12 มีนาคม 2546 16:56 น.

เพื่อนกับA-Z

บัวน้ำเงิน

Always be honest , would you want them to lie to you? 
จงซื่อสัตย์เสมอ...... คุณต้องการให้เพื่อนโกหกคุณเหรอ 

Be there when they need you, or you may wind up alone 
จงอยู่เคียงข้างเมื่อเขาต้องการ.....หรือคุณต้องการจะอยู่คนเดียว 

Cheer them on, we all need encouragement now and then 
ให้กำลังใจ......เราทุกคนต่างก็ต้องการการสนับสนุนเป็นบางครั้ง 

Don't look for their faults, even if you have none 
อย่ามองหาข้อผิดพลาดของเขา.....แม้ว่าคุณจะไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่ข้อเดียว 

Encourage their dreams, what would we be without them? 
สนับสนุนให้เขาทำตามความฝัน.......เราจะอยู่อย่างปราศจากความฝันได้อย่างไร 

Forgive them, you just may do something wrong sometime 
ให้อภัย ....คุณอาจจะเคยทำผิดพลาดในบางเวลา 

Get together often, misery loves company, so does glee 
เจอกันบ่อยๆ...... เมื่อมีความทุกข์ ต้องมีเพื่อนเพราะการคบค้าสมาคมทำให้เกิดความสนุกสนาน 

Have faith in them, the human animal is remarkable 
มีศรัทธาในเพื่อน.....การมีศรัทธาเป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสิ่งมีชีวิตอื่น 

Include them, you may need to be included sometime 
รวมเขาเข้าไปด้วย......คุณก็อาจจะต้องการถูกรวมบ้างบางครั้ง 

Just be there when they need you 
อยู่ข้างๆ.......เมื่อเขาต้องการคุณ 

Know when they need a hug, and couldn't you use one? 
รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาต้องการให้กอด...เคยกอดเพื่อนบ้างหรือยัง 

Love them unconditionally, that is the only condition 
รักโดยไร้ข้อแม้........นี่เป็นเพียงเงื่อนไขข้อเดียวเท่านั้น 

Make them feel special, because aren't we all special? 
ทำให้เขารู้สึกเป็นคนพิเศษ.. เพราะเราทุกคนก็เป็นคนพิเศษไม่ใช่เหรอ 

Never forget them, who wants to feel forgotten 
อย่าลืมเพื่อน........ ใครบ้างอยากถูกลืม 

Offer to help, and know when " Nothanks" is just politeness 
เสนอตัวที่จะช่วยเหลือ......และควรรู้ว่าเมื่อไหร่ที่คำว่า 
"ไม่เป็นไร ขอบคุณ"เป็นคำพูดแค่เพื่อมารยาท 

Praise them honesly and openly 
ยกย่องเพื่อนอย่างจริงใจ และเปิดเผย 

Quietly disagree, noisy No's make enemies 
อย่าโต้แย้งอย่างโจ่งแจ้ง........การทำเช่นนั้นก่อให้เกิดศัตรู 

Really listen, a friendly ear is a soothing balm 
ตั้งใจรับฟัง.......การรับฟังของเพื่อนคือยารักษาอาการ 

Say you're sorry, don't let them assume it 
กล่าวคำขอโทษ.......อย่าปล่อยให้เพื่อนต้องสันนิษฐานเอาเอง 

Talk frequently, connunication is important 
พูดคุยกันบ่อยๆ ........การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ 

Use good judgement 
ใช้ข้อตัดสินที่ดี 

Verbalise your feelings 
อธิบายความรู้สึกของคุณเป็นคำพูด 

Wish them luck, hopeftlly good 
อวยพรให้โชคดี ..........หวังว่าเขาจะพบแต่เรื่องดี 

Xamine your motives before you "help" out 
ตรวจสอบเจตนาของคุณ ก่อนที่จะขอความช่วยเหลือ 

Your words count, use them wisely 
คำพูดของคุณมีค่า ......จงใช้อย่างชาญฉลาด 

Zip your lips when they told a secret 
ปิดปากให้สนิทเมื่อเพื่อนบอกความลับ 				
7 มีนาคม 2546 13:49 น.

สมุดบันทึกเล่มหนึ่ง

บัวน้ำเงิน

ฉันได้พบเด็กชายที่แลดูธรรมดาคนหนึ่ง ประเภทที่เขาแหย่ 
คุณ และคุณก็แหย่เขากลับ กลั่นแกล้งกันไปมา พูดง่ายๆว่า ตอนพบกันครั้งแรกนั้นเรารู้สึกดีต่อกันแล้ว พอได้มาเจอกันอีก เราก็แหย่กันเล่นตรง 
บริเวณรั้ว และที่นั่นก็กลายเป็นที่ที่เราพบกันและเล่นด้วยกันเสมอมา ฉันน่าจะเล่าความลับของฉันทั้งหมดให้เขาฟังได้นะ เขาเป็นคนเงียบๆ คอยแต่นิ่ง 
ฟังเวลาที่ฉันเล่าโน่นนี่ เป็นคนที่ฉันสามารถคุยด้วยได้ทุกๆเรื่อง ตอนอยู่ในโรงเรียน เราอยู่คนละกลุ่ม แต่พอกลับบ้าน เราก็จะคุยกันถึงเรื่องราวใน 
โรงเรียน วันหนึ่ง ฉันบอกเขาว่า เด็กผู้ชายที่ฉันชอบคนหนึ่งหักอกฉัน เขาปลอบว่าไม่เป็นไรหรอก สักพักมันจะดีไปเอง ฉันเลยสบายใจขึ้น และยิ่งทำให้ 
นึกว่าเขาเป็นเพื่อนแท้คนหนึ่งของฉัน... นั่นเป็นความรู้สึกตอนนั้นของฉันจริง ๆ 

เราเรียนด้วยกันเรื่อยมา จากมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย คบหากันมาโดยตลอด แม้ฉันจะคิดเสมอว่าเราเป็นแค่เพื่อน แต่ลึกๆแล้ว ฉันรู้ว่า 
มันไม่ใช่ ในคืนวันสำเร็จการศึกษาเราต่างมีคู่นัดไปนั่งฟังเพลงกัน แต่ฉันก็ยังอยากจะพบเขาอยู่ดี เมื่อทุกคนกลับบ้านกันหมด ฉันแวะไปหาเขา 
เพื่อจะบอกว่า...ฉันอยากจะขอคบกับเธอ... นั่นดูเหมือนจะเป็นโอกาสทองของฉันทีเดียว แต่ที่สุดแล้ว เราแค่นั่งดูดาว ผลัดกันเล่าแผนการชีวิต 
ของกันและกัน ฉันจ้องตาเขาขณะฟังเขาเล่าว่าเขาอยากแต่งงานและวางหลักปักฐาน ทั้งยังคุยถึงวิถีทางที่จะทำให้ตัวเองร่ำรวย และประสบความ 
สำเร็จในชีวิต โดยมีฉันนั่งคุดคู้อยู่ข้างๆเขา คืนนั้น ฉันกลับบ้านพร้อมความรู้สึกปวดร้าว ด้วยเหตุที่ฉันไม่ได้พูดไปดังใจปรารถนา ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก 
ที่หัวใจฉันเจ็บปวด สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฉันอยากจะบอกเล่าให้เขาฟังใจจะขาด แต่ทุกครั้งจะต้องมีใครสักคนอยู่ตรงนั้นด้วยเสมอ 

หลังจากนั้น เขาก็ได้งานทำในนิวยอร์ก แน่นอนฉันยินดีกับอนาคตอันสดใสนั้น แต่ยังคงเก็บงำความรู้สึกของตัวเองเช่นเดิม ขณะที่เขา 
กำลังจากไป ฉันกอดเขาแล้วร้องไห้ คิดว่านั่นเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะมีเขาอยู่เคียงข้าง คืนนั้นฉันร้องไห้จนตาบวม และยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น เมื่อนึกถึงว่า 
ที่สุดแล้ว ฉันก็ยังไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟัง ฉันเริ่มต้นด้วยงานเลขา แล้วย้ายสายงานมาเป็นนักวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์ รู้สึกภูมิใจในตัวเอง 
ที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง 

วันหนึ่ง ฉันก็ได้รับการ์ดแต่งงานใบหนึ่งทางไปรษณีย์ มาจากเขานั่นเอง ใจหนึ่งฉันก็ยินดีกับเขา แต่อีกใจก็โศกเศร้า ได้แต่พร่ำบอกกับ 
ตัวเองว่า ฉันไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างเขาอีกแล้ว อย่างมากที่สุด เราก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน 

งานแต่งงานได้จัดขึ้นอย่างอลังการทีเดียว ณ โบสถ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ขณะที่งานเลี้ยงจัดในโรงแรม ฉันได้พบเจ้าสาว และแน่ละ ได้พบเขา 
ด้วย แล้วฉันก็ตกหลุมรักเขาอีกครั้งหนึ่ง ฉันเก็บความลับนี้ไว้กับตัวเอง ไม่อยากให้มันไปทำลายวันอันเป็นมงคลของเขา คืนนั้น ฉันพยายามทำตัวให้ 
สนุก แต่กลับกลายเป็นว่า ฉันกำลังฆ่าตัวเองด้วยการเผชิญหน้ากับคนที่กำลังดูมีความสุขมากอย่างเขา ฉันจึงจำเป็นต้องพยายามฝืนยิ้ม และทำตัว 
ให้มีความสุข เพื่อกลบเกลื่อนหยาดน้ำตาที่ซุกซ่อนไว้ในใจ แต่แล้วเขาก็มาปรากฎตัวตรงหน้า ก่อนที่ฉันจะก้าวขึ้นเครื่องบิน เขามาเพื่อจะบอกลา 
พร้อมกับกล่าวว่า ดีใจที่ได้พบเขาอีกครั้งหนึ่ง 

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันพยายามลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในนิวยอร์ก มันถึงเวลาแล้ว ที่ฉันต้องเดินไปตามวิถีทางของฉันเองบ้าง ตลอด 
หลายปีมานี้ เรายังคงติดต่อกันทางจดหมาย เขาย้ำเสมอว่าคิดถึงฉันมาก อยากจะมีโอกาสได้คุยกับฉันอีก 

และแล้วเขาก็เงียบหายไปหลังจากที่ฉันเขียนไปหาเขา 6 ฉบับ ฉันเริ่มกังวลว่าอาจจะมีเรื่องร้ายๆอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วก็ได้รับโน้ตสั้นๆ 
บอกว่า 'ขอให้มาพบผมตรงรั้ว ณ ที่เดิมที่เราเคยเล่าอะไรต่ออะไรให้กันฟัง' ฉันไปตามนัด และพบเขาอยู่ที่นั่นจริงๆ เขากำลังอกหักและดูโศกเศร้ามาก 
เรากอดกันแน่นและหายใจแทบไม่ออก และเขาก็เล่าเรื่องการหย่าร้างให้ฉันฟังทั้งน้ำตา เขาร้องไห้...ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมา ... ในที่สุด 
เราก็เดินเข้าไปในบ้าน คุยกันและหัวเราะเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงเก็บความลับนั้นไว้ ไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟัง หลายวันที่ 
อยู่ด้วยกัน ทำให้เขากลับมามีความสุขและลืมปัญหาการหย่าร้าง ขณะที่ฉันได้ตกหลุมรักเขาอีกครั้ง 

เมื่อถึงวันที่เขาต้องกลับไปนิวยอร์ก ฉันต้องไปส่งเขาด้วยน้ำตา ไม่อยากห็นภาพเขาเดินจากไป แม้เขาสัญญาว่า จะบินมาหาฉันทุกเมื่อ 
ที่ฉันสามารถลางานได้ แต่ฉันไม่สามารถรอเขาได้อีกต่อไป โดยส่วนลึกในหัวใจแล้ว เราต่างมีความสุขเสมอเมื่ออยู่ด้วยกัน วันหนึ่ง เขาก็ไม่ได้กลับมา 
อย่างที่เขาเคยสัญญาไว้ ฉันได้แต่คิดว่าคงเป็นเพราะ เขางานยุ่งเกินกว่าที่จะปลีกตัวมาได้ มันผ่านไปจากวันนั้นเป็นเดือน...จนลืมเรื่องนี้ไป 

และแล้วทนายความจากนิวยอร์กก็แจ้งข่าวร้ายนี้ให้ฉันทางโทรศัพท์ เขาเพิ่งเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ระหว่างที่กำลังเดินทาง 
ไปสนามบิน ฉันเข้าใจทันทีถึงความรู้สึกของคนหัวใจสลาย เพิ่งรู้ว่าทำไมเขาไม่มาหาฉันในวันนั้น นี่เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่า ตัวเองอกหัก คืนนั้น 
ฉันร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ถามตัวเองว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับคนดีๆอย่างเขา ฉันเดินทางไปนิวยอร์กอีกครั้ง เพื่อร่วมรับฟังการเปิด 
พินัยกรรม แน่นอนที่สุด สมบัติต่างๆ เขามอบให้กับครอบครัวและอดีตภรรยา นี่เป็นอีกครั้งที่ฉันได้พบภรรยาเขาอีก เธอเล่าถึงความเป็นอยู่ของเขา 
ให้ฉันฟัง และยังบอกว่าเขาได้ทำอะไรให้เธอบ้าง แต่กลับสัมผัสได้ว่า เขาไม่มีความสุขเลย แม้ว่าเธอพยายามเอาอกเอาใจต่างๆนานาแล้วก็ตาม 
แต่ไม่สามารถทำให้เขามีความสุขอย่างคืนวันแต่งงานได้เลย ในพินัยกรรมระบุว่า ฉันจะได้รับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่เป็นสมบัติส่วนตัวของเขา ที่ไม่อาจ 
ล่วงรู้ได้เลยว่า ทำไมเขาจึงตัดสินใจเช่นนั้น 

เมื่อเสร็จธุระ ฉันจึงบินกลับไปยังแคลิฟอร์เนีย ระหว่างเดินทางฉันหวนระลึกถึงเรื่องราวเก่าๆของเรา และเปิดสมุดบันทึก สมุดบันทึกนั้น 
เริ่มบันทึกขึ้นจากวันแรกที่เราได้พบกัน อ่านไปชั่วขณะหนึ่งฉันเริ่มร้องไห้เมื่อพบข้อความว่า เขาได้ตกหลุมรักฉันในวันที่ฉันถูกหักอก แต่เขาก็ขลาดเกิน 
ไป ที่จะบอกฉันว่าเขารู้สึกอย่างไร นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมวันนั้น เขาจึงนิ่งเงียบและคอยแต่จะเป็นผู้ฟัง จากบันทึกทำให้ฉันรู้ว่า เขาพยายามจะบอกฉัน 
หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่มีความกล้าหาญพอ เวลาที่เขารู้สึกดีใจที่สุด จึงเป็นโอกาสที่เขาได้พบฉันและเต้นรำด้วยกันในวันแต่งงาน ซึ่งเขาพยายาม 
จินตนาการว่า นั่นเป็นงานวิวาห์ของเรา นี่ละสาเหตุที่ทำให้เขาไม่มีความสุข จนกระทั่งเขาได้หย่าขาดจากภรรยา ส่วนเวลาที่มีความสุข กลับเป็นวินาทีที่เขา 
กำลังอ่านจดหมายของฉัน 

ในที่สุดสมุดบันทึกก็จบลงด้วยข้อความว่า "แล้วก็มาถึงวันนี้...วันนี้แล้วที่ผมจะได้บอกรักเธอ ... " แต่มันกลับเป็นวันที่เขาต้องจากไป 
อย่างไม่มีวันกลับ...วันที่ฉันเพิ่งมาค้นพบว่า เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับฉันตลอดมา...!				
7 มีนาคม 2546 13:33 น.

ความหมาย

บัวน้ำเงิน

เริ่มตั้งแต่ การจูบ 
ถ้าการจูบเป็นหนึ่งในวิธีการแสดงออกซึ่งความรักวิธีหนึ่ง 
เรามาดู ความหมายของการจูบ กันดีกว่าค่ะ...จะได้ไม่จูบผิดที่ผิดทาง 

จูบที่แก้ม...เป็นการแสดงออกระหว่างเพื่อน 
จูบที่มือ...หลงใหลในตัวเธอ 
จูบที่ไหล่...ต้องการเธอ 
จูบที่ปาก...ฉันรักเธอ 
จูบที่หู...ไปห้องนอนกันเถอะที่รัก 
จูบที่หน้าผาก.....เอ็นดู   รักและถนอนเรา 
พรมจูบไปทั่ว...เร็วๆ เหอะที่รัก ทำอย่างอื่นดีกว่า 
กุมมือ...เราสองคนสามารถเรียนรู้ที่จะรัก 
ขยิบตา...ไปกันดีกว่า 
ตีก้น...ระวังหน่อย...ที่รัก 
เล่นหู...ไม่สามารถที่จะอยู่ได้โดยไม่มีคุณ 
โอบเอว...ไม่อยากให้ไปเลย 
ดึง - เล่นผม...บอกฉันหน่อยสิ ว่าคุณรักฉัน 
นั่งมองตากัน...(บรรยากาศกำลังเริ่มโรแมนติก) 
กอดแน่นๆ...อย่าไปจากฉัน				
24 มกราคม 2546 20:52 น.

สึ่งที่เหลืออยู่กับเวลาที่สายไป

บัวน้ำเงิน

"แกน่ะ เคยทำอะไรให้พ่อแม่ได้ภูมิใจบ้างไหม เรียนก็ไม่ได้เรื่องสู้น้องไม่ได้สักอย่างทำอะไรก็ไม่เป็น" 
 เสียงแม่ด่าไม่เว้นแต่ละวัน  โดยเฉพาะทุกครั้งวันประกาศผลสอบด้วยแล้ว แพรวไม่อยากจะคิดเลย 
แม่มักจะว่าเธอทุกครั้งที่เห็นผลสอบของเธอ 
แพรวมีน้องสาวอีกหนึ่งคน ชื่อว่า "แพร" แพรเป็นคนเรียนเก่ง เล่นกีฬาเก่ง และที่สำคัญแพรเป็นคนสวยและน่ารัก 
ใครๆก็อยากเข้าใกล้ นั่นล่ะคือข้อแตกต่างระหว่างเธอและน้อง  ส่วนเธอไม่มีอะไรดีสักอย่าง แพรวเคยคิดอยู่เสมอว่า 
หากวันใดที่ไม่มีเธอ แม่คงจะดีใจเพราะเธอไม่เคยทำอะไรได้ถูกใจแม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว แม่ไม่เคยยิ้มกับเธอ ไม่เคย.....เลย......แม้สักครั้ง พ่อมักจะคอยอยู่ข้างแพรวเสมอในยามที่แม่ว่าเธอ แต่เดี๋ยวนี้พ่อไม่ค่อยอยู่บ้าน นานๆครั้งพ่อถึงจะกลับบ้าน 
เมื่อพ่อกลับมา แพรวจะดีใจมากจนวิ่งเข้าไปหาพ่อเป็นคนแรก 
แพรวกำลังนั่งอ่านหนังสือนิยายอยู่ในห้องเพลินๆ ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้วเธอได้ยินเสียงรถเข้ามาในบ้าน ใช่แน่ๆ ต้องเป็นพ่อ เธอปิดหนังสือวางไว้บนเตียง ใบหน้ายิ้มแย้ม พ่อกลับมาแล้วดีใจจัง ฉับพลันแพรวก็รีบวิ่งลงไปข้างล่าง 
"เก่งจังลูกพ่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วย อย่างนี้พ่อคงต้องให้รางวัลซะแล้ว" 
พ่อยิ้มแย้มเมื่อได้ทราบข่าวว่าลูกสาวคนเล็กสอบได้มหาวิทยาลัยของรัฐบาล "น่าจะให้รางวัลแกสักหน่อยนะคะคุณ" 
แม่เองก็พลอยยิ้มแย้มไปด้วย รอยยิ้มของแม่ซึ่งแพรวเองไม่มีทางได้ "เอาอย่างนี้เราไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวเลยดีไหม 
แล้วยัยแพรวล่ะคุณ ผมไม่เห็นเลย" พ่อเริ่มสังเกตว่าลูกสาวคนโตไม่ได้อยู่ที่นั่น "โอ๊ย รายนั้นอย่าไปพูดถึงเลยค่ะคุณ วันๆเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง อย่าไปสนใจเลยค่ะ เรื่องไปเที่ยวก็ไม่รู้จะไปหรือเปล่า แม่ว่าเราไปดูกันดีกว่าไหมลูกว่าจะไปเที่ยวไหนกันดีไหมจ๊ะ" แม่หันไปสนใจลูกสาวคนเล็กแทน แล้วทั้งสามพ่อแม่ลูกก็พากันไปดูหนังสือท่องเที่ยว แพรวมองภาพนั้น น้ำตาร่วงเผาะๆ นี่เธอเป็นส่วนเกินของบ้านหรือเปล่า แพรวเดินออกไปทางด้านหลังบ้านเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครใส่ใจว่าเธอจะอยู่ที่นั่นหรือเปล่า แพรวนั่งลงที่โต๊ะที่สนามหลังบ้านคนเดียว ท่ามกลางแสงจันทร์ "กำลังคุยกับพระจันทร์อยู่หรือไง" มีเสียงดังมาจากบ้านข้างๆ  ชายหนุ่มยิ้มหน้าทะเล้นอยู่ที่กำแพงบ้าน แพรวหันไปยิ้มให้ "วันนี้กลับมาบ้านช้าจังนะ" แพรวหันไปคุยกับต้น ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของเธอเอง ต้นเป็นทั้งเพื่อนบ้านและเพื่อนของเธอ เขาอยู่ข้างเธอเสมอในยามที่เธอมีเรื่องทุกข์ใจ "ขอไปคุยด้วยนะ" ว่าแล้วต้นก็กระโดดข้ามรั้วมายังบ้านของแพรว เขานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆเธอ "เป็นอะไรน่ะ ทำหน้าไม่สบายใจอย่างนั้น" เขาจ้องมาที่หน้าของเธอ "เปล่าหรอก ก็คิดอะไรเรื่อยๆ" แพรวปฏิเสธ "เอาอีกแล้วชอบคิดมากอยู่เรื่อยๆเลยนะแพรว 
ต้นบอกแล้วอย่าคิดมาก" ต้นตำหนิเหมือนเธอเป็นเด็กๆ "เรา.....เรา......" น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นไว้ตอนนี้มันกลั้นไว้ไม่ไหวเสียแล้ว "อยากร้องก็ร้องออกมาเลย ร้องออกมาให้หมด ต้นจะอยู่ข้างๆแพรวเองนะ" เขากุมมือของเธอเอาไว้เป็นการปลอบใจ สักพักแพรวก็หยุดร้องไห้ "ขอบใจมากนะ ถ้าไม่มีต้น เราก็คงไม่รู้จะไปร้องไห้กับใคร" แพรวเริ่มยิ้มออก "พี่ต้นคะ" 
เสียงแพรดังมาจากทางด้านหลังของทั้งสอง ต้นและแพรวหันไปทางต้นเสียงนั้น "แพรมีอะไรเหรอ" "แพรสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ค่ะ แล้วพ่อก็กำลังจะพาพวกเราไปเที่ยวต่างจังหวัดค่ะ" แพรยิ้มแย้มพูดคุยกับต้นโดยที่ไม่หันมาแพรว หรือสนใจเลยสักนิดว่าพี่สาวของเธอก็อยู่ที่นั่นด้วย "อย่างนั้นแพรวก็ไปกับเขาด้วยสิ" ต้นหันมามองหน้าแพรว เธออ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบอย่างไร "พวกเรา" ที่แพรหมายถึงนั้นคงหมายถึงแค่พ่อ แม่และแพรมากกว่า "ต้น แพรวขอตัวก่อนนะ จะขึ้นนอนแล้วล่ะ ฝันดีนะ" แพรวลุกขึ้นร่ำลาเพื่อนแล้วก็เดินเข้าบ้านไป ส่วนแพรอยู่คุยต่ออีกสักพัก ต้นก็ขอตัวเข้าบ้าน แพรวกลับมานั่งอ่านหนังสือนิยายของเธอต่อ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แพรวดีใจรีบไปเปิดประตู พ่อคงมาหาเธอสินะ แพรวเปิดประตูพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ทันใดนั้นรอยยิ้มนั้นก็จางไปเมื่อคนที่เคาะประตูนั้นไม่ใช่พ่อ แต่เป็นแพรนั่นเอง "ขอฉันเข้าไปในห้องหน่อย ฉันมีเรื่องจะคุยกับพี่" แพรพูดด้วยน้ำเสียงห้วน "เข้ามาก่อนสิ" แพรเดินเข้ามาทำท่าทางสำรวจห้องแล้วก็นั่งลงกับเตียงอย่างถือวิสาสะ "ฉันมีเรื่องจะคุยกับพี่" แพรวปิดประตูแล้วหันมามองหน้าน้องว่ากำลังจะบอกอะไรกับเธอ "พี่ต้นน่ะ เขาไม่เหมาะสมกับพี่หรอกนะ เขาทั้งหล่อ เรียนเก่งแล้วก็รวย แล้วดูตัวพี่สิมีอะไรเทียบเขาได้บ้าง ทางที่ดีพี่อย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า พี่ก็น่าจะรู้ตัวเองดีนะ ฉันพูดแค่นี้หวังว่าพี่คงจะเข้าใจ ถ้าไม่โง่จนเกินไป" ว่าแล้วแพรก็เปิดประตูห้องแล้วก็เดินกลับที่ไปที่ห้องของตัวเอง ทิ้งให้แพรวงุนงงกับคำพูดทั้งหลายของน้องสาว หลังจากวันนั้น แพรวพยายามหลบหน้าต้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดและไม่เข้าใจว่าหญิงสาวกำลังพยายามคิดจะทำอะไรกันแน่ "แพรว" ต้นเรียกเอาไว้ในขณะที่แพรวกำลังเดินจะเข้าบ้าน เมื่อได้ยินเสียงเรียกเธอก็รีบจ้ำอ้าวเพื่อหนีเข้าบ้าน แต่ไม่ทันต้นที่วิ่งมาดักหน้าเอาไว้ "นี่แพรวกำลังหลบหน้าต้นใช่ไหม" ต้นจ้องหน้าเธอพยายามจะขอคำตอบ "มันไม่ใช่อย่างนั้น" แพรวปฏิเสธ "แพรว แพรวเป็นอะไรไป บอกต้นสิ เกิดอะไรขึ้น" ต้นเริ่มเสียงดังขึ้น เขาเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วในตอนนี้ "แพรวเปล่า" เธอไม่รู้จะพูดอย่างไรได้แต่ปฏิเสธลูกเดียว ทั้งต้นและแพรวเริ่มทะเลาะเสียงดังมากขึ้น "ต้นรักแพรวนะ ได้ยินไหมต้นรักแพรว" เขาพูดเสียงดังและก็ดังมากพอที่แพรที่ยืนอยู่หน้าบ้านจะได้ยินด้วย แพรวดีใจเหลือเกินที่เธอได้ยินคำนั้นจากปากเขา แต่เธอไม่อยู่ในฐานะที่จะรับความรู้สึกนั้นได้ แพรวไม่รู้จะทำอย่างไร เธอได้แต่ร้องไห้ รู้สึกสับสนไปหมด อ้อมแขนที่แข็งแรงของเขาทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ความรู้สึกนี้ที่เธอไม่เคยได้จากผู้เป็นพ่อหรือแม่เลยสักครั้งเดียว แพรวรู้สึกอบอุ่นและมั่นคง แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้เธอแก้ปัญหาทุกๆอย่างได้ "พี่แพรว พี่ต้น" แพรตะโกนด้วยเสียงเกรี้ยวกราด ทำให้ทั้งสองผละจากกัน แพรวรีบปาดน้ำตาทิ้งให้หมด "พี่ทำอย่างนี้ได้ยังไงกัน ไหนพี่ว่ายกพี่ต้นให้ฉันแล้ว แต่วันนี้กลับจะกลืนน้ำลายตัวเองหรือไงกัน" แพรต่อว่า "นี่มันอะไรกันแพรว ต้นไม่เข้าใจ" ต้นหันมามองหน้าแพรว แววตาของเขาสับสนกับเรื่องที่ได้ยินมาก "พี่ไม่ได้พูดอย่างนั้นแพร" แพรวส่ายหน้าปฏิเสธ "พี่พูดสิ พี่พูด จำไม่ได้หรือไง" แพรขี้ตู่เอาอย่างนั้น เธอจ้องหน้าแพรว ดวงตานั้นแสดงแววเกลียดชัง "แพรว ต้นเข้าใจแล้ว แต่ต้นขอบอกอย่างนะ ต้นมีหัวใจ และไม่ใช่สิ่งของที่แพรวจะยกให้ใครก็ได้ แพรวใจร้ายมากที่ทำกับต้นอย่างนี้ ในเมื่อแพรวไม่ต้องการต้นก็น่าจะบอกกันดีๆ ไม่น่าทำกันอย่างนี้เลย ต้นเสียใจจริงๆ" ต้นมองแพรวด้วยสายตาที่เย็นชา แล้วคำว่า "รัก" ล่ะหายไปไหนกัน แพรวไม่อาจจะทนอยู่ตรงนั้นได้ ต้นเดินจากไปไม่ฟังแม้เสียงเรียกของเธอ แพรวจึงวิ่งเข้าบ้านไป แต่แพรยังคงตามเข้ามาในห้องรับแขกอีก "เธอทำอย่างนี้ทำไมกันแพร" แพรวร้องไห้ เธออยากจะรู้นักว่าน้องสาวของเธอทำไมถึงได้ใจร้ายอย่างนี้ "ฉันอยากจะให้พี่เจียมตัวเอาไว้ว่าพี่น่ะมันเป็นใครกัน พี่ไม่เหมาะกับเขา ฉันเคยเตือนพี่แล้ว พี่เองก็น่าจะรู้ตัว วันนั้นฉันคงพูดไม่ชัดเจน แต่วันนี้ฉันจะขอประกาศ ฉันรักพี่ต้น และจะทำทุกวิถีทางไม่ว่าจะทางใดก็ตามให้เขารักฉัน" "เธอมันปีศาจชัดๆ" มือของเธอฟาดลงไปบนใบหน้าของน้องสาวเสียงดังเพี๊ยะ "เกินไปแล้วนะ นังแพรว แกกล้าตบลูกชั้นเหรอ" เสียงแม่ตะวาด "แพรวทำร้ายแพรค่ะแม่ แม่ต้องช่วยแพรนะคะ" แพรรีบวิ่งแจ้นไปหลบหลังแม่และฟ้องแม่ทันที "แกกล้าดียังไงมาทำอย่างนี้กับลูกชั้น สู้น้องไม่ได้ อิจฉาน้องแล้วทำร้ายร่างกายน้องหรือไง มากไปแล้วนะ" แม่ฟาดฝ่ามือลงไปบนใบหน้าสีขาวซีดของแพรว เป็นการเอาคืนที่แพรวตบหน้าน้องสาว แพรวกุมใบหน้าของตัวเองไว้ น้ำตาไหลพรากอย่างกั้นไม่อยู่  "คำก็ลูกชั้น สองคำก็ลูกชั้น แพรวถามจริงๆเถอะ แม่เก็บแพรวมาเลี้ยงหรือเปล่า ทำไมแม่ไม่เคยรักแพรวเลย แม่ไม่เคยเห็นแพรวเป็นลูกเลยใช่ไหมคะ แพรวสู้น้องไม่ได้ แพรวไม่เคยทำให้แม่ภูมิใจ ไม่เคยทำให้แม่ดีใจเลยสักครั้งใช่ไหมคะ แม่ถึงไม่รักแพรว ใช่ไหมคะแม่"  แพรวมองหน้าแม่ จ้องมองหน้าผู้เป็นแม่หาคำตอบ ผู้เป็นแม่อึ้งไปเมื่อเห็นภาพนั้น แต่แล้วก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว "แกอย่ามานอกเรื่องนะ" แม่ตะวาด แพรวรู้สึกเสียใจมากที่แม่ไม่เคยเห็นความรู้สึกของเธอเลย เธอจึงเดินออกจากบ้านไป แต่ยังคงได้ยินเสียงแม่ที่ตะโกนด่าไล่หลังมา แพรวเดินมากดออดบ้านของต้น พี่เดือนคนทำงานบ้านเดินออกมาเปิดประตู และให้เธอรออยู่สนามหน้าบ้าน ต้นเดินมาพบเธอแล้ว แววตาของเขาที่มองเธอด้วยสายตาที่เย็นชาราวกับไม่รู้จักกันมาก่อน "ต้น แพรวขอโทษ แต่แพรวยืนยันว่า แพรวไม่เคยยกต้นให้ใคร แพรวรักต้น รักเสมอและจะรักตลอดไป" เธอพูดกับหลังของเขา เพราะต้นไม่แม้แต่จะหันหน้ามามองเธอ "เก็บคำว่ารักของแพรวไว้เถอะ ต้นซึ้งใจกับมันมาก กลับไปได้แล้ว ต้นมีงานต้องทำ" เขาตัดบท แพรวรู้สึกเสียใจที่แม้แต่คนที่เคยบอกจะอยู่ข้างเธอก็ยังเย็นชากับเธอ วันนี้แพรวไม่เหลือใครอีกแล้ว แพรวมองภาพชายหนุ่มที่เธอรักมากที่สุด ก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมน้ำตาเงียบๆ ต้นเหลือบมองหญิงสาวเล็กน้อย โดยไม่รู้เลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้มีโอกาสมองเห็นเธอในช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ คืนนั้นขณะแพรวเขียนจดหมายไว้สองฉบับวางไว้บนโต๊ะ แล้วเธอก็เดินลงไปข้างล่างพบแม่กำลังนั่งดูทีวีอยู่อย่างมีความสุขกับแพร เธอนั่งพับเพียบกราบลงที่เท้า แม่ไม่เข้าใจกับการกระทำของเธอจึงเอาเท้าหนี แพรวเงยหน้าขึ้นมองแม่ "ขอให้แพรวได้มีโอกาสกราบแม่เป็นครั้งสุดท้าย" เธอพูดทั้งน้ำตา แล้วก็เดินจากไปขึ้นห้องนอน เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อกลับมาบ้านพร้อมกับตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวภูเก็ต พ่อเปิดประตูห้องนอนของแพรว เพื่อจะพาลูกสาวคนโตไปเที่ยวด้วย แต่สิ่งที่เห็นคือ แพรวยังคงนอนอยู่บนเตียงเช่นเดิม "แพรวไปเที่ยวกันเถอะลูกเอาแต่นอนอยู่เดี๋ยวก็ตกเครื่องหรอก ปกติเราไม่นอนขี้เซาอย่างนี้นี่" พ่อเดินยิ้มมานั่งลงที่เตียงข้างๆเธอ แต่แพรวยังคงนอนไม่ลุกขึ้นมาคุยมายิ้มกับพ่อเหมือนเดิม "แพรว แพรว" พ่อเรียกย้ำอีก มือที่กำอยู่แบออก ยานอนหลับจำนวนมากอยู่ในมือของเธอ พ่อมองแล้วหน้าซีด "แพรว ไม่นะ แพรวลูกอย่าทำอะไรโง่ๆนะ แพรว" พ่อตะโกนร้องสุดเสียงด้วยความตกใจ พ่อกอดร่างที่ไร้วิญญาณของแพรวเอาไว้แน่น บัดนี้เธอไม่ต้องแบกความทุกข์ไว้อีกแล้ว ไม่ต้องเสียใจและไม่ต้องมีน้ำตาอีก มีเพียงซองจดหมายสองซองที่พอจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่  ขณะที่กำลังอ่านจดหมายฉบับนี้แพรวคงไม่อยู่ที่นี่แล้ว แพรวอยากจะขอโทษในทุกๆอย่าง แม้แพรวจะไม่ใช่ลูกที่ดี ไม่เคยทำให้พ่อและแม่ภูมิใจ แพรวอยากเห็นรอยยิ้มของแม่สักครั้งที่ยิ้มให้แพรว แต่ตอนนี้แพรวคงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว แม้แม่จะไม่เคยรักแพรว แม้แม่จะว่าแพรวแต่แพรวไม่เคยโกรธแม่เลยสักครั้ง แพรวรู้ตัวดีว่าแพรวไม่เคยทำให้แม่ชื่นใจ จะแปลกอะไรถ้าแม่จะไม่รักแพรว แพรวรู้ฐานะของตัวเองดี วันนี้ไม่มีแพรว แม่คงสบายใจ แพรวหวังว่าการตัดสินใจของแพรวครั้งนี้คงจะถูกใจแม่ อย่างน้อยก็มีสักครั้งที่แพรวได้มีโอกาสทำเพื่อแม่แพรวอยากบอกพ่อกับแม่ว่า"แพรวภูมิใจค่ะที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรืออะไรจะเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าแพรวจะไปอยู่ที่ไหน แต่มีสิ่งนึงที่ยังเหลืออยู่ และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปคือ แพรวรักพ่อกับแม่ค่ะ" รักเสมอจากลูกสาวคนโต แพรว.  "แพรว ไม่นะลูกไม่" พ่อยังคงร้องไห้เสียใจกับการจากไปกับลูกสาวคนโต "แพรวววววววววววววววววว................." เสียงของผู้เป็นแม่ร้องไห้ เธอไม่น่าเลย ต้นเหตุที่ทำให้แพรวตัดสินใจอย่างนี้ก็คือเธอ เธอคนเดียว แม่ร้องไห้เสียใจกับการกระทำของตัวเอง "แพรวลูกรัก แม่ขอโทษที่ไม่เคยใส่ใจลูก ไม่เคยจะสนใจความรู้สึกของลูก แม้ลูกจะไม่เคยทำอะไรให้แม่ภูมิใจ แต่แม่ก็รักลูก แม่ขอโทษลูก แพรวลูกอยากเห็นแม่ยิ้มให้ลูกใช่ไหมจ๊ะ แม่จะยิ้มให้ลูกเห็นนะลูก แม่จะเอาใจลูกให้ทุกอย่างที่ลูกต้องการเลย ขออย่างเดียวอย่างทิ้งแม่ไปนะลูก กลับมาหาแม่สิลูก แพรววววว" ผู้เป็นแม่ร้องไห้คร่ำครวญ ต่อร่างที่ไม่ไหวติงของลูกสาว แพรวกอดแม่เอาไว้แน่น นี่แหละที่เธออยากทำมานาน ต้นตื่นขึ้นมาตอนเช้า พี่เดือนยื่นซองสีชมพูให้เขา ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมากว่านั่นคืออะไร "จดหมายจากคุณแพรวค่ะ" พี่เดือนบอกแค่นั้น ต้นรับมาอย่างงุนงง เขาค่อยๆแกะจดหมายออก เห็นใจความจดหมายว่า กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ ถึง ต้นคนที่แพรวรักมากที่สุด แม้ต้นจะไม่ยอมรับคำว่ารักจากแพรว แต่แพรวก็ยังจะยืนยันว่าแพรวรู้สึกเช่นนั้น แพรวรักต้นและรักมานานแล้ว ต้นเป็นคนแรกและคนเดียวที่อยู่ข้างแพรวในยามที่แพรวท้อแท้ และหมดกำลังใจ และเป็นคนเดียวที่แพรวรัก แพรวดีใจมากที่ได้ยินว่าต้นเองก็รักแพรวเช่นกัน แต่ต่อไปนี้จะไม่มีแพรวที่ขี้แย ต้องร้องไห้ให้ต้นคอยปลอบอีกแล้ว แพรวรักต้นเสมอนะและจะรักตลอดไปไม่ว่าแพรวจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม รักตลอดไป แพรว.  "แพรว เอามาให้หรือครับพี่เดือน" ต้นหันมาถาม "เปล่าหรอกค่ะ คุณวินิตคุณพ่อของเธอเอามาให้ค่ะ คุณแพรวเธอเสียแล้วค่ะ" "แพรวตายแล้ว" คำพูดนั้นยังคงก้องอยู่ในหูของเขา "ไม่จริงแพรวไม่ตาย ไม่............" ต้นร้องอย่างบ้าคลั่ง หลังจากได้รู้จากพี่เดือนว่าแพรวกินยานอนหลับเกินขนาดจนเสียชีวิตเมื่อคืน เขาเองก็มีส่วนผลักดันให้เธอทำเช่นนั้น เขายืนค้างไร้ความรู้สึกใดๆ แต่แล้วก็มีลมผ่านมาเย็นๆวูบหนึ่ง แล้วกลายเป็นความรู้สึกที่อบอุ่น "ต้น แพรวรักต้นที่สุด แพรวอยากอยู่กับต้น อยากให้ต้นอยู่ข้างๆแพรว แต่แพรวคงทำไม่ได้แล้ว แพรวต้องไปแล้ว ถึงเวลาของแพรวแล้ว" แพรวกอดเขาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจากไป ต้นรู้สึก รู้สึกได้ว่านั่นคือแพรว แต่เขาคงไม่มีทางรั้งเธอไว้ได้อีกแล้ว เขาเป็นคนที่อยู่ข้างๆเธอคอยดูแลเธอ ให้ความรักกับเธอ แพรวเองรักเขาแต่วันนั้นเขากลับปฏิเสธความรู้สึกของเธอ ทำลายความรู้สึกของเธออย่างไม่ไยดี วันนี้สวรรค์คงลงโทษเขาแล้ว แพรวจากไปแล้ว เขาไม่มีโอกาสได้ดูแลผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดอีกแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็คือคำว่ารักกับเวลาที่สายไป นั่นคือบทลงโทษที่สวรรค์มอบให้. 				
24 ตุลาคม 2545 12:20 น.

กฏที่สำคัญ...ของหัวใจ

บัวน้ำเงิน

เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนบัวอยู่ประถมศึกษาชั้นที่6 คือปีสุดท้ายยังไงล่ะค่ะ
แล้วเผอิญว่าวันนั้นน่ะค่ะ มีผู้ชายหลายคนมาบอกว่าเขาน่ะ รักบัว
บัวเองมีคนที่ชอบแล้วค่ะ แต่บัวก็ไม่ปฏิเสธพวกเขา
      เพราะมีอย่างหนึ่งที่บัวรู้ก็คือ การไปบอกว่ารักคนๆหนึ่งๆค่ะ มันต้องใช้ความกล้าแค่ไหน
อย่างที่บอกไปว่า บัวมีคนที่ชอบแล้ว เขาเป็นกัปตันชมรมบาสค่ะ มีผู้หญิงชอบเขาอยู่มากทีเดียวค่ะ
มีครั้งหนึ่งเขามาหาบัวที่ห้องให้ไปเป็นนักกีฬาประจำสีค่ะ
แล้วแฟนคลับเขาน่ะค่ะ ก็รุมทำร้ายบัว บัวเสียใจมากที่เกิดเรื่องอย่างนี้ค่ะ
        ที่ผ่านมาบัวก็เลยไม่เคยปฏิเสธใครเลยค่ะ บัวอยากให้ทุกคนสมหวังในรักของทุกคนนะคะ
แล้วบัวก็ไปบอกพี่คนที่บัวชอบว่าบัวชอบเขาค่ะ พี่เขาบอกว่าพี่เขาก็ชอบบัวค่ะ
แต่ตอนนี้เรา2คนไม่ได้คบกันแล้วค่ะ เพราะว่าพ่อของพี่เขาต้องไปทำงาานที่Singapore เพราะฉะนั้นทุกทีที่ปิดเทอมบัวก็จะไปอยู่สิงคโปร์10วันค่ะ แต่บางครั้งพี่เขาก็มาหาเหมือนกันค่ะ
         เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนมีความรักนะคะ บัวก็อยากบอกว่า พยายามค่ะ แล้วทุกคนก็จะสมหวังนะคะ 
อย่าเป็นเหมือนบัวที่ไม่มีความกล้านะคะ เพราะว่าบัวน่ะค่ะ แอบมองพี่เขามาตั้งแต่ป.2นะคะ สู้ตายนะคะ บัวจะเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนเลยค่ะ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟบัวน้ำเงิน
Lovings  บัวน้ำเงิน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟบัวน้ำเงิน
Lovings  บัวน้ำเงิน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟบัวน้ำเงิน
Lovings  บัวน้ำเงิน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงบัวน้ำเงิน