28 กันยายน 2550 02:27 น.
ปลายตะวัน
ฉันมิใช่ นักประชา ธิปไตย
ผู้วิไล แลเลิศ ประเสริฐสม
ฉันเพียงคน หม่นหมอง นองทุกข์จม
ใต้เงาร่ม อธิปไตย ที่ใครลือ
ฉันเฝ้ามอง ท้องทุ่ง รุ้งรวงข้าว
พริ้วครวญคราว ลมไกว พัดไหวหวือ
พัดเอาเศษ เม็ดเงินหล่น บนสองมือ
ฉันกำถือ ไว้แน่น ไม่แคลนคลาย
โอ้ทุกข์หนอ ท้อนัก เจียนจักสิ้น
ทั้งชีวิน มอดหวัง พลังหาย
กี่วันเคลื่อน เดือนคล้อย คอยคนคาย
หล่นน้ำลาย ปรายเบี้ย ไว้เรี่ยไร
โอ้ประชา ธิปไตย ที่รักจ๋า
ฉันควรค่า เคียงเธอ เสมอไหม
ฉันมีค่า ตั้งห้าร้อย นะกลอยใจ
โปรดจำไว้ ในห้วงนึก ระลึกกัน
ฉันแสนรัก นักประชา ธิปไตย
ผู้วิไล ประเสริฐ เลิศสวรรค์
ฉันรักเธอ รักเสมอ เพ้อรำพัน
เฝ้ารอฝัน วันเลือกตั้ง อีกครั้งครา
มีใครใคร เค้าว่าฉัน นั้นขายเสียง
เปล่งสำเนียง ขุ่นขัด ฮึดฮัดหนา
ก็นี่สิทธิ์ ของฉัน นั้นมีมา
ใครซื้อหา ฉันก็ให้ "ประชาธิปไตย"
พากันเฟ้น เน้นเลือก กระเสือกกระสน
ก็เวียนวน หน้าเดิมเดิม มาเริ่มใหม่
เลือกแล้วยุบ ผลุบแล้วโผล่ โถชาติไทย
แล้วเมื่อไหร่ อธิปไตย จะเปลี่ยนมือ
25 กันยายน 2550 23:09 น.
ปลายตะวัน
พระพายกรายกรีดน้ำ เนิ่นนาน
แหน อกเรียบอุทกธาร ใฝ่เฝ้า
พริ้วลมโบกพัดพาน ผิวแผ่ว
บุญบพิตรเแผ้วปกเกล้า เกศคุ้มกระหม่อมสยามฯ
ริ้วน้ำลับกี่ริ้ว ลิบแนว
พลพรั่งพร้อมเพียรแจว จุ่มจ้ำ
ระยิบระยับตะวันแวว ยอส่อง ชลเฮย
แว่วแว่วเพลงเห่ย้ำ อกครื้นสะอื้นครวญฯ
สุพรรณหงส์ทรงพู่ช้อย ชายชล
ทูลละอองธุลียุคล จากฟ้า
เผด็จบาปเบิกบุญบน พิภพ
โพธิสัตว์ปัดเป่าหล้า หลีกเร้นลุ่มหลงฯ
ปางเสด็จสู่ด้าว โดยชล
ลุ่มโลกดังโมกข์มนต์ สะกดก้ำ
เร้นรอยสุริยน ย้อนลับ
บารมีพระเลิศล้ำ รื่นรี้นอุราสนานฯ
เนื้อนาบุญแม่นแม้ ภูวดล
บุญปลูกย่อมยังผล หว่านไว้
ทูลพระสถิตย์บน นรภพ เนานา
ขอพระชนม์พระขวัญไท้ มั่นร้อยปีปลายฯ
หมายเหตุ
ก้ำ (โบ) น. ด้าน, ฝ่าย, ทิศ.
โมกข-, โมกข์ ๑ [โมกขะ-] น. ความหลุดพ้น, นิพพาน. (ป.; ส. โมกฺษ).
22 กันยายน 2550 17:02 น.
ปลายตะวัน
เธอรู้ไหม ว่าใจฉัน นั้นปวดปร่า
เพราะอุรา เรานั้น พลันห่างเหิน
ทางที่แคบ ยิ่งแคบอับ คับคนเดิน
ใจคนเมิน มาแรมร้าง ลางเลือนไป
ตัวเรานั้น พลันเอื้อม ก็เชื่อมถึง
กลับเบือนบึ้ง หมองหม่น จนใจหาย
วันเก่าเก่า เราสันติ มิเคยคลาย
ก็มากลาย แปรเป็น เช่นเพียงเงา
จากวันนั้น เธอผลัน พลันเป็นอื่น
เธอลุกยืน ผละไป กับใครเขา
คนแปลกหน้า มาพราก เพื่อนจากเรา
คอยมอมเมา ให้เขลาโง่ โซเซซม
เธอหยุดคิด สักนิด เถอะมิตรฉัน
ดวงตะวัน นั้นคล้อย ลอยเหมาะสม
ให้ไออุ่น กรุ่นดิน สิ้นโศกตรม
ฤๅจะถม สุรีย์ทิ้ง เพื่อสิ่งใด
เพื่อเแผ่นดิน ที่รกร้าง ด้วยร่างศพ
เพื่อพิภพ ผืนทอง ของเผ่าไหน
เพื่อธาณิน สิ้นสลาย ซึ่งสายใย
หรือเพื่อใคร โปรดตรอง ลองคิดเอง
โอ๋เพื่อนเอ๋ย กลับมา ในครานี้
ด้วยไมตรี มาร่วมสู้ ผู้ข่มเหง
หรือกลับมา เพื่อลาจาก พรากวังเวง
เหลือเพียงเพลง บรรเลงโศก โศลกครวญ
12 กันยายน 2550 04:00 น.
ปลายตะวัน
รัตติกาล ผ่านผัน พลันมืดมิด
ดาวสถิตย์ ฟากฟ้า ครามัวหมอง
ดาริกา มากระพ้อ ดังต่อรอง
แลกเหงาครอง กับหวัง ดังตั้งใจ
ดวงพระจันทร์ นั้นคล้อย ลอยลิ่วลับ
นานชั่วกัป ชั่วกัลป์ มิพรั่นไหว
แต่ตัวข้า ระอาแสน แม้นห้ามใจ
เหงาฤทัย เหว่ว้า ผวาตรม
ยามพลัดพราก จากรัก ก็จักทุกข์
คงสิ้นสุข ชั่วกาล พานขื่นขม
รักมาเบือน เลือนจาก พรากภิรมย์
ให้ซานซม ระทมจิต นิจนิรันดร์
ต่อแต่นี้ สิ้นแล้ว สิ้นแววโศก
ลุ่มหล้าโลก มิหมายปอง ครองโศกศัลย์
เคยพลาดผิด จิตผวา พาจาบัลย์
เฉกเช่นนั้น จะมิหวน ทวนอีกครา
ชีวิตนี้ ที่เหลืออยู่ จะสู้ต่อ
แม้นว่าท้อ ไม่ถอย คอยฟันฝ่า
อุปสรรค อัประมาณ ผลาญชีวา
จะหาญกล้า ท้าทาย ตราบวายวาง
6 กันยายน 2550 22:16 น.
ปลายตะวัน
๏ ดวงดาริกาคล้อย ศศิลอยสล้างสม
งามง่ายไถงคม อภิรมย์ฤดีกาล
ดั่งบุญพระคุณครู นรผู้เจริญญาณ
เพียงเพ็ญพธูพาน พิศแม้นผิแม้นตรู
๏ เย็นยามโพยมยวล ตะละนวลพะนอดู
ดั่งคุณพระคุณชู สิแนะนำ ณ เนืองเนา
นวลนวลพระโฉมจันทร์ บ่มิทันมิเทียมเงา
แสงคุณคุณูเย้า ฤยะเยือกยะเยียบเย็น
๏ สูงส่งแสดงแสง ก็เพราะแรงพบูเข็ญ
เหนื่อยยากและลำเค็ญ ผิอุทิศมิปิดบัง
เดือนยามพระหามเยือน พละเหมือนจะเลือนลาง
ลอยเร้นพระพายพราง ณ มหาพระหารัณย์
๏ ขอครูประสพสุข บ่มิทุกข์มิโศกศัลย์
สมดั่งถวิลพลัน และนิราศ ณ โรคภัย ๛
*ขอมอบแด่คุณครูสมถวิล จรัสวิมล
และคุณครูผู้เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมทุกท่าน
หมายเหตุ
พบู ๑ (กลอน) น. กาย, ตัว. (ป., ส. วปุ).
พระหาม, พระฮาม (กลอน) น. เวลาเช้ามืด. (ข. พฺรหาม).
พระหารัณย์ น. ป่าใหญ่. (ป. พฺรหา + ส. อารณฺย).