31 มกราคม 2545 00:00 น.
ปีกฟ้า
ปรัชญาที่ชาวจีนถือว่าเป็นมนตรานำโชคมาสู่ชีวิต
1. จงให้มากกว่าที่ผู้รับต้องการ และทำอย่างหน้าชื่นตาบาน
2. จงพูดกับคนที่ถึงแม้จะอายุน้อยกว่า แต่เขาก็มีความสำคัญเท่ากัน
3. จงอย่าเชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน ใช้ทั้งหมดที่มี และนอนเท่าที่อยากจะนอน
4. เมื่อกล่าวคำว่า ฉันรักเธอ จงหมายความตามนั้นจริง ๆ
5. เมื่อกล่าวคำว่า ขอโทษ จงสบตาเขาด้วย
6. ก่อนจะตัดสินใจแต่งงาน จงหมั้นเสียก่อนอย่างน้อย 6 เดือน
7. จงเชื่อในรักแรกพบ
8. อย่าหัวเราะเยาะความฝันของผู้อื่น คนที่ไม่มีฝันก็เหมือนไม่มีอะไร
9. เมื่อรักจงรักให้ลึกซึ้ง และ ร้อนแรง อาจจะต้องเจ็บปวดแต่นั่นคือหนทางเดียวที่ทำให้ชีวิตถูกเติมเต็ม
10. ในเหตุการณ์ขัดแย้ง โต้อย่างยุติธรรม ไม่มีการตะโกนใส่กัน
11. อย่าตัดสินคนเพียงเพราะญาติๆ ของเขา
12. จงพูดให้ช้า แต่ต้องคิดให้เร็ว
13. ถ้าถูกถามด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบ จงยิ้มแล้วถามกลับว่า จะรู้ไปทำไม
14. จงจำไว้ว่า สองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือความรัก และความสำเร็จ ล้วนต้องมีการเสี่ยง
15. พูดว่า ขอพระคุ้มครอง เมื่อได้ยินใครจาม
16. เมื่อพ่ายแพ้ จงอย่าสูญเสียบทเรียนไปด้วย
17. จงจำ 3 R :- นับถือผู้อื่น นับถือตนเอง รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ
18. จงอย่าให้ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ มาทำลายมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่
19. ทันทีที่รู้ตัวว่าทำผิด ลงมือแก้ไขทันที
20. จงยิ้มเวลารับโทรศัพท์ ผู้ฟังจะเห็นได้จากน้ำเสียงของเรา
21. จงหาโอกาสอยู่กับตัวเองบ้าง
26 มกราคม 2545 08:24 น.
ปีกฟ้า
ตอนที่โจอี้เกิดมา ด้วยความที่ฉันเพิ่งมีเขาเป็นคนแรก
ฉันก็ดูไม่ออกว่ามีลูกชายเท้าพิการ
รู้เหมือนกันว่าดูเท้าเขาบิดๆแปลกๆ
แต่ไม่รู้จริงจังว่าลูกตัวเองเท้าแป
คุณหมอบอกว่าเราไม่ต้องกังวล
เพราะถ้าแกได้รับการรักษาดูแลก็จะเดินได้เป็นปรกติ
แต่อาจวิ่งไม่ถนัดนัก
ช่วงแรกเกิดถึงสามขวบ โจอี้ต้องเทียวเข้ารับการผ่าตัด
ดามเหล็กนวดขา ทำกายภาพบำบัด ออกกำลัง
และฝึกการใช้เท้า พออายุราวแปดขวบ
แกก็เดินได้ปรกติจนดูไม่ออกว่าแกเคยมีปัญหาที่เท้ามาก่อน
ถ้าแกต้องเดินมาแกๆ อย่างเช่นเวลาไปสวนสัตว์หรือสวนสนุก
แกจะบ่นๆว่าเจ็บขา เมื่อยขา เราก็จะพักกันสักครู่
หาเครื่องดื่มหรือไอศกรีมกินกัน คุยเรื่องสัตว์ที่ดูมา
หรือว่าจะไปเล่นอะไรต่อ
เราไม่ได้บอกแกหรอก
ว่าทำไมแกจึงเจ็บขาหรือเมื่อยขาง่ายๆ อย่างนั้น
เราไม่ได้บอกเลยว่าเรารู้แล้ว
รู้ดีว่าอาการพวกนี้จะเกิดขึ้นเนื่องจากเท้าแกผิดปรกติมาแต่กำเนิด
แต่แกเองไม่เคยรู้เลย
ยามที่เด็กๆละแวกบ้านเราวิ่งเล่นกัน
โจอี้นึกสนุกก็จะต้องลงไปเล่นด้วย
เราไม่เคยบอกเลยว่าแกไม่สามารถวิ่งได้เร็วและคลอ่งอย่างเด็กอื่น
ไม่เคยบอกว่าแกไม่เหมือนเพื่อน แกเลยไม่รู้
เมื่อตอนแกขึ้นมัธยม โจอี้เลือกเข้าชมรมวิ่งทางไกล
แกซ้อมวิ่งทุกวัน ดูเหมือนจะต้องซ้อมหนักกว่าเพื่อนๆ
แกอาจจะรูสึกว่าการวิ่งที่เพื่อนๆวิ่งได้ดีตามธรรมชาติ
ออกจะเป็นเรื่องยากสำหรับแกเท่านั้นเอง
เราไม่เคยพูดว่า ไม่ว่าจะซ้อมหนักแค่ไหน
ทั้งชมรมจะมีเพียง 7 คนเท่านั้น
ได้ที่ร่วมทีมลมกรดซึ่งจะมีโอกาสทำคะแนนให้โรงเรียน
เราไม่เคยบอกว่า เขาคงไม่ผ่านรอบคัดเลือกด้วย
ดังนั้นแกจึงไม่คิดเรื่องนี้
โจอี้ยังซ้อมวิ่งต่อไป วิ่งวันละสี่ห้าไมล์ทุกวัน
มีอยู่วันหนึ่งที่ฉันไม่เคยลืม วันนั้นแกเป็นไข้
ตัวร้อนถึง 103 องศา แต่ก็ยังจะซ้อมวิ่งที่โรงเรียน
ฉันไม่สบายใจเลย พอแกไปแล้ว
ฉันเฝ้ากังวลว่าประเดี๋ยวทางโรงเรียนคงจะติดต่อมา
ให้ไปรับแกกลับบ้าน
แต่ก็ไม่มีใครโทรศัทพ์มาตาม
ฉันจึงออกไปดูเส้นทางที่ทางชมรมใช้เป็นเส้นทางซ้อมวิ่งทางไกล
หวังนิดหน่อยว่าหากแกได้เห็นฉัน
แกอาจจะตัดสินใจไม่ซ้อมก็ได้
พอไปถึงกลางทางก็เห็นแกวิ่งอยู่คนเดียว
สองข้างทางเป็นต้นไม้ร่มครึ้ม ฉันจะชะลอรถเคียงแกไป
อดถามไม่ได้ว่าลูกเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่เป็นไรครับ อีกสองไมล์ก็เสร็จแล้วแม่
โจอี้ตาแดงก่ำด้วยพิษไข้ เหงื่อออกท่วมตัว
แต่แกก็ยังสืบเท้าวิ่งต่อไป
เราไม่เคยบอกแกว่า
คนเป็นไข้ขนาดนั้นจะไม่สามารถวิ่งได้ถึง 4 ไมล์
ดังนี้แกจึงไม่เคยคิดเรื่องนี้
อีกสองสัปดาห์ต่อมา
หนึ่งวันก่อนที่จะมีการแข่งขันรอบตัดเชือกของฤดูกาลนั้น
มีการคัดตัวทีมที่ชมรม
ปรากฏว่าโจอี้ติดหนึ่งในเจ็ดของทีมโรงเรียน
และเป็นเด็กชั้นมัธยมหนึ่งคนเดียวในทีม
นอกนั้นเป็นนักวิ่งรุ่นพี่ทั้งหมด
เราไม่เคยบอกแกว่า
อย่าได้หว้งเลยจะติดทีมวิ่งทางไกลของโรงเรียน เราไม่เคยพูดเลย เราไม่เคย
บอกว่าแกจะไม่มีทางทำได้....
แกไม่รู้ และแกจึงทำได้
คนเราทำได้เพราะคิดว่าตัวเองทำได้........
18 มกราคม 2545 18:43 น.
ปีกฟ้า
ดิฉันไม่เชื่อว่ามิตรภาพกับคนแปลกหน้าจะมีอยู่จริง
จนกระทั่งได้พบกับลุงไอติม
ตั้งแต่วันที่ดิฉันเป็นนิสิต นิเทศ จุฬา
ก็ได้รับรู้ว่าจะมีลุงคนนึงเข็มไอติมมาขายหน้าคณะทุกวัน ทีแรกไม่กล้าซื้อ
เพราะไม่มั่นใจในความสะอาด แต่เมื่อเห็นรุ่นพี่อุดหนุ่นกันแทบทุกคน
จึงเริ่มเป็นลูกค้าลองชิมบ้าง รสชาติของไอศกรีมลุงธรรมดา
แต่ที่ไม่ธรรมดาคือลุงไอติมเป็นคนแก่ที่น่ารัก อัธยาศัยดี พูดเพราะคุยสนุก
และอยู่ที่คณะนานมาก
ลุงจึงมีเรื่องของรุ่นพี่ที่จบไปนานแล้วเล่าให้ฟังอย่างสนุกสนาน
พร้อมทั้งรูปคู่ รูปหมู่ ทั้งกับบัณฑิตรุ่นต่าง ศิษย์เก่าที่เป็นดารา
ซึ่งลุงจะเก็บติดรถไว้ดูเพลินๆ
กว่าดิฉันจะรู้ตัวก็กลายเป็นลูกค้าประจำของลุงไปแล้ว วันไหนอากาศเย็น
ไอติมของลุงเหลือเยอะ
ดิฉันก็จะช่วยซื้อเกินราคาไม่ให้ลุงขาดทุนและมีเงินจ่ายไปซื้อไอติมมาขายในวันรุ่งขึ้น
ทุกครั้งลุงจะอวยพรให้ยืดยาว นอกจากดิฉัน
ดูเหมือนทุกคนในคณะก็รับลุงเป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นงานรับน้อง
กิจกรรมงานเลี้ยง จะต้องมีไอติมของลุงร่วมด้วยจนจบงานแล้วกลับบ้านพร้อมกัน
ดิฉันว่าความสุขของลุงไม่ได้มาจากกำไรเล็กๆน้อยๆแต่ได้มาจากการได้มาขายไอติม
ได้พูดคุยกับลูกค้าทุกวันต่างหากรุ่นพี่เล่าให้ฟังว่าลุงตัวคนเดียวไม่มีใคร
พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลุงชื่ออะไร และไม่เคยมีใครอยากรู้เพราะอาจ
ชื่อลุงไอติมเป็น เอกลักษณ์ของแกไปแล้ว
วันนึงพวกเรารู้ข่าวว่าโขมยขึ้นบ้านลุง
ทั้งที่ไม่มีทรัพย์อะไรให้ฉกฉวยมากนักแต่ก็ทำให้ลุงซึมๆไปเพราะ
ได้โขมยที่โกนหนวดที่ลุงรักไป
พวกเราจึงเก็บเงินที่คณะซื้อที่โกนหนวดอย่างดีให้ลุงใหม่
ตอนที่ลุงได้รับลุงพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ลูบคลำและพกไว้ตลอดเวลา
เวลาผ่านไปดิฉัน เรียนอยู่ปี3 และต้องไปออกภาคสนาม1สัปดาห์
เมื่อกลับมารู้สึกว่าผิดปกติที่ไม่เห็นรถของลุงไอติม แต่ยังไม่ได้คิดอะไร
จนรุ่นพี่มาบอกว่า ลุงไอติมเสียแล้ว
รุ่นพี่บอกว่าทางคณะเป็นเจ้าภาพงานศพให้ทำพิธีเผาทุกอย่าง เพราะลุงไม่มีญาติถึงรู้มาว่าสภาพของลุงไม่ดีนัก
แต่ดิฉันก็อดใจหายไม่ได้ ตั้งใจว่าอย่างไรก็ต้องไปงานศพลุงให้ได้
และเมื่อไปถึง วัดดวงแข ดิฉันก็ต้องยืนนิ่งน้ำตาไหล
พูดไม่ออกกับภาพที่เห็น
ผู้คนที่นั่งบ้างยืนบ้าง จนเต็มศาลานั้นเป็นศิษย์เก่า และปัจจุบัน
ของคณะนิเทส
ดิฉันเคยไปงานศพหลายครั้ง
แต่ไม่มีครั้งไหนที่มีความรู้สึกประทับใจอย่างนี้
งานศพที่ไม่มีใครสักคนเป็นญาติกับคนตาย
มีแต่ลูกค้าที่ผูกพันกับรสไมตรีจากไอติมมานานนับสิบปีพวกเราบางคนอธิษฐานว่า
หากชาติหน้ามีจริง ขอให้ลุงมีร้านไอติมเป็นของตัวเอง แต่ดิฉันคิดว่า
ถ้าจะมีอะไรทำให้ลุงดีใจ
ก็คงจะเป็นการที่ลูกค้าของลุงพร้อมใจกันมาส่งลุงเป็นครั้งสุดท้ายนี่แหละ...