31 ตุลาคม 2552 22:22 น.
ปรางทิพย์
แสงอรุนกรุ่นไอไล้ปุยเมฆ
ดุจพรหมเสกเวทย์มนต์ดลสีสรร
ฝูงนกการ่าเริงบันเทิงพลัน
ร่วมผูกพันวันใหม่ใคร่ท้าทาย
สายลมฉิวพลิ้วผ่านลำธารใส
พงพฤกษ์ไพรใหญ่กว้างต่างความหมาย
สรรพสำเนียงเสียงสัตว์สลัดกาย
ยามชม้ายชายตาน่าภิรมย์
วิมานฝันวันเก่าของเราสอง
ร่วมใฝ่ปองครองคู่ดูสุขสม
บนระเบียงเคียงเคล้าเย้าอารมณ์
ชวนชี้ชมบ่มรักหนุนตักเกย
กระท่อมน้อยคอยรักมาถักฝัน
ผ่านคืนวันหวั่นไหวโอ้ใจเอ๋ย
เมื่อไหร่หนามาอยู่เป็นคู่เชย
อยากจะเผยเอ่ยพ้อว่ารอเธอ
ด้วยความรักปักใจยากไถ่ถอน
ให้ร้าวรอนซ่อนเก็บเจ็บจนเพ้อ
ดั่งอาดูรสูญสิ้นจินต์ละเมอ
กลัวว่าเก้อเผลอไผลใจระทม
เขาเริงร่าครานี้ฤดีช้ำ
ดุจดังย่ำย้ำไว้ให้ขื่นขม
เสียงหัวใจใคร่บอกยอกอกตรม
จำฝืนข่มก้มหน้าน้ำตานอง
วิมานร้างกลางป่าคราเงียบเหงา
ยามไร้เขาเฝ้าเพ้อเก้อหม่นหมอง
ลานรักร้าวหนาวนี้รตีตรอง
มิอาจร้องฟ้องใครเพียงใคร่วอน
ยินเสียงค่างบ่างชะนีที่โหยหวน
ดุจเชิญชวนครวญรับกลับสิงขร
แทนคำเพรียกเรียกฝากจากบังอร
เสมือนอ้อนย้อนถามข้ามฟ้าไกล
24 ตุลาคม 2552 03:11 น.
ปรางทิพย์
พิรุณโปรยโชยกลิ่นเคล้าดินหอม
ภมรล้อมดอมดมชมบุปผา
สายลมโหมโลมไล้ไพรพนา
เสียงนกป่าร่าร้องก้องพฤกษ์ไพร
ยินกอไผ่ไหวเบียดต้นเสียดสี
สายนทีรี่แผ่วแว่วรินไหล
กบอึ่งอ่างครางรับสดับไกล
เหตุไฉนใยน้องหมองเหลือเกิน
มองหิ่งห้อยน้อยแสงแข่งกะพริบ
แลวิบวิบลิบลิ่วทิวเขาเขิน
ท่ามราตรีพี่ชวนนวลหยอกเอิน
ใยหมางเมินเหินหายมิปรายตา
คืนวันวานกาลเก่าเราแนบหนุน
หอมละมุนกรุ่นกลิ่นถวิลหา
เมื่อยามรักภักดิ์พร้อมน้อมอุรา
คำสัญญาพารั้งดุจดังเกลียว
แสนเสียดายที่นอนและหมอนข้าง
กลับอ้างว้างร้างใครไม่แลเหลียว
ปล่อยให้ตรมจมอยู่เพียงผู้เดียว
สักเศษเสี้ยวเหนี่ยวไว้ใช่ได้คืน
แสนเสียดายสายใจใยสวาท
มาฉีกบาดขาดวิ่นสิ้นสุดฝืน
น้ำตานองร้องร่ำสุดกล้ำกลืน
ดุจจมคลื่นขืนท้อทรมาน
18 ตุลาคม 2552 01:38 น.
ปรางทิพย์
รุ่งอรุณอุ่นไอใกล้เตาผิง
หนาวเย็นยิ่งทิ้งกายใต้ผ้าผวย
มองฟืนไหม้ได้กลิ่นระรินรวย
ดั่งเจ็บป่วยด้วยเหงาเปลี่ยวเปล่าใจ
นอกหน้าต่างพร่างพรมลมหมอกฝน
ความมืดมนหม่นหมองครองอ่อนไหว
ด้วยคิดหวนครวญถึงหนึ่งคนไกล
เคยชิดใกล้ได้กอดพลอดภิรมย์
ควันจากปล่องล่องลอยละห้อยหา
ในอุราคราเห็นเช่นขื่นขม
ฤาเขาทิ้งยิ่งคิดจิตระทม
แสนตรอมตรมก้มหน้าน้ำตาริน
ภาพวันเก่าเฝ้าถามตามเสมอ
เมื่อแรกเจอเผลอใจให้ถวิล
หลงคำหวานหว่านไว้ในดวงจินต์
จนพังภินสิ้นพิษติดในทรวง
ยอมซุกร่างกลางเตียงเคยเคียงคู่
ไม่รับรู้ดูเขลาเฝ้าห่วงหวง
ใจคนคอยหงอยเหงาใยเขาลวง
จนเลยล่วงบ่วงบาศก์สวาทวาย
ฝนหลั่งรินสิ้นลบกลบความหวาน
ทรมานปานกรดรดสลาย
ปาดน้ำตาฝ่าหมอกยอกเดียวดาย
เจ็บใจกายท้ายสุดขอหยุดคอย
13 ตุลาคม 2552 23:48 น.
ปรางทิพย์
สร้างกำแพงแห่งใจไว้หลบซ่อน
ยามเมื่อตอนร้อนหนาวร้าวสับสน
โลกภายนอกกลอกกลิ้งสิ่งวกวน
เคยหมองหม่นพ้นหลุดดุจคนตาย
บนกำแพงแกร่งกล้าหนายิ่งนัก
หวังเป็นหลักพักภัยดั่งใจหมาย
อีกได้พรางบางใครใคร่ทำลาย
เปรียบดังคล้ายกายอยู่ไม่รู้ใจ
ในกำแพงแฝงซึ่งคำนึงฝัน
ร่ายรำพันสรรค์อ้อนแหละอ่อนไหว
อาจเงียบเหงาเศร้าบ้างหว่างฤทัย
เสียงหัวใจไพล่บอกย้อนยอกเกิน
หวังกำแพงแบ่งคันกั้นขื่นขม
มิให้ตรมจมหนักรักห่างเหิน
ชายหมายปองข้องเกี่ยวลดเลี้ยวเกิน
เพียงเพลิดเพลินเจริญใจไม่หวั่นเกรง
กำแพงใจใครหรือดั่งดื้อหยาม
คิดก้าวข้ามห่ามห้าวราวข่มเหง
ฟังคำเตือนเฉือนไว้ให้วังเวง
ดุจบรรเลงเพลงลาน้ำตาริน
ฤากำแพงแจงถ้อยรอยบาดหมาง
ทนอ้างว้างห่างไกลให้ถวิล
ยามอ่อนหวานหว่านย้ำพร่ำใจจินต์
พอหมดสิ้นบิ่นแตกแยกสองเรา
7 ตุลาคม 2552 22:29 น.
ปรางทิพย์
กอบปุยเมฆเสกเป็นดังเส้นด้าย
เก็บดาวรายพรายพร่างกลางท้องฟ้า
แล้วเรียงร้อยสร้อยงามอร่ามตา
ดั่งนภาคราเราเฝ้าชวนชม
กวาดสายหมอกซอกเขาเข้ารวมไว้
ทอแทนไหมใครเคยเชยสุขสม
ดึงรุ้งสายหมายย้อมพร้อมภิรมย์
สีผสมกลมกลืนผืนไหมงาม
หยิบตะวันปั้นแต่งแกร่งดังเพชร
เมื่อเจียร์เสร็จเม็ดเลี่ยมได้เหลี่ยมหวาม
รองน้ำค้างวางเรียงเคียงฟ้าคราม
ล้อมรวมตามท่ามแหวนไว้แทนใจ
หริ่งเรไรไพรร้องก้องขุนเขา
ดุจดั่งเย้าเร้าโรมประโคมไหว
ท่ามแสงจันทร์ผันพรอดกอดทรวงใน
หอมกรุ่นไอได้ชิดสนิทนาน
ณ ที่เก่าเราพิงอิงร่วมฝัน
ให้คำมั่นสัญญาวาจาหวาน
ธรรมชาติวาดหวังดังวิมาน
จิตสราญกานต์ตอบมอบใจกาย
ด้วยหัวใจใฝ่พร้อมจึงยอมสิ้น
บนลานหินผินหน้าคราจันทร์ฉาย
อารมณ์โหมโถมอยู่มิรู้คลาย
เราร่วมร่ายลายกลอนสะท้อนทรวง