17 พฤศจิกายน 2549 12:37 น.

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ ๔

ป.ยุทธ

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ 4
ตอน  อปพร.ที่รัก
	
	ณ  หอประชุมหลังโรงรถดับเพลิง
	เช้าวันจันทร์เป็นวันที่คึกคัก  เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังสาระวนกับการตระเตรียมจัดโต๊ะ เก้าอี้ให้เรียบร้อย  ที่จริงเราเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แต่เพื่อความพร้อมและเป็นระเรียบ   ข้าพเจ้าจึงให้พากันตรวจอีกครั้ง

	ใช่แล้ว..วันนี้เป็นวันฝึกอบรม อปพร.  คำเต็มเรียกว่า อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน หลักสูตรในการอบรมจะต้องใช้เวลาห้าวัน 
	หนุ่มสาวและไม่หนุ่มไม่สาวที่ได้รับการคัดเลือกเดินทยอยกันเข้ามาลงทะเบียนในหอประชุม
	เป้าหมายผู้เข้าอบรมครั้งนี้ อยู่ที่จำนวนร้อยคน

	สวัสดีครับ  ท่านใดที่มาแล้วก็ขอเชิญลงชื่อ  เสร็จแล้วนั่งตามเก้าอี้ที่จัดให้แต่ละหมู่บ้านเลยนะครับ ข้าพเจ้าประชาสัมพันธ์ผ่านเครื่องขยายเสียง

	 ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังยืนชี้ไม้ชี้มือให้ผู้ที่ลงทะเบียนเข้านั่งประจำที่อยู่นั้น
	สวัสดีค่ะ  ให้นั่งตรงไหนคะ ใบหน้าใสเรียบๆ เดินมายกมือไหว้    เด็กหนุ่มรุ่นน้องเดินตามหลังมาติดๆ ยกมือไหว้ตาม
	หวัดดีครับ  หมู่อะไรครับ ข้าพเจ้ารับไหว้พลางสอบถาม
	หมู่ห้าค่ะ
	อ๋อ..นั่งทางโน้นครับ  ข้าพเจ้าชี้มือ พลางชำเลืองป้ายชื่อที่หน้าอก  จึงรู้ว่าชื่อ มณีวรรณ    
	ขณะที่เธอก้าวไปนั่งนั้น เธอหันมาส่งรอยยิ้มหวานพร้อมโน้มศีรษะให้อย่างขอบคุณ  เล่นเอาข้าพเจ้าสะดุดตรงหัวใจนิดๆ  

	เมื่อผู้บังคับบัญชาเดินทางมาเปิดงานเสร็จสิ้นผ่านไป  ข้าพเจ้าเป็นพิธีกรเชื้อเชิญวิทยากรต่างๆ มาให้ความรู้
	
 	จวบจนถึงวิชาภาคสนาม  เป็นการฝึกจับหัวฉีดดับเพลิง จนถึงขั้นตอนฉีดน้ำจริงๆ
	เร่งความดัน ข้าพเจ้าสั่งพร้อมทำมือเป็นสัญญาณให้ 
	ผู้อยู่ประจำรถดับเพลิงเร่งเครื่องจนน้ำพุ่งกระฉูดออกจากหัวฉีดอย่างรุนแรง  ผู้ที่จับหัวฉีดเซถลานิดๆ หากจับไม่ถูกวิธีล่ะก็หัวฉีดจะหลุดมือแล้วกระเด็นกระดอนคล้ายไส้เดือนยักษ์ดิ้นทุลนทุลายเมื่อถูกน้ำร้อนลวก  เพราะแรงดันของน้ำที่พุ่งออกจากหัวฉีดนั้นรุนแรง  ใครอยู่ใกล้อันตรายถึงตายได้หากหัวฉีดกระเด็นไปโดนจุดสำคัญของร่างกาย
	ลดความดัน ข้าพเจ้าสั่งอีกครั้ง  และน้ำก็ค่อยๆ ลดลง ลดลงจนไหลออกเบาๆ เหมือนน้ำประปาที่เปิดจากก๊อกธรรมดา
	ปิดน้ำ  ข้าพเจ้าสั่งต่อจนน้ำหยุดนิ่ง

	ข้าพเจ้าเปลี่ยนทีมผู้เข้าอบรมที่แบ่งออกเป็นหลายทีมเข้าไปทดลองจับหัวฉีดให้ครบ  แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองหาเธอ มณีวรรณ
  
	ผู้หญิงไม่ต้องจับหัวฉีดก็ได้นะครับ  มันอันตรายเกินไปถ้าร่างกายไม่แข็งแรงพอ  ผมสั่งออกไปอย่างเป็นห่วงผู้หญิง  โดยเฉพาะเธอ  อีกทั้งเป็นการไม่ประมาท อันตรายอาจเกิดขึ้นได้    ลูกน้องรับทราบ
	
	ข้าพเจ้ามองเห็นเด็กหนุ่มคนที่มาอบรมพร้อมเธอ  จึงกวักมือเรียก
	เมื่อเขาเข้ามาใกล้ จึงดูที่ป้ายชื่อ
	มีอะไรครับหัวหน้า  เขาถามข้าพเจ้า
	เออนี่ วิชัย    นายอยู่หมู่บ้านเดียวกันกับมณีวรรณเหรอ
	ครับ
	ถามจริงๆ นะ  เธอโสดไหม ข้าพเจ้าถามเสียงกระชิบ
	โสดครับ ทุกวันนี้พี่ณีอยู่กับพ่อแม่ 
	ขอบใจมาก...นายไปฝึกต่อเถอะ  ข้าพเจ้าพูดจบเขารีบวิ่งไปเข้าแถวกับเพื่อนๆ
#############

	วันที่ห้าวันสุดท้ายของการอบรมก็มาถึงทุกคนจะได้รับวุฒิบัตร  ข้าพเจ้าให้ลูกน้องแจกจ่ายเครื่องแบบ อปพร. ที่ใช้งบประมาณทางราชการซื้อมาให้กับ อปพร.ทุกคนและถือว่าจบหลักสูตร   เมื่อแจกครบแล้วให้ไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำก่อนเข้ารับมอบวุฒิบัตร

	ข้าพเจ้าเพ่งมองมณีวรรณ เธออยู่ในชุดเครื่องแบบ  อปพร. ดูเก๋ไปอีกแบบ
	หลังจากผู้บังคับบัญชามอบวุฒิบัตรเรียบร้อยแล้ว  ข้าพเจ้าในนามครูฝึกจึงกล่าวเลิกการอบรมแก่สมาชิก อปพร.ใหม่ที่จบหลักสูตรหมาดๆ   อาจเป็นเพราะความผูกพันที่ร่วมอบรมมาห้าวันจึงอาจทำให้หลายๆ คนน้ำตานองหน้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมณีวรรณ  ข้าพเจ้าเห็นเธอเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา   เห็นแล้วอดซึมเศร้าไปด้วยไม่ได้	
	โชคดีนะครับ  ข้าพเจ้าเอ่ย
	ขอบคุณค่ะ  ถ้าว่างๆ ณีขออนุญาตมาเยี่ยมที่ดับเพลิงนะคะ เธอฉีกยิ้มให้ เล่นเอาข้าพเจ้ายิ้มไม่ยอมหุบ
	ยินดีทีเดียวครับ..คุณณี  
	เธอโบกมือให้ก่อนเดินไปหาเพื่อน  แต่แล้วสักครู่เธอก็เดินกลับไปกลับมาส่งสายตาคล้ายมองหาใครสักคน
	มีปัญหาอะไรหรือครับ  ข้าพเจ้าเดินเข้าไปถาม
	มองหาเพื่อนนะค่ะสงสัยครับไปก่อนแล้ว  แย่จัง
	งั้นผมขออนุญาตไปส่งนะครับ
	เกรงใจค่ะ...

	ในทีสุดเธอก็ยอมขึ้นรถข้าพเจ้า  เธอบอกทางจนเลี้ยวผ่านบ้านหลังใหญ่ที่มีรั้วรอบขอบชิด
	จอดนี้ล่ะค่ะ  ขอบคุณนะคะที่มาส่ง พูดจบยิ้มหวานให้
	บ้านหลังใหญ่นะครับ  น่าอยู่มากเลย ข้าพเจ้ามองบ้าน  เธอหัวเราะ
	ยังเป็นเวลาราชการไม่ใช่เหรอคะ เธอพูดพลางยกนาฬิกาขึ้นอ้าง
	ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าเธอไม่อยากชวนเข้าไปในบ้าน
	โอกาสหน้าพบกันใหม่นะคะ  โชคดีค่ะ
	เอ้อ...โชคดีครับ  ข้าพเจ้ารู้ว่าเธออยากให้กลับไป  แต่ก็แกล้งเฉย
	เธอยืนยิ้มให้ข้าพเจ้าพลางหัวเราะ
	ก็กลับไปซิค่ะ  ไปเถอะค้า... เธอส่งเสียงหวานๆ ไล่
	ข้าพเจ้าขับรถออกมาพลางมองกระจกส่องหลังมองเธอที่กำลังโบกมือให้  สวยใช้ได้เลยนะอปพร.มณีวรรณที่รัก   ข้าพเจ้าคิดแล้วยิ้มขณะรถเคลื่อนตัวกลับหน่วยดับเพลิง
################

	เย็นหลังเลิกงานวันต่อมา ข้าพเจ้าตัดสินใจขับรถไปหาเธอที่บ้าน   พอรถจอดรถหน้าประตูรั้วบ้าน  ไม่รู้เป็นไงข้าพเจ้าไม่กล้าลงไปกดออดเรียก  ดูบ้านช่างเงียบเชียบเสียเหลือเกิน  หรือว่าเธอไม่อยู่ในที่สุดก็ต้องขับรถออกจากที่นั่น  ได้แต่ตำหนิตัวเองว่าทำไมถึงไม่กล้ากดออดเรียกหนอ ทำไมไม่กล้า บ้าจริงๆ เลยเรานี่    ข้าพเจ้าคิดโกรธตัวเอง

	หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป
	ข้าพเจ้านั่งทำงานในสำนักงานด้วยจิตใจเหม่อลอยคิดถึงใบหน้าหวานๆ นั้น ใช่เลิกงานวันนี้จะต้องไปหาเธอที่บ้านให้ได้  คราวนี้ต้องใจกล้าๆ หน่อย ข้าพเจ้ามองดูนาฬิกาที่แขวนไว้  อีกราวชั่วโมงกว่าๆ ก็เลิกงานแล้ว

	และแล้วเสียง ว. ก็ดังขึ้นทำลายบรรยากาศแห่งภวังค์
	มีเหตุเพลิงไหม้ที่บ้านเลขที่......... เสียง ว. รานงานเหตุพร้อมที่เกิดเหตุ
	แจ้งกำลังทุกนายพร้อม ว.สี่ ที่เกิดเหตุ ข้าพเจ้าสั่งทาง ว.
	รับทราบรับปฏิบัติ เสียงตอบรับ 

	ข้าพเจ้ากระโดดขึ้นนั่งด้านหน้ารถดับเพลิงคู่กับคนขับ
	รถพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงหวออันโหยหวน...  รถราที่กำลังเดินทางไปมาหลีบหลบข้างทาง
	รถเลี้ยวไปตามถนนมุ่งหน้าที่เกิดเหตุตามที่ ว. แจ้ง
	นี่มันทางไปบ้านมณีวรรณ  อปพร.คนสวยนี่นา ข้าพเจ้าคิด

	ไม่นานนักรถจอดตรงหน้าบ้านหลังที่เกิดเหตุที่มีกลุ่มควันลอยโขมง 
	เฮ้ยนี่มันบ้านเธอนี่หว่าที่ถูกไฟไหม้ ข้าพเจ้าตะลึงชั่วครู่ก่อนสั่งลูกน้องลากสายต่อหัวฉีดเข้าไป  สมาชิก อบฟร. ที่ผ่านการอบรมมาหมาดๆ มาแสดงตนช่วยเหลือ   
	เธออยู่ไหน  หรือว่าอยู่ในบ้านออกมาไม่ได้ แย่แล้ว  คิดแล้วข้าพเจ้าวิ่งจะเข้าไปในบ้านแต่ต้องสะดุด
	หัวหน้าครับรู้สึกว่าจะไม่มีคนอยู่ในบ้านเลย  ประตูรั้วก็ใส่กุญแจไว้ พนักงานดับเพลิงรายงานเมื่อเห็นข้าพเจ้าถลาจะเข้าไป
	ขวานเหล็กตัดเลย ข้าพเจ้าสั่งตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานเมื่อมีเหตุเพลิงไหม้หากไม่สามารถเข้าไปในที่เกิดเหตุได้ให้พังทลายสิ่งขวางกั้นได้ตามความจำเป็น

	เมื่อกุญแจประตูถูกตัดแล้ว  จึงให้ลูกน้องนำสายฉีดน้ำเข้าไปดับต้นเพลิงที่มาจากทางครัวหลังบ้าน ส่วนข้าพเจ้าเดินไปที่ประตูบ้าน แต่ถูกล็อกแน่นหนา
	ถอยออกมาหัวหน้าอันตราย...  ไม่มีใครอยู่บ้านหรอกครับ  ผมรู้จักเจ้าของบ้านนี้ดีเขาไปทำงานกันหมด  เสียงตะโกนใครคนหนึ่งบอก
	ข้าพเจ้าหันไปตามเสียงนั้น  อปพร. วิชัย นั่นเอง
	
	ราวชั่วโมงเพลิงจึงสงบ  ลูกน้องเข้าเคลียพื้นที่เสียหายเฉพาะห้องครัว
	แล้วมณีวรรณเธอไปไหนนี่     เวลานี้บรรดาไทยมุงเต็มพื้นที่ไปหมด
ตำรวจที่มาตรวจสอบพื้นที่ทำแนวกั้นห้ามเข้าบริเวณ

                     สักครู่เสียงอื้ออึงว่าเจ้าของบ้านมาแล้ว
                     ข้าพเจ้าเดินเข้าไปหา  เห็นสารวัตรตำรวจกำลังสอบปากคำ เมื่อได้ยินคำให้การข้าพเจ้าถึงกับหูชา   ได้ความว่าบ้านหลังนี้มีพ่อแม่ลูกสามคน วันเวลาราชการจะไม่มีใครอยู่บ้าน 

                     มณีวรรณเธอโกหก  ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านเธอ    
                     แต่...เอ   เธอไม่ได้บอกซักคำเลยนี่หว่าว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านเธอ  เพียงแค่เธอบอกให้จอดรถส่งเธอลงตรงนี้เฉยๆ นี่ เราคิดไปเองต่างหากล่ะ
ช่างเถอะ...จะใช่หรือไม่ใช่บ้านของเธอไม่สำคัญ  ว่าแต่ว่าเธอมาช่วยงานตามหน้าที่  อปพร.ไหมนี่  ข้าพเจ้ามองหา

                      และแล้ว  ข้าพเจ้าเดินมาหยุดตรงที่วิชัยยืนอยู่
                      น้ำครับ  ลูกน้องคนหนึ่งเดินมายื่นให้
                      ขอบใจ ข้าพเจ้าตอบพลางหันไปมอง  อปพร. วิชัย แล้วคว้าแขนของเขาเดินเลี่ยงออกมาข้างนอก
                       มีอะไรหรือครับหัวหน้า  เขาถามอย่างสงสัย
                       เออ...อปพร. เรามาช่วยกันกี่คนนี่ ข้าพเจ้าถามอ้อมค้อม
                       มาหลายคนครับ 
                       แล้วมณีวรรณไม่มาเหรอ ข้าพเจ้าตัดสินใจถามตรงประเด็น
                       ไม่มาครับ เธอคงไม่มาร่วมงานอีกแล้ว 
                       อ้าวทำไมล่ะ  ข้าพเจ้าสะดุ้ง
                       เธอไปกรุงเทพฯ เมื่อวานนี่เองครับ วิชัยตอบพลางจ้องหน้าข้าพเจ้า
                       เธอไปทำงานเหรอ...  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าหัวใจหล่นวูบ
                       ครับ...ทีแรกพี่ณีกะว่าจะมาอยู่บ้านกับพ่อแม่ตลอดไป   แต่ว่า... วิชัยพูดแล้วหยุดนิ่ง
                       แต่ว่าอะไร ข้าพเจ้าจับไหล่เขาเขย่า
                       คือว่า..พี่คำตันแฟนพี่ณีที่หย่ากันเมื่อเดือนที่แล้ว   ตามมาง้อคืนดีแล้วพากันกลับไปทำงานต่อที่กรุงเทพฯ แล้วครับ  สิ้นเสียงพูดวิชัย   ข้าพเจ้าไม่รู้ตัวเลยว่าขวดน้ำดื่มหลุดมือตั้งแต่เมื่อไหร่



                                              ####################				
13 พฤศจิกายน 2549 16:00 น.

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ ๓

ป.ยุทธ

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ 3
ตอน  คว้าน้ำเหลว
 
	สิ้นแสงตะวันข้าพเจ้าย่างก้าวเข้าไปในร้านเหล้าประจำอำเภอ   ไม่นานนักเหล้าพร้อมกับแกล้มที่สั่งถูกยกออกมาวางตรงหน้า สาวสะอางสองนางนั่งประกบข้างซ้ายขวารินเหล้าให้อย่างเอาอกเอาใจ  
	หลายคืนแล้วที่ข้าพเจ้ากลายเป็นชายขี้เมาเช่นนี้ ใช่...ก็เพราะความรักเป็นพิษนั่นแหละ รักที่ผิดหวังชอกช้ำ จะมีอะไรดีไปกว่าการดื่ม-ดื่มเพื่อลืมเธอ 
	สาวๆ ในร้านเหล้าช่างเอาอกเอาใจข้าพเจ้าเสียเหลือเกิน   พวกหล่อนรินเหล้ายกใส่ปากให้ แล้วตามด้วยกับแกล้ม ยัง... ยังไม่พอพวกหล่อนยังยกแขนข้าพเจ้าไปโอบกอดเคล้าเคลียที่ไหล่ของพวกหล่อนแล้วหัวเราะต่อกระซิบ    เสียงเพลงเบาๆ ขับกล่อม  ชวนให้หลงใหลเคลิบเคลิ้ม  ลืมทุกข์ ลืมโศก ลืมความผิดหวังทั้งหลายทั้งปวงเสียจนหมดสิ้น
	พี่ร้านจะปิดแล้วครับ เราปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลน่ะครับ บ๋อยกระซิบบอก
	ข้าพเจ้าสั่งเช็คบิล ก่อนเดินเซ ออกจากร้านไปที่รถขับออกไป
	ถนนเวลานี้ว่าง จึงไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่กับการขับรถส่ายไปมาเหมือนงูเลื้อยของข้าพเจ้า  แต่แล้ว... 
	เฮ้ยอะไรกันวะ ข้าพเจ้าร้องเสียงหลง
	กลุ่มมอเตอร์ไซค์สวนทางมากลุ่มใหญ่ พวกมันเหมาถนนกันมาเป็นพืดพุ่งมาด้วยความเร็วสูง แสงไฟส่องมากระทบจนแสบตา ข้าพเจ้าตกใจหักหลบอย่างแรง  จนมีความรู้สึกว่าตัวเองลอยละลิ่ว
	โครม...... เสียงที่ได้ยินครั้งสุดท้ายก่อนสติดับวูบ

	ข้าพเจ้าค่อยๆ ลืมตาขึ้น  ภาพที่เห็นรอบข้างช่างเลือนราง  ต้องค่อยๆ หรี่ตากวาดมองรอบๆอีกครั้งจนดูชัดขึ้น  จึงรู้ว่าสายน้ำเกลือโยงที่แขน ที่หัวมีผ้าพันรอบๆ  น่าจะเป็นโรงพยาบาล ข้าพเจ้าคิด
	ฟื้นแล้วหรือคะ  เสียงหวานใสถามขึ้น
	ข้าพเจ้าหันไปทางเสียงนั้นอย่างยากเย็นอันเนื่องจากความปวดระบม  พยาบาลในชุดขาวเจ้าของเสียง ใบหน้าอันแสนหวานขาวนวลเนียน เล่นเอาข้าพเจ้าตาค้างเสียจนแทบหายจากเจ็บปวด
	ผมเป็นอะไรไปหรือครับคุณพยาบาล ข้าพเจ้าถามสายตาก็ชำเลืองที่ป้ายชื่อเธอที่หน้าอกขณะที่เธอฉีดยาเข้ากระปุกน้ำเกลือ  มาลินี โอคนก็งามนามก็เพราะ ข้าพเจ้าคิด
	คุณไม่รู้ตัวอีกเหรอคะว่าเกิดอุบัติเหตุ  ก็คุณเมาเหล้าขับรถลงข้างทางไปชนต้นไม้ ดีนะที่รัดเข็มขัดนิระภัย ไม่งั้นคงเละ  นี่ล่ะหนาเมาแล้วขับกฎหมายเขาก็ห้ามไว้  เธอพูดตำหนิเสียจนข้าพเจ้าเงียบละอายใจ ก่อนที่จะพูดเสียงอ่อยๆ
	ไม่ทราบว่าผมสลบไปนานหรือเปล่าครับ  
	อ๋อ...ตั้งแต่ตีสาม จนถึงเดี๋ยวนี้ก็สามโมงเช้าค่ะ  เธอตอบขณะตรวจวัดความดันที่แขน
 
	สามวันข้าพเจ้าก็ออกจากโรงพยาบาลมาทำงานต่อ  แต่อดไม่ได้ที่จะคิดถึงสาวพยาบาลคนสวย โอ...หากได้เธอเป็นแฟนคงดีไม่น้อย แต่คงเป็นเรื่องยากเราคงไม่กล้าไปจีบเธอหรอก ชายขี้เมาอย่างเราสาวๆ ที่ไหนจะสน  ยิ่งเธอเป็นพยาบาลด้วยซ้ำคงไม่ถูกกับคนขี้เหล้าเมายา  อย่าหวัง แต่...ถ้าหากเราเลิกดื่มล่ะ  แล้วทำตัวดีๆ เป็นสุภาพบุรุษ จากนั้นก็ค่อยหาทางไปทำความรู้จักเธอให้มากขึ้น
	หัวหน้าครับ เจ้านายเชิญพบ  เสียงลูกน้องทำให้ตื่นจากภวังค์

	เชิญนั่ง ผู้บังคับบัญชาแบมือที่เก้าอี้เมื่อข้าพเจ้าทำความเคารพ
	เป็นยังไงหายดีหรือยัง 
	ครับผมหายดีแล้วครับ ข้าพเจ้าตอบ
	หมู่นี้เป็นไง  ผมได้ข่าวว่าคุณดื่มหนัก  เป็นอะไร ดูซิสารรูปดูไม่ได้ ทั้งๆ ที่คุณก็เป็นคนหน้าตาดี หนวดเคราหรือก็ไม่โกน  ทำไมถึงเป็นยังงี้ ช่วยบอกผมหน่อยซิ  ผู้บังคับบัญชาส่ายหน้า  
	ผมเอ่อ.... ข้าพเจ้าพูดไม่ออก
	นี่หนังสือแจ้งให้คุณเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรการกู้ภัยหนึ่งสัปดาห์  ไปเตรียมตัวเดินทาง เสร็จแล้วรีบกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อ้อ...  อย่าลืมไปตัดผมโกนหนวดโกนเคราด้วยล่ะ
	ครับผม  ข้าพเจ้ารับเอาหนังสือก่อนเดินออกมาจากห้องผู้บังคับบัญชา

	ข้าพเจ้าหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ก้าวขึ้นรถทัวร์  มุ่งหน้าสู่ศูนย์ฝึกที่กรุงเทพมหานคร 
	หลักสูตรการฝึกหนักมาก ข้าพเจ้าไม่มีเวลาคิดถึงใคร ต้องตื่นแต่เช้ามืดเข้าแถววิ่ง  สายเข้าห้องเรียนทฤษฎี บ่ายลงภาคสนามฝึกปฏิบัติ จนครบหลักสูตร   ข้าพเจ้าจึงเดินทางกลับ เพื่อนำความรู้จากการฝึกอบรมไปปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย
	
	เทศกาลสงกรานต์มาถึง ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งนำลูกน้องไปกางเต็นท์อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถใช้ถนน และเข้าเวรเฝ้าระวังเหตุที่นั่น
ข้าพเจ้าดูคำสั่งร่วมแต่ละฝ่ายที่เข้าปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตำรวจ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายดับเพลิง และ ฝ่ายสาธารณสุข 
ขณะปลัดอำเภอหัวหน้าชุดประชุมขั้นตอนการปฏิบัติ   ข้าพเจ้าก็ต้องยิ้มอย่างตื่นเต้นเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเธอ-เธอคนนั้น พยาบาลสาวสวย มาลินี  เธออยู่ในเวรปฏิบัติการชุดเดียวกันกับข้าพเจ้า
                     สวัสดีครับคุณพยาบาลจำผมได้ไหมครับ   ข้าพเจ้าทักเมื่อเลิกประชุม
                     อืม... ดูเธองุนงง
                     โธ่...ก็คนที่คุณเอ็ดว่าเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุรถชนต้นไม้ให้คุณรักษา เมื่อต้นเดือนที่แล้วไงครับ ข้าพเจ้าพูดจบส่งยิ้มให้
                     อ๋อ หรือคะ จำได้แล้วค่ะ แต่เอ...ทำไมตอนนั้นหน้าตาไม่เหมือนยังงี้นี่คะ 
                      เป็นไงครับหล่อขึ้นหรือครับ พูดจบข้าพเจ้าหัวเราะ
ประมาณนั้นกระมังคะ เธอประชดประชันมากกว่า  ก่อนยิ้มให้แล้วขอตัวไปเช็คเครื่องมือตรวจวัดแอลกอฮอล์ 
	ข้าพเจ้าเดินไปสั่งลูกน้องที่รถดับเพลิง ก่อนเดินกลับมาที่เต็นท์ พลางแอบมองเธอ  ยิ่งมองยิ่งทำให้หัวใจข้าพเจ้าเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ  คนอาไร้สวยจริงๆ
	ตะวันบ่ายคล้อยแต่ยังสาดแสงแรงร้อนระอุมากระทบร่าง นานๆ ครั้งถึงจะมีลมพัดโชยเย็นๆ มาให้บ้าง   
ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจรถแต่ละคันที่ผ่านไปมา มีคนขับรถบางคนที่ต้องสงสัยว่ามีอาการมึนเมาจะส่งมาให้เธอตรวจวัดแอลกอฮอล์ ด้วยการเป่าเครื่อง   มีหลายรายเหมือนกันที่ถูกจับเมื่อเป่าแล้วเครื่องฟ้องว่ามีแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด  ข้าพเจ้าไม่มีหน้าที่อย่างอื่น   จึงขออาสาช่วยเธอ 
	ขอบคุณนะคะหากไม่มีคุณช่วยคงแย่เหมือนกัน  ช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้รถเยอะจริงๆ
	ยินดีครับ  ข้าพเจ้ายิ้มดีใจที่เธอพอใจในการเข้าไปช่วยเหลือ
	หกโมงเย็นก็จะมีผู้มาเปลี่ยนเวรแล้วล่ะค่ะ คุณล่ะคะออกเวรกี่โมง เธอหันมาทางข้าพเจ้าเมื่อว่างเว้นจากการตรวจวัดแอลกอฮอล์
	เหรอครับ...ว้านี่อีกชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้วนี่  ผมสิครับพรุ่งนี้เช้าถึงจะออกเวร 
	เข้าเวรแบบเฝ้าระวังคงไม่เหนื่อยหรอกค่ะ  ใช่ไหมคะ เธอยิ้มให้   ข้าพเจ้าเห็นรอยยิ้มหวานแล้วอยากเก็บเอาไปนอนฝัน 
	ข้าพเจ้าเห็นจ่าตำรวจดึงแขนชายขับรถสิบล้อเดินมาทางเธอ	
	คุณพยาบาลครับ  เอาคนนี้เป่าหน่อย ดูอาการเมามากเลย จ่าตำรวจปล่อยแขนชายคนนั้นให้เดินเข้ามา  ข้าพเจ้าดูมันตาขวางๆ ไงชอบกลจึงขยับตัวเข้าไปเพื่อช่วยเหลือเธอ
	ระวังหน่อยนะครับไม่น่าไว้ใจเลยคนนี่ ข้าพเจ้ากระซิบบอก
	ค่ะ...มีคุณเป็นบอดี้การ์ดอย่างนี้ฉันก็อบอุ่นแล้วค่ะ เธอพูดเป็นเล่นอย่างสนุก
แล้วหัวเราะเห็นฟันเขี้ยวน่ารัก
	ขณะที่เธอเอาเครื่องเป่าตรวจวัดยื่นให้ชายคนนั้นเป่า   
ฉับพลัน...มันกระโดดคว้าเธอเข้ามากอดล็อคพร้อมชักมีดปลายแหลมจากชายเสื้อมาจี้ที่คอของเธอ  ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกใจร้องอย่างตะลึงงัน 
	ถ้าไม่อยากให้พยาบาลนี่ตายอย่าเข้ามาใกล้ มันร้องลั่น
	ทุกคนนิ่งเงียบจังงังเหมือนรูปปั้น
	ใจเย็นๆ พี่ชายต้องการอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก็ได้  แต่อย่าทำอะไรเธอเลย ข้าพเจ้าได้สติจึงพูดออกไปอย่างนิ่มนวล
	ตำรวจสี่-ห้านายชักปืนขึ้นมาแล้วกำลังจะรายล้อมมันเข้าไป
	ข้าบอกแล้วว่าอย่าเข้ามาไม่งั้นพยาบาลนี้ตาย ถอยไป แล้วเก็บปืนด้วย หรือว่าอยากเห็นนังนี่ตาย มันเอาคมมีดกดลงที่คออันขาวผ่องของเธอ เวลานี้เธอหน้าซีดเผือดเหมือนไข่ต้ม  ข้าพเจ้าได้แต่มองอย่างสงสารเธอจับใจ  ตำรวจถอยออกมาคนละสอง-สามก้าว
	ถอยก่อน  ถอยก่อนสงสัยมันเมายาบ้า ร้อยตำรวจเอกหัวหน้าชุดสั่ง
	นายต้องการอะไร  ร้อยตำรวจเอกคนเดิมร้องถามมัน 
	เอารถมาพาข้าไปจากที่นี่...เร็ว  มันแหกปากร้องขอ
	ได้...ได้ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวขออนุญาตผู้บังคับบัญชาก่อน นายตำรวจคนเดิมถอยหลังออกมาโทรศัพท์สักครู่ก่อนเรียกตำรวจอีกคนเข้าไปหา แล้วกระซิบสั่ง  
	ห้านาทีผ่านไป สถานการณ์เริ่มตรึงเครียด 
	ข้าหมดความอดทนแล้วนะเว้ย  เมื่อไหร่รถจะมาเสียที มันหันรีหันขวาง 
	เงียบไม่มีเสียงตอบจากตำรวจ 
	ใจเย็นๆ นะครับพี่ชาย ผมว่าเอามีดออกห่างๆ คอเธอหน่อยก็ดีนะครับสงสารเธอ ข้าพเจ้าทนไม่ไหวเลยพูดออกไป  สายตาของเธอมองมาที่ข้าพเจ้าอย่างวิงวอน 
	เอ็งเป็นใครตำรวจรึ มันร้องถาม
	เปล่าหรอกครับ ผมเป็นแค่พนักงานดับเพลิง 
	งั้นเอ็งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูด มันร้องบอกข้าพเจ้าอย่างตาขวาง
	ข้าทนไม่ไหวแล้วไอ้นายตำรวจคนนั้นมันหายไปไหนวะ อ๋อมันนึกว่าข้าไม่กล้าฆ่านังนี่ล่ะสิ  ได้ข้าจะทำให้ดู ตายเป็นตายสิวะ มันทำท่าจะเอาจริง ตำรวจที่รายล้อมยกมือห้าม
	อย่า  อย่า ใจเย็นสิ ผู้กองติดต่อขออนุญาตรถกับท่านรองอยู่  รอสักครู่เดี๋ยวมา จ่าตำรวจคนหนึ่งพูดขึ้น
	หากเป็นเช่นนี้เธอคงไม่รอดแน่ เราต้องเสี่ยงเสียแล้ว ผิดเป็นผิด ข้าพเจ้าครุ่นคิด ก่อนเดินไปหาลูกน้องที่รถดับเพลิงวางแผนก่อนกลับไปตรงที่เธอถูกจับตัว
	เอางี้พี่ชาย ไปรถดับเพลิงผมก็ได้ ผมจะไปส่ง  แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่ทำร้ายเธอ  สิ้นเสียงพูดทุกคนหันมามอง ข้าพเจ้า 
	อะไรกันหัวหน้าดับเพลิง ทำไมพูดอย่างนั้น มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณนะ จ่าตำรวจพูดขึ้น
	ผมว่าดีกว่ารออยู่เฉยๆ จะทำให้สถานการณ์ตรึงเครียด ผมเป็นห่วงตัวประกัน ข้าพเจ้าอธิบาย 
	ตกลงไอ้น้อง ไหนรถดับเพลิงอยู่ทางไหน  เอ็งอย่าตุกติกก็แล้วกัน มันหันมาตะเบ็งเสียงกับข้าพเจ้า ก่อนค่อยๆ ดึงตัวเธอถอยหลังไปตามที่ข้าพเจ้าชี้มือ
	ถ้าเกิดอะไรขึ้น คุณจะรับผิดชอบไหวเหรอ จ่าตำรวจพูดพลางสะกิดข้าพเจ้า  
	พวกคุณกำลังทำอะไร จะให้มันไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะ ร้อยตำรวจเอกวิ่งมาร้องถาม ข้าพเจ้าไม่ตอบ เดินตามมันไปช้าๆ 

	ขณะที่มันก้าวถอยเข้าใกล้รถดับเพลิงได้จังหวะตามที่วางแผนไว้กับลูกน้อง ข้าพเจ้าจึงยกมือให้สัญญาณ 
	ฉับพลันนั้นเอง  น้ำก็พุ่งออกจากหัวฉีดด้านบนของรถดับเพลิงตรงดิ่งที่กลางหลังของมันอย่างแรงจนเซถลาพร้อมเธอมาทางข้าพเจ้า  เป็นจังหวะที่เตรียมตัวอยู่แล้วข้าพเจ้าจึงกระโดดเข้าจับข้อมือของมันที่ถือมีดแล้วบิดอย่างแรงจนมีดกระเด็นหลุดมือ ข้าพเจ้าไม่รอช้าเตะตัดขาของมันจนล้มกระแทกพื้น แล้วใช้เข่าดันที่กลางหลังของมันแนบพื้นในท่ามือไขว้หลังอย่างสิ้นฤทธิ์ ตำรวจกรูกันเข้ามาใส่กุญแจมือ
                      มีแผนดีๆ ก็ไม่บอกกัน ดีมากครับหัวหน้าดับเพลิงร้อยตำรวจเอกพูดยกยอพลางยิ้มให้  ข้าพเจ้าส่ายสายตาหาเธอ  เห็นเพื่อนพยาบาลประคองเธอขึ้นรถตู้ของโรงพยาบาลออกไปทำให้ข้าพเจ้าโล่งอก
	
                        เทศกาลสงกรานต์ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์  ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งทำงานอยู่นั้น
                       มีโทรศัพท์ขอเรียนสายหัวหน้าครับ ลูกน้องบอกขณะถือสายรอ
	สวัสดีครับผมธีระยุทธ หัวหน้าดับเพลิงกำลังรับสายครับผม 
	สวัสดีค่ะ ฉันมาลินี คนที่คุณช่วยวันนั้นไงคะ คือว่าฉันอยากจะเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณคุณค่ะ เสียงหวานใสมาตามสายทำให้หัวใจข้าพเจ้าพองโตฉีกยิ้มอย่างลืมตัว
	
	ข้าพเจ้าขับรถออกจากที่ทำงานอย่างอารมณ์ดี ที่หมายร้านอาหารตามนัด นี่คงเป็นมิตรภาพแห่งการเริ่มต้นเป็นแน่แท้ทีเดียว  ใช่แล้ว เธอคือผู้หญิงในอุดมคติเสียด้วยสิ  คนอาไร้ สวยจริงๆ  สวยกว่าพิม สวยกว่าสุดาอีก อย่างนี้ต้องจีบมาเป็นแฟนให้ได้ ข้าพเจ้าคิดขณะขับรถ
	 ข้าพเจ้าจอดรถหน้าร้านอาหาร ก่อนเดินเข้าไปข้างในอย่างมั่นใจ เธอเดินออกมาต้อนรับแล้วชี้มือไปที่โต๊ะที่สั่งอาหารไว้รอ แต่เอ...ไม่มีโต๊ะไหนว่างเลยนี่ ข้าพเจ้าคิด
	นี่ค่ะโต๊ะนี้ค่ะ เชิญนั่งค่ะ เธอชี้มือเมื่อเดินมาถึง แต่มีคนนั่งอยู่ 
	เชิญครับ ชายคนที่นั่งแต่งเครื่องแบบนายทหาร คงเป็นพี่ชายเธอมาด้วยกระมังข้าพเจ้าคิด
	ขอแนะนำค่ะ เธอหยุดพูดเมื่อถูกชายคนนั้นยกมือห้ามไว้ 
	ผมขอแนะนำตัวเองนะครับผมร้อยเอกชายชาญ พูดจบยื่นมือมา
	ผมยุทธครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับผู้กอง ข้าพเจ้าแนะนำตัวขณะจับมือด้วย และแล้ว...ข้าพเจ้าแทบสำลักน้ำ เมื่อได้ยิน
                       ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยชีวิตแฟนผมไว้


*****************				
10 พฤศจิกายน 2549 13:44 น.

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ ๒

ป.ยุทธ

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ ๒
ตอน รักสองต้องห้าม

 	ลมปลายฤดูหนาวพัดเอื่อยๆ ขณะข้าพเจ้าขับรถกระบะคู่ชีพเคลื่อนออกจากหน่วยดับเพลิง ไปตามถนนใหญ่สายหลัก ต้นจานริมทางหลายต้นออกดอกสีส้มเบ่งบานเต็มกิ่งก้าน ดูเป็นสีสันประดับประดาให้ทุ่งนาที่แห้งแล้งเวลานี้ดูสดชื่นขึ้นบ้าง 

	หลายวันแล้วที่ข้าพเจ้าไม่ได้กลับบ้าน ออกเวรวันนี้จึงกะว่าจะกลับเยี่ยมแม่สักหน่อยเพื่อจะได้ปรึกษาหารือเตรียมงานบวชที่ตกปากรับคำกับไว้ และข้าพเจ้าได้ยื่นหนังสือลาบวชต่อผู้บังคับบัญชาแล้ว

	รถเคลื่อนมาถึงสามแยก ข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นชายวัยรุ่นสองคนกำลังลวนลามหญิงสาวที่ศาลาริมทาง ดูท่าทางแล้วต้องไม่ใช่แฟนกันแน่  ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ ข้าพเจ้าจึงหยุดรถแล้วเดินเข้าไปหา

	มีอะไรให้ช่วยไหมครับ  
	หญิงสาวท่าทางดีใจรีบเดินมาหา แต่ถูกชายทั้งสองดักหน้าไว้
	เรื่องของผัวเมียคนอื่นไม่เกี่ยว  
	ใจเย็นๆ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน  ข้าพเจ้ายกมือห้าม เมื่อเห็นพวกเขาเดินปรี่เข้ามา  
	พี่คะช่วยด้วยค่ะ เราไม่ใช่ผัวเมียกันนะคะ  เธอร้องบอก
	เฮ้ย...เราอัดสั่งสอนไอ้หน้าจืดหน่อยวะหมูจะหามดันเสือกเอาคานมาสอด

	พูดจบมันปรี่เข้ามาแล้วปล่อยหมัดหมายที่ใบหน้าข้าพเจ้าขณะระวังตัวอยู่แล้วจึงฉากหลบแล้วเตะสวนเข้าไปที่หน้าท้องจนมันตัวงอ  อีกคนเมื่อเห็นเพื่อนโดนเตะ จึงยกฝ่าเท้าถีบเข้ามา   ข้าพเจ้ารีบจับขาทันควัน แล้วเตะสวนขาอีกข้างของมันจนล้มคลุกฝุ่นไปไม่เป็นท่า  

	คนที่โดนก่อนงัวเงียลุกขึ้น ข้าพเจ้าดูท่าทียอมปล่อยให้ลุกขึ้นมาตั้งหลัก แต่ด้วยความใจดีมันจึงประเคนแข้งมาใส่ที่กลางหลังจนข้าพเจ้าเซถลา
	ระวังด้านหลังค่ะ เสียงเธอร้องเตือนอย่างตกใจ
	ข้าพเจ้ารีบชำเหลืองไปทางด้านหลังเห็นอีกคนปรี่เข้ามาใกล้ จึงตวัดจระเข้ฟาดหางโดนใบหน้าของมันอย่างจังจนร้องโอ๊ยล้มฟุบ  ข้าพเจ้าไม่ปล่อยโอกาสให้ไอ้คนแรกเข้ามาง่ายๆ อีกแล้ว จึงกระโดดถีบที่หน้าอกของมันจนกระเด็นไปกระแทกเสาศาลาแล้วลงกองกับพื้น

	นึกว่าพวกมันจะเข็ดหลาบ  คนที่โดนจระเข้ฟาดหางกลับชักมีดพกออกมาจากเอว แล้วค่อยๆ บรรจงถอดออกจากฝัก ดวงตาขมึง ขบกรามแน่น มืออีกข้างยกขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก  ข้าพเจ้ามองมีดในมือของมันอย่างไม่กระพริบ  พลัน...มันแทงตรงดิ่งมาที่อกของข้าพเจ้าในขณะที่ระวังตัวอยู่แล้ว จึงเพียงเอนตัวหลบ เสี้ยววินาทีนั้นก็คว้าไปที่ข้อมือที่ถือมีดแล้วบิดไขว้หลังของมันอย่างแรงจนมีดร่วงลงพื้น ก่อนที่จะผลักไปข้างหน้าจนมันเซหัวคะมำ  

	จังหวะนั้นเสียงเรียกกันดังขึ้นในวิทยุมือถือของข้าพเจ้าที่วางอยู่ในรถ ทั้งสองหันไปมองหน้ากันอย่างตกใจ ก่อนหันมายกมือไหว้ข้าพเจ้าอย่างหวาดๆ 

	โทษครับพี่ แหมเป็นตำรวจก็ไม่บอก  พูดจบทั้งสองรีบวิ่งไปที่รถเครื่องของตนก่อนสตาร์ทให้อีกคนซ้อนท้ายขับกระชากออกไป   
	ขอบคุณนะค่ะ... พี่เจ็บไหมคะนี่  เสียงใสๆ เล่นเอาข้าพเจ้าหันไปมองราวกับว่าเธอคือพิม หญิงสาวผู้ที่หักอกข้าพเจ้าจนคิดที่จะหันไปหารสพระธรรมเยียวยา  แต่เมื่อเพ่งมองแล้วก็รู้สึกหายเหนื่อยเหมือนกัน  เมื่อเห็นใบหน้าใสๆ รับกับทรงผมที่รวบรัดไว้ด้านหลัง  ดูเธอสวยเรียบทีเดียว
	ไม่เป็นไรครับ  ข้าพเจ้าตอบพลางปัดฝุ่นที่เสื้อ 
	เธอก้าวขึ้นรถตามคำเชื้อเชิญ  เพื่อไปส่งบ้านที่ห่างออกไปจากทางแยกราวสองกิโลเมตร เธอเล่าให้ฟังว่านัดรอให้ญาติออกมารับ แต่ยังไม่เห็นมาจนมีวัยรุ่นขี่รถเครื่องผ่านมาอาสาจะไปส่ง แต่เธอปฏิเสธจึงถูกลวนลาม
	 เราพูดคุยระหว่างทางทำให้รู้ว่าเธอเป็นครูอัตราจ้างที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ทุกวันเธอจะขี่รถเครื่องมาเอง บังเอิญวันนี้ไปส่งหนังสือราชการที่จังหวัดจึงไปรถโดยสาร ส่วนข้าพเจ้าได้แนะนำให้เธอทราบว่าเป็นหัวหน้าดับเพลิงไม่ใช่ตำรวจตามที่วัยรุ่นพวกนั้นเข้าใจ
	เมื่อถึงบ้านเธอแนะนำให้รู้จักแม่  และเล่าเรื่องราวให้แม่ฟัง  แม่เธอขอบคุณข้าพเจ้าเป็นการใหญ่  	เรานั่งคุยกันประมาณครึ่งชั่วโมง  ข้าพเจ้าจึงขอตัวกลับ   เธอเดินมาส่งที่รถ   
	โชคดีค่ะพี่ยุทธว่างๆ แวะมาเที่ยวเล่นที่บ้านสุดานะคะ  เธอบอกก่อนที่ข้าพเจ้าขึ้นรถขับออกไป
 	รถเคลื่อนออกมาท่ามกลางความมืดสลัวของเวลาย่ำค่ำจนต้องเปิดไฟหน้ารถส่องสว่าง พลางนึกถึงใบหน้าหญิงสาวชื่อสุดา ร่างบอบบางใบหน้าสวยเรียบ  แฝงไว้ด้วยเสน่ห์ลึกๆ วนเวียนในมโนภาพ แต่...ไม่หรอกเราจะไม่หลงรักใครง่ายๆ อีกแล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมามันสอน    เพียงแค่รับเธอมาไว้พิจารณาในหัวใจก็พอแล้ว  
		
	จวบจนงานบวชใกล้มาถึงข้าพเจ้าส่งการ์ดเชิญให้สุดา พร้อมส่งไปให้พิมทางไปรษณีย์ 
	วันงานเริ่มคึกคักแต่เช้า ผู้คนมาช่วยงานเริ่มหนาตา พิธีปลงผมเริ่มขึ้น ก่อนโกนหัวให้ข้าพเจ้า เสร็จแล้วจึงสวมชุดนาครับการบายศรีสู่ขวัญจากพราหมณ์ตามประเพณีท้องถิ่น หลังเสร็จพิธีข้าพเจ้านั่งพักที่เก้าอี้ส่งสายตามองผู้คนที่มาช่วยงาน   และแล้วสายตาก็ไปสะดุดตรงหญิงสาวคนนั้นที่กำลังเดินเข้ามาหา	 
	สวัสดีคะพี่ยุทธ โอ๊ะ ต้องเรียกพี่นาคยุทธสินะ  ข้าพเจ้ารับไหว้พลางยิ้มให้ แล้วส่ายสายตาหาใครสักคน
	มองหาใครหรือคะ  
	อ๋อ...มองหาเพื่อนน่ะ  คงไม่มาแล้วล่ะ ที่จริงแล้วข้าพเจ้ามองหาพิม  แต่คิดไปอีกทีพิมคงไม่มาหรอก เพราะงานเราคงไม่สำคัญสำหรับคนชื่อพิมอีกแล้ว     ข้าพเจ้าคิดลมๆ แล้งๆ ไปเองต่างหากล่ะว่าจะมา
	พี่ครับมีจดหมายมาถึงพี่  น้องชายยื่นซองจดหมายให้
	ข้าพเจ้าพยายามระงับความตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าเป็นจดหมายจากพิม  รีบฉีกอ่าน เธอบอกว่ายินดีและอนุโมทนากับงานบวช แต่ไม่สามารถมาช่วยงานได้ พร้อมฝากธนาณัติมาช่วยงานห้าร้อยบาท แค่นี้ข้าพเจ้าก็อดปลื้มไม่ได้แล้ว  แต่...จะดีใจไปทำไมก็ในเมื่อเธอจะแต่งงานแล้วนี่ สุดาไง สุดาต่างหากสิที่จะเข้ามาในชีวิตของเรา-เราต้องรับมาพิจารณา    ข้าพเจ้าครุ่นคิด 
	จดหมายใครค่ะ  เสียงสุดาทำให้ข้าพเจ้าตื่นจากภวังค์
	อ๋อ...เพื่อนน่ะ
 &&&&&&&&&&&&&&&&&&&

	ตะวันสาดแสงส่องเหนือทิวเขา ขณะข้าพเจ้าเดินบิณฑบาตตามหลังพระเจ้าอาวาส  ไปอย่างช้าๆ ตามถนนในหมู่บ้าน พอกลับถึงวัด 
	พอดีเป็นวันเกิดค่ะเลยมาทำบุญ  สุดากับแม่นั่งพนมมือก่อนลุกขึ้นยืนตักบาตร  ข้าพเจ้ารับตักบาตรอย่างสำรวม  
	เชิญที่ศาลาดีกว่านะโยมทั้งสอง  ข้าพเจ้าเชื้อเชิญก่อนนั่งสนทนากับเธอและแม่พอสมควรแล้วข้าพเจ้าจึงขอตัวขึ้นกุฏิไป  

	ข้าพเจ้านั่งสมาธิเพื่อขับไล่ความคิดอันฟุ้งซ่าน ความคิดอันว้าวุ้นสับสนอย่างไร้ขอบเขต  นั้นออกไป โอ...โยมสุดา  โยมพิม
	พุทธโท...พุทธโท  ข้าพเจ้าพึมพำขณะลมหายใจเข้า-ออก  หลับตาทำสมาธิให้แน่วแน่ แต่...ความคิดยังฟุ้งซ่าน ต้องเริ่มต้นใหม่หลายต่อหลายครั้ง  จนสงบนิ่ง ความจริงแล้วข้าพเจ้าพยามยามปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นพระสงฆ์จะได้ไม่เป็นบาปหรือผิดวินัยในขณะครองสมณะเพศ
	ข้าพเจ้าละจากนั่งสมาธิ  พลางทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างกุฏิ  ต้นข้าวที่เขียวขจีถูกลมพัดพลิ้วไหว ชาวนาก้มๆ เงยๆ กับการปักดำต้นกล้าในแปลงนาของตนเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  พลัน...เม็ดฝนโปรยปรายลงมา แต่ไม่มีทีท่าว่าชาวนาจะขยับหนีหรือหลบฝนไปไหน  ยังคงปักดำอย่างมุ่งมั่น  ข้าพเจ้ามองผ่านเลยไปที่ทิวเขาเวลานี้ถูกปกคลุมไปด้วยละอองฝนจนดูพร่ามัว  
&&&&&&&&&&&&

	สายลมหนาวพัดมาเป็นครั้งแรกในช่วงปลายฝนต้นหนาว วันออกพรรษามาถึงแล้ว ข้าพเจ้าลาสิกขาจากสมณะเพศ  เพื่อกลับไปรับราชการต่อ
	หวัดดีค่ะพี่ทิด เสียงใสๆ ของใครบางคน ข้าพเจ้าหันไปมอง
	อ๋อ...น้องสุดามาทำบุญออกพรรษาเหรอจ๊ะนี่ 
	ค่ะ...พี่ทิดยุทธ  ส่งยิ้มหวาน
	เธอนั่งรถโดยสารมาคนเดียว ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสขับรถไปส่งเธอที่บ้านหลังจากทำบุญเสร็จแล้ว วันนี้ดูเธอมีความสุขมาก  
	สุดาขอถามพี่อย่างหนึ่งได้ไหมคะ  เธอถามขณะนั่งคุยกันที่บ้านของเธอ
	ครับ...ว่าไงครับ
	ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนนะคะเพราะสุดาเป็นหญิงไม่สมควรจะพูดคำนี้ แต่...มันจำเป็นจริงๆ ค่ะ  คือว่าพี่ยุทธคิดยังไงกับสุดาคะ
	ข้าพเจ้าอึ้งไปไม่รู้ว่าจะตอบเธอยังไงดี ใช่...ข้าพเจ้ายอมรับว่าไม่ได้รังเกียจเธอ แต่ ณ เวลานี้ยังไม่ได้รักเธอแค่นั้นเอง		
	โทษนะคะพี่ยุทธสุดาอยากรู้ เพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะตัดสินใจ  เธอยังย้ำถาม   เมื่อเห็นข้าพเจ้าเงียบไป ความสงสัยยังผุดพรายขึ้นในใจข้าพเจ้าเหมือนกันว่าทำไมเธอจึงใจร้อนนัก
	สักวันพี่จะให้คำตอบแล้วกัน  ข้าพเจ้ากล่าวก่อนขับรถออกมา มองกระจกหลังเห็นเธอยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นคล้ายกับว่าไม่พอใจในคำตอบ
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
 
	ขณะข้าพเจ้านั่งตรวจเอกสารที่โต๊ะทำงาน
	หัวหน้าครับมีจดหมายถึงหัวหน้า  ลูกน้องยื่นซองจดหมายให้
	ข้าพเจ้าฉีกซองอย่างดีใจ  เพราะมันเป็นจดหมายของพิมนั่นเอง 
	ข้าพเจ้ากวาดสายตาอ่านข้อความในจดหมายอย่างใจจดใจจ่อ  และแล้วข้าพเจ้าก็ร้องไชยโยอย่างลืมตัวจนสายตาทุกคู่ของลูกน้องจ้องมองมา 
	ข่าวดีอะไรหรือครับหัวหน้า
	ปะ...ปล่าวหรอก...ขอโทษที  ข้าพเจ้ารีบเดินออกจากห้องทำงาน ยืนพิงเสาอาคารยิ้มเหม่อมองต้นคูณที่เขียวขจีเป็นทิวแถว  จะขาดก็แต่เพียงดอกสีเหลืองเท่านั้นที่ยังไม่ถึงฤดูกาล
	จะไม่ให้ข้าพเจ้าดีใจยังไงเล่า ก็ในเมื่อพิมเขียนมาบอกว่าแฟนหนุ่มชาวญี่ปุ่นถูกแม่บังคับให้กลับไปแต่งงานกับหญิงสาวชาวแดนปลาดิบด้วยกัน เขาบินกลับไปโตเกียวหลายวันแล้ว พิมยอมรับว่าเสียใจมาก จะกลับบ้านในวันปีใหม่ที่จะถึงนี้ และที่สำคัญอยากพบข้าพเจ้า
	แฟนของใคร..มอเตอร์ไซค์ทำหล่น หน้ามนสวยสะดุดตา...
	ข้าพเจ้าฮำเพลงอยู่คนเดียวอย่างมีอารมณ์ พลางนับไม้นับมือระยะเวลาเหลือเดือนสองเดือนที่จะถึงวันปีใหม่	 
	เสียงรถเครื่องที่เลี้ยวเข้ามาจอดที่โรงรถใกล้ๆ ทำให้ข้าพเจ้าชะงักจากการฝันหวาน พอถอดหมวกกันน็อคออก
	หวัดดีค่ะพี่ยุทธ	
	อ้าว...น้องสุดาหวัดดีจ๊ะ    ไปไงมาไงล่ะนี่
	พอดีมาอบรมที่อำเภอค่ะ  แล้วตอนนี้ก็พักเที่ยงพอดี เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ข้าพเจ้ารู้ทันจึงเอ่ยปาก
	ไป...ถ้างั้นเราไปทานข้าวกัน   เธอยิ้มดีใจ
	ข้าพเจ้าพาเธอไปที่ร้านเดิมที่เคยพาพิมไปเมื่อปีที่แล้ว  
	น้องสุดาพี่อยากบอกกับน้องตรงๆ นะ  คือว่า...
	อ๋อ...พูดมาเลยค่ะกำลังรอฟัง  เธอกระตุ้นอย่างอยากรู้
	คือว่าพี่มีความรู้สึกที่ดีกับน้องสุดาเสมอๆ นะ แต่อย่างว่าพี่ไม่อยากให้ความหวังอะไร เอาเป็นว่าถ้าน้องสุดาจะตัดสินใจยังไงกับใครล่ะก็พิจารณาได้เลย  ใช่สิก็ข้าพเจ้ามีความหวังจากพิมนี่ เพราะนั่นคือความหวังใหม่ที่พึ่งจะได้รับ  สุดาก้มหน้าดูเศร้าๆ ไป ถามคำตอบคำ เธอเร่งให้ข้าพเจ้าพากลับอ้างว่าจะไปอบรมต่อภาคบ่าย  เธอยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับดวงตาที่มีน้ำเอ่อซึม  ทำให้อดสงสารเธอไม่ได้  แต่...จะทำไงได้ในเมื่อหัวใจมันปรารถนาเช่นนั้น
&&&&&&&&&&&&&&&&

	วันนี้อากาศช่างหนาวเหน็บจนสั่นสะท้าน มันเป็นวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2541 ข้าพเจ้าก้าวขึ้นรถด้วยหัวใจที่เบิกบาน 
	รถเคลื่อนไปข้างหน้า ดูๆ แล้วช่างเหมือนปีที่แล้วไม่มีผิด ดอกไม้ช่อใหญ่วางข้างๆ ความหวังตั้งใจเหมือนเดิม คือชวนพิมไปกินข้าวแล้วบอกรักพร้อมขอเธอแต่งงาน  คราวนี้คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว 
	รถจอดหน้าบ้านเธอ สักครู่เธอออกมาต้อนรับ   ใช่...จะต้องไม่เหมือนเดิมตรงที่ไม่มีไอ้ยุ่น
ออกมาด้วยอย่างแน่นอน  ข้าพเจ้ากระหยิ่มในใจ 
	หวัดดีค่ะพี่ยุทธ     ดูเธอผอมลงมาก และหมองๆ ไงชอบกล คงอกหักล่ะสิท่า  ไม่เป็นไรจะรักษาแผลใจให้   ข้าพเจ้าคิด 
	หวัดดีครับน้องพิม  ข้าพเจ้ายื่นดอกไม้ช่อใหญ่ให้  โอ...ช่างเหมือนปีที่แล้วจริงๆ ด้วย และต้องดีกว่าปีที่แล้วคือความสมหวัง ข้าพเจ้าหัวเราะร่าในอารมณ์
	เรานั่งคุยกันที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้าน  
	พี่กะว่าจะชวนน้องพิมไปทานข้าวร้านเดิมเราไงจ๊ะ
	ขอโทษด้วยนะคะพี่ยุทธ พิมไม่ค่อยสบาย เวียนหัวจะอาเจียน  ต้องขอตัวก่อนนะคะ  ข้าพเจ้าดูหน้าเธอแล้วคงไม่สบายจริงๆ 
	ไม่เป็นไรจ๊ะน้องพิม  ไปหาหมอหรือยังนี่  ข้าพเจ้าเป็นห่วง
	ไปแล้วค่ะ  
	หมอบอกว่าเป็นไร  เธอไม่ตอบ  ข้าพเจ้าสังเกตเห็นน้ำตาเธอเอ่อซึม  
	น้องพิมคงคิดถึงเขา  ข้าพเจ้าพูดอย่างน้อยใจ  พิมเงยขึ้นมองหน้าข้าพเจ้าก่อนก้มหน้าต่อ     
	งั้นพี่ไม่รบกวนน้องพิมล่ะนะพักผ่อนเถอะ  พรุ่งนี้พี่จะมาใหม่แล้วค่อยคุยกัน เธอพยักหน้าก่อนที่ข้าพเจ้าขับรถออกมาอย่างสับสน
	รุ่งขึ้นข้าพเจ้าไปหาเธอที่บ้านอีกครั้ง  ยังไงๆ วันนี้ก็ต้องพูดเรื่องรักเรื่องขอแต่งงานให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป  ข้าพเจ้าคิด  
	 พิมออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มระรื่นเบิกบานไม่เหมือนวันวาน
	หายดีแล้วเหรอน้องพิม ข้าพเจ้าถามอย่างดีใจเมื่อเห็นเธออารมณ์ดี
	แต่แล้ว...ให้ตายสิไอ้ยุ่นคนเดิมเดินตามเธอออกมา แล้วมันมาได้ไงนี่ ไหนเธอบอกว่ากลับไปแต่งงานที่ญี่ปุ่นแล้ว  
	อ๋อ...เขาตามพิมมาเมื่อคืนนี้ค่ะ  พิมอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าของข้าพเจ้างุนงง   
	เขาบอกว่าเคลียกับแม่เรียบร้อยแล้วค่ะ เราจะกลับไปอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วยกัน ตอนนี้พิมกำลังมีเด็กได้สอง-สามเดือนแล้ว  ข้าพเจ้ายิ่งงุนงงเป็นสองเท่า  มันอะไรกันนี่ แล้วทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้  บัดซบ...จริงๆ  เลย  
	ข้าพเจ้าขอตัวออกจากที่นั่นโดย ไม่อ้างเหตุผลใดๆ อีกแล้ว ได้ยินแต่เพียงเสียงใสๆ ไล่หลัง
	ขอบคุณมากนะคะสำหรับความช่วยเหลือและสิ่งดีๆ ทุกสิ่งอย่าง โชคดีปีใหม่นะคะพี่ชายที่แสนดี 
	 และแล้วก็คิดขึ้นได้ว่ายังไงเสียเรายังมีอีกคน ใช่อย่างน้อยๆ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เสียใจเหมือนปีที่แล้ว  เรามีคนสำรองหัวใจ
	รถเลี้ยวไปตามถนนทางเข้าหมู่บ้าน แล้วจอดนิ่งหน้าบ้านสุดา ใช่วันนี้มีคำตอบให้อย่างไม่ลังเลอีกแล้ว และคิดว่าต้องเป็นข่าวดีสำหรับเธอแน่
	สวัสดีค่ะพี่ยุทธ  พอดีเลยค่ะกำลังจะไปหาที่บ้านเชียว  เธอออกมาต้อนรับ  คนนี่สิใช่เลย...ตัวจริงเสียงจริง  ข้าพเจ้ายิ้มอย่างอย่างมีความหวัง
	เหรอจ๊ะ  จะไปหาพี่เหรอ  มีอะไรด่วนล่ะนี่น้องสุดา  
	ข้าพเจ้ายิ้มอย่างดีใจ  แต่แล้ว...ก็ต้องหุบยิ้มลงพลันเมื่อเห็นซองสีชมพูยื่นมาให้
	ค่ะ...ว่าจะไปเชิญมาเป็นเกียรติในวันวิวาห์ของสุดาค่ะ  วันที่ 14  กุมภานี้ มางานสุดาให้ได้นะคะ
 
@@@@@@@@@@@@@@@				
9 พฤศจิกายน 2549 12:59 น.

บันทึกรักนักดับเพลิง

ป.ยุทธ

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ 1
ตอน พบรักในเปลวเพลิง

	1  เมษายน 2537
	ต้นคูนที่เรียงรายเป็นทิวแถวริมรั้ว และสองข้างถนนคอนกรีตทางเข้าสำนักงานเทศบาลออกดอกเหลืองอร่ามเป็นพวงย้อยเต็มกิ่งก้าน    
ลมร้อนพัดดอกพลิ้วไหวรับแสงตะวันที่กำลังลอยตัวสูงขึ้นสาดส่องกระทบดูพริ้งพราย ชวนสะกดใจให้ผู้มาเยือนให้หลงใหล  
	พื้นที่เทศบาลตำบลกระจุกตัวอยู่ในชุมชนที่ถูกเรียกว่าอำเภอที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไปนัก ถนนที่ทอดยาวผ่านหน้าสำนักงานนั้น สองฟากทางเต็มไปด้วยตึกและห้องแถวเรียงราย  บ้างเป็นอาคารปูน  บ้างเป็นไม้ตามแต่ฐานะของเจ้าของ แต่ละคูหาถูกตกแต่งเป็นกิจการร้านค้ามากเสียกว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว
	ข้าพเจ้าขับรถกระบะคู่ชีพเลี้ยวไปตามถนนทางเข้าสำนักงาน พลางคิดถึงคำพูดของแม่ก่อนมา
	ลูกลาบวชให้แม่สักพรรษานะลูกนะ
	รอไปก่อนนะครับแม่ ให้งานผมนิ่งกว่านี้ก่อน ความจริงแล้วอยากจะบอกกับแม่ว่าให้น้องบวชแทนได้ไหม  หรือไม่ถ้าไม่ถนอมน้ำใจแม่ล่ะก็อยากพูดออกไปว่า เสียใจด้วยนะแม่
	รถถูกขับเคลื่อนไปอย่างเนิบช้า  ผ่านพุ่มพฤกษ์ดอกสีทองแต่ละต้น ใจไม่อยากให้ถึงที่หมายเร็วไป  เพราะอยากจะชมความเหลืองอร่ามของดอกไม้ให้เต็มตาก่อนที่จะเข้าไปตบเท้ารายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา   ของวันแรกที่ย้ายมารับตำแหน่งใหม่ ตำแหน่งที่ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น
	เมื่อออกจากห้องผู้บังคับบัญชาแล้ว ข้าพเจ้าตรงดิ่งไปที่หน่วยดับเพลิงที่อยู่ด้านหลังอาคารสำนักงาน   ไม่นานนักพนักงานดับเพลิงแต่ละคนเข้ามาไหว้ทักทายข้าพเจ้าในฐานะผู้บังคับบัญชาคนใหม่ของพวกเขา
	ข้าพเจ้านั่งทบทวนและประเมินผลงานย้อนหลังที่ผ่านมานับแต่ย้ายมาใหม่   หากเป็นหน้าฝนพวกเราจะเบาใจ เพราะเหตุการณ์เกิดน้อยมากอันเนื่องจากสภาพความชื้น   แต่ถ้าถึงคราหน้าหนาวและหน้าร้อนเมื่อไหร่ล่ะก็ พวกเราจะไม่เป็นอันหลับอันนอน   ต้องคอยระแวดระวังรอรับแจ้งเหตุ  โดยเฉพาะเวรวิทยุ-โทรศัพท์จะต้องประจำตลอด 24 ชั่วโมง  ส่วนข้าพเจ้าไปไหนมาไหนจะไม่ยอมห่างวิทยุมือถือ พร้อม ว.ประสานงานกับเครือข่ายใหญ่ตลอด
	บ่อยครั้งที่ได้รับแจ้งเหตุ  พวกเราจะไม่รีรอรีบบึ่งรถดับเพลิงระงับเหตุ หลายต่อหลายครั้งที่ได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับบัญชา และชาวบ้านร้านตลาด  ที่สามารถระงับเหตุไฟไหม้ได้เร็วไวไม่ลุกลามใหญ่โต
	บางครั้งพวกเราเหน็ดเหนื่อยจากการดับไฟ โดยเฉพาะวันนั้นดับไฟที่ลุกลามจากป่ามาตามตอซังข้าวเข้าใกล้บ้านเรือน   ท่ามกลางแสงแดดอันแผดกล้าของเที่ยงวัน  ไม่มีถนนให้รถดับเพลิงเข้าไปฉีดน้ำใกล้ๆ   พวกเราต้องหักเอากิ่งไม้ที่มีใบหนาเข้าตบไฟ ทุกคนร้อนระอุจากแสงแดดระคนเปลวไฟ บางครั้งสำลักควัน แม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และหิวกระหาย สักเพียงใด  พวกเราก็ยืนหยัดปกป้องอัคคีภัยให้ชาวประชา
	วันนั้นข้าพเจ้ายังจำเหตุการณ์ได้ดี เป็นวันที่ 9  มกราคม 2539 ขณะกำลังขับรถกลับจากทำธุระมุ่งหน้าไปตามถนนที่ทอดผ่านชุมชนตัวอำเภอในเวลาอันเย็นย่ำเพื่อกลับหน่วยดับเพลิง พลันสายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มควันที่พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า เสียงร้องของผู้คนระเบ็งเซ็งแซ่ระคนตกใจฟังไม่ได้ศัพท์
	ไฟไหม้หรือครับ? ข้าพเจ้าร้องถามเมื่อจอดรถแล้วเดินไปหากลุ่มคน   ไม่มีคำตอบจากใคร  ข้าพเจ้าจึงแหงนมองไปตามพวกเขา
	โอ!!!ให้ตายสิ...หญิงสาวคนนั้นร้องขอความช่วยเหลืออย่างตื่นตระหนกบนอาคารชั้น 3 โดยมีเหล็กดัดคล้ายกรงขังที่หน้าต่างปิดกั้น เปลวไฟและกลุ่มควันพวยพุ่งแรงขึ้นทุกขณะ
ข้าพเจ้าไม่รอช้า ว.แจ้งไปยังลูกน้องผู้เข้าเวรประจำหน่วยดับเพลิงที่อยู่ห่างออกไปราวครึ่งกิโลเมตร
	ห้านาทีผ่านไปอย่างเนิบช้า เสียงหวออันโหยหวนของรถดับเพลิงดังแว่วมาแต่ไกล เวลานี้ผู้คนที่เรียกว่าไทยมุงเริ่มแน่นขนัด ข้าพเจ้าเป่านกหวีดให้ผู้คนหลีกทางให้รถผ่าน เมื่อรถดับเพลิงมาถึง ข้าพเจ้าให้สัญญาณมือให้รถกระเช้าดับเพลิงประชิดตัวตึก
	ไม่รอช้าข้าพเจ้ากระโดดขึ้นกระเช้าพร้อมส่งสัญญาณให้รถยกสูงสู่ที่หมายหญิงสาวที่ติดอยู่กับหน้าต่างเหล็กดัดนั้น
	น้อง...ถอยไป  ข้าพเจ้าร้องสั่ง ก่อนที่จะใช้ขวานเหล็กใหญ่สำหรับกู้ภัยฟันไปที่ลูกกรงเหล็กสองสามที แต่...ไม่มีทีท่าว่าลูกกรงเหล็กจะหักงอหรือพังทลาย ข้าพเจ้ามองหน้าเธอเวลานี้ เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าที่ขาวซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวระคนตื่นตระหนก
	พลัน...กลุ่มควันจากเปลวไฟที่ถูกรถดับเพลิงคันอื่นระดมฉีดเข้าไปก็พวยพุ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง เธอกำลังสำลักควัน...
	หมอบลง ข้าพเจ้าร้องบอกตามหลักวิชาการที่ฝึกอบรมมา ว่ากลุ่มควันจะมีความบางเบาลอยตัว หากหมอบแนบพื้นจะพอมีอากาศหายใจ  เธอปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย  ก่อนที่ข้าพเจ้าจับเอาหัวฉีดน้ำประจำกระเช้าฉีดเข้าไปในห้องเพื่อไล่กลุ่มควันนั้นเป็นการบรรเทา
	สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน...ข้าพเจ้านึกในใจก่อนกระหน่ำฟันขวานลงบนเหล็กดัดหลายต่อหลายครั้งอย่างนับไม่ถ้วน  เวลานั้นดูเหมือนว่าข้าพเจ้าไม่เหน็ด ไม่เหนื่อย คล้ายกับว่ามีพลังฮึดขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์
	นานเท่าไหร่ไม่รู้-รู้เพียงว่าเหล็กดัดนั้นหักสะบั้น และพังทลายลง ข้าพเจ้าร้องเรียกหาเธอ-เธอยืนขึ้นยื่นมือมา ไม่รอช้าข้าพเจ้าคว้าข้อมือเธอดึงขึ้นกระเช้า ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและปรบมือของบรรดาไทยมุงอย่างดีใจ และโล่งอก  เธอกอดข้าพเจ้าไว้แน่นอย่างหวาดกลัวความสูงระคนดีใจ

	หลังจากกระเช้าลงพื้นเธอวิ่งไปสวมกอดและร่ำไห้กับบรรดาญาติพี่น้อง  ที่ยืนรอ จนลืมแม้กระทั่งจะขอบคุณข้าพเจ้า  แต่ช่างเถอะข้าพเจ้าไม่ได้น้อยใจหรือตำหนิเธอแม้สักนิด
	ค่ำคืนนั้นรถดับเพลิงเร่งฉีดสกัดกั้นการลุกลามของเปลวไฟ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟเพราะมันได้ลุกลามไปหลายคูหา  ผู้บังคับบัญชาสั่งขอรับการสนับสนุนรถดับเพลิงทั่วทั้งจังหวัดมาระดมฉีด 
	เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเพลิงจึงอยู่ในวงจำกัด  คงเหลือเพียงกลุ่มควันและเปลวไฟ ที่แดงฉานอยู่ไม่มากนัก  พวกเราเข้าเคลียพื้นที่โดยการกู้ซากถ่านที่ยังมีแสงไฟเพื่อให้ดับสนิท
	ผู้บังคับบัญชาสั่งกางเต็นท์เป็นศูนย์อำนวยการชั่วคราวเพื่อให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัย  และให้พวกเราเฝ้าระวังดูแลความเรียบร้อย
	ภายในเต็นท์เต็มไปด้วยเหยื่อเพลิงที่ร่ำไห้โหยหวนกับความสูญเสียอันใหญ่หลวงในชีวิต   ภาพเบื้องหน้าสิบกว่าคูหาที่มอดไหม้  ยังคงเหลือเพียงต้นเสาที่โด่เด่อย่างทระนง   ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ากับความล้มเหลวในการฉีดสกัดเพลิงไม่ให้ลุกลามออกไปในครั้งนี้  แม้ว่าหลายต่อหลายคนจะบอกว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย และทำดีที่สุดแล้วก็ตาม
	ไหน...ไหน...ไอ้หัวหน้าดับเพลิงมันอยู่ไหน ดับกันยังไงวะถึงเอาไม่อยู่จนซิบหายหมดอย่างงี้ เสียงเอะอะของชายวัยกลางเดินปรี่เข้ามาประชิดตัว  แล้วปล่อยหมัดกระแทกปากข้าพเจ้าจนเซถลาล้ม ลูกน้องกรูกันเข้าจับตัวเขาไว้
	ปล่อยเขาเถอะ ข้าพเจ้าลุกขึ้นบอก พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลจากมุมปาก
	ส่งตำรวจดีไหมครับหัวหน้า ลูกน้องยังจับตัวชายคนนั้นไว้แน่น
	ไม่ต้อง...เขาสูญเสียมากพอแล้ว  เป็นผมอาจทำเหมือนเขาก็ได้...ปล่อยเขา ข้าพเจ้ากระชากเสียง
	ลูกน้องปล่อยตัวเขา-เขาคุกเข่าลงกอดขาข้าพเจ้าแล้วร่ำไห้เหมือนเด็กๆ ปากพร่ำบ่นถึงความสูญเสียสิ้นเนื้อประดาตัว
	หนึ่งสัปดาห์ผ่านมาขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเคร่งเครียดกับกองเอกสาร
	หัวหน้าครับมีแขกมาขอพบ ลูกน้องมารายงาน ข้าพเจ้าพยักหน้าให้เข้ามา
	สวัสดีค่ะ เธอนั่นเอง ข้าพเจ้าตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกรีบเชื้อเชิญให้นั่ง พลางมองดวงหน้าใสๆ  จิ้มลิ้มที่รับกับเส้นผมที่ยาวสลวยนั้น เล่นเอาจังงังเหมือนถูกมนต์สะกดไปชั่วครู่
	พิมมาขอบคุณที่ช่วยชีวิตวันนั้นค่ะ เธอส่งยิ้มหวาน
	ไม่เป็นไรครับ...เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว น้ำเสียงข้าพเจ้าประหม่า
	งั้นเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ พิมขอเลี้ยงข้าวเที่ยงคุณหัวหน้าดับเพลิงนะคะ หัวใจข้าพเจ้าพองโต ดีใจราวถูกหวย
	เรียกผมยุทธก็ได้ครับ
	ค่ะพี่ยุทธ เสียงหวานใสเล่นเอาหัวใจแทบหยุดเต้น

	เธอก้าวขึ้นรถที่ข้าพเจ้าเปิดประตูรอ  ที่หมายคือร้านอาหารเรือนแพริมฝั่งแม่น้ำ
	ขอบคุณพี่ยุทธอีกครั้งนะคะที่ช่วยชีวิตพิม เธอย้ำขณะทานข้าว
	ข้าพเจ้ายอมรับว่ามีความสุขมาก จากความอ้างว้างไม่เคยมีเพื่อนต่างเพศ บัดนี้เริ่มก่อตัวในใจให้ยอมรับว่านี่หรือคือรักแรก- รักแรกพบ เราคุยกันสนุกถูกคอ
	เธอเล่าให้ฟังหลังจากที่ข้าพเจ้าช่วยเธอลงมา เธอวิ่งไปหาพ่อแม่  ดีใจจนลืมขอบคุณข้าพเจ้า  โชคยังดีบ้านมีประกันภัยจึงไม่เดือดร้อนนัก  เวลานี้เธอกับครอบครัวไปซื้อบ้านจัดสรรหลังใหม่แล้ว
	ก่อนจากกันหลังจากอาหารเที่ยงวันนั้น เธอถือโอกาสบอกลาข้าพเจ้า
	พิมตัดสินใจไปทำงานบัญชีกับพี่สาวที่โรงงานทางภาคตะวันออกอาทิตย์หน้าค่ะ 
	อ้าวเหรอ...โอ..ผมคงคิดถึงพิมน่าดู
	คิดถึงก็เขียนจดหมายหรือไม่ก็โทรหาได้นี่คะ
	ครับ... ข้าพเจ้าเสียงอ่อยๆ
	ระหว่างที่เธอรอวันเดินทาง ข้าพเจ้าแวะเวียนไปหาเธอที่บ้านแทบทุกวัน
	รถทัวร์เคลื่อนออกจากสถานี บขส. ข้าพเจ้าเห็นเพียงมือทีเรียวงามนั้นโบกลาในกระจกรถภาพนั้นค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา... โลกแห่งความเหงาเข้าครอบงำข้าพเจ้าเสียแล้ว
	ไม่ถึงสิบวันจดหมายของเธอก็ส่งมาถึงมือ  ข้าพเจ้าดีใจรีบเปิดซองด้วยมือที่สั่นระริก เธอบอกว่าปีหนึ่งกลับมาเยี่ยมบ้านได้เฉพาะในช่วงปีใหม่   เธอส่งรูปมาให้ดูต่างหน้า และเล่าถึงหน้าที่การงานของเธอที่โรงงานนั้น โรงงานอันเป็นธุรกิจของชาวญี่ปุ่น สิ่งสำคัญที่ข้าพเจ้าอดดีใจไม่ได้อีก นั่นคือเบอร์โทรศัพท์ที่เธอให้มา อ่านจบข้าพเจ้าหยิบรูปเธอขึ้นมาจุมพิต 
	ข้าพเจ้าไม่รีรอที่จะตอบจดหมาย และโทรศัพท์ทางไกลไปหาเธอ แม้ว่าค่าโทรจะหลายร้อยบาทก็ตามที  จากนั้นมาสัปดาห์ละครั้งที่ข้าพเจ้าโทรไป    หลายต่อหลายสัปดาห์ และนานหลายต่อหลายเดือน  จนข้าพเจ้ากล้าพูดกับตัวเองว่ารักเธอเข้าเต็มเปาเสียแล้ว
	ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง ข้าพเจ้ามุ่งหน้าไปหาเธอที่บ้านอย่างไม่ลังเลใจ ใช่...มันเป็นวันที่  1 มกราคม 2540 ในวันนั้น ความหวังตั้งใจว่าจะชวนเธอไปทานข้าว แล้วหาโอกาสเหมาะๆ บอกรักเธอ ขอเธอแต่งงาน  เพราะข้าพเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะมีครอบครัวกับเขาเสียที  ไม่ขอบวชให้แม่แล้ว
	ข้าพเจ้าชะลอรถช้าๆ หน้าบ้านเธอ  หัวใจเต้นแรงอย่างประหม่า  เมื่อรถจอดสนิทไม่ลืมที่จะหยิบเอาดอกไม้ช่อใหญ่ที่ซื้อมา พลางขยับเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้เข้ารูปอย่างมั่นใจ
	สวัสดีค่ะพี่ยุทธ... เธอออกจากบ้านมาต้อนรับ
	สวัสดีครับน้องพิม ผมยื่นดอกไม้ให้ เธอรับเอาพลางกล่าวขอบคุณ  สักครู่ชายตัวสูงขาว หน้าตาตี๋เดินตามเธอออกมา เธอหันไปพูดกับชายคนนั้นด้วยภาษาที่ข้าพเจ้าฟังไม่รู้เรื่อง

	พี่ยุทธคะนี่คุณยาซากิ คู่หมั้นพิมค่ะ เราจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ แล้วไปอยู่ที่ญี่ปุ่น  เดี๋ยวการ์ดเชิญตามไปนะคะ
	ราวฟ้าผ่าลงกลางใจจนหักสะบั้น  ข้าพเจ้าตัดสินใจไปจากที่นั่น โดยอ้างว่าลูกน้อง ว. มาแจ้งว่ามีราชการด่วน น้ำตาของลูกผู้ชายอกสามศอก ชายผู้ได้ชื่อว่าฮีโร่อย่างข้าพเจ้ามันไม่เคยไหลออกมาง่ายๆ   แต่...ครานี้มันเอ่อซึมที่เบ้าตาได้อย่างไร ก้อนบางอย่างมากระจุกที่ลำคอ  หลังมือถูกยกขึ้นมาเช็ดที่ดวงตาขณะรถเคลื่อนออกไปอย่างไร้ที่หมายไปชั่วขณะ พลางนึกสมน้ำหน้าตัวเองที่แอบรักเธอข้างเดียว...
	อ้าว...ลูกกลับเร็วจังวันนี้  ไหนบอกว่าไปหาเพื่อนกลับค่ำๆ ล่ะ แม่ทักขณะข้าพเจ้าเดินลงจากรถ
	แม่ครับ...ผมจะบวชให้แม่เร็วๆ นี้  เตรียมงานไว้เลย พูดจบข้าพเจ้าเดินเข้าห้องอย่างซึมเศร้า ได้ยินแต่เสียงแม่ที่พูดด้วยความปลาบปลื้มมากระทบหู

	ในที่สุดเวลาที่แม่รอคอยก็มาถึง แม่ดีที่สุดในโลกเลยลูก...



					@@@@@@@@@@@@@@@@				
7 พฤศจิกายน 2549 15:46 น.

เพื่อน

ป.ยุทธ

ปืนออโตเมติก  9 มม. ที่อยู่ในมือของเขาถูกกระชับทับด้วยมืออีกข้าง  มันถูกยกแนบข้างหูอย่างช้าๆ   ก่อนเขาจะนั่งเข่าข้างซ้ายคลุกลงกับพื้นดินที่ชื้นแฉะ  สายตากวาดมองไปมารอบๆ  อย่างระแวดระวัง และจ้องมองบ้านหลังเล็กข้างหุบเขาข้างหน้า  
	เอาไงดีหมวด  คนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้กระซิบถาม
	จ่าบอกลูกน้องโอบล้อมไว้ทั้งสองด้านรอเวลาให้สัญญาณ เราจะจับเป็น  เขาสั่งการ
	แต่ว่าท่านรองสั่งจับตายนี่ครับ  คนที่ถูกเรียกจ่าแย้งขึ้น
	จ่าเชื่อผมเถอะ ผมจะชี้แจงกับท่านรองเอง  
	หากเขาต่อสู้ล่ะ จ่าตำรวจผู้มีอายุมากกว่ายังสงสัยและไม่ค่อยจะเห็นด้วย
	เอาเถอะ ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็สุดแล้วแต่-แต่จงจำเอาไว้ว่าเราจะจับเป็น  เขาสั่งโดยที่ไม่ยอมฟังคำทัดทาน
	จ่าตำรวจนำกำลังค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างแผ่วเบาตามคำสั่ง  ท่ามกลางความมืดแห่งราตรีจะมีก็แต่เพียงไฟฉายดวงจิ๋วส่องนำทางพอให้มองเห็นเวลาก้าวย่าง  บางครั้งพวกเขาต้องหมอบราบกับพื้นเมื่อสายฟ้าแลบแปลบปลาบมาเป็นช่วงๆ  ไม่ช้าก็มีเสียงฟ้าร้องครืนๆ ตามมาเป็นระยะ
	ฝนเริ่มลงเม็ดพรำๆ   เขากระซับเสื้อแจ็กเก็ต และขยับหมวกให้แน่นเพื่อคลายหนาว  

	 บ่ายที่ผ่านมาผู้บังคับบัญชาเรียกเขาไปประชุมลับ 
	สายเรารายงานว่าเสือมืดกลับมาบ้าน หมวดนำกำลังเข้าจับกุม ผมอยากให้จับตาย เพราะประวัติมันร้ายกาจมาก  อั๊วไม่อยากให้โอกาสมันต่อสู้ในชั้นศาลเดี๋ยวหลุดออกมาสร้างความเดือดร้อนอีก 
	แต่ถ้าเขายอมโดยไม่ต่อสู้ล่ะครับท่าน  
	ก็สร้างภาพเลยสิ  โน่นไปถามจ่าโน่นเขามีวิธี  
	ครับ  เขารับปากอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงมากนัก
	เขารู้ดีว่าเสือมืดเป็นใคร 
+++++++++++++++++++++++++
	
	แสงแดดอุ่นๆ ท่ามกลางหมอกจางๆ  เขากับมืดเดินกึ่งวิ่งไปตามท้องทุ่งดอกกระเจียวที่ออกดอกสีม่วงบานสะพรั่งมุ่งหน้าสู่โรงเรียน 
	ไอ้ฤทธิ์  ตามข้าให้ทันสิวะ มืดท้าทายก่อนวิ่งนำหน้า  เขาขยับเท้าวิ่งไล่กระชั้นชิด 
	ถ้าตามทันข้าเตะเอ็งนะเว้ยไอ้มืด
	ได้เลยเพื่อน ฮ่าๆๆ   เมื่อวิ่งตามทัน ทั้งสองก็กระโดดเตะหยอกล้อกันสนุกสนาน
	เฮ้ยๆ   ทำอะไรกันรีบไปโรงเรียนเร็วเข้าเดี๋ยวไปไม่ทันเข้าแถว เสียงนั้นตวาดขณะขี่จักรยาน ตามหลัง
	ครับคุณครู ทั้งสองพูดเป็นเสียงเดียวกันก่อนวิ่งหายเข้าไปในโรงเรียน

	จบจากระดับประถมทั้งสองก้าวสู่โรงเรียนมัธยมในตัวอำเภอ แต่ละวันจะห้อยโหนรถสองแถวที่บรรทุกผู้โดยสารอัดแน่นเต็มคันรถ 
	จบมอหกแล้วเอ็งคิดจะทำไงต่อวะฤทธิ์   มืดถามเขา
	ข้าว่าจะสอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจว่ะ เพราะข้าอยากเป็นตำรวจ และจะเป็นตำรวจที่ดีของประชาชน  ดวงตาของเขาแน่วแน่
	เออวะ...ข้าเอาด้วยคนไปไหนไปกัน  มืดตอบพลางหัวเราะเห็นเป็นเรื่องขัน

	วันนั้นเขากับมืดไปดูประกาศผลการสอบ  ทั้งสองดีใจที่จบการศึกษา ชั้น ม. 6  จึงถือโอกาสไปเดินเที่ยวตลาดในตัวอำเภอ  ขณะเดินผ่านร้านเหล้า เสียงเพลงจากตู้เพลงดังอึกทึก คึกโครม มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังดิ้นกันสุดมัน  ด้วยความไม่ระมัดระวัง  เขาเดินไปสะดุดเก้าอี้จนเซไปชนกลุ่มวัยรุ่นนั้นเข้า  
	ขอโทษครับพี่  เขากล่าวอย่างน้อมน้อม
	ไอ้น้องมึงเดือดร้อนแน่ ชายคนพูดปล่อยฝ่ามือไปที่ใบหน้าเขา-เขาเอี้ยวตัวหลบจนฝ่ามือนั้นวืดไป
	เฮ้ย...มันสู้  คนที่ตบร้องบอกเพื่อนๆ ที่กำลังดิ้นไปตามจังหวะเสียงเพลงจนต้องหยุดชะงักหันไปมอง และแล้วทั้งหมดพร้อมใจกันเดินปรี่เข้าใส่เขา
	โทษครับพี่โทษครับ   ผมเปล่าสู้นะครับ 	 เขายกมือทั้งสองขึ้นห้ามพลางถอย  แล้วมองหามืดที่กำลังซื้อของฝั่งถนนตรงกันข้าม  
	เขาดึงเอาเก้าอี้ของร้านมาขวางทางพวกมันไว้  ก่อนตัดสินใจวิ่งไปหามืด แล้วดึงแขนมืดออกจากร้านค้า วิ่งหนีไปทางซอย 
	เรื่องอะไรวะฤทธิ์  
	มีคนไล่ทำร้ายเรา   เขาตอบอย่างหวาดระแวง และกระหืดกระหอบ
	สักครู่เสียงมอเตอร์ไซค์ไล่ตามหลังมา   เขาหันไปมองขณะวิ่ง  เห็นมีมอเตอร์ไซค์สองคัน 
	เฮ้ยไอ้มืดอย่า...รีบหนีตามมาสิวะ  เขาร้องตะโกนเมื่อเห็นมืดคว้าไม้ข้างทางแล้วยืนรอประจันหน้า 
	เอ็งหนีไปก่อนข้าไอ้ฤทธิ์  
	ไม่...เพื่อนต้องไม่ทิ้งเพื่อน  เขาตอบพลางขยับจะเข้าไปช่วยเป็นจังหวะเดียวกันที่มืดหวดไม้ไปที่คนขับมอเตอร์ไซค์คันแรกจนรถเสียหลักพุ่งชนกำแพงจนคนขับกับคนซ้อนแน่นิ่ง 
	คันที่สองตามมาเห็นเพื่อนเป็นเช่นนั้น  มันหยุดรถ  คนที่ขับกระชากดาบสปาต้าออกมาจากตัวรถ อีกคนถือท่อนไม้ เดินเข้ามาหามืด - มืดยืนถือท่อนไม้รอรับการจู่โจม  อย่างไม่เกรงกลัวหรือคิดหนี 
	หนีเถอะมืด...หนีเถอะ  เขาร้องบอกด้วยหัวใจระทึกเต้น แต่เหมือนมืดไม่ได้ยินยังคงยืนนิ่งคล้ายนักดาบซามูไรทำสมาธิก่อนเข้าโรมรันข้าศึก
	เขายอมรับว่ากลัวและใจไม่ห้าวหาญพอเช่นมืด  เขาได้แต่แปลกใจว่าทำไมมืดถึงได้ใจเด็ดเดี่ยวนัก  อันที่จริงมืดก็แค่เพียงนักมวยสมัครเล่นของโรงเรียน  และเป็นผู้รักษาประตูในทีมฟุตบอลเท่านั้น
	คนถือไม้วิ่งเข้าใส่แล้วหวดไม้หมายที่หัวของมืดเต็มแรง มืดหลบอย่างฉับพลัน ในเสี้ยววินาทีนั้นมืดกระโดดลอยตัวพาดท่อนไม้ในมือไปที่ท้ายทอยของมันจนร้องโอยล้มแน่นิ่ง  ดูราวกับว่ามืดลอยตัวปัดลูกฟุตบอลป้องกันการยิงประตูในสนามยังไงยังงั้น  
	คนถือดาบที่เหลือไล่ฟันมืดอย่างโกรธแค้น  มืดกระโดดหลบไปมา  จังหวะนั้นเขาตัดสินใจคว้าไม้ไผ่ราวตากผ้ายาววาเศษ แกว่งเข้าไปหาแล้วฟาดไปที่มัน-มันเบนความสนใจมาที่เขา พร้อมยกดาบรับจนไม้นั้นขาดกระเด็นด้วยคมดาบ    
	และแล้ว...เขาถูกมันฟันเข้าใส่  เขาหลบพลางถอยหลังอย่างตกใจ  พลัน...เขาเกิดสะดุดเท้าตัวเองล้มลง  เสี้ยววินาทีนั้นมันค่อยเงื้อดาบขึ้นสุดแขนหมายฟันเขา  โอ...พระเจ้าช่วยเขาคิดว่าคงตายแน่แท้   แต่แล้วมืดกระโดดถีบที่กลางหลังของมันสุดแรงจนกระเด็นข้ามตัวเขาไป กระแทกกำแพงจนมันร้องสุดเสียง  เขาหันไปมอง  โอ...ให้ทุกแก่ท่านทุกนั้นถึงตัว  มันโดนคมดาบของตัวเองฝังจมไปที่หน้าผากเลือดกระฉูดออกมาเป็นระยะก่อนล้มลง
	เขาลุกขึ้นยืนอย่างจังงัง  เป็นจังหวะเดียวกับเสียงหวอรถตำรวจดังใกล้เข้ามา
	ไอ้มืดหนีเร็ว  เขาร้องบอกพร้อมขยับเท้าวิ่ง 
	เขาเข้าไปหลบที่ซอกตึกร้าง เวลานี้ใจของเขาเต้นระทึก  เนิ่นนาน- นานจนมืดค่ำ  เขาคิดว่ามืดคงเอาตัวรอดกลับไปแล้ว  เขาจึงออกจากที่ซ่อนกลับบ้านเช่นกัน
	ลูกไปไหนมา รู้ไหมว่าไอ้มืดมันถูกตำรวจจับ  มันฆ่าลูกชายกำนัน  เขาสะดุ้งตกใจกับคำบอกเล่าของแม่
	ยายมันร้องไห้เสียใจจนเป็นลม  ดีนะที่ฤทธิ์ไม่ได้ไปกับมันไม่งั้นแย่  สิ้นเสียงแม่เขายืนนิ่งคล้ายรูปปั้น

	มืดถูกศาลตัดสินจำคุกไปยี่สิบห้าปี  
	ส่วนเขาสอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจได้   ขณะรับราชการตำรวจเขาเรียนปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์ไปด้วย  
	สี่ปีต่อมาเขาจบการศึกษา และสอบเข้าเป็นนายตำรวจติดยศร้อยตำรวจตรี  
	เขายอมรับว่าไม่มีเวลาไปเยี่ยมมืดที่เรือนจำเลย  อีกอย่างคงเป็นเรื่องไม่เหมาะนักกับอาชีพตำรวจอย่างเขาจะไปเยี่ยมนักโทษเช่นนั้น
	ปีที่แล้วเขาจึงย้ายกลับมารับราชการที่สถานีตำรวจภูมิลำเนา  เขาจึงรู้ข่าวว่ามืดแหกคุกออกมาแล้ว มืดกลายเป็นโจรปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ในหลายจังหวัด  เวลานี้ทางการต้องการตัวเสือมืดโดยตั้งค่าหัวไว้ ที่สามแสนบาทไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย  
++++++++++++++++++++++

	ปืนในมือของเขายังกระชับไว้แน่น  
	เขาตัดสินใจเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ใกล้บ้านเข้าไปทุกขณะ ทุกขณะ แต่แล้วเขาเผลอไปเหยียบกิ่งไม้แห้งเข้า
	ใครอยู่ข้างนอกไม่บอกยิงนะเว้ย  เสียงจากคนในบ้านร้องออกมา
	มืด   ข้าไอ้ฤทธิ์เพื่อนเอ็งไง  ข้าว่าเอ็งมอบตัวเสียเถอะ 
	อ๋อ  ไอ้ฤทธิ์ไอ้เพื่อนทรยศ   ไม่มีทางหรอกว่าข้าจะมอบตัว  เสียงจากข้างใน
	ถ้าเอ็งจะพูดถึงอดีตล่ะก็  ข้าขอโทษ แต่วันนี้ข้าขอให้เอ็งมอบตัวกับทางการเสียเถอะ โทษหนักจะได้เป็นเบา  อย่าคิดหนีเลยไปไม่รอดหรอก  เวลานี้ตำรวจล้อมไว้หมดแล้ว 
	หึหึ   อย่ากล่อมเสียให้ยาก ข้ารู้ดี    ข้าติดคุกหลายปี  ไม่มีวันที่ข้าจะกลับเข้าไปอีก  ส่วนแกล่ะก็ถ้ารักตัวกลัวตาย  หนีกลับไปดีกว่า  หนีเอาชีวิตรอดเหมือนครั้งก่อน 
	เอ็งเข้าใจข้าผิดแล้วมืด  เขาพูดยังไม่จบดีก็มีเงาสลัวคนสาม-สี่คนพุ่งออกมาทางหน้าต่างพร้อมเสียงปืนดังขึ้นสาม-สี่นัดเพื่อเป็นการเบิกทาง
	ตำรวจทุกนายหลบเข้าที่กำบังพร้อมสาดกระสุนออกไป คนละนัดสองนัด เวลานี้ไม่มีใครคิดจะจับเป็นเสือมืดเสียแล้ว   นอกเสียจากเขาคนเดียว
	  เขาวิ่งขึ้นไปบนบ้านแล้วเปิดประตูเข้าไปให้ห้องอย่างรวดเร็ว ปืนในมือถูกเล็งไปข้างหน้าพลางส่ายไปมาพร้อมกับสายตาอย่างระมัดระวัง  และแล้วสายตาของเขาพร้อมปืนก็เล็งไปที่ร่างของหญิงชราที่นอนอยู่มุมห้อง   ร่างนั้นสะดุ้งพลางโงหัวขึ้นมาอย่างยากเย็น
	ฤ  ฤทธิ์รึ เสียงแหบแห้งพร้อมไอตามมาทุกระยะ
	ครับยาย เขาลดปืนลงอย่างรวดเร็ว
	ยายไม่สบายเหรอครับ  เดี๋ยวสายๆ ผมจะพาหมอมาดูอาการให้  ผมขอตัวก่อน เขาออกจากห้องโดยไม่ฟังเสียงที่แหบแห้งร้องบอก
	ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันนะฤทธิ์ 
   
	แสงทองจับขอบฟ้าเวลานี้ฝนหยุดตกไปแล้ว ตำรวจเคลื่อนตัวแบบก้มต่ำอย่างระมัดระวัง  
	จ่ากับลูกน้องตามไปทางนั้น ส่วนผมจะไปดักหน้าทางนี้ ระวังตัวด้วย 
	ครับหมวด
	ความมืดจางหายไปแล้ว  ปืนในมือเขายังกระชับไว้แน่น พร้อมก้าวย่างไปตามเชิงเขาที่มีป่าไม้ใหญ่น้อยประปราย
	ฉับพลัน...
	หยุด...ไอ้มืดมอบตัวเสีย  เขาตะโกนพร้อมยกปืนขึ้นเล็งไปที่ชายกลุ่มนั้น
	พวกเอ็งหนีไปก่อน  ข้าจะจัดการกับตำรวจคนนี้เอง  มืดสั่งลูกน้อง  แล้วเล็งปืนพร้อมเดินมาที่เขา โดยไม่สนใจลูกน้องที่กำลังหนี เข้าไปในป่าทึบ
	
	ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเล็งปืนในมือไปที่กันและกัน
	ข้ารู้ว่าเอ็งมาเยี่ยมยายที่ป่วย เขาค่อยๆ ลดปืนลง 
	แกก็เลยตามมาจับข้าล่ะสิ มืดพูดจบลดปืนลงตาม
	เอ็งมอบตัวเสียเถอะวะเพื่อน ไม่ต้องห่วงยายหรอกข้าจะดูแลพร้อมหาหมอมารักษา
	ถ้าข้ามอบตัวแล้วแกจะได้มีผลงานใช่ไหมล่ะ จะได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งล่ะสิท่า มืดประชดประชัน
	ทำไมเอ็งต้องเป็นโจรด้วยวะ  ปล้นเขากินมันไม่ใช่นิสัยของลูกผู้ชายอย่างเอ็งเลยนี่หว่า
	ฮ่าๆๆ  มืดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง  
	ถึงข้าปล้นข้าก็ปล้นพวกทำนาบนหลังคน พวกคดโกงเอาเปรียบชาวบ้านตาดำๆ แม่งร่ำรวยจากการโกงราคาข้าว พืชไร่ จำนองที่นาเอาดอกเบี้ยสูงๆ แล้วยึดเอา   ส่วนอีกพวกก็คอรัปชั่น คดโกงฉ้อราษฎร์บังหลวง ร่ำรวยอยู่ดีกินดี ชาวบ้านล่ะนับวันจนลงจนลง ถ้าอาศัยทางการอย่างพวกแกนะรึ  หึหึ  เมื่อไหร่จะแก้ปัญหาได้ มันต้องพวกข้าถึงจัดการกับพวกมันได้  พวกชั่วช้าสามานย์อย่างนั้นต้องได้รับบทเรียนจากพวกข้าอย่างสาสม 
	แต่มันผิดกฎหมายบ้านเมือง  เขาอธิบาย
	ข้ารู้แต่จะทำยังไงได้   เพราะกฎหมายก็อยู่ในมือพวกมัน
	เอ็งวางปืนแล้วมอบตัวกับข้า-ข้ารับรองความปลอดภัย โทษหนักจะได้เบาลง
	มืดยืนนิ่ง ครุ่นคิด สายตาจ้องมองมาที่เขาเขม็ง 
 และแล้ว... ฉับพลัน!! นั้นเอง มืดยกปืนขึ้นเล็งมาทางเขาพร้อมเหนี่ยวไกอย่างรวดเร็ว จนเสียงนั้นดังก้องสะท้อนไปทั่วผืนป่านกกาแตกตื่น   ในเสี้ยววินาทีนั้น เขาระวังตัวอยู่แล้ว ด้วยสัญชาตญาณการป้องกันตัว เขาจึงยิงสวนออกไป           
 
	เขาคงยืนถือปืนนิ่งในท่าเล็ง ส่วนร่างของมืดทรุดฮวบลงพื้น  เลือดสดๆ ทะลักออกมา  เขารู้ว่ามืดยิงเขาก่อน แต่เมื่อมองหาจุดที่ถูกยิงกลับหาไม่เจอ หรือว่ามืดยิงไม่แม่นพอ  จึงไม่โดนเขา  แต่ก็ไม่น่าจะใช่เพราะอยู่ไม่ห่างกันนัก    เขาจึงมองไปทางซ้าย-ทางขวา และด้านหลัง   เท่านั้นเองเขาต้องสะดุ้งตกใจรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 
งูจงอางตัวใหญ่นอนจมกองเลือด พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาก็กระโดดเข้าดึงมืดขึ้นมาประคองในท่านั่งร่ำไห้
	ข้าขอโทษฮือๆ ข้านึกว่าเอ็งจะยิงข้า  ทำไม  ทำไมเอ็งไม่ร้องบอกข้า  ไอ้มืดเพื่อนรัก
	ข...ข้า..ไม่โกรธแกหรอก ข้าระ  รู้ว่าสมควรตาย  ข้าตะ ตั้งใจจะให้แกมีผลงาน  ข้าอยู่ไปไร้ประโยชน์ ข...ข้าฝากยายด้วย  พูดจบมืดกระตุกสอง-สามทีก่อนแน่นิ่ง
	ไม๊...ไม่เอ็งต้องไม่ตายข้าจะพาเอ็งไปหาหมอ
	จ่าตำรวจกับลูกน้องมาถึงได้แต่ยืนมองอย่างงงงัน เมื่อเห็นผู้บังคับบัญชาหนุ่ม กอดร่างไร้วิญญาณของจอมโจรร้ายที่บ้านเมืองต้องการตัวร่ำไห้ อย่างอาลัยอาวรณ์

	
@@@@@@@@@@@@@@@@@				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟป.ยุทธ
Lovings  ป.ยุทธ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟป.ยุทธ
Lovings  ป.ยุทธ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟป.ยุทธ
Lovings  ป.ยุทธ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงป.ยุทธ