25 กรกฎาคม 2550 10:22 น. - comment id 9145
ไปที่ชอบ ที่ชอบนะคะ ถ้าไปที่ไม่ชอบคงกลับมาแล้วละค่ะ
25 กรกฎาคม 2550 16:00 น. - comment id 9147
คงจะแล้วแต่ ญาติพาไปเก็บที่ไหนมั้งพี่อิอิ
25 กรกฎาคม 2550 17:08 น. - comment id 9150
ถ้าถึงเวลาแล้วจะมาบอกนะ......
25 กรกฎาคม 2550 20:01 น. - comment id 9159
ไช่..ไปที่ชอบๆครับ คิดเหมือนคุณ มณีจัานทร ์ ไปที่ชอบที่ว่านี้คือ 1..อาบอบนวด 2 เที่ยวเท็คอะไรอีกเแยะ
27 กรกฎาคม 2550 09:44 น. - comment id 9188
มันก็อยู่ที่คุณเคยทำอะไรไว้ ผลของการกระทำนั้น จะส่งให้ไปในที่เหมาะสม
29 กรกฎาคม 2550 22:14 น. - comment id 9202
เพื่อนๆค่ะ ไปอ่านคำตอบข้างบนนะคะ ว่า ตายแล้ว...ไปไหน แล้วเพื่อนๆ จะรู้คำตอบค่ะ อิอิ
1 สิงหาคม 2550 15:41 น. - comment id 9230
"คนเราตายแล้วไปไหน" ก็คงเป็นคำถามที่เราต่างพากันค้นหาคำตอบ เหมือนกับประโยคที่ว่า "คนเราเกิดมาเพื่ออะไร" เท่าที่เคยได้อ่านและได้ศึกษามา รวมถึงนักธรรมอาวุโสหลายท่านได้ชี้แนะ ผู้น้อยหวังว่า การบอกกล่าวครั้งนี้ อาจไม่กระจ่างแจ้ง หรืออาจจะฟังดูแล้วงมงาย แต่ก็อยากจะบอก หากแม้จะมีประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ และอยากศึกษาธรรมะบ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ ว่ากันว่า คนเราเกิดมาเพื่อทำภารกิจหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการกระทำในอดีตชาติประกอบกันมาหลายครั้งหลายครา เหตุใดสรรพสิ่งในโลกนี้ ล้วนแตกต่างกันออกไป แม้จะเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ฐานะ รูปร่าง หน้าตา ความเป็นอยู่ นิสัย จิตใจ จึงแตกต่างกัน นั่นก็เพราะเหตุของการกระทำในครั้งอดีตชาติที่ได้สะสมต่อ ๆ กันมา หรืออาจจะพูดได้ว่า คนเราเกิดมาใช้กรรม นั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง ว่ากันว่า การเกิดเป็นคนนั้นยากนัก ถ้าในอดีตชาติไม่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญศีลมา อย่างเต็มเปี่ยม ก็ยากที่จะมาเกิดเป็นคน หรือแม้เกิดมาได้ก็อาจมีร่างกายที่ไม่ครบ 32 ประการ ขาดตกบกพร่องไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สัตว์ต่าง ๆ ที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้ ก็มีกรรมที่แตกต่างไป จากเรา ทุกสิ่งมีชีวิตเหมือนกันตรงที่เกิด และตาย แต่จิตญาณไม่ได้ดับสูญ จนกว่าจะหลุดพ้นจากการเวียน วาย ตาย เกิด ร่างกายที่เราสัมผัส แตะต้อง รู้ร้อน หนาว เจ็บ ปวด สุข เศร้าได้นั้น เรียงว่ากายสังขาร เราแค่อาศัยร่างให้จิตญาณของเราได้อยู่เท่านั้น แต่สุดท้ายเมื่อถึงเวลาเราก็ต้องสละร่างนั้นไป ดังนั้น หลาย ๆ คนอาจเคยได้ยินคำที่ว่า ชีวิตไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เราไม่สามารถเอาอะไรไปได้เมื่อตายไป ร่างกายถึงวันเวลาก็หมดอายุขัย แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้ตายไปด้วยก็คือ จิตวิญญาณของเรา ทำให้เราจึงยังเวียน ว่าย ตาย เกิด อยู่แบบนี้ อย่างไม่สิ้นสุด ชาตินี้เราเกิดมาเป็นคน ก็ยากมากที่ชาติหน้าจะเกิดเป็นคนได้อีก นอกจากจะเป็นสัตว์อะไรสักอย่าง ซึ่งจะเป็นไปตามการกระทำของเราเมื่อเป็นมนุษย์ ผู้ที่จะหลุดพ้นจากวิบากกรรม ทุกขเวทนา ต่าง ๆ ได้ ก็คือผู้ที่ต้องบำเพ็ญธรรมะอย่างมาก ซึ่งตัวผู้น้อยเองก็ยังยอมรับว่าเป็นอะไรที่ทำได้ยากมาก เพราะการจะบำเพ็ญธรรมะถึงขั้นหลุดพ้น จากการเวียนว่ายตายเกิดนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรก ๆ คือ ต้องเว้นจากการฆ่าสัตว์ ซึ่งมนุษย์เราต่างก็ยังบริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ตัวเราจึงยังเป็นเหตุแห่งการทำให้ต้องมีการฆ่าสัตว์ต่าง ๆ เพื่อนำมาทำอาหาร ผู้น้อย เคยสงสัยเหมือนกันว่า ถ้าเราไม่บริโภคเนื้อสัตว์ มันก็ต้องล้นโลกซิ แต่นักธรรมผู้อาวุโส ที่ตั้งปณิธานกินเจ ตลอดชีวิต (คือไม่ทานสรรพสิ่งมีชีวิตใด ๆ ในโลกทั้งสิ้น) บอกผู้น้อยว่า "นั่นเป็นข้ออ้างของมนุษย์ แท้จริงธรรมชาติสร้างความสมดุลให้กับโลกใบนี้อยู่แล้ว" แต่โลกนี้เปลี่ยนแปลงไป ก็เพราะความไม่เพียงพอของมนุษย์เราเอง นักธรรมอาวุโส ให้ข้อคิดผู้น้อยว่า คนเราต่างก็อยากได้บุญ แต่ทุกครั้งที่เอาอาหารไปถวายพระ เคยดูไหมว่าเอาอะไรไปถวาย อาหารที่ได้จากการฆ่าสัตว์เหล่านั้น นี่หรือคือบุญ เราต่างกราบไว้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องฆ่าหมู เป็ด ไก่ เนื้อ โค ไปเซ่นไหว้ นี่หรือคือบุญ ทุกเทศกาล แม้แต่งานแห่งความสุขของชีวิตที่เราเรียกกันว่า "งานแต่งงาน" บางบ้าน บางพื้นที่ต้องล้มหมู วัว โค มากมายเท่าใด เรามีความสุขอยู่กับการเข่นฆ่า ของสัตว์เรานี้ นี่หรือคือความสุขที่แท้จริงของชีวิต นักธรรมอาวุโส บอกกล่าว ผู้น้อยว่า ยากนักที่เราจะเปลี่ยนแปลงความเคยชินที่เรามีอยู่ ไม่ได้ชี้แนะว่า การกินเจ แล้วจะได้บุญได้กุศล ซึ่งจริง ๆ มันก็ไม่ได้ หรอก บุญ กุศลน่ะ เพียงแต่ทำให้เราไม่ต้องเพิ่มปริมาณบาป กรรม ให้กับตัวมากไปกว่านี้ เท่านั้นเอง เคยเห็นคนฆ่าวัว ฆ่าหมู สัตว์เหล่านั้นเขาทุกข์ทรมานหรือเปล่า เพราะความอยากของมนุษย์ ใช่ไหม ถ้าเราตัดความอยากออกไปได้ เขาก็ไม่เจ็บปวด บางคนคิดว่าสัตว์พวกนั้น ตายก่อนถึงมือเราเสียอีก แต่ถ้าไม่มีคนทาน เขาจะตายไหม ทุกครั้งที่กิน นึกถึงเวลาที่เขาถูกฆ่า ถ้านึกอย่างนี้แล้วจะทานลงหรือเปล่า อืม ผู้น้อยได้ฟัง ก็คิดว่า การจะหลุดพ้น จากการเวียน ว่าย ตายเกิด ในข้อแรก ก็ยากมากล่ะ แล้วอาวุโสทุก ๆ ท่านคิดว่าทำได้บ้างไหม น้อยคนที่จะทำได้ แต่ก็ไม่อยากเกินความศรัทธา และความเมตตาในตัวของท่านเอง เมื่อก่อนตัวผู้น้อยเองก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหล่านี้เท่าไหร่ เคยคิดด้วยซ้ำว่า คนกินเจ คือพวกหลอกตัวเอง จึงเป็นคำถามที่ยังสงสัยว่า เมื่อไม่ทานเนื้อสัตว์ เหตุใดต้องทำอาหารให้มีหน้าตา รูปร่าง รสชาติ เหมือนสัตว์เหล่านั้น นักธรรมผู้อาวุโส บอกผู้น้อยว่า จริง ๆ คนที่เค้าทานเจเป็นปกติของเค้า ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่เหตุที่ต้องทำแบบนี้ ก็เพื่ออยากจะดึงดูด คนที่ไม่เคยทานให้ลองทานดูบ้าง เพราะความเคยชินกับสิ่งที่เราทาน ทำให้หน้าตาอาหารเจ ในช่วงก่อน ๆ ดูไม่น่าทานนัก ซึ่งเมื่อก่อนผู้น้อยเอง ก็ไม่เคยทาน แต่พอได้ทาน ก็เหมือนอาหารทั่วไป เพียงแต่ไม่ได้ไปเบียดเบียนเนื้อสัตว์ ไม่ได้กินเนื้อแห่งความเจ็บปวด และอาฆาตแค้นของสัตว์เหล่านั้นไปด้วย ก็ทำให้เรารู้สึกสบายใจ ไม่ต้องกลัวว่า เราจะขาดสารอาหาร บอกได้เลยว่า อาจารย์ของผู้น้อยแข็งแรง และสุขภาพดีทีเดียว บริจาคโลหิตได้อีกด้วย เพราะโปรตีน ไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์ อย่างเดียวเท่านั้น เราอาจไม่ได้ทานตลอดชีวิต ถ้าเราทำไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็อาจจะทานเจ งดเนื้อสัตว์ ในช่วงวันพระ วันสำคัญทางศาสนา วันเกิด เพื่อเป็นการแผ่เมตตาให้สัตว์เหล่านั้น ซึ่งเพื่อน ๆ ของผู้น้อยก็ทำเช่นนั้น ผู้น้อยเองก็ไม่รู้จะบอกอะไรได้มากกว่านี้ ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากวิจารณญาณของทุกท่าน ไม่มีใครไปบังคับได้หรอก เรามีชีวิตขณะนี้ บางท่านอายุยังน้อย นึกว่าความตายอยู่ห่างไกลเรานัก แต่แท้จริงเราดำเนินชีวิตอยู่กับความตายทุกขณะ ทำไมโลกปัจจุบัน ผู้คนถึงได้จิตใจต่ำลง แม้วิวัฒนาการต่าง ๆ จะล้ำหน้าทันสมัยมากมาย ก็เพราะคนเราขาดธรรมะในใจ เราต่างเห็นแก่ตัวมากขึ้น ทำไมมีข่าวพ่อข่มขื่นลูก ลูกข่มขื่นแม่ ลูกฆ่าพ่อ แค่เรื่องเล็กน้อยก็ชุดฉนวนให้ฆ่ากัน อย่างไม่สะทกสะท้าน ทำไมโลกเราถึงแปรปรวน ภาวะโลกร้อน การวางระเบิด สงคราม ที่นับวัน ๆ จะทวีความรุนแรงขึ้น ว่ากันว่า นี่คือยุคสุดท้ายแล้ว เหลืออีกไม่กี่สิบปี เราจะเดินไปเจอะเจอศพตามท้องถนนมากมาย มีไม่กี่คนที่รอดชีวิต และไม่แน่ว่าผู้ที่นอนจมกองเลือดนั้น อาจเป็นเราหรือท่าน ๆ ก็ได้ การศึกษาธรรมะ ไม่ได้ต้องการทำให้เรา ๆ หรือท่าน ๆ มีบุญ กุศล มาถมชีวิตเราเลิศล้ำค่าทวีคูณอะไรหรอก เพียงแต่อยากให้ธรรมะได้ขัดเกลาจิตใจที่มัวหมอง ที่เห็นแก่ตัว เอาสิ่งที่ไม่ดี ออกบ้าง เราต่างอยากได้ ก็คว้ามาทับจนมองไม่เห็นทาง แต่ถ้าเราเอาออกบ้างจะพบทางสว่าง จะเกิดความเห็นอกเห็นใจ และมีเมตตาเพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งปวงมากขึ้น ภัยพิบัติต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ แล้วสิ่งที่พูดมา เกี่ยวข้องกับการตายแล้วไปไหนอย่างไร ถ้าบอกว่าต้องไปยมโลก นรกภูมิ ทุกคนก็จะบอกว่า งมงายดูหนังมากเกินไป ผู้น้อย จึงบอกว่าแล้วแต่วิจารณญาณของท่านจริง ๆ สิ่งสำคัญที่ผู้น้อยอยากบอก ก็คือ ชีวิตที่เราที่อยู่นี่ ไม่รู้ว่าเหลืออีกเท่าไรที่จะหมดอายุขัย โปรดจงทำดี ทั้งกาย วาจา ใจ เราไม่จำเป็นต้องออกบวช หรือนุ่งขาว ห่มขาว เพราะทุกวันนี้ ธรรมะ เกิดขึ้นได้และเดินทางมาให้บำเพ็ญในครัวเรือน ขอเพียงเราศรัทธา และเชื่อเรื่องบาป บุญ คุณโทษ หมั่นทำความดี และช่วยฉุดคนดี และไม่ดี ให้เค้าเห็นสัจธรรม หลุดพ้นจากบ่วงกรรม หรือลดลงบ้างก็ยังดี มีผู้คนมากมายที่ตอนมีชีวิตไม่เคยสนใจธรรมะ ไม่เคยให้สิ่งใดใคร ไม่เคยเข้าวัดเข้าวา มีแต่ความอยากได้ มีความสุขอยู่บนความทุกข์ผู้อื่น ก่อนใกล้ตาย มักจะโหยหา อยากจะไหว้พระ อยากจะทำบุญ เคยคิดไหมว่าเพราะอะไร เรามีชีวิต มีแรงที่จะทำความดี ก็จงทำให้เต็มเปี่ยมเถอะคะ ถ้าอยากรู้รายละเอียดของชีวิตคนเรานั้น ถ้ามีโอกาสบุญวาระอันควร ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ดลจิตให้ทุก ๆ ท่านได้เข้ารับธรรมะ วิถีธรรม อนุตตรธรรมอันสูงสุด กันเพื่อความสันติสุข ต่อไปด้วยนะคะ หากการนำเสนอผ่านสื่อออนไลน์ของผู้น้อยมีความผิดพลาดประการใด ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระมหากรุณาธิคุณจากฟ้า ดิน โปรดจงประทานอภัย และขอให้ผู้อาวุโสทุกท่านได้โปรดชี้แนะต่อไป ขอบคุณคะ...
16 กุมภาพันธ์ 2551 20:14 น. - comment id 20356
9ตายแล้วเราจะ"ปไหนเหรอ ใครจะไปรู้ ส่วนMaga2499 Songdao ขอให้ได้ไปอยู่ในความเมตตาของพระองค์ อัลลอฮ์ ซ.บ
30 มีนาคม 2551 20:37 น. - comment id 20565
ไม่รู้ชิ เพราะคนที่ตายไป ไม่เห็นใครกลับมาบอกได้สักคน ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน
10 พฤษภาคม 2552 11:45 น. - comment id 22816
ใครอยากรู้ก็ลองตายดู แล้วแต่เวรแต่กรรมของแต่ละคน ไม่มีใครบอกได้ ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของตนเอง คือกรรมดีกรรมไม่ดีที่จะติดตามไป