15 ธันวาคม 2547 18:16 น.
น้ำตาหมอก
เย็นยามตะวันย้อย
สุขลอยระเริงเขา
ลมส่ายกระซิบเบา
ดุจเป่าฤดีคลาย
เรื่อยเรื่อยระรินลิ่ว
พิศปลิวประภาพสาย
โถมถั่งจะทำลาย
คิริเขินคณาเนิน
ส้มพราวประภากร
ติรนอน ณ แนบเนิ่น
อุ้มพักอนรรฆเพลิน
ดุจอกชเนตตี
เพชรพรายประกายพร่าง
วลุกาประดับดี
ใสวาวสว่างสี
ทศนาฤทัยหวาม
มือจิตรกรปั้น
ฤตุสันต์ประไพสาม
ฤาธรรมชาติงาม
ชลหลามชอุ่มเอง
สายน้ำผสานสาย
สุตพรายสดับเพลง
กึกก้องและวังเวง
อภิรมย์และลับเร้น
น้ำไหลสะท้อนย้อน
จิตข้อนประคองเข็ญ
น้ำยังยะเยือกเย็น
มละล้างนุกูลกัน
14 ธันวาคม 2547 08:44 น.
น้ำตาหมอก
ข้ารักใครไม่ได้อีกแล้ว
เพราะมณีแก้วของฉันนั้นหาย
ทุกข์ท้อรอวันตาย
มุ่งหมายแต่ปรัชญาค่าฟ้า
ศึกษาทุกปรัชญาหินดินทราย
ทุกเก็จสายน้ำในโลกหล้า
กระทั่งหมดสิ้นวิญญาณ์
สิ้นสังสารวัฏเวียนวงเอย
9 ธันวาคม 2547 08:58 น.
น้ำตาหมอก
เพลงเสภามากล่อมถนอมแนบ
ใจก็แทบสะท้านสะทึกถี่
หวานน้ำคำย้ำเตือนทุกเดือนปี
นึกถึงที่ที่จากมาไม่เว้นวาง
ว่า โอ้พิมนิ่มนวลของเณรแก้ว
เจ้าไปแล้วจะรำลึกถึงพี่บ้าง
ฤางามปลื้มแม่จะลืมน้ำใจจาง
แต่ครุ่นครางครวญคิดจนค่อนคืน
ลมหนาวหอบไอหนาวเมื่อคราวรุ่ง
ประทิ่นปรุงเปรียบคำร่ำสะอื้น
ขยับกรับรับทำนองต้องกล้ำกลืน
สุดจะฝืนใจรักจากแม่พิม
ประจงจูบลูบผมแล้วชมพักตร์
ช่าง น่ารักนวลเนื้อเจ้านิ่มนิ่ม
น้ำตาคลอเปี่ยมอยู่เรียมริม
เจ้าเยื้อนยิ้มสักหน่อยเถิดกลอยใจ
เจ้าหันหน้ามาหามองพี่บ้าง
จะเชยปรางเช็ดช้ำน้ำตาให้
ต่อแต่นี้พี่ไม่ร้างให้ห่างไกล
สนิทในขวัญข้าวไม่คิดคลาย
เจ้าลืมนอนซ่อนพุ่มกระทุ่มต่ำ
เด็ดใบบอนช้อนน้ำที่ไร่ฝ้าย
พี่เคี้ยวหมากเจ้าอยากพี่ยังคาย
แขนซ้ายคอดแล้วเพราะหนุนนอน
อิ่มเอิบใจได้ฟังเพลงวังเวงแว่ว
ผ่านลมแผ่วเพราะล้ำคำอักษร
คิดถึงพิมพิลาไลยใจอาวรณ์
จะนอนขอนไม้ป่าพนาลี
ลำดวนเอ๋ยจะด่วนไปก่อนแล้ว
ทั้งเกดแก้วพิกุลยี่สุ่นสี
จะโรยร้างห่างสิ้นกลิ่นมาลี
จำปีเอ๋ยกี่ปีจะมาพบ
รสสุคนธ์ปนแป้งแต่งคำหอม
พวงพะยอมยามกลิ่นรินตลบ
โอ้ละหนอคลอเคล้าเฝ้าประคบ
เดี๋ยวคงจบจากไปไม่ทันลา
สิ้นเสน่ห์เสภามาเมื่อค่ำ
ลมเฉื่อยฉ่ำเห่ช้ามาแนวป่า
กรับกระเด็นเป็นสองต้องโรยรา
ถวิลหาถึงพิมพิลาไลย
7 ธันวาคม 2547 08:46 น.
น้ำตาหมอก
หลับเถิดหนายาหยีพี่จะกล่อม
เพลงรักพร้อมพรมใจให้ฉ่ำชื่น
ฟังเพลงกลอนกล่อมขับรับกลางคืน
น้ำค้างดื่นดาษดวงรวงเพชรพร้อย
เพลงใบไผ่ไหวริ้วพลิ้วลมล้อ
จะครวญคลอเมื่อค่ำมาค่อยค่อย
ดุริยางค์เรไรตัวน้อยน้อย
ประจงร้อยเรียงคำสำราญเริง
จักจั่นแจ้วเจื้อยให้เหนื่อยหาย
เพลงขลุ่ยพรายเพรียกพริ้มยิ้มหลงเหลิง
แฉกดอกไม้ไหวฟ้อนอ้อนพักเพิง
ตาวันเพิ่งพ้นขอบรอบวงฟ้า
ดอกหญ้ายิ้มพริ้มพรายกับสายหมอก
เอนกลีบออกอ่อนช้อยอย่างแช่มช้า
หมอกเคลียกลีบดอกแก้วพรรณผกา
น้ำค้างหวาดผวาหมอกเคลียคลอ
เจ้าดอกเอ๋ยดอกแก้วไม่แคล้วร่วง
จากช่อรวงหล่นแล้วไม่รอต่อ
ละเอียดก้านบานสะพรั่งไม่รั้งรอ
เขามาขอเด็ดขั้วก็ตัวลอย
ตะวันกลมส้มเหลืองเรืองทาบน้ำ
มาพ้อคำร่ำคะนึงถึงสุดสอย
นุชสวาทแววเพชรมณีพลอย
ที่ชายคอยขืนใจไปทุกที
2 ธันวาคม 2547 09:09 น.
น้ำตาหมอก
เก็บกลีบแก้วกรองกานท์ผสานศัพท์
ใครสดับสำเนียงเพียงแผ่วโหย
น้ำเสียงสั่นรรรรัวหัวอกโอย
ใจจะโบยโบกบินไปถิ่นใด
เจ้าดอกเอยดอกน้ำค้างกลางกลีบแก้ม
ดวงแดดแต้มแตะต้องก็ผ่องใส
สำราญรื่นชื่นบานบนลานใบ
พออาศัยแดดสายก็วายวาง
น้ำค้างดีมีที่อยู่คู่กลีบแก้ว
ใจเราแคล้วคลาดไปจนไกลห่าง
ห่วงเหลือเกินห่วงหัวใจเจ้าบอบบาง
จะอ้างว้างวังเวงไร้เพลงครวญ
ยามเจ้ายิ้มพิมเพื่อนยังเลือนหลง
ขุนแผนคงอาคมอารมณ์หวน
เสน่ห์ชักเชิดตรึงถึงเนื้อนวล
ฤดีป่วนชวนชมสมฤดี
ยามผมเคลียคลอหลังทั้งบ่าไหล่
กระชากใจจนเพ้อเสมอนี่
ยามเจ้าเยื้อนยิ้มมาน่ายวนยี
ทุกทุกทีหลงท้นปรนชีวิต
ทั้งสามโลกยอมสยบแทบทบเท้า
ให้แต่เจ้าเทพีที่ศักดิ์สิทธิ์
เหมือนอยู่ในห้วงฝันอันนิมิต
กุมมือน้อยเพียงนิดติดอารมณ์