26 กุมภาพันธ์ 2547 03:30 น.

The Thaksin Effect วันเวลา"ที่ดี"กลับมาแล้ว ?

ปีกฟ้า

ส่วนตลาดหุ้นก็เติบโตถึง  67 เปอร์เซ็นต์ 
มูลค่าการซื้อขายต่อวัน 6 หมื่นล้านบาท  มากกว่ายุคทองก่อนปี 2540 และภาวะหุ้นก็จะถูก "เฆี่ยน" 

ให้วิ่งเป็นกระทิงดุไปอย่างนี้จนกว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเสร็จสิ้น 
และหากในปีหน้าเศรษฐกิจโตถึง 8 เปอร์เซ็นต์ 
ก็เชื่อว่าการเลือกตั้งในต้นปี 2548   
จะทำให้พรรคไทยรักไทยได้รับคะแนนถล่มทลายอย่างไม่ต้องสงสัย 

ความสำเร็จของนโยบายเศรษฐกิจที่ถูกขนานนามว่า "ทักษิโณมิกส์" 
นั้นได้รับการกล่าวขวัญถึงมาก 

"ทักษิโณมิกส์"  ก็คือนโยบายเศรษฐกิจแบบทักษิณ 
หรือนโยบายประชานิยม อันได้แก่ 
การกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า 
การกระตุ้นการบริโภคภายในโดยรัฐอัดฉีดงบประมาณเข้าไป 
ผ่านโครงการต่างๆ ที่เป็นการ "ปล่อยสินเชื่อ" แก่ระดับรากหญ้า 
ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน ธนาคารคนจน การสร้างโครงการเอื้ออาทรต่างๆ 
ขึ้นมาเพื่อให้เกิดการซื้อและใช้จ่ายสินค้า 

ส่วนคนชั้นกลางก็ได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากรัฐด้วยการ 
ให้มีบัตรเครดิตกันได้ง่ายๆ เพื่อให้มีเงินไปจับจ่ายใช้สอยง่ายๆ 
สร้างแรงซื้อในระบบ 

เมื่อเร็วๆ นี้นิตยสารไทม์ ก็ได้ให้ความสนใจ 
เขียนรายงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย 
ใช้ชื่อเรื่องว่า "The  Thaksin Effect" ถ้าแปลง่ายๆ ตรงตัว 
ก็คือ "ผลกระทบจากทักษิณ"  แล้วก็ตามด้วยหัวรองลงไปว่า "ทักษิณ" 
กำลังปฏิวัติเศรษฐกิจหรือกำลังสร้างฟองสบู่รอบใหม่ 

ในรายงานนี้ผู้เขียน ไม่ได้สรุปว่า "ทักษิโณมิกส์" ดีหรือไม่ดี 
หากแต่นำเสนอข้อมูลทั้งสองด้าน 
ทั้งด้านที่เห็นด้วยและด้านที่แสดงความห่วงใย 

ฉากแรกของรายงานนี้ ผู้เขียนเริ่มจากการสัมภาษณ์ "วัชรี" 
ที่ปรึกษาด้านไอที วัย 28 ปี  เธอผู้นี้กำลังนั่งละเลียดกาแฟอยู่ในร้าน 
"สตาร์บัคส์" ย่านหลังสวน ย่านหรูหราของคนกรุงเทพฯ แอนดรูว์ เพอร์ริน 
ผู้เขียนรายงานชิ้นนี้บอกว่า วัชรีกำลังเล่าให้เขาฟังอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับชีวิตใหม่ของเธอ 
เธอบอกเขาว่า 


เดือนที่แล้วเพิ่งซื้อรถคันใหม่และกำลังจะซื้ออพาร์ตเมนต์หลังใหม่ในย่านหลังสวน 
นี่แหละ และอีกไม่นานเธอกำลังจะก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านไอทีเป็นของตนเอง ดอกเบี้ยต่ำๆ ถูกๆที่ธนาคารของรัฐถูกสั่งให้ปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนอย่างง่ายๆ 
ทำให้วัชรีสามารถซื้อรถใหม่  และกำลังจะซื้ออพาร์ตเมนต์ใหม่ได้ 
ในขณะที่เมื่อ 18 เดือนที่แล้ว เธอแทบไม่มีปัญญาแม้แต่จะซื้อกาแฟของสตาร์บัคส์สักแก้ว 

"ในช่วงวิกฤตปี 2540 ไม่คิดว่าชีวิตตัวเองจะฟื้นกลับมาได้อีก 
แต่ขณะนี้วันเวลาที่ดีๆ กลับมาแล้ว ต้องขอบคุณนายกฯ ทักษิณ" 
วัชรีว่า 

สิ่งที่ "วัชรี" บรรยายว่า ชีวิตของเธอดีขึ้น ก็คือ 

1. เธอยื่นขอเงินกู้สินเชื่อส่วนบุคคลจากธนาคาร 
เพื่อมาชำระหนี้บัตรเครดิต 
2.  จากนั้นเธอก็ใช้บัตรเครดิตอีกใบไปซื้อรถยนต์ 
3.  เธอกำลังยื่นขอเงินกู้เพื่อซื้ออพาร์ตเมนต์... 

แน่นอน เราๆ  ท่านๆ คนชั้นกลางหรือไม่กลาง 
ขณะนี้การมีบัตรเครดิตในยุคนี้ง่ายดายมาก 
หลายคนเปิดกระเป๋าสตางค์ดูก็จะพบว่าตัวเองมีบัตรเครดิตถึง 4 ใบ 
บางใบก็แทบไม่ได้ใช้เลย แถมเวลาจะคืน ทางธนาคารก็ไม่ยอมให้คืน 
บอกว่าถือไว้เถอะ จะยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้ 
ลูกค้าบางรายก็เหนื่อยที่จะตื้อคืนบัตรก็เลยยอมให้บัตรเครดิต 4 ใบ 
เป็นภาระอยู่ในกระเป๋า 

สิ่งที่วัชรีทำ   
คือกู้สินเชื่อส่วนบุคคลมาชำระหนี้บัตรเครดิตใบหนึ่ง 
และใช้บัตรเครดิตอีกใบไปซื้อรถยนต์ 
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง 
และก็ลามไปถึงรากหญ้าด้วย 


นั่นก็คือชาวบ้านไม่น้อยนำเงินกู้ที่ได้จากกองทุนหมู่บ้านไปชำระหนี้นอกระบบที่ 
ดอกเบี้ยสูง ที่เหลือก็นำไปใช้จ่ายเพื่อบริโภค เช่น ซื้อมือถือ 
มิได้นำไปเพื่อเป็นทุนสร้างงานตั้งตัว 

สิ่งนี้ปรากฏอยู่ในรายงานของสภาพัฒน์อยู่แล้ว ไปหาอ่านกันได้ 
วัชรีก็เป็นอย่างเช่นคนไทยส่วนใหญ่ คือเห็นว่าขณะนี้ "เวลาดีๆ 
และเคลิบเคลิ้มหรรษา" ได้กลับมาแล้ว และก็ "กระโจน" 
ใส่มันอย่างไม่มียับยั้งชั่งใจ วัชรีไม่ได้คิดหรอกว่า 
เงินกู้ซื้อบ้านที่ดอกเบี้ยต่ำในขณะนี้ 
มันจะไม่ต่ำอยู่อย่างนั้น 
หากแต่จะขยับขึ้นได้ในอนาคต 

นั่นหมายความว่าภาระการผ่อนส่งต่องวดจะสูงขึ้นเกินความสามารถของเธอ 
เช่นเดียวกับราคาอพาร์ตเมนต์ที่เธอซ ื้อไว้ก็อาจจะตกต่ำลงได้ 
แต่ก็ช่างเถอะ "คนไทย" ประเภท "วัชรี" ไม่แคร์หรอก จะไปคิดอะไรมาก   
คิดอะไรยาวๆ ไม่ใช่วิสัยคนไทยส่วนใหญ่อยู่แล้ว และก็อีกนั่นล่ะ 

คนไทยประเภทวัชรีก็คงไม่รู้ว่านักลงทุนอสังหาฯที่เป็นชาวต่างชาติ 
ที่เคยเข้ามากว้านซื้ออสังหาฯ ราคาถูกๆ ช่วงปี 2540 
ในขณะนี้กำลังปล่อยสินค้าในมือออกมาขายเพราะราคามันถึงจุดสูงสุดแล้ว 
"มันเป็นตลาดของการเก็งกำไร" นักลงทุนอสังหาฯ ต่างชาติรายนี้บอก 

"คนไทย" ประเภท "วัชรี" ไม่ได้คิดและไม่ยอมคิดหรอกว่า 
หนี้ที่เธอกู้ยืมจากแบงก์รัฐมานั้น หากวันใดที่เศรษฐกิจถดถอยลง 
เธอได้รับเงินเดือนลดลงหรือตกงานและไม่มีเงินจ่ายหนี้ 
มันก็หมายถึงว่าแบงก์จะเกิดหนี้เสียอันมหาศาล และในที่สุด 
"รัฐบาล" ก็จะนำเอาเงินภาษีของประชาชนทุกคนมา "อุ้ม" แบงก์แห่งนั้น 
อย่างที่เกิดขึ้นให้เห็นแล้วตั้งแต่ปี 2540 

ซึ่งจนถึงขณะนี้รัฐบาลก็ยังไม่สามารถสะสางปัญหานี้ให้สะเด็ดน้ำได้ 
ที่มันน่าเสียใจคือ ประชาชนคนอื่นๆ ที่ มัธยัสถ์อดออม มีวินัย 
รู้จักรอคอยและอดทนไม่ใช้จ่ายเกินตัว 
เพื่อให้ประเทศชาติมีความยั่งยืน 
ไม่ตกเป็นภาระแก่ลูกหลาน 
กลับพลอยต้องมารับภาระและรับกรรมในสิ่งที่ 
"คนไทยประเภทวัชรี" ก่อขึ้น 

นั่นก็คือเงินภาษีของพวกเขาแทนที่จะได้ไปสร้างประโยชน์ให้กับสังคมส่วนอื่นๆ 
ที่ยังขาดแคลนอยู่มาก ก็กลับต้องถูกลงโทษด้วยการ "จ่ายหนี้" แทน "วัชรี" 
แต่จะมาว่า "วัชรี" ฝ่ายเดียวได้อย่างไร สุดท้ายผู้ต้องถูกตำหนิ 
ก็คือรัฐบาลที่ใช้นโยบาย "ตกเบ็ด" ประชาชนนั่นเอง 

แต่ก็นั่นล่ะ จะมาเอาอะไรกับสังคมไทย   
ซึ่งเป็นสังคมที่อ่านหนังสือ "วันละ 3 บรรทัด"  ซึ่งคงไม่มีประเทศไหนมาทำแชมป์ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว 
สังคมอ่านหนังสือน้อย  ก็คือสังคมที่ "ขี้เกียจคิด" 
ไม่สามารถคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล  สังคมไทยนั้นจริงๆ 
ไม่ใช่สังคมที่ไม่รู้หนังสือ   ไม่ใช่สังคมที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ 
การเป็นสังคม "อ่านหนังสือวันละ 3  บรรทัด" 
จึงไม่เกี่ยวกับอัตราการไม่รู้หนังสือ แต่มันเกียวกับทัศนคติ 
วัฒนธรรมและมุมมองของคน และที่น่าตกใจก็คือ กลุ่มคน "ไม่อ่านหนังสือ" นั้น 
เป็นคนที่ค่อนข้างจะมีการศึกษา เสียด้วย   
สังคมที่ไม่อ่านหนังสือนั้น "เจริญยาก"   
ไม่ว่าประเทศนั้นจะมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจสูงปานใดก็ตาม 
คนไทยมองภาพเศรษฐกิจในขณะนี้ในลักษณะ "จิ๊กซอว์ที่ต่อไม่ครบ" 
และอาจเป็นความตั้งใจทีไม่อยากมอง "ให้ครบ" 
เพราะอยากดูเพียงด้านเดียวหรือซีกเดียวอันเป็นด้านดีของเศรษฐกิจ 
ดังนั้น เมื่อต่อจิ๊กซอว์ไประยะหนึ่ง แล้วเห็นลางๆ 
ว่าภาพนั้นมันสวยเป็นดอกกุหลาบสีบานเย็นครึ่งดอก สดสวยเบ่งบาน 
หยดน้ำค้างพรม ก็หยุดต่อจิ๊กซอว์ไว้แค่นั้น  ไม่ยอมนำอีก 2-3 
ชิ้นที่เหลือมาใส่ให้ครบ 
โดยหารู้ไม่ว่าอีก 2-3 ชิ้นนั้น 
มันมีภาพหนอนเจาะไชกัดกินกลีบกุหลาบแหว่งไปครึ่งดอก 
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ธนาคารแห่งประเทศไทย 
ออกมาแสดงความเป็นห่วงหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ 
กล่าวคือ จาก 6.9 หมื่นบาทต่อครัวเรือนในปี 2544 เพิ่มเป็น 8.2   
หมื่นบาทในปี 2545 และในปี 2546 มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก 

ซึ่งเป็นเพราะมีการบริโภคมากขึ้นเนื่องจากดอกเบี้ยต่ำและสินเชื่อหาง่าย 
รวมทั้งเกิดจากโครงการประชานิยมของรัฐบาล 
ขณะนี้รัฐบาลเกาหลีใต้ ที่ครั้งหนึ่งเคยภาคภูมิใจว่า 
เศรษฐกิจฟื้นเร็วกว่าประเทศอื่นในเอเชียหลังจากพิษต้มยำกุ้ง 
และสามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้ก่อนใคร 
ก็กำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากการที่ประชาชนเป็นหนี้บัตรเครดิต 
ที่ประชาชนใช้จ่ายเกินตัว  โดยมีหนี้ถึง 4.2 ล้านล้านบาท 
และก็ลักษณะเดียวกับไทยคือ 
แต่ละคนในวัยทำงานมีบัตรเครดิตมากถึง 4 ใบ 
อีกข่าวหนึ่งในวันเดียวกันนั้น บอกว่าพอเศรษฐกิจเริ่มฟื้น 
คนไทยก็ "เมาหนัก" และคอสูง ดวดเหล้านอกรวมกันเป็นมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท 
เป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นว่า คนไทยกำลังอยู่ในช่วง "เคลิบเคลิ้มหรรษา" 
และมีความสุขจริงๆ โดยมิพักต้องหยุดคิดว่า "ความหรรษา" 
นี้จะมีปัญหาตามมาหรือไม่ กระแสความนิยม "ประชานิยม"  แรงมากจริงๆ 
"สังคมคนไทยประเภทวัชรี" 
ไม่พร้อมจะยอมรับฟังเสียงทัดทานใดๆ 
พร้อมจะเทเสียงเชียร์รัฐบาลอย่างเต็มกำลัง 
เหมือนที่ครั้งหนึ่งคนอเมริกันเชียร์บุช ให้ถล่มอิรัก 
กว่าจะรู้ตัวนั้นก็พบว่า "ค่าใช้จ่าย"  ที่คนอเมริกันต้องจ่ายเป็นค่า "ปลดปล่อยชาวอิรัก" 
นั้นสูงมากกว่า 1  แสนล้านดอลลาร์แล้ว 
ต่อเมื่อผลปรากฏออกมาอย่างนี้แล้วเท่านั้น  จึงทำให้คนอเมริกัน "ได้คิด" 

หากรัฐบาลจัดการไม่ดี  ไม่ยอมตรวจสอบอาการและแก้ปัญหาแต่เนิ่นๆ 
จะทำให้หนี้ "ประชานิยม"  เป็นมะเร็ง 
ที่จะถูกตรวจพบก็ต่อเมื่ออาการเข้าสู่ขั้นสุดท้ายแล้วเท่านั้น				
25 กุมภาพันธ์ 2547 00:56 น.

เรื่องเล่าจากในวัง

ปีกฟ้า

มีอยู่สองตอนที่เป็นตอนใหม่ ยังไม่เคยส่ง ก็เลยรวมกันส่งทีเดียวเลย
เผื่อใครยังไม่เคยอ่าน อ่านแล้วต้องอมยิ้ม
เพราะในหลวงของเราท่านมีอารมณ์ขันจริงๆ

ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริง
เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก
เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ
และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด
และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด
แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า
ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ
แม่ค้าตอบว่าที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท และที่เสด็จไปเสด็จมา
กิโลละ 80
บาทจ๊ะ
เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
-----------------------------------------------------------
อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง
ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูล
ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน
เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้
จึงมีคำกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า
บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรา มาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า....
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน
ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว.. พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า
มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว
ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย
และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว
เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะ
ไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
------------------------------------------------------------
เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา
มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น
เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาต
นำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่าน มาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ
ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า
ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์
------------------------------------------------------------
เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง
ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน
และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวาย
รายงาน
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า
ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช
ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคม ทูลรายงาน ฯลฯ
เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่่ถือส
า
ว่า " เออ ดี เราชื่อเดียวกัน.."
ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย
เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
-----------------------------------------------------------
มีอยู่ครั้งหนึ่ง
ทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ
แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้
ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า
ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า
ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดีว่า
"เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก
----------------------------------------------------------
เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า
ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว
แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า
ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์
ในหลวงทรงตรัสว่า ขอเดชะ พระหมดแล้ว
----------------------------------------------------------
วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด
ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย
พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท
ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท
แล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง
แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง
แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้
อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ
มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่
กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่
แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น
ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะพระองค์ทรงตรัสว่า
เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ
ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก
------------------------------------------------------------
ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว
พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน
มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา
คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์
ก็กราบบังคมทูลว่า
เอ้อ - ทรง... อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ
พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า
ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง
แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า
หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ
ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า -เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ-
เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป
---------------------------------------------------------------
เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า
นางสนองพระโอษฐ์ ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย
ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอฐก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย
ก้อมีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์
นางสนองพระโอฐก้อ งง ...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า
แบงค์ก้อยังไม่เปิดนี่หว่า
พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ
ก็ที่แบงค์จริงๆนะ
ไม่เชื่อเปิด
กระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ อิ อิ ขนลุกเลย
---------------------------------------
เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า
มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร
อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ
ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว
ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้
ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว
และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ
ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป
พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท
ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง
เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม
---------------------------------------
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
มีพระชนม์มายุยิ่งยืนนานเทอญ
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 46 18:31:20
ส่วนหนึ่งมาจากหนังสือเรื่อง ที่สุดในหัวใจคะ
หน้าปกเล่มสีชมพูๆน่ะคะ
ข้างในมีอะไรน่ารัก ๆ แบบนี้อีกเยอะแยะเลย				
ไม่มีข้อความส่งถึงปีกฟ้า