไม่ได้จี้ปล้นหรือจับใครมาเรียกค่าไถ่เหมือนนาย
                       ฮ่าๆ ๆ  ดูช่างไร้เดียงสาจริงนะ คิดหรือว่าคนอย่างผมจะเชื่อ... คุณก็เหมือนพ่อของคุณนะแหละ    คดโกงชาวบ้านเสียจนร่ำรวย  เขาเว้นระยะก่อนพูดต่อ
                         มิหนำซ้ำยังตัดไม้ทำลายป่าจนฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล  บางปีน้ำก็ท่วมเสียจนเดือดร้อนกันไปทั่ว เขาพูดพลางเดินเข้ามานั่งยองๆ ลงใกล้ๆ สบตาเธอ 
                         คดโกงอะไรฉันไม่เห็นจะรู้เรื่อง  อย่ามากล่าวหากันลอยๆ   ส่วนเรื่องตัดไม้ เราสัมปทาน ถูกต้องตามกฎหมาย  เธอจ้องหน้าชี้แจงอย่างไม่สบอารมณ์ 
                          เขาขบกรามพลางจับคางเธอเชิดขึ้น  แต่ก็ถูกเธอปัดมือออกเร็วไว
                         นี่คุณไม่รู้หรือแกล้งโง่กันแน่ว่าพ่อคุณน่ะ   ให้ชาวบ้านกู้ยืมเงินแล้วคิดดอกเบี้ยทบต้น ต้นทบดอก บางทีก็เขียนตัวเลขดอกเบี้ยเอาตามอำเภอใจ  เมื่อใครไม่มีให้ก็ยึดไร่ ยึดนาสิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆ กัน 
                         ไม่...ไม่จริง  นายโกหก เธอส่ายหน้าก่อนพูดต่อ
พ่อของฉันไม่ใช่คนอย่างนั้น  เรามีรายได้มากพอจากการทำไม้ไม่จำเป็นต้องคดโกงใคร
	ใช่ซี้...ก็เดี๋ยวนี้ร่ำรวยจากการทำไม้แล้วนี่ พูดจบเขาลุกขึ้นเดินไปที่ราวระเบียงหันหน้าไปทางทิวเขาชั่วครู่ก่อนหันกลับมาที่เธออีกครั้ง
	คงพอรู้แล้วซินะว่าผมจับคุณมาเพื่ออะไร
	รู้...นายเห็นฉันรวย  ก็เลยจับมาเรียกค่าไถ่  นายก็โจรดีๆ นี่เอง  
	เขาเพ่งมองเธอด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
	บอกให้ก็ได้...ผมจับตัวคุณมาเพื่อขอแลกเอกสารกู้ยืมเงินกับโฉนดที่ดินทั้งหมดของชาวบ้านจากพ่อของคุณ ส่วนทรัพย์สินเงินทองอย่างอื่นผมไม่ต้องการ เขาเปล่งเสียงดังฟังชัด
	เธออึ้งในคำพูดของเขา   พลางมองหน้ารอฟังเขาพูดต่อ
	พ่อของคุณรวยอยู่แล้ว  กะอีแค่สัญญากู้เงินไม่กี่แสนขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก
	แล้วนายเป็นใคร ทำอย่างนี้เพื่ออะไร เธอถามทันควัน
	ผมก็เป็นลูกชาวบ้านคนหนึ่งที่ถูกพ่อคุณยึดที่นานะแหละ น้ำเสียงเขากระชาก
	ฉันไปเรียนเมืองนอกหลายปี  ไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอก น้ำเสียงเธออ่อนลง   
อ้อ..  ขอถามหน่อย...นายจับฉันมาได้ยังไง  
	ได้..  บอกก็ได้...ผมเตรียมแผนการจับคุณมาหลายเดือนแล้ว   ผมสร้างบ้านหลังนี้ไว้กักขังคุณนี่แหละ   ผมสืบรู้ว่าคุณมาที่ปางไม้กับพ่อของคุณทุกวันอาทิตย์ ผมดักรอจังหวะมาหลายครั้งแล้ว   จนครั้งนี้สบโอกาสเมื่อคุณเดินแยกออกมาจากกลุ่ม  ผมจึงใช้ยาสลบปิดจมูกคุณ...แล้วอุ้มขึ้นม้าพามาที่นี่ เขาอธิบายเรียบๆ เมื่อเห็นว่าเธอไม่รู้เรื่องด้วยกับพ่อ
	เธอหลับตาถึงเหตุการณ์อย่างเข้าใจ  แต่แล้ว..เธอฉุกคิดขึ้นมาได้
 เอะนี่แสดงว่าเราถูกจับมาตั้งแต่เมื่อวานนี้หรือนี่ เธอพึมพำหันซ้ายหันขวามองบ้านพร้อมสำรวจเสื้อผ้าของตัวเอง
	ไม่ต้องตกใจผมไม่ได้ทำอะไรคุณหรอก เขารู้ทัน   ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด
	นี่ก็ยังเช้าอยู่..คงยังไม่หิว  อ้อ..ผมมีกาแฟ  รอเดี๋ยวจะจัดการให้ พูดจบเขาเดินไปที่มุมห้องก่อไฟตั้งกาน้ำร้อน
	ราวสิบห้านาทีแก้วกาแฟก็ถูกนำมาวางตรงหน้าเธอพร้อมขนมปังสาม-สี่ชิ้น  เธอกลืนน้ำลายเมื่อได้กลิ่นกาแฟมากระทบจมูก  แต่ยังแกล้งเมินเฉย
	ไม่..ฉันไม่กิน..ฉันไม่หิว เธอพูดพลางกลืนน้ำลายอีกครั้ง
	กินเถอะน่า  คุณอาจจะอยู่ที่นี่ทั้งวัน  มื้อเที่ยงจะหาอาหารมาให้ รองท้องไว้ก่อน
	นายจะไปไหน  เธอเงยหน้าขึ้นถามเพราะถ้าเขาไปแล้วเธอจะต้องอยู่ในป่าอันน่ากลัวนี้เพียงลำพัง
	ไปเอาสัญญากู้เงินกับพ่อคุณไง  เขียนจดหมายนัดเอาตอนสิบโมงเช้านี้  แต่ถ้าไม่ได้ล่ะก็..หึเขาพูดค้างไว้   เธอจึงถามสวนไป
	ถ้าไม่ได้นายจะทำไม 
	 ถ้าพ่อคุณไม่นำสัญญากับโฉนดที่ดินของชาวบ้านทั้งหมดมาให้หรือตุกติกละก็...เขาพูดทิ้งช่วงก่อนที่จะเปล่งเสียงดังฟังชัดด้วยสีหน้าอันเหี้ยมเกรียมใส่เธอ
	ผมจะฆ่าคุณ  
	เธอได้ยินแล้วสะดุ้งเย็นวูบไปถึงไขสันหลัง
	มะ..ไม่  ไม่นะ..ใจเย็นๆ  เอางี้นายปล่อยฉันไปรับรองว่าฉันจะขโมยสัญญากับโฉนดอะไรนั่นมาให้นายเอง  ฉันสัญญา ..อย่า อย่าทำอะไรฉันเลยนะ  เธอต่อรอง
	ฮ่าๆๆ  เห็นผมเป็นเด็กอมมือหรือไงถึงจะหลอกกันง่ายๆ ที่แท้ก็กลัวตายนี่เอง พูดจบเขาเดินไปหยุดที่หัวบันไดก่อนหันมาช้าๆ
	 ...อ้อ  ถ้าหิวน้ำก็อยู่ที่โอ่งดินนั่น ถ้าจะนอนพักก็ตามสบาย  ห้องน้ำก็ที่มุมห้องโซ่ยาวอยู่หรอก แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าคิดหนีเป็นอันขาด เพราะที่นี่กลางป่าลึกสัตว์ร้ายชุกชุม  ไปไม่รอดหรอก  พูดจบเขาเดินลงจากบ้านไป
	เธอพยายามแกะโซ่ที่คล้องขาที่มีกุญแจใส่ไว้  แต่แกะยังไงก็แกะไม่ออกมันติดข้อเท้าแน่น เธอจึงเลิกแกะแล้วมองซ้ายมองขวาก่อนหยิบยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบพร้อมเอาขนมปังมาเคี้ยวตาม
 
	เธอขยับตัวไปนั่งพิงฝาผนังใต้ชายคาเหม่อมองทิวเขาเบื้องหน้าสลับกับมองสายธารน้ำไหล   หากไม่ถูกโซ่พันธนาการไว้เธอจะลงไปอาบน้ำใสๆ ให้เย็นฉ่ำใจ  นี่ถ้าเป็นการมาเที่ยวกับสภาพธรรมชาติเช่นนี้คงมีความสุขไม่น้อย  แต่นี่... เฮ้อ...ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วยเราบ้างหนอ..  เธอคิดไปคิดมาจนผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

	เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง   และแล้ว...เธอก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียง ฟู่ๆ อยู่บนระเบียงด้านหน้า  แต่..พอหันไปมองเท่านั้น...  เธอยิ่งตกใจหลายร้อยหลายพันเท่าเมื่อที่มาของเสียงนั่นยกคอแผ่แม่เบี้ยจังก้าอยู่ห่างไม่เกินเมตร
	ชะ..ช่วยด้วย  งะงู  งู  เธอร้องเสียงหลง  และเสียงร้องของเธอทำให้มันตกใจยกหัวขึ้นเตรียมฉก 
โอ..เธอรู้ตัวว่าไม่รอดแน่แล้ว
	เสี้ยววินาทีนั้น... 
	เสียงปืนก็คำรามก้องไปทั่วผืนป่า..  ลูกกระสุนพุ่งเจาะตรงลำคอแผ่แม่เบี้ยของงูเคราะห์ร้ายตัวนั้นอย่างแม่นยำ มันฟุบลงกองกับพื้นฟากระเบียงเลือดทะลัก
	ความตกใจเล่นเอาเธอสิ้นเรี่ยวแรงคอพับกับฝาผนัง
เขาใช้เท้าที่สวมรองเท้าแบบทหารเขี่ยงูที่แน่นิ่งลงไปใต้ถุน  จากนั้นเขาเดินเข้าไปหาเธอก่อนนั่งยองๆ ลงข้างๆ 
เขาวางปืนจุดสามแปดที่ใช้ยิงงูไปเมื่อครู่ลงไว้กับพื้นระเบียงอย่างลืมตัว แล้วจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอ เขย่าเบาๆ
	คุณๆ เป็นไงบ้าง  เกือบไปแล้วไหมล่ะ  มันคงขึ้นมาตามเถาวัลย์  ถ้าผมมาช้ากว่านี้ล่ะก็ เขาพูดยังไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้ว่ามีปืนมาจ่อที่หน้าอก ใช่แล้ว มันเป็นปืนของเขาที่เผลอวางไว้นะเอง  แต่เวลานี้เธอยึดเอามาเล็งใส่เขาเสียแล้ว
	ไขกุญแจที่ขาฉันเดี๋ยวนี้ เธอสั่งเขาเสียงเฉียบขาด
	เร็วเข้า..ฉันยิงจริงๆ ด้วย เธอขึงขัง
	เขาค่อยๆ ไขกุญแจพลางชำเลืองดูเธอเพื่อรอจังหวะเผลอ
	อย่ามาลูกไม้นะ  ฉันยิงนายจริงๆ ด้วย หรือ คิดว่าไม่กล้าลองดูไหมล่ะ 	เธอกระชากเสียงขู่
	 เขาไม่ตอบ  เมื่อไขกุญแจออกจากขาเธอเสร็จแล้ว  ขณะที่เธอกำลังจะลุกขึ้นยืนเท่านั้น  เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาคว้าข้อมือของเธอที่ถือปืนอย่างรวดเร็ว
	ทันใดนั้น... สิ่งที่ไม่คาดคิดก็บังเกิด 
	ปืนที่ถูกยื้อแย่งก็แผดเสียงคำรามขึ้น   ร่างของเขาหงายหลังไปตามจังหวะที่หน้าอกมีเลือดทะลักออกมาราวรูรั่ว  เขาเอาฝ่ามือกดมันไว้แน่น 
	เธอตะลึงงัน...
	มะไม่..ไม่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะยิงนายนะ  นายมาแย่งปืนฉัน  ปืนมันลั่น  
	เขากัดฟัน  ค่อยๆ ยกหัวขึ้นมาอย่างเจ็บปวด   ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างยากลำบาก
	พะพ่อของคุณยะยอมให้สัญญากับโฉนดผะผมแล้ว.. ผะผมกำลังจะพาคุณไปส่ง
                       เธอทิ้งปืนปรี่เข้าประคองหัวเขาไว้เพื่อให้เขาพูดต่อ
	ตะแต่คงไม่มีโอกาสแล้ว  คะคุณ..ขี่ม้าไปทะทางโน้นราวชั่วโมงก็ถึงปา..ปางไม้  อะ....
เขาค่อยๆ ยกมือชี้ไปตามแนวป่า ก่อนกระตุกสองสามที และเลือดก็ทะลักออกจากมุมปาก
	นาย ..นายอย่าเพิ่งตายนะฉันจะตามหมอมารักษา เธอพูดพร้อมเขย่าตัวเขาแล้วเอาฝ่ามือเช็ดเลือดที่มุมปากให้เขาอย่างตกใจ
	มะ..ไม่มีประโยชน์หรอก  ผะผมไม่ระรอด  ..แล้ว  พูดจบเขากระตุกอีกครั้งก่อนแน่นิ่ง
	ไม่มีเสียงกล่าวใดๆ อีก  ใช่..เขาจากเธอไปเสียแล้ว  
	เธอมองเขาด้วยความรู้สึกสงสารอย่างจับใจ.. ถึงยังไงเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นคนช่วยชีวิตเธอไว้   
                  ...เวลานี้น้ำตาของเธอได้หลั่งออกมาให้กับชายแปลกหน้าที่ได้ตราหน้าว่าโจร..อย่างไม่รู้ตัว๐๐๐


*************************				
17 พฤศจิกายน 2549 12:37 น.

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ ๔

ป.ยุทธ

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ 4
ตอน  อปพร.ที่รัก
	
	ณ  หอประชุมหลังโรงรถดับเพลิง
	เช้าวันจันทร์เป็นวันที่คึกคัก  เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังสาระวนกับการตระเตรียมจัดโต๊ะ เก้าอี้ให้เรียบร้อย  ที่จริงเราเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แต่เพื่อความพร้อมและเป็นระเรียบ   ข้าพเจ้าจึงให้พากันตรวจอีกครั้ง

	ใช่แล้ว..วันนี้เป็นวันฝึกอบรม อปพร.  คำเต็มเรียกว่า อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน หลักสูตรในการอบรมจะต้องใช้เวลาห้าวัน 
	หนุ่มสาวและไม่หนุ่มไม่สาวที่ได้รับการคัดเลือกเดินทยอยกันเข้ามาลงทะเบียนในหอประชุม
	เป้าหมายผู้เข้าอบรมครั้งนี้ อยู่ที่จำนวนร้อยคน

	สวัสดีครับ  ท่านใดที่มาแล้วก็ขอเชิญลงชื่อ  เสร็จแล้วนั่งตามเก้าอี้ที่จัดให้แต่ละหมู่บ้านเลยนะครับ ข้าพเจ้าประชาสัมพันธ์ผ่านเครื่องขยายเสียง

	 ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังยืนชี้ไม้ชี้มือให้ผู้ที่ลงทะเบียนเข้านั่งประจำที่อยู่นั้น
	สวัสดีค่ะ  ให้นั่งตรงไหนคะ ใบหน้าใสเรียบๆ เดินมายกมือไหว้    เด็กหนุ่มรุ่นน้องเดินตามหลังมาติดๆ ยกมือไหว้ตาม
	หวัดดีครับ  หมู่อะไรครับ ข้าพเจ้ารับไหว้พลางสอบถาม
	หมู่ห้าค่ะ
	อ๋อ..นั่งทางโน้นครับ  ข้าพเจ้าชี้มือ พลางชำเลืองป้ายชื่อที่หน้าอก  จึงรู้ว่าชื่อ มณีวรรณ    
	ขณะที่เธอก้าวไปนั่งนั้น เธอหันมาส่งรอยยิ้มหวานพร้อมโน้มศีรษะให้อย่างขอบคุณ  เล่นเอาข้าพเจ้าสะดุดตรงหัวใจนิดๆ  

	เมื่อผู้บังคับบัญชาเดินทางมาเปิดงานเสร็จสิ้นผ่านไป  ข้าพเจ้าเป็นพิธีกรเชื้อเชิญวิทยากรต่างๆ มาให้ความรู้
	
 	จวบจนถึงวิชาภาคสนาม  เป็นการฝึกจับหัวฉีดดับเพลิง จนถึงขั้นตอนฉีดน้ำจริงๆ
	เร่งความดัน ข้าพเจ้าสั่งพร้อมทำมือเป็นสัญญาณให้ 
	ผู้อยู่ประจำรถดับเพลิงเร่งเครื่องจนน้ำพุ่งกระฉูดออกจากหัวฉีดอย่างรุนแรง  ผู้ที่จับหัวฉีดเซถลานิดๆ หากจับไม่ถูกวิธีล่ะก็หัวฉีดจะหลุดมือแล้วกระเด็นกระดอนคล้ายไส้เดือนยักษ์ดิ้นทุลนทุลายเมื่อถูกน้ำร้อนลวก  เพราะแรงดันของน้ำที่พุ่งออกจากหัวฉีดนั้นรุนแรง  ใครอยู่ใกล้อันตรายถึงตายได้หากหัวฉีดกระเด็นไปโดนจุดสำคัญของร่างกาย
	ลดความดัน ข้าพเจ้าสั่งอีกครั้ง  และน้ำก็ค่อยๆ ลดลง ลดลงจนไหลออกเบาๆ เหมือนน้ำประปาที่เปิดจากก๊อกธรรมดา
	ปิดน้ำ  ข้าพเจ้าสั่งต่อจนน้ำหยุดนิ่ง

	ข้าพเจ้าเปลี่ยนทีมผู้เข้าอบรมที่แบ่งออกเป็นหลายทีมเข้าไปทดลองจับหัวฉีดให้ครบ  แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองหาเธอ มณีวรรณ
  
	ผู้หญิงไม่ต้องจับหัวฉีดก็ได้นะครับ  มันอันตรายเกินไปถ้าร่างกายไม่แข็งแรงพอ  ผมสั่งออกไปอย่างเป็นห่วงผู้หญิง  โดยเฉพาะเธอ  อีกทั้งเป็นการไม่ประมาท อันตรายอาจเกิดขึ้นได้    ลูกน้องรับทราบ
	
	ข้าพเจ้ามองเห็นเด็กหนุ่มคนที่มาอบรมพร้อมเธอ  จึงกวักมือเรียก
	เมื่อเขาเข้ามาใกล้ จึงดูที่ป้ายชื่อ
	มีอะไรครับหัวหน้า  เขาถามข้าพเจ้า
	เออนี่ วิชัย    นายอยู่หมู่บ้านเดียวกันกับมณีวรรณเหรอ
	ครับ
	ถามจริงๆ นะ  เธอโสดไหม ข้าพเจ้าถามเสียงกระชิบ
	โสดครับ ทุกวันนี้พี่ณีอยู่กับพ่อแม่ 
	ขอบใจมาก...นายไปฝึกต่อเถอะ  ข้าพเจ้าพูดจบเขารีบวิ่งไปเข้าแถวกับเพื่อนๆ
#############

	วันที่ห้าวันสุดท้ายของการอบรมก็มาถึงทุกคนจะได้รับวุฒิบัตร  ข้าพเจ้าให้ลูกน้องแจกจ่ายเครื่องแบบ อปพร. ที่ใช้งบประมาณทางราชการซื้อมาให้กับ อปพร.ทุกคนและถือว่าจบหลักสูตร   เมื่อแจกครบแล้วให้ไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำก่อนเข้ารับมอบวุฒิบัตร

	ข้าพเจ้าเพ่งมองมณีวรรณ เธออยู่ในชุดเครื่องแบบ  อปพร. ดูเก๋ไปอีกแบบ
	หลังจากผู้บังคับบัญชามอบวุฒิบัตรเรียบร้อยแล้ว  ข้าพเจ้าในนามครูฝึกจึงกล่าวเลิกการอบรมแก่สมาชิก อปพร.ใหม่ที่จบหลักสูตรหมาดๆ   อาจเป็นเพราะความผูกพันที่ร่วมอบรมมาห้าวันจึงอาจทำให้หลายๆ คนน้ำตานองหน้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมณีวรรณ  ข้าพเจ้าเห็นเธอเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา   เห็นแล้วอดซึมเศร้าไปด้วยไม่ได้	
	โชคดีนะครับ  ข้าพเจ้าเอ่ย
	ขอบคุณค่ะ  ถ้าว่างๆ ณีขออนุญาตมาเยี่ยมที่ดับเพลิงนะคะ เธอฉีกยิ้มให้ เล่นเอาข้าพเจ้ายิ้มไม่ยอมหุบ
	ยินดีทีเดียวครับ..คุณณี  
	เธอโบกมือให้ก่อนเดินไปหาเพื่อน  แต่แล้วสักครู่เธอก็เดินกลับไปกลับมาส่งสายตาคล้ายมองหาใครสักคน
	มีปัญหาอะไรหรือครับ  ข้าพเจ้าเดินเข้าไปถาม
	มองหาเพื่อนนะค่ะสงสัยครับไปก่อนแล้ว  แย่จัง
	งั้นผมขออนุญาตไปส่งนะครับ
	เกรงใจค่ะ...

	ในทีสุดเธอก็ยอมขึ้นรถข้าพเจ้า  เธอบอกทางจนเลี้ยวผ่านบ้านหลังใหญ่ที่มีรั้วรอบขอบชิด
	จอดนี้ล่ะค่ะ  ขอบคุณนะคะที่มาส่ง พูดจบยิ้มหวานให้
	บ้านหลังใหญ่นะครับ  น่าอยู่มากเลย ข้าพเจ้ามองบ้าน  เธอหัวเราะ
	ยังเป็นเวลาราชการไม่ใช่เหรอคะ เธอพูดพลางยกนาฬิกาขึ้นอ้าง
	ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าเธอไม่อยากชวนเข้าไปในบ้าน
	โอกาสหน้าพบกันใหม่นะคะ  โชคดีค่ะ
	เอ้อ...โชคดีครับ  ข้าพเจ้ารู้ว่าเธออยากให้กลับไป  แต่ก็แกล้งเฉย
	เธอยืนยิ้มให้ข้าพเจ้าพลางหัวเราะ
	ก็กลับไปซิค่ะ  ไปเถอะค้า... เธอส่งเสียงหวานๆ ไล่
	ข้าพเจ้าขับรถออกมาพลางมองกระจกส่องหลังมองเธอที่กำลังโบกมือให้  สวยใช้ได้เลยนะอปพร.มณีวรรณที่รัก   ข้าพเจ้าคิดแล้วยิ้มขณะรถเคลื่อนตัวกลับหน่วยดับเพลิง
################

	เย็นหลังเลิกงานวันต่อมา ข้าพเจ้าตัดสินใจขับรถไปหาเธอที่บ้าน   พอรถจอดรถหน้าประตูรั้วบ้าน  ไม่รู้เป็นไงข้าพเจ้าไม่กล้าลงไปกดออดเรียก  ดูบ้านช่างเงียบเชียบเสียเหลือเกิน  หรือว่าเธอไม่อยู่ในที่สุดก็ต้องขับรถออกจากที่นั่น  ได้แต่ตำหนิตัวเองว่าทำไมถึงไม่กล้ากดออดเรียกหนอ ทำไมไม่กล้า บ้าจริงๆ เลยเรานี่    ข้าพเจ้าคิดโกรธตัวเอง

	หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป
	ข้าพเจ้านั่งทำงานในสำนักงานด้วยจิตใจเหม่อลอยคิดถึงใบหน้าหวานๆ นั้น ใช่เลิกงานวันนี้จะต้องไปหาเธอที่บ้านให้ได้  คราวนี้ต้องใจกล้าๆ หน่อย ข้าพเจ้ามองดูนาฬิกาที่แขวนไว้  อีกราวชั่วโมงกว่าๆ ก็เลิกงานแล้ว

	และแล้วเสียง ว. ก็ดังขึ้นทำลายบรรยากาศแห่งภวังค์
	มีเหตุเพลิงไหม้ที่บ้านเลขที่......... เสียง ว. รานงานเหตุพร้อมที่เกิดเหตุ
	แจ้งกำลังทุกนายพร้อม ว.สี่ ที่เกิดเหตุ ข้าพเจ้าสั่งทาง ว.
	รับทราบรับปฏิบัติ เสียงตอบรับ 

	ข้าพเจ้ากระโดดขึ้นนั่งด้านหน้ารถดับเพลิงคู่กับคนขับ
	รถพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงหวออันโหยหวน...  รถราที่กำลังเดินทางไปมาหลีบหลบข้างทาง
	รถเลี้ยวไปตามถนนมุ่งหน้าที่เกิดเหตุตามที่ ว. แจ้ง
	นี่มันทางไปบ้านมณีวรรณ  อปพร.คนสวยนี่นา ข้าพเจ้าคิด

	ไม่นานนักรถจอดตรงหน้าบ้านหลังที่เกิดเหตุที่มีกลุ่มควันลอยโขมง 
	เฮ้ยนี่มันบ้านเธอนี่หว่าที่ถูกไฟไหม้ ข้าพเจ้าตะลึงชั่วครู่ก่อนสั่งลูกน้องลากสายต่อหัวฉีดเข้าไป  สมาชิก อบฟร. ที่ผ่านการอบรมมาหมาดๆ มาแสดงตนช่วยเหลือ   
	เธออยู่ไหน  หรือว่าอยู่ในบ้านออกมาไม่ได้ แย่แล้ว  คิดแล้วข้าพเจ้าวิ่งจะเข้าไปในบ้านแต่ต้องสะดุด
	หัวหน้าครับรู้สึกว่าจะไม่มีคนอยู่ในบ้านเลย  ประตูรั้วก็ใส่กุญแจไว้ พนักงานดับเพลิงรายงานเมื่อเห็นข้าพเจ้าถลาจะเข้าไป
	ขวานเหล็กตัดเลย ข้าพเจ้าสั่งตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานเมื่อมีเหตุเพลิงไหม้หากไม่สามารถเข้าไปในที่เกิดเหตุได้ให้พังทลายสิ่งขวางกั้นได้ตามความจำเป็น

	เมื่อกุญแจประตูถูกตัดแล้ว  จึงให้ลูกน้องนำสายฉีดน้ำเข้าไปดับต้นเพลิงที่มาจากทางครัวหลังบ้าน ส่วนข้าพเจ้าเดินไปที่ประตูบ้าน แต่ถูกล็อกแน่นหนา
	ถอยออกมาหัวหน้าอันตราย...  ไม่มีใครอยู่บ้านหรอกครับ  ผมรู้จักเจ้าของบ้านนี้ดีเขาไปทำงานกันหมด  เสียงตะโกนใครคนหนึ่งบอก
	ข้าพเจ้าหันไปตามเสียงนั้น  อปพร. วิชัย นั่นเอง
	
	ราวชั่วโมงเพลิงจึงสงบ  ลูกน้องเข้าเคลียพื้นที่เสียหายเฉพาะห้องครัว
	แล้วมณีวรรณเธอไปไหนนี่     เวลานี้บรรดาไทยมุงเต็มพื้นที่ไปหมด
ตำรวจที่มาตรวจสอบพื้นที่ทำแนวกั้นห้ามเข้าบริเวณ

                     สักครู่เสียงอื้ออึงว่าเจ้าของบ้านมาแล้ว
                     ข้าพเจ้าเดินเข้าไปหา  เห็นสารวัตรตำรวจกำลังสอบปากคำ เมื่อได้ยินคำให้การข้าพเจ้าถึงกับหูชา   ได้ความว่าบ้านหลังนี้มีพ่อแม่ลูกสามคน วันเวลาราชการจะไม่มีใครอยู่บ้าน 

                     มณีวรรณเธอโกหก  ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านเธอ    
                     แต่...เอ   เธอไม่ได้บอกซักคำเลยนี่หว่าว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านเธอ  เพียงแค่เธอบอกให้จอดรถส่งเธอลงตรงนี้เฉยๆ นี่ เราคิดไปเองต่างหากล่ะ
ช่างเถอะ...จะใช่หรือไม่ใช่บ้านของเธอไม่สำคัญ  ว่าแต่ว่าเธอมาช่วยงานตามหน้าที่  อปพร.ไหมนี่  ข้าพเจ้ามองหา

                      และแล้ว  ข้าพเจ้าเดินมาหยุดตรงที่วิชัยยืนอยู่
                      น้ำครับ  ลูกน้องคนหนึ่งเดินมายื่นให้
                      ขอบใจ ข้าพเจ้าตอบพลางหันไปมอง  อปพร. วิชัย แล้วคว้าแขนของเขาเดินเลี่ยงออกมาข้างนอก
                       มีอะไรหรือครับหัวหน้า  เขาถามอย่างสงสัย
                       เออ...อปพร. เรามาช่วยกันกี่คนนี่ ข้าพเจ้าถามอ้อมค้อม
                       มาหลายคนครับ 
                       แล้วมณีวรรณไม่มาเหรอ ข้าพเจ้าตัดสินใจถามตรงประเด็น
                       ไม่มาครับ เธอคงไม่มาร่วมงานอีกแล้ว 
                       อ้าวทำไมล่ะ  ข้าพเจ้าสะดุ้ง
                       เธอไปกรุงเทพฯ เมื่อวานนี่เองครับ วิชัยตอบพลางจ้องหน้าข้าพเจ้า
                       เธอไปทำงานเหรอ...  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าหัวใจหล่นวูบ
                       ครับ...ทีแรกพี่ณีกะว่าจะมาอยู่บ้านกับพ่อแม่ตลอดไป   แต่ว่า... วิชัยพูดแล้วหยุดนิ่ง
                       แต่ว่าอะไร ข้าพเจ้าจับไหล่เขาเขย่า
                       คือว่า..พี่คำตันแฟนพี่ณีที่หย่ากันเมื่อเดือนที่แล้ว   ตามมาง้อคืนดีแล้วพากันกลับไปทำงานต่อที่กรุงเทพฯ แล้วครับ  สิ้นเสียงพูดวิชัย   ข้าพเจ้าไม่รู้ตัวเลยว่าขวดน้ำดื่มหลุดมือตั้งแต่เมื่อไหร่



                                              ####################				
13 พฤศจิกายน 2549 16:00 น.

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ ๓

ป.ยุทธ

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ 3
ตอน  คว้าน้ำเหลว
 
	สิ้นแสงตะวันข้าพเจ้าย่างก้าวเข้าไปในร้านเหล้าประจำอำเภอ   ไม่นานนักเหล้าพร้อมกับแกล้มที่สั่งถูกยกออกมาวางตรงหน้า สาวสะอางสองนางนั่งประกบข้างซ้ายขวารินเหล้าให้อย่างเอาอกเอาใจ  
	หลายคืนแล้วที่ข้าพเจ้ากลายเป็นชายขี้เมาเช่นนี้ ใช่...ก็เพราะความรักเป็นพิษนั่นแหละ รักที่ผิดหวังชอกช้ำ จะมีอะไรดีไปกว่าการดื่ม-ดื่มเพื่อลืมเธอ 
	สาวๆ ในร้านเหล้าช่างเอาอกเอาใจข้าพเจ้าเสียเหลือเกิน   พวกหล่อนรินเหล้ายกใส่ปากให้ แล้วตามด้วยกับแกล้ม ยัง... ยังไม่พอพวกหล่อนยังยกแขนข้าพเจ้าไปโอบกอดเคล้าเคลียที่ไหล่ของพวกหล่อนแล้วหัวเราะต่อกระซิบ    เสียงเพลงเบาๆ ขับกล่อม  ชวนให้หลงใหลเคลิบเคลิ้ม  ลืมทุกข์ ลืมโศก ลืมความผิดหวังทั้งหลายทั้งปวงเสียจนหมดสิ้น
	พี่ร้านจะปิดแล้วครับ เราปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลน่ะครับ บ๋อยกระซิบบอก
	ข้าพเจ้าสั่งเช็คบิล ก่อนเดินเซ ออกจากร้านไปที่รถขับออกไป
	ถนนเวลานี้ว่าง จึงไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่กับการขับรถส่ายไปมาเหมือนงูเลื้อยของข้าพเจ้า  แต่แล้ว... 
	เฮ้ยอะไรกันวะ ข้าพเจ้าร้องเสียงหลง
	กลุ่มมอเตอร์ไซค์สวนทางมากลุ่มใหญ่ พวกมันเหมาถนนกันมาเป็นพืดพุ่งมาด้วยความเร็วสูง แสงไฟส่องมากระทบจนแสบตา ข้าพเจ้าตกใจหักหลบอย่างแรง  จนมีความรู้สึกว่าตัวเองลอยละลิ่ว
	โครม...... เสียงที่ได้ยินครั้งสุดท้ายก่อนสติดับวูบ

	ข้าพเจ้าค่อยๆ ลืมตาขึ้น  ภาพที่เห็นรอบข้างช่างเลือนราง  ต้องค่อยๆ หรี่ตากวาดมองรอบๆอีกครั้งจนดูชัดขึ้น  จึงรู้ว่าสายน้ำเกลือโยงที่แขน ที่หัวมีผ้าพันรอบๆ  น่าจะเป็นโรงพยาบาล ข้าพเจ้าคิด
	ฟื้นแล้วหรือคะ  เสียงหวานใสถามขึ้น
	ข้าพเจ้าหันไปทางเสียงนั้นอย่างยากเย็นอันเนื่องจากความปวดระบม  พยาบาลในชุดขาวเจ้าของเสียง ใบหน้าอันแสนหวานขาวนวลเนียน เล่นเอาข้าพเจ้าตาค้างเสียจนแทบหายจากเจ็บปวด
	ผมเป็นอะไรไปหรือครับคุณพยาบาล ข้าพเจ้าถามสายตาก็ชำเลืองที่ป้ายชื่อเธอที่หน้าอกขณะที่เธอฉีดยาเข้ากระปุกน้ำเกลือ  มาลินี โอคนก็งามนามก็เพราะ ข้าพเจ้าคิด
	คุณไม่รู้ตัวอีกเหรอคะว่าเกิดอุบัติเหตุ  ก็คุณเมาเหล้าขับรถลงข้างทางไปชนต้นไม้ ดีนะที่รัดเข็มขัดนิระภัย ไม่งั้นคงเละ  นี่ล่ะหนาเมาแล้วขับกฎหมายเขาก็ห้ามไว้  เธอพูดตำหนิเสียจนข้าพเจ้าเงียบละอายใจ ก่อนที่จะพูดเสียงอ่อยๆ
	ไม่ทราบว่าผมสลบไปนานหรือเปล่าครับ  
	อ๋อ...ตั้งแต่ตีสาม จนถึงเดี๋ยวนี้ก็สามโมงเช้าค่ะ  เธอตอบขณะตรวจวัดความดันที่แขน
 
	สามวันข้าพเจ้าก็ออกจากโรงพยาบาลมาทำงานต่อ  แต่อดไม่ได้ที่จะคิดถึงสาวพยาบาลคนสวย โอ...หากได้เธอเป็นแฟนคงดีไม่น้อย แต่คงเป็นเรื่องยากเราคงไม่กล้าไปจีบเธอหรอก ชายขี้เมาอย่างเราสาวๆ ที่ไหนจะสน  ยิ่งเธอเป็นพยาบาลด้วยซ้ำคงไม่ถูกกับคนขี้เหล้าเมายา  อย่าหวัง แต่...ถ้าหากเราเลิกดื่มล่ะ  แล้วทำตัวดีๆ เป็นสุภาพบุรุษ จากนั้นก็ค่อยหาทางไปทำความรู้จักเธอให้มากขึ้น
	หัวหน้าครับ เจ้านายเชิญพบ  เสียงลูกน้องทำให้ตื่นจากภวังค์

	เชิญนั่ง ผู้บังคับบัญชาแบมือที่เก้าอี้เมื่อข้าพเจ้าทำความเคารพ
	เป็นยังไงหายดีหรือยัง 
	ครับผมหายดีแล้วครับ ข้าพเจ้าตอบ
	หมู่นี้เป็นไง  ผมได้ข่าวว่าคุณดื่มหนัก  เป็นอะไร ดูซิสารรูปดูไม่ได้ ทั้งๆ ที่คุณก็เป็นคนหน้าตาดี หนวดเคราหรือก็ไม่โกน  ทำไมถึงเป็นยังงี้ ช่วยบอกผมหน่อยซิ  ผู้บังคับบัญชาส่ายหน้า  
	ผมเอ่อ.... ข้าพเจ้าพูดไม่ออก
	นี่หนังสือแจ้งให้คุณเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรการกู้ภัยหนึ่งสัปดาห์  ไปเตรียมตัวเดินทาง เสร็จแล้วรีบกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อ้อ...  อย่าลืมไปตัดผมโกนหนวดโกนเคราด้วยล่ะ
	ครับผม  ข้าพเจ้ารับเอาหนังสือก่อนเดินออกมาจากห้องผู้บังคับบัญชา

	ข้าพเจ้าหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ก้าวขึ้นรถทัวร์  มุ่งหน้าสู่ศูนย์ฝึกที่กรุงเทพมหานคร 
	หลักสูตรการฝึกหนักมาก ข้าพเจ้าไม่มีเวลาคิดถึงใคร ต้องตื่นแต่เช้ามืดเข้าแถววิ่ง  สายเข้าห้องเรียนทฤษฎี บ่ายลงภาคสนามฝึกปฏิบัติ จนครบหลักสูตร   ข้าพเจ้าจึงเดินทางกลับ เพื่อนำความรู้จากการฝึกอบรมไปปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย
	
	เทศกาลสงกรานต์มาถึง ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งนำลูกน้องไปกางเต็นท์อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถใช้ถนน และเข้าเวรเฝ้าระวังเหตุที่นั่น
ข้าพเจ้าดูคำสั่งร่วมแต่ละฝ่ายที่เข้าปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตำรวจ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายดับเพลิง และ ฝ่ายสาธารณสุข 
ขณะปลัดอำเภอหัวหน้าชุดประชุมขั้นตอนการปฏิบัติ   ข้าพเจ้าก็ต้องยิ้มอย่างตื่นเต้นเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเธอ-เธอคนนั้น พยาบาลสาวสวย มาลินี  เธออยู่ในเวรปฏิบัติการชุดเดียวกันกับข้าพเจ้า
                     สวัสดีครับคุณพยาบาลจำผมได้ไหมครับ   ข้าพเจ้าทักเมื่อเลิกประชุม
                     อืม... ดูเธองุนงง
                     โธ่...ก็คนที่คุณเอ็ดว่าเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุรถชนต้นไม้ให้คุณรักษา เมื่อต้นเดือนที่แล้วไงครับ ข้าพเจ้าพูดจบส่งยิ้มให้
                     อ๋อ หรือคะ จำได้แล้วค่ะ แต่เอ...ทำไมตอนนั้นหน้าตาไม่เหมือนยังงี้นี่คะ 
                      เป็นไงครับหล่อขึ้นหรือครับ พูดจบข้าพเจ้าหัวเราะ
ประมาณนั้นกระมังคะ เธอประชดประชันมากกว่า  ก่อนยิ้มให้แล้วขอตัวไปเช็คเครื่องมือตรวจวัดแอลกอฮอล์ 
	ข้าพเจ้าเดินไปสั่งลูกน้องที่รถดับเพลิง ก่อนเดินกลับมาที่เต็นท์ พลางแอบมองเธอ  ยิ่งมองยิ่งทำให้หัวใจข้าพเจ้าเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ  คนอาไร้สวยจริงๆ
	ตะวันบ่ายคล้อยแต่ยังสาดแสงแรงร้อนระอุมากระทบร่าง นานๆ ครั้งถึงจะมีลมพัดโชยเย็นๆ มาให้บ้าง   
ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจรถแต่ละคันที่ผ่านไปมา มีคนขับรถบางคนที่ต้องสงสัยว่ามีอาการมึนเมาจะส่งมาให้เธอตรวจวัดแอลกอฮอล์ ด้วยการเป่าเครื่อง   มีหลายรายเหมือนกันที่ถูกจับเมื่อเป่าแล้วเครื่องฟ้องว่ามีแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด  ข้าพเจ้าไม่มีหน้าที่อย่างอื่น   จึงขออาสาช่วยเธอ 
	ขอบคุณนะคะหากไม่มีคุณช่วยคงแย่เหมือนกัน  ช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้รถเยอะจริงๆ
	ยินดีครับ  ข้าพเจ้ายิ้มดีใจที่เธอพอใจในการเข้าไปช่วยเหลือ
	หกโมงเย็นก็จะมีผู้มาเปลี่ยนเวรแล้วล่ะค่ะ คุณล่ะคะออกเวรกี่โมง เธอหันมาทางข้าพเจ้าเมื่อว่างเว้นจากการตรวจวัดแอลกอฮอล์
	เหรอครับ...ว้านี่อีกชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้วนี่  ผมสิครับพรุ่งนี้เช้าถึงจะออกเวร 
	เข้าเวรแบบเฝ้าระวังคงไม่เหนื่อยหรอกค่ะ  ใช่ไหมคะ เธอยิ้มให้   ข้าพเจ้าเห็นรอยยิ้มหวานแล้วอยากเก็บเอาไปนอนฝัน 
	ข้าพเจ้าเห็นจ่าตำรวจดึงแขนชายขับรถสิบล้อเดินมาทางเธอ	
	คุณพยาบาลครับ  เอาคนนี้เป่าหน่อย ดูอาการเมามากเลย จ่าตำรวจปล่อยแขนชายคนนั้นให้เดินเข้ามา  ข้าพเจ้าดูมันตาขวางๆ ไงชอบกลจึงขยับตัวเข้าไปเพื่อช่วยเหลือเธอ
	ระวังหน่อยนะครับไม่น่าไว้ใจเลยคนนี่ ข้าพเจ้ากระซิบบอก
	ค่ะ...มีคุณเป็นบอดี้การ์ดอย่างนี้ฉันก็อบอุ่นแล้วค่ะ เธอพูดเป็นเล่นอย่างสนุก
แล้วหัวเราะเห็นฟันเขี้ยวน่ารัก
	ขณะที่เธอเอาเครื่องเป่าตรวจวัดยื่นให้ชายคนนั้นเป่า   
ฉับพลัน...มันกระโดดคว้าเธอเข้ามากอดล็อคพร้อมชักมีดปลายแหลมจากชายเสื้อมาจี้ที่คอของเธอ  ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกใจร้องอย่างตะลึงงัน 
	ถ้าไม่อยากให้พยาบาลนี่ตายอย่าเข้ามาใกล้ มันร้องลั่น
	ทุกคนนิ่งเงียบจังงังเหมือนรูปปั้น
	ใจเย็นๆ พี่ชายต้องการอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก็ได้  แต่อย่าทำอะไรเธอเลย ข้าพเจ้าได้สติจึงพูดออกไปอย่างนิ่มนวล
	ตำรวจสี่-ห้านายชักปืนขึ้นมาแล้วกำลังจะรายล้อมมันเข้าไป
	ข้าบอกแล้วว่าอย่าเข้ามาไม่งั้นพยาบาลนี้ตาย ถอยไป แล้วเก็บปืนด้วย หรือว่าอยากเห็นนังนี่ตาย มันเอาคมมีดกดลงที่คออันขาวผ่องของเธอ เวลานี้เธอหน้าซีดเผือดเหมือนไข่ต้ม  ข้าพเจ้าได้แต่มองอย่างสงสารเธอจับใจ  ตำรวจถอยออกมาคนละสอง-สามก้าว
	ถอยก่อน  ถอยก่อนสงสัยมันเมายาบ้า ร้อยตำรวจเอกหัวหน้าชุดสั่ง
	นายต้องการอะไร  ร้อยตำรวจเอกคนเดิมร้องถามมัน 
	เอารถมาพาข้าไปจากที่นี่...เร็ว  มันแหกปากร้องขอ
	ได้...ได้ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวขออนุญาตผู้บังคับบัญชาก่อน นายตำรวจคนเดิมถอยหลังออกมาโทรศัพท์สักครู่ก่อนเรียกตำรวจอีกคนเข้าไปหา แล้วกระซิบสั่ง  
	ห้านาทีผ่านไป สถานการณ์เริ่มตรึงเครียด 
	ข้าหมดความอดทนแล้วนะเว้ย  เมื่อไหร่รถจะมาเสียที มันหันรีหันขวาง 
	เงียบไม่มีเสียงตอบจากตำรวจ 
	ใจเย็นๆ นะครับพี่ชาย ผมว่าเอามีดออกห่างๆ คอเธอหน่อยก็ดีนะครับสงสารเธอ ข้าพเจ้าทนไม่ไหวเลยพูดออกไป  สายตาของเธอมองมาที่ข้าพเจ้าอย่างวิงวอน 
	เอ็งเป็นใครตำรวจรึ มันร้องถาม
	เปล่าหรอกครับ ผมเป็นแค่พนักงานดับเพลิง 
	งั้นเอ็งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูด มันร้องบอกข้าพเจ้าอย่างตาขวาง
	ข้าทนไม่ไหวแล้วไอ้นายตำรวจคนนั้นมันหายไปไหนวะ อ๋อมันนึกว่าข้าไม่กล้าฆ่านังนี่ล่ะสิ  ได้ข้าจะทำให้ดู ตายเป็นตายสิวะ มันทำท่าจะเอาจริง ตำรวจที่รายล้อมยกมือห้าม
	อย่า  อย่า ใจเย็นสิ ผู้กองติดต่อขออนุญาตรถกับท่านรองอยู่  รอสักครู่เดี๋ยวมา จ่าตำรวจคนหนึ่งพูดขึ้น
	หากเป็นเช่นนี้เธอคงไม่รอดแน่ เราต้องเสี่ยงเสียแล้ว ผิดเป็นผิด ข้าพเจ้าครุ่นคิด ก่อนเดินไปหาลูกน้องที่รถดับเพลิงวางแผนก่อนกลับไปตรงที่เธอถูกจับตัว
	เอางี้พี่ชาย ไปรถดับเพลิงผมก็ได้ ผมจะไปส่ง  แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่ทำร้ายเธอ  สิ้นเสียงพูดทุกคนหันมามอง ข้าพเจ้า 
	อะไรกันหัวหน้าดับเพลิง ทำไมพูดอย่างนั้น มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณนะ จ่าตำรวจพูดขึ้น
	ผมว่าดีกว่ารออยู่เฉยๆ จะทำให้สถานการณ์ตรึงเครียด ผมเป็นห่วงตัวประกัน ข้าพเจ้าอธิบาย 
	ตกลงไอ้น้อง ไหนรถดับเพลิงอยู่ทางไหน  เอ็งอย่าตุกติกก็แล้วกัน มันหันมาตะเบ็งเสียงกับข้าพเจ้า ก่อนค่อยๆ ดึงตัวเธอถอยหลังไปตามที่ข้าพเจ้าชี้มือ
	ถ้าเกิดอะไรขึ้น คุณจะรับผิดชอบไหวเหรอ จ่าตำรวจพูดพลางสะกิดข้าพเจ้า  
	พวกคุณกำลังทำอะไร จะให้มันไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะ ร้อยตำรวจเอกวิ่งมาร้องถาม ข้าพเจ้าไม่ตอบ เดินตามมันไปช้าๆ 

	ขณะที่มันก้าวถอยเข้าใกล้รถดับเพลิงได้จังหวะตามที่วางแผนไว้กับลูกน้อง ข้าพเจ้าจึงยกมือให้สัญญาณ 
	ฉับพลันนั้นเอง  น้ำก็พุ่งออกจากหัวฉีดด้านบนของรถดับเพลิงตรงดิ่งที่กลางหลังของมันอย่างแรงจนเซถลาพร้อมเธอมาทางข้าพเจ้า  เป็นจังหวะที่เตรียมตัวอยู่แล้วข้าพเจ้าจึงกระโดดเข้าจับข้อมือของมันที่ถือมีดแล้วบิดอย่างแรงจนมีดกระเด็นหลุดมือ ข้าพเจ้าไม่รอช้าเตะตัดขาของมันจนล้มกระแทกพื้น แล้วใช้เข่าดันที่กลางหลังของมันแนบพื้นในท่ามือไขว้หลังอย่างสิ้นฤทธิ์ ตำรวจกรูกันเข้ามาใส่กุญแจมือ
                      มีแผนดีๆ ก็ไม่บอกกัน ดีมากครับหัวหน้าดับเพลิงร้อยตำรวจเอกพูดยกยอพลางยิ้มให้  ข้าพเจ้าส่ายสายตาหาเธอ  เห็นเพื่อนพยาบาลประคองเธอขึ้นรถตู้ของโรงพยาบาลออกไปทำให้ข้าพเจ้าโล่งอก
	
                        เทศกาลสงกรานต์ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์  ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งทำงานอยู่นั้น
                       มีโทรศัพท์ขอเรียนสายหัวหน้าครับ ลูกน้องบอกขณะถือสายรอ
	สวัสดีครับผมธีระยุทธ หัวหน้าดับเพลิงกำลังรับสายครับผม 
	สวัสดีค่ะ ฉันมาลินี คนที่คุณช่วยวันนั้นไงคะ คือว่าฉันอยากจะเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณคุณค่ะ เสียงหวานใสมาตามสายทำให้หัวใจข้าพเจ้าพองโตฉีกยิ้มอย่างลืมตัว
	
	ข้าพเจ้าขับรถออกจากที่ทำงานอย่างอารมณ์ดี ที่หมายร้านอาหารตามนัด นี่คงเป็นมิตรภาพแห่งการเริ่มต้นเป็นแน่แท้ทีเดียว  ใช่แล้ว เธอคือผู้หญิงในอุดมคติเสียด้วยสิ  คนอาไร้ สวยจริงๆ  สวยกว่าพิม สวยกว่าสุดาอีก อย่างนี้ต้องจีบมาเป็นแฟนให้ได้ ข้าพเจ้าคิดขณะขับรถ
	 ข้าพเจ้าจอดรถหน้าร้านอาหาร ก่อนเดินเข้าไปข้างในอย่างมั่นใจ เธอเดินออกมาต้อนรับแล้วชี้มือไปที่โต๊ะที่สั่งอาหารไว้รอ แต่เอ...ไม่มีโต๊ะไหนว่างเลยนี่ ข้าพเจ้าคิด
	นี่ค่ะโต๊ะนี้ค่ะ เชิญนั่งค่ะ เธอชี้มือเมื่อเดินมาถึง แต่มีคนนั่งอยู่ 
	เชิญครับ ชายคนที่นั่งแต่งเครื่องแบบนายทหาร คงเป็นพี่ชายเธอมาด้วยกระมังข้าพเจ้าคิด
	ขอแนะนำค่ะ เธอหยุดพูดเมื่อถูกชายคนนั้นยกมือห้ามไว้ 
	ผมขอแนะนำตัวเองนะครับผมร้อยเอกชายชาญ พูดจบยื่นมือมา
	ผมยุทธครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับผู้กอง ข้าพเจ้าแนะนำตัวขณะจับมือด้วย และแล้ว...ข้าพเจ้าแทบสำลักน้ำ เมื่อได้ยิน
                       ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยชีวิตแฟนผมไว้


*****************				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟป.ยุทธ
Lovings  ป.ยุทธ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟป.ยุทธ
Lovings  ป.ยุทธ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟป.ยุทธ
Lovings  ป.ยุทธ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงป.ยุทธ