28 พฤษภาคม 2548 18:59 น.
น.นิรัติศัย
เพียงสายลมพัดผ่าน บางครั้งมันทำให้จิตใจฉันคลายจากความสับสนที่บีบราวระฆังที่ดังในวันวิวาห์
ไม่นานฉันต้องออกเดินทางต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฉันเดินผ่านรถรา ที่แออัดเป็นก้อนถ่านขนาดเท่าหัวแม่มือ
ย่ำต่อไปอย่างไรจุดหมายอ้อมแสงตะวันยามเช้าด้วยการสวามิภักดิ์ต่อหอคอยสูงเสียดฟ้าที่รายล้อม ต่างแย่งชิงและเติบโต
เพื่อหลุดพ้นจากโคลนตมก่อนอ่าแขนรับแสงตะวันโดยไม่ลืมที่จะอาบตัวตนด้วยสารกันบูด
จุดหมายต่อไป เชียงใหม่ เมื่ออบอุ่นด้วยไอหมอกและควันไฟยามเช้าตรู่ หลังจากซื้อตั๋วเดินทางพร้อมเก็บสัมภาระต่างๆ
เพียงพอต่อการไม่หวนกลับมาที่นี่อีกเลย ฉันไม่แน่ใจนัก กับคำถามในใจที่ว่า "ไม่หวนกลับมาที่นี่อีกเลย"
อย่างน้อยความรัก ของฉันเกิดขึ้นที่นี่ และมันได้จบลงที่นี่เช่นกัน
11 พฤษภาคม 2548 20:11 น.
น.นิรัติศัย
หากโลกนี้ไม่มีนาฬิกา
คนเราจะเป็นอย่างไรนะ ถ้าหากไม่มีช่วงเวลา ก็คงไม่ต้องคิดและยึดติดกับเวลาที่หมุนตาวัน
เวลาเท่านั้น เวลาเท่านี้
ฉันหละ หากครั้งใดไม่ได้จดๆ จ่อๆ อยุ่ที่หน้าปัดนาฬิกา มันดูเหมือนขาดความมั่นใจ ภายใต้เสียงกระซิบของการรอคอยว่างั้นเถอะ
ดูเวลาทุกๆ 1 ชั่วโมง 10 นาที
ฉันบ้า... หรือเปล่า ฉันเป็นโรคจิตหรือไร
แต่ทำไมหละ... ฉันกลับวุ่นวายใจเมื่อมองดูเวลาที่เดินผ่านตามห้วงสีสันของชีวิต
ครั้งหนึ่งมีคนบอกฉันว่า กลางวันยาวนานกว่ากลางคืน แต่ในความรู้สึกของฉัน กลางวันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว หากครั้งใด ใช้เวลาร่วมกับคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะพูดคุย หรือแม้แต่ทำกิจกรรมร่วมกัน ล้วนผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งต้องแยะจากกันเพียงเพื่อคอยพบกันใหม่ในวันพรุ่งนี้ และต่อๆ ไปในวันข้างหน้า
หากไม่จบลงด้วยการ่ำราและ แยกจากกันอย่างถาวร
หากคืนนี้ผ่านไปรวดเร็วก็ดีสินะ แต่สำหรับฉันช่างผ่านไปอย่างช้าๆ
1 ทุ่ม 2 ทุ่ม เที่ยงคืน
ฉันปรารถนาที่จะเปลี่ยนช่วงเวลาของกลางคืนเป็นกลางวันเสียจริงๆ ช่างยาวนานและแอสนเหงา...
เปรียบเหมือนทอดไข่แล้วโดยไม่ใส่น้ำมัน
มันช่างลุ่มๆ ดอนๆ และขลุขละ พร้อมรสชาติที่ไม่น่าหลงไหลเอาเสียเลย