24 มีนาคม 2548 00:48 น.
ปากกาเวทมนตร์
หากไม่เคยร้องไห้ให้เธอเห็น
โปรดอย่าคิดว่าเลือดเย็นอย่างเข้มแข็ง
ก็มีบ้างบางวันฉันอ่อนแรง
แต่เสแสร้งไม่บอกหลอกใครใคร....
.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.
ผมทำงานที่นี่ได้ระยะนึง หัวหน้าก็ให้ความไว้วางใจ ปล่อยให้ผมทำงานได้เองโดยไม่ต้องประกบอีกต่อไป ไม่นานนักก็มีเด็กใหม่เข้ามาสองคน จากที่มีคนเคยดูแลผมก็ต้องกลายมาเป็นผู้ดูแลแทน งานชิ้นแรกของทั้งสองคน คือการถอดชิ้นส่วนของเครื่องจักรที่อยู่ชั้นดาดฟ้าของโรงงาน และต้องใช้ความชำนาญพอสมควร ผมก็ต้องนำทั้งคู่ไปเรียนรู้งาน แต่ก่อนที่จะไปผมบอกให้ทั้งคู่เตรียมเครื่องมือที่ต้องใช้งาน โดยให้ลองคิดเอง
ชิ้นส่วนของเครื่องจักรที่เล็กเท่าหยิบมือ ไม่นานนักทั้งคู่ก็เตรียมเครื่องมือเสร็จ ผมตรวจเครื่องมือที่ต้องใช้ นับว่าทั้งคู่ช่วยกันเป็นอย่างดีเพราะไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องไปสักนิดเดียว
เอา รอก สำหรับยกของขนาดสองตันไปด้วย ผมสั่งไปอย่างนั้นเพื่อดูอะไรบางอย่าง
และแล้วความแตกต่างก็เกิดขึ้น คนนึงรีบเดินเข้าไปยกรอกทันที อีกคนเดินเข้ามาถามผมอย่างงงๆ ว่าผมจะเอาไปยกอะไร ผมยิ้มและบอกให้เอารอกไปเก็บ และนำทั้งคู่ไปทำงาน
ระหว่างที่กำลังถอดชิ้นส่วนนั้น ผมทำอย่างเบามือที่สุด เพราะมันบอบบางมากแต่มันไม่ยอมออก ปากผมร้องขอฆ้อนตัวใหญ่ทันที คนนึงรีบเดินไปหยิบฆ้อนตัวยาวใหญ่มาให้
ผมหันไปต่อว่าคนที่ถือฆ้อนมาให้ผมทันที
นี่แสดงว่าไม่ได้ดูเลยใช่มั้ยว่าพี่ทำอะไรอยู่ ไม่เข้าใจเหรอว่าต้องทำอะไรต่อไป ช่วยส่งเครื่องมือที่พี่ต้องการไม่ใช่เอาอันที่พี่แกล้งขอ
อีกคนนึงยังยืนงงกับคำสั่งทั้งๆ ที่ในมือของเขาคือเครื่องมือที่ผมต้องการจริงๆ
คนนึงเชื่อในสิ่งที่เห็นว่าเป็นจริง สามารถจำต้องได้
คนนึงเชื่อในสิ่งที่ซ่อนเร้นในความเป็นจริง ว่าสามารถรับรู้ได้
หลังจากนั้นมาผมทำงานโดยไม่ต้องสั่งอะไรมากมาย มือผมยื่นออกไป เครื่องมือก็มาถึงมือในทันใด จะเรียกว่าภาษากายก็ไม่ใช่ มันคือความเข้าใจที่เหนือกว่านั้น
ตอนนี้ทั้งคู่เป็นคู่หูในการทำงานอย่างดี เราทำงานกันเป็นทีม คนนึงเชื่อฟังคำสั่งเคร่งครัด เป็นสิ่งที่จะดีต่อผู้บังคับบัญชา อีกคนเข้าใจสถานการณ์ เป็นสิ่งที่ดีต่อเหตุการณ์เฉพาะหน้า ในที่สุดผมก็ไม่ต้องตามประกบทั้งคู่อีกแล้ว ผมใช่เวลาน้อยที่สุดในการสอนคนให้ทำงานเป็นเพียงแค่แปดเดือนเท่านั้น หัวหน้าบอกกับผม ทั้งคู่เป็นอัจฉริยะจริงๆ ทำให้ผมพลอยโชคดีไปด้วย
มนุษย์ถูกทำให้เชื่อว่าสิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่มองเห็น ย่อมเป็นจริง แต่มองผ่านสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน
ในปัจจุบันเรามองข้ามสิ่งที่แอบแฝงอย่างงดงาม บางสิ่งเป็นเพียงเรื่องธรรมดาตามธรรมชาติ แต่เราไม่ได้มองถึงตรงนี้
เรามองข้ามนาฬิกาที่สวยหรู ว่าผู้ใส่เป็นคนไฮโซมีระดับ ทั้งๆที่มันแค่บอกเวลา
เรามองข้ามรถที่ดูสะดุดตาว่าเจ้าของคงร่ำรวย หรือจ้องรถที่เก่าพังว่าเจ้าของคงยากจน ทั้งๆ ที่ทันเป็นเพียงพาหนะใช้เดินทาง
เรามองข้ามฉากประทับใจในหนังรักโรแมนติก กลับนึกถึงฉากรักเร่าร้อนเสียมากกว่า
เราถูกทำให้เชื่อโดยง่ายจากวัตถุ สิ่งที่มองเห็น ได้ยิน ได้สัมผัส ได้อ่าน
เราเชื่อโดยตำรา โดยการเล่าสืบมา โดยการทำตามกันมา โดยตรรก โดยการอนุมาน
เราเชื่อเพราะผู้พูดควรเชื่อ หรือผู้พูดเป็นสมณะที่พึงควรเคารพ
จริงๆ แล้วเราควรมองสิ่งที่ซ่อนเร้นและนำมาพิจารณาก่อนเชื่อหรือไม่เชื่อ
เพื่อนของผมคนหนึ่งชื่อขงเบ้ง เป็นคนชอบดูดาวมาก ผมมักจะถามเพื่อนผมอยู่เสมอ ว่าดาวดวงนั้นไกลออกไปเท่าไหร่ กี่ล้านกี่พันไมล์กี่ปีแสง คุณเคยนึกถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นเวลาที่คุณดูดาวมั้ย เวลาที่คุณดูดาวและเอ่ยชมว่าดาวดวงนั้นสวยจังเลย แต่ความเป็นจริงดาวดวงนั้นอาจลับสลายไปแล้ว ด้วยความห่างไกลจึงมองเห็นว่ามันยังส่องแสง นั่นล่ะครับคือตัวอย่างของสิ่งที่มองเห็นแต่ไม่มี ขอยกตัวอย่างง่ายกว่านี้อีกสักข้อ
สมมติว่าคุณไปอยู่ดาวดวงอื่นที่ไกลจากโลก 2548 ปีแสง และก็สมมติว่าคุณมีกล้องดูดาวที่สามารถส่องมาถึงโลกได้ และคุณได้ใช้กล้องดูดาวนั้นส่องมาที่โลกในวันวิสาขบูชา คุณก็จะเห็นนักบวชผู้นั้นกำลังเสด็จดับขันปรินิพพาน ใช่ใครอื่นนอกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งศากยะวงศ์และพระอรหันต์หลายพันรูป ทั้งๆที่เหตุการณ์นั้นมันได้ผ่านไปนานแล้ว
บางสิ่งมองเห็นแต่ไม่มี บางสิ่งกลับมีทั้งๆที่มองไม่เห็น
ผมถามเพื่อนว่าดาวดวงไหนไกลเท่าไหร่ กี่พันกี่หมื่นล้านไมล์? กี่ปีแสง? เพราะในวันคล้ายวันเกิดของผมทุกๆ ปี ผมจะไปเฝ้ามองดาวที่ไกลออกไปเท่าอายุผม ผมจะเฝ้ามองแสงแรกเกิดผมอย่างมีความสุขอยู่คนเดียวอย่างนั้นในเวลาที่ผมก้าวข้ามอายุครั้งใหม่
สิ่งที่ซ่อนเร้นและสิ่งที่เป็นจริง เป็นความแตกต่างในความสมดุลอันมีอยู่คู่กันเหมือนเงา
สิ่งที่ซ่อนเร้นและเป็นจริงสามารถรับรู้ได้โดยความคิดอันละเอียดละออ บางครั้งอาจรับรู้ได้โดยไม่ต้องมีใครบอก
ด้วยความรู้สึก ด้วยวิญญาณ ด้วยหัวใจ
ผมรักผู้หญิงคนนึง ผมไม่เคยเอ่ยคำว่ารักให้เธอฟังสักครั้ง แต่สิ่งที่ผมทำและเชื่อว่าคงมีใครหลายคนเคยทำ โดยที่ทำเพราะรักและไม่ได้บอกว่าทำไปเพราะรัก เพราะคุณเชื่อว่าสิ่งที่ซ่อนไว้คือความเข้าใจกัน ว่านี่คือความรักโดยมิต้องเอ่ยปาก
ผมไม่อยากบอกเธอว่าผมรักเธอ เพราะเธอยังไม่ทำให้ผมเห็นในสิ่งที่มีอยู่ในเธอเลยว่าเธอรักผม
ความรักมันมากเกินคำบรรยายเป็นภาษาออกไป แม้แต่ตัวอักษรที่จะเรียงร้อยให้หวานล้ำก็มิอาจทำได้
เธอมองข้ามทุกสิ่งที่ผมทำ
เธอมองข้ามเวลาที่เราเดินเคียงกัน ข้างถนน ผมจะอยู่ทางด้านริมถนนเสมอ
เธอมองข้ามเวลาที่เราเดินข้ามถนนแล้วผมไม่จับมือเธอ แต่ผมกลับเอาตัวเข้าหาทิศทางที่รถวิ่งมา ที่ผมไม่จับมือเธอก็เพราะผมต้องการให้เกียรติเธอ
เธอมองข้ามสิ่งละอันพันละน้อยที่ผมประดิษฐ์ให้ ว่ามีความหมายมากกว่าสิ่งที่ผมหาซื้อมาให้
เธอมองข้ามความหมายทุกอย่างไป โดยที่เธอไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ตรงหน้า
เธอไม่จำเป็นต้องสืบค้น เพราะเธอจะพบตัวตนในบทกวีของฉัน
ในนามของความรักความผูกพัน เราจะสื่อถึงกันด้วยความรู้สึกที่ดี
ผมนั่งท่องกลอนที่จำมาให้เด็กทั้งสองคนฟังขณะที่นั่งบ่นไปทานเหล้าไปที่ร้านประจำแห่งหนึ่ง
ทั้งสองคนมาเลี้ยงส่งผมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ผมจะต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศ และไม่รู้เมื่อไหร่จะได้กลับมา
เพลงโปรดของผมดังขึ้นทันใดในความเป็นจริง ผมยิ้มในสิ่งที่ซ่อนเร้นว่าเพลงนี้ร้องเพื่อผม เพราะผมรู้จักกับนักดนตรีเป็นอย่างดี
เหนื่อยใจ เพลงเดียวในชีวิตที่ผมรัก
ขอมอบให้กับเธอ...คนที่ไม่เคยมองเห็น
.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.
...หากไม่เคยเอ่ยคำพร่ำว่ารัก
ใช่ว่าฉันไม่รู้จักรักใช่ไหม?
เพียงวันนี้หากฉันบอกเธอออกไป
กลัวหัวใจเธอไม่สนจะทนฟัง...
(ขอบคุณไอเดียกลอนทั้งหมดจากพี่โรมาริโอ)
Albert Eistein กล่าวคำคมไว้อย่างน่าค้นหาความหมายข้างในนั้น
หลายคนคงเข้าใจสิ่งที่ซ่อนเร้นของประโยคในทันที ว่าสิ่งที่ซ่อนเร้นคืออะไร
ผมชอบประโยคนี้จับหัวใจ
Gravity is not responsible for people falling in love
+ + + แ ร ง โ น้ ม ถ่ ว ง ไ ม่ ไ ด้ ดึ ง ใ ห้ ใ ค ร ต่ อ ใ ค ร ต ก ห ลุ ม รั ก + + +