18 เมษายน 2553 21:57 น.
ประภัสสุทธ
เด็กชายขุนพล บุญปะกาด ถือคันเบ็ดและกระป๋องไส้เดือนเดินตีนเปล่าไปบนคันหญ้า ได้ที่วางเบ็ดจัดแจงแหวกต้นข้าว ตีนน้อย ๆ โถมโคนกอข้าว มือแหวกหญ้าที่ขึ้นคลุมน้ำ พอเหลือช่องว่างให้หย่อนเบ็ด
เฮามาค่ำโพด หนุ่มน้อยมองหน้าผมแล้วว่า ขณะที่มุมปากยังคาบม้วนยาเส้น
มื้อนี้ใส่ ๒๐ หลังพอ ดึก ๆ ค่อยมาหยาม เขาพูดต่อ
เอ้า เจ้าลองเฮ็ดเบิ่ง เด็กชายขุนพลยื่นคันเบ็ดให้ผมทำบ้าง เขาเดินไปอีก ๑๐ ก้าว แวะลงข้างคันนา ตีนแหวกกอข้าวเหมือนอย่างเก่า
เอาหม่องนี้ล่ะ ลองเบิ่ง เด็กน้อยนั่งลงบนคันหญ้าอย่างสบายใจเฝ้าดูผมหย่อนเบ็ดพลางซอกยาเส้นจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมวนสูบ ปล่อยควันเคว้งคว้าง
แม้ผมจะเคยใส่เบ็ดเมื่อตอน ป.๔ ที่ทุ่งนาป้าแดงเมืองอำนาจเจริญอย่างชำนาญ คล้องไส้เดือนกับขอเบ็ดอย่างแม่นยำโดยไม่มองก็ได้-แต่นั่นก็นานมากแล้ว
มาอ้าย ข่อยคล้องให้ ขุนพลพูดขึ้นหลังจ้องมองผมคล้องไส้เดือนกับตะขอเบ็ดอยู่นาน ผมยื่นให้เขาอย่างอาย ๆ
เราวางเบ็ดจนหมด ขณะที่ความมืดเริ่มคลี่คลุมขอบทุ่ง ขุนพลเดินนำผมไต่คันนากลับเข้าหมู่บ้านได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องระงมรับกับเสียงจั้กจั่นดังอึงอลก้องทุ่ง
มื้ออื่นมาจักโมง ผมถามขุนพลขณะเดิน
จักตีห้ากะได้ เขาตอบ
ตื่นมาปลุกอ้ายแหน่เด้อเก่ง ผมกำชับเขาเมื่อเราถึงหมู่บ้าน และแยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่า...
เก่ง หรือ เด็กชายขุนพล บุญปะกาด เรียนอยู่ชั้น ป.๖ ในโรงเรียนหมู่บ้าน เด็กชายแก่นแก้ว ไม่กลัวเพื่อนรุ่นเดียวกัน ไม่กลัวครู และไม่กลัวยายมี เขาอาศัยอยู่กับตาเปลี่ยน ยายมี และน้องชายต่างพ่อ ชอบพูดเหมือนผู้ใหญ่และไม่มีหางเสียงแม้กับใครก็ตาม แต่แววตาไร้เดียงสาเยี่ยงเด็กทั่วไป แม่ของขุนพลไปทำงานที่บางกอกกับพ่อใหม่ตั้งแต่ขุนพลยังเล็ก ทิ้งให้อยู่กับตายายและน้องชาย นาน ๆ ถึงกลับมา
บ้านของขุนพลอยู่ติดสำนักงานผม เราจึงพบกันเกือบทุกวัน และทุกครั้งที่พบ ขุนพลไม่เคยไปโรงเรียน ผมมักถามเขาว่าทำไมไม่เข้าเรียน เขาตอบสั้น ๆ ว่าขี้เกียจพลางมองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง แล้วก็บิดรถมอเตอร์ไซค์จากไป ขุนพลเรียนซ้ำชั้น ป.๖ อีกหนึ่งปี ขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันจบไปหมดแล้ว ขุนพลไม่รู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องสำคัญ แต่การหากินสำคัญกว่า เขามักแบกแหไปทอดปลาที่คลองชลประทานท้ายหมู่บ้าน ไม่ก็ไปยิงหนู หรือใส่เบ็ดปลา สัตว์ที่ล่ามาได้จะนำมาให้ยายมีทำกิน ครูในโรงเรียนระอากับพฤติกรรมขาดเรียนของขุนพลจนไม่อยากใส่ใจ และขุนพลก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน
ค่ำวันหนึ่งผมทักทายเขาหน้าสำนักงาน ดวงตาก่ำแดงเหม่อลอยพูดอ้อแอ้ไม่เป็นคำ
ไปไสมาเก่ง ผมถาม ขุนพลมองหน้าผมแต่ไม่ตอบ กลับเดินโซเซเข้าบ้าน
เมามาอีกแล้ว มึงไปกินเหล้ามาแต่ไสบักหมา เสียงตาเปลี่ยนร้องขึ้นข้างสำนักงาน หลังเห็นสภาพหลานชายเมาเหล้าเดินเข้าบ้าน
ซ่างข่อยตั๊ว เจ้ามาหยากนำหยั่ง ขุนพลกระแทกเสียงอ้อแอ้ ก่อนจะลงไปนอนกองกับพื้น สำรอกออกมาและนอนเกลือกกลิ้งหลับไป
เด็กน้อยถูกตากับยายประคองหัวท้ายไปนอนแผ่หรากลางห้องน้ำ ยายถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนอ้วกออกแล้วตักน้ำลาดตัว สักพักขุนพลร้องขึ้นฟังไม่ได้ศัพท์ น้ำตาพรูพรั่งสะอื้นไห้โหยหวนพูดเพ้อเจ้อ ผมไปลอบดูข้างกำแพง ก็เห็นขุนพลนอนหลับตาพริ้มเหวี่ยงแขนขาไปมาในห้องน้ำ มียายคอยเช็ดเนื้อตัวให้
ไผบอกให้มึงกิน กินแล้วก็เป็นจั่งซี มึงจือบ่อฮึ ยายเอ็ดหลานอย่างเหลืออด ขณะที่สองมือยังบิดผ้าหมาดน้ำ เช็ดหน้าให้ขุนพล ยายไม่แปลกใจที่ขุนพลเมาเหล้าเพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเด็กน้อยถึงร้องไห้ ไม่นานเสียงเด็กร้องไห้สงบลงพร้อมกับไฟในบ้าน
เช้ามาผมได้ยินชาวบ้านเล่ากันว่าเย็นเมื่อวานหลังเด็กชายขุนพลกลับจากทอดแหที่คลอง เขาติดสอยห้อยตามกลุ่มผู้ใหญ่ในหมู่บ้านไปเหมือนหลายครั้ง ไปร้านเหล้า ทำทุกอย่างเหมือนผู้ใหญ่ทำ ทั้งกินเหล้า สูบบุหรี่ ผู้ใหญ่หลายคนชอบใจขุนพลเพราะใช้ง่าย และมักจะถือหางให้ขุนพลเสมอเวลาอยู่ในวงเหล้า คืนนั้นขุนพลกินเหล้าเมาแล้วพูดด่าทอใส่รุ่นพี่ในวงด้วยคะนองปาก เด็กน้อยโดนรุ่นพี่สั่งสอนด้วยตีนและหลังมือ ผู้ใหญ่ไม่ถือสา แต่ขุนพลเดินเมาร้องไห้กลับบ้าน...
อ้ายยุทธ ตื่นได้แล้ว เสียงเหมือนใครเรียกผมดังขึ้นหลังบานประตูสำนักงาน ผมงัวเงีย ลุกขึ้นไปเปิด เห็นขุนพลยืนพิงเสามวนกระดาษยาเส้นรออยู่หน้าสำนักงานแล้ว
ผมรีบทำธุระส่วนตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมไปกู้เบ็ด !
ขุนพลเดินนำผมลงทุ่งมาอย่างเงียบ ๆ เหมือนเมื่อวาน สักพักผมจึงชวนคุย
เป็นตาได้ปลาหลายบ่เก่ง ผมถามเรื่องเบ็ดที่เราใส่ไว้
บ่คือดอก แถวนั้นคนไปหากินหลายแล้ว แต่ว่ามื้อแลงข่อยสิพาไปหม่องใหม่ เจ้าว่างบ่อ ขุนพลตอบแล้วถามกลับ
อ้ายไปได้อยู่ ผมตอบ
เอออ้าย เจ้ามาเฮ็ดหยั่งอยู่บ้านนี่ เจ้าเป็นหมอเบาะ ขุนพลเปลี่ยนเรื่อง มองหน้าถามอย่างสงสัยเพราะเห็นผมมาอยู่หมู่บ้านนี้นานแล้วแต่ไม่เคยเอ่ยถาม
อ้ายเข้ามาเฮ็ดงานเกี่ยวกับโรคเอดส์ในหมู่บ้านเฮานี่ล่ะ บ่แม่นหมอดอก
อ้ายคล้ายหมอเบาะ ผมแสร้งถามติดตลก
บ่อคือดอก ข่อยกะถามไปจังสั้นล่ะ หมออีหยังสิมาใส่เบ็ด เด็กน้อยตอบแล้วยิ้ม ผมพลอยหัวเราะไปด้วย
อาทิตย์ขึ้นเกือบพ้นยอดตอดู่ตรงขอบทุ่งฝั่งตะวันออก สาดแสงลามเลียท้องนา ขุนพลกู้เบ็ดเสร็จแล้ว เบ็ด ๒๐ หลัง ติดปลาไหลเล็กแค่หลังเดียว
อ้ายกินปลาไหลเป็นบ่ ขุนพลชูปลาไหลขึ้นพร้อมกับถามผม คล้ายกับจะปรึกษาว่าจะแบ่งปลากันยังไง
กินเป็นอยู่ แต่ว่าปลาไหลตัวนี้ เก่งเอาไปกินซะ ให้ยายเฮ็ดสู่กิน
อ้ายตัวคนเดียวบ่หยากดอก ผมบอก
ขุนพลไม่ตอบเดินนำหน้ากลับเข้าหมู่บ้านไปเงียบ ๆ ผมเดินตาม
ระหว่างทางเราพบชาวบ้านหลายคนสวนทางมามุ่งหน้าสู่ท้องทุ่ง บ้างไล่วัวมาด้วยเป็นกลุ่ม บ้างขับรถอีแต๊กบรรทุกของเต็มหลังกระบะ บ้างเดินไปกับฝูงหมา บนบ่าคอนจอบ คนเหล่านั้นเอ่ยทักขุนพล และขุนพลก็ทักตอบ บรรยากาศยามเช้าตรู่ช่างสดชื่นและเป็นมิตร
ขณะที่เดินผมมองแผ่นหลังขุนพล ทำให้นึกถึงอะไรบางอย่างที่มีคุณค่าในตัวเขา เด็กน้อยอยู่กับตายายและน้องชาย ตาวัยเกือบ ๗๐ ทำงานเก็บค่าน้ำภายในคุ้มบ้านเมื่อสิ้นเดือนมาถึง ส่วนยายวัยชราใกล้เคียงกันอยู่กับบ้านไม่ได้ทำอะไร บางครั้งได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการเป็นมือเขย่าไฮโลในวงข้างบ้าน พอได้เงินมาจุนเจือชีวิตและครอบครัว ขุนพลช่วยครอบครัวโดยการออกไปหาล่าสัตว์ตามทุ่งนาและแหล่งน้ำ เขาไม่เคยเกียจคร้านที่จะไป เพราะนั่นคือหน้าที่ของขุนพล
ว่าง ๆ มาเล่นกับอ้ายก็ได้เด้อ ผมเอ่ยกับขุนพล หลังเราเดินกลับมาถึงสำนักงาน
ครับ ขุนพลตอบ แล้วเดินแยกไป
หลังจากวันนั้นผมขอขุนพลไปใส่เบ็ดด้วยหลายครั้งเพื่อจะสร้างความสัมพันธ์กับเขา และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเงินกับกระเป๋ากางเกงผมให้อยู่ด้วยกันได้นานที่สุด เพราะส่วนหนึ่งการไปหาปลากับขุนพลช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเงินในการซื้อกับข้าวไปได้บ้าง
วันนี้ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองที่ตึงเครียดคงไม่มีใครสุขใจเท่าขุนพลเป็นแน่ เขาไม่ไปโรงเรียนแต่มาหาผมที่สำนักงานพร้อมกับขนมขบเคี้ยวหลายห่อ วางขนมไว้บนโต๊ะแล้วถอดเสื้อยืดออกพาดไว้
เจ้าเฮ็ดหยั่งอ้าย ขุนพลนั่งยอง ๆ ถาม
เขียนป้าย ซ่วยอ้ายแหน้ ผมตอบขณะที่มือยังจับพู่กันละเลียดสี
ขุนพลช่วยผมทาสี ทาทั้งแผ่นป้าย และแขนขาตัวเองลายพร้อยไปหมด ทั้งสีเหลือง สีแดง สีน้ำเงิน
โก้บ่อ้าย เขาขยับแขนอวดลวดลาย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ระวังเป็นมะเร็งผิวหนังเด้อ ผมขู่ขุนพล เพราะเห็นแขนขาสกปรกไปหมด
อีหลีเบาะ คำขู่ได้ผล ขุนพลหน้าซีดถลาไปที่ตุ่มตักน้ำล้างสีออกจนเกลี้ยง
อีหลีแหล่ว อย่าเฮ็ดอีกเด้อ
ครับ เขาหัวเราะฮึ ๆ
เราช่วยกันทาสีจนเสร็จ ผมขอบใจขุนพลที่ช่วยทำ เขายิ้มและเดินกลับเข้าบ้าน ๏