12 ตุลาคม 2548 13:08 น.
บพิตร
@สายน้ำท้นท่วมเวียง
อื้ออึงเสียงคนไถ่ถาม
น้ำนองท่วมเขตคาม
ด้วยเหตุใดใครคนทำ
@เทวดาปล่อยฟ้ารั่ว
ฝนตกทั่วเกินชุ่มฉ่ำ
มากล้นจนระกำ
จึงเอ่อท้นท่วมพารา
@บ้างว่าเพราะตัดไม้
ต้นน้อยใหญ่ราบทั้งป่า
ฝนหลั่งถั่งโถมมา
จึงไหลหลากยากป้องกัน
@บ้างว่าเพราะคนรุก
ดินหินคลุกบุกฝั่งกั้น
น้ำกว้างแคบลงพลัน
ทางตีบตันจึงล้นนอง
@หรือเพราะน้ำตื้นเขิน
เป็นโขดเนินหินทรายกอง
ใต้น้ำไร้คนส่อง
ขุดลอกให้ไหลคล่องตัว
@อย่าเลยอย่าโทษใคร
ขอบอกให้รู้กันทั่ว
เพราะคนเห็นแก่ตัว
ธรรมชาติจึง เอาคืน
11 ตุลาคม 2548 13:17 น.
บพิตร
@ดอยหลวงสูงเสียดฟ้า
เลียบเมฆาน่าเกรงขาม
ลดหลั่นเป็นชั้นงาม
ยามต้องแสงแห่งอรุณ
@รวยรินระริกไหล
ธารน้ำใสเคล้าไออุ่น
หมอกขาวพราวจำรูญ
ห่มพฤกษ์ไพรไร้มลทิน
@สรรพสัตว์แสนเริงร่า
หลากมาลาล้อภุมริน
สรรพเสียงเยี่ยงเพลงพิณ
ประโคมป่าพาชื่นใจ
@วันนั้นพลันแตกตื่น
เสียงครางครืนพื้นสั่นไหว
โครมครามยามเคลื่อนไป
กระเช้าลอยเหนือดอยงาม
@มันเป็นเช่นสัตว์ร้าย
ที่เยื้องกรายหมายคุกคาม
แผดร้องก้องคำราม
ข่มป่าเขาลำเนาไพร
@สัตว์ป่าก้มหน้านิ่ง
สายน้ำปิงสะอื้นไห้
ลมสงัดไม่พัดไกว
ดอยหลวงหลับกับน้ำตา.
13 กันยายน 2548 14:48 น.
บพิตร
@ สงสัยนัก หน้าคน อยู่ตรงไหน
เพ่งมองไป ไม่เห็น ที่เป็นหน้า
ใช้มองเห็น ก็เรียก ว่าดวงตา
ทั้งสีฟ้า สีดำ ตามเผ่าพันธุ์
@ บ้างตาโต ตาหยี มีให้เห็น
ยามลำเค็ญ ตาละห้อย ลอยยามฝัน
อยากจะได้ มองเห็น ตาเป็นมัน
สายตาสั้น สายตายาว คราวแก่วัย
@ สูงขึ้นไป เป็นคิ้ว ริ้วเรียวขน
บางคนหนา บางคนบาง ต่างไฉน
บ้างก็โก่ง บ้างก็เฉียง เรียงกันไป
บ้างเขียนไว้ หลอกตา ให้น่ามอง
@ ส่วนหน้าผาก อยู่ใต้ ไรเกษา
แก่ตัวมา มีรอยย่น คนหม่นหมอง
ผมถอยร่น ขึ้นมาก จากครรลอง
คนก็จ้อง เรียกหัวล้าน สะท้านใจ
@ ใต้ดวงตา ลงมา คือนาสิก
ทั้งสองปีก มีรูลึก นึกสงสัย
บ้างบี้แบน โด่งบาน ต่างกันไป
เหตุไฉน ต่างกัน ทุกชั้นชน
@ ใกล้จมูก สองข้าง คือปรางแก้ม
บ้างก็แซม เรียงราย ด้วยไรขน
บ้างป่อง ยุ้ย อูม เต่ง แบบของตน
แต่บางคน แก้มตอบ ยอบติดฟัน
@ เลยสองแก้ม คือหู มีสองข้าง
ทั้งหูกาง หูยาว และหูสั้น
มีติ่งหู ใบหู ดูต่างกัน
สารพัน เสียงดังค่อย คอยเงี่ยฟัง
@ ริมฝีปาก แตกต่าง ทั้งบางหนา
บ้างก็ทา สีแดง แต่งให้ขลัง
ไว้ลิ้มรส อาหาร หวานหรือจาง
เป็นช่องทาง ผ่านสำเนียง เสียงวาจา
@ อยู่ใต้ปาก คือคาง บ้างเหลี่ยมแหลม
บ้างก็แซม ด้วยเคราครึ้ม บ้างคางผ่า
บ้างยื่น ยาน บ้างกลม มน ปนกันมา
บ้างเรียกว่า ปากบาง ลูกคางกลม
@ มองจนหมด ส่วนไหน คือใบหน้า
มีหู ตา จมูก คาง ช่างเหมาะสม
มีหน้าผาก ปาก แก้ม ฟันแหลมคม
จะหาชม ใบหน้า หาไม่เจอ
@ เหตุไฉน ใยมนุษย์ กลัวเสียหน้า
มองไปมา ไม่มีหน้า อย่าพลั้งเผลอ
คิดเอาเอง ว่าเสียหน้า อย่าละเมอ
คนคงเพ้อ ว่าเสียหน้า บ้าไปเอง.
13 กันยายน 2548 12:15 น.
บพิตร
@ รักเอยฤารักจักล่มแล้ว
เหมือนเรือแจวเพียบแอ้กลางแม่น้ำ
มือถือพายเคยมุ่งมั่นผ่านโมงยาม
ลัดเขตคามคดเคี้ยวเลี้ยวเลาะไป
@ สองเราช่วยตวัดพายสายน้ำเชี่ยว
เป็นหนึ่งเดียวด้วยรักช่วยผลักไส
นาวารักลอยล่องท้องธารไกล
สองดวงใจฟันฝ่าน่าชื่นชม
@ สัมภาระหนักอึ้งจึงเหนื่อยอ่อน
บางครั้งผ่อนแรงพายคล้ายขื่นขม
พายุฝนสาดซ้ำต้องช้ำตรม
เจ็บระบบอ่อนล้าพาอ่อนใจ
@ เธอพายก่อนฉันเมื่อยเหนื่อยหนักหนา
เธอก็ล้าฉันก็ล้าอย่าเฉไฉ
ถ้าเธอหยุดฉันก็พักจักเป็นไร
แล้วเมื่อไหร่จะถึงฝั่งช่างมืดมน
@ ภาระหนักคนอ่อนไหวไม่ร่วมสาน
จึงถึงกาลโต้เถียงเลี่ยงเหตุผล
เธอก็หนักฉันก็เหนื่อยฉันก็คน
ความอดทนสิ้นสุดเกินฉุดดึง
@ รักเอยเคยรักจักเหลือไว้
รอยอาลัยเป็นแผลลึกให้นึกถึง
นาวารักอับปางลงกลางบึง
ณ ก้นบึ้งหัวใจใครสองคน.
7 กันยายน 2548 12:26 น.
บพิตร
@ ล่วงไปแล้วเวลา
ดั่งธาราไปไหลกลับ
แสงสูรย์ที่ลาลับ
ยังย้อนมาเมื่อฟ้าสาง
@ เวลาดั่งชีวิต
ตามลิขิตบนเส้นทาง
ดุ่มเดินก้าวหนีห่าง
ทิ้งรอยย่ำย้ำติดดิน
@ ไม่มีทางคืนหวน
ถึงคร่ำครวญไม่ยลยิน
ไหว้วอนน้ำตาริน
ก็อย่าหวังจะกลับคืน
@ ทุกข์สุขหรือดีชั่ว
ที่หวาดกลัวหรือขมขื่น
โศกตรมหรือหวานชื่น
ที่ผ่านแล้วย่อมเลยไป
@ จงมองไปข้างหน้า
ที่ปลายฟ้ายังสดใส
ความหวังอยู่ไม่ไกล
จงก้าวย่างอย่างมั่นคง
@ เวลาที่เหลืออยู่
ขอจงสู้อย่านึกปลง
เวลาไม่หมดลง
ต้องสมหวังเข้าสักวัน.