13 กุมภาพันธ์ 2546 17:31 น.
นิติ
เทศการนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้ต้องขอบคุณ นักบวชในคริตส์ศาสนาที่ชื่อว่าวาเลนไทน์ ปรากฏชื่อในสมัยคริสตศวรรษที่ 3 คุณรู้ไหมนักบวชคนนี้ทำอะไรถึงดัง? ขณะนั้นองค์จักรพรรดิ เคลาดิอุสที่ 2 แห่งกรุงโรม เห็นว่าในบรรดาเหล่าทหารหาญของพระองค์ เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ชายโสดจะมีประสิทธิภาพในการรบเยี่ยมยอดมากกว่า ชายที่แต่งงานแล้ว พระองค์เลยมีvisionหรือวิสัยทัศน์ (ตามนักการเมืองนักวิชาการไทยชอบใช้ศัพท์นิยม) จึงประกาศว่า การแต่งงาน ของเด็กวัยรุ่นนั้นเป็นความผิดอย่างยิ่ง
แต่นักบวชวาเลนไทน์ บอกว่าไม่เห็นด้วยกับมาตรการนี้ และยังคงประกอบพิธีแต่งงานตามศาสนาแบบลับๆจนกระทั้งการประกอบพิธีดังกล่าวถูกจับได้
จักรพรรดิเคลาดิอุสมีรับสั่งให้นำนักบวช วาเลนไทน์ไปประหารชีวิต นับตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านต่างเล่าขานการกระทำเพื่อเชิดชูความรักของนักบวชวาเลนไทน์ จนบัญญัติเอาคำว่า วาเลนไทน์ชื่อของนักบวชคนนี้ เรียกเทศกาลแห่งความรักในเดือนกุมภาพันธ์ทุกปี
สัญลักษณ์แทนความหมายแห่งรัก หนีไม่พ้นดอกกุหลาบ ทั่งชายและหญิงต่างเลือกซื้อให้คนอันเป็นรัก ดอกกุหลาบในช่วงนี้ราคาแพงขึ้นหลายเท่าตัว แต่ก็อย่างว่าอยากได้อะไรต้องลงทุนกันหน่อย อยากได้ความรัก ต้องลงทุนตามกระแสนิยมบ้าง ถือเป็นจุดเริ่มต้นของหลายคนต้องการให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ส่วนคนงบน้อย ลองเอาตัวเลือกอื่นดีไหม? อย่างผมขอส่งการ์ดความหมายดีๆ ผ่านอินเตอร์เน็ตไปอีเมล์คนที่อยากให้ดีกว่า แบบว่า ลงทุนน้อยแต่ต่อยหนัก(ส่งข้อความซึ้งสุดๆ)
คลิกไปคลิกมา เจอเว็บเด็ดเหมาะกับช่วงเทศกาลพอดี จีบสาว.คอม (http://www.jeebsao.com)
เลยแวะเยี่ยมชมเสียหน่อย จะได้เป็นวิทยาทานแก่ตัว
คุณอาจจะเคยถามตัวเองมาหลายครั้งหลายหนแล้วว่าทําไม?
ทําไมคุณจีบสาวไม่ติดซะที? ไม่ว่าคุณจะทําอะไรก็ดูเหมือนมันจะไม่สําเร็จไปหมด
คุณไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วผู้หญิงต้องการอะไรกันแน่ทั้งๆ ที่คุณทําดีกับพวกเธอทุกอย่างเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทําให้ได้ แต่สุดท้ายสาวๆเหล่านั้นก็
ทิ้งคุณไปหาคนอื่น มันเหมือนกับว่าคุณไม่สามารถที่จะเข้าใจพวกเธอได้ คุณได้แต่นั่งกลุ้มใจ เศร้าซึมและคิดว่าชาตินี้คุณคงไม่มีทางจีบสาวสวยได้สําเร็จ
เวลาคุณไปเดินเที่ยวตามห้างต่างๆ คุณเห็นคนอื่นเขาเดินกับแฟนจูงมือกันกระหนุงกระหนิง มันบาดลึกเข้าไปในหัวใจ คุณแทบไม่อยากจะหันหน้าไปมองเลย
คุณรู้สึกว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน ไม่มีความยุติธรรม คุณอาจจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดกาล มันช่างเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายจริงๆ
ฟังคำพูดของเว็บมาสเตอร์ กล่าวทักทายในหน้าแรกกับผู้เยี่ยมชม ผมความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นแล้วสิ ไม่ใช่ปวดหัวหรือตัวร้อนแต่ พูดแทงใจดำคนไม่มีแฟนได้ถึงใจ จนอดเปิดดูหน้าต่อไปไม่ได้
ผมเริ่มต้องตั้งใจอ่านมากยิ่งขึ้น ประมาณว่า พันธุ์หมาบ้า นวนิยาย เรื่องเยี่ยมของ ชาติ กอบกิตติวางไว้ก่อน ความน่าจะเป็น รับรางวัลซีไรต์ที่ผ่าน ของ ปราบดา หยุ่น น่าจะเป็นได้เพียงหมอนหนุนในช่วงเวลานั้น จะไม่ให้กล่าวข้างต้นอย่างนั้นได้อย่างไรเพราะ ผมอ่านเจอบทเรียน การจีบสาว มีแบบแผนและเว็บมาสเตอร์กล่าวสำทับอีกว่า จนในที่สุด วันหนึ่งชีวิตผมก็เปลี่ยนไป มันไม่น่าเชื่อ!!! จากคนที่ไม่เคยจีบสาวติด ผมกลายเป็นคนที่มีสาวๆมาสนใจมากมาย ตั้งแต่วันนั้นผมรู้ได้เลยว่าผมได้ค้นพบสุดยอดเคล็ดลับในการจีบสาว!!! เป็นเคล็ดลับที่ผู้ชายทั้งหลายพยายามค้นหามานานแสนนาน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทําให้ผม ได้ทําเว็บ นี้ขึ้นมา เพื่อที่จะให้คุณได้สัมผัสกับมันด้วยตัวเอง !!!
ผมลงทะเบียนเรียนด้วยหัวใจของตนเองเป็นที่ตั้ง ถึงเสียเวลาอ่านบ้างแต่ก็รู้ไว้ใช่ว่าใส่บาแบกหาม
บทเรียนแรก เบสิค อันนี้สำคัญ เป็นเรื่องง่ายที่ผู้ชายควรรู้
้ ทําความเข้าใจทัศนคติและความคิดของตัวเอง และเขาให้ใกล้เคียงกัน
บทเรียนต่อไปมุ่งเน้น ด้านการปรับตัวเข้าหาสาว เรียนรู้การเอาใจ อีกบทหนึ่งก็ว่า เสน่ห์ดึงดูดใจ การยิ้มเป็นเรื่องสำคัญ เลื่อนเมาท์ลงไปเจอบทที่ว่าเรื่องราวจากประสบการณ์จริง จากเว็บมาสเตอร์ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง ขอบอก ขอบอก!! และบทสุดท้ายให้ความสำคัญเกี่ยวกับการสนทนาของทั่งสองคน หยอกนิดแซวหน่อย อร่อยกับน้ำคำหวานๆ ซึ่งกันและกัน แบบนี้เธอคงประทับใจบ้างหล่ะไม่มากก็น้อยที่สำคัญรักแน่ไม่หน่อยง่ายเป็นพอ
แวะกลับมาเว็บคุ้นเคย กลอนไทย www.thaipoem.com เลือกเอากลอนที่เข้ากับท่วงทำนองดนตรี แต่งกลอนเองเสียหน่อย
เพลงรักที่ไม่ฟัง
เสียงเพลงเบาๆเอาพอเศร้า
ท่วงทำนองเหงาๆเอาพอคิดถึง
เนื้อร้องคำรักแผ่วๆคิดแล้วชวนรำพึง
บวกเสียงคนร้องซึ้งๆให้เธอเข้าใจ
บอกความในไปกับเพลงคุ้นหู
ให้รับรู้คนอยู่ตรงนี้คิดยังไง
เป็นความรู้สึก ลึก ลึก ความนัย
ฝากสายลมไหว พัดไปถึงเธอ
จะร้องคลอเบาๆเงาฝีปาก
ลมผ่านปากจากหัวใจไปเสนอ
มันเรียกร้องก้องอยู่ในใจละเมอ
เริ่มล้นเอ่อต้องบอกเธอรับรู้ไป
โปรดรับไว้ในห้วงคิดคะนึง
จะรู้ถึง ห่วงหา ขนาดไหน
แทบจะดับชีวิต ถ้าไม่ติดใน
ความอาลัยในรักเธอ ที่เฝ้ารอ
เสียงเพลงแผ่ว จะแผ่วลง คงห่างหาย
ถ้าไม่ได้รับคำตอบ ว่าชอบหนอ
ทำนองเพลงคงเศร้าและทดท้อ
รักไม่พอหรือมากไปใจคนเจียม
ถึงจะไม่ค่อยได้ความเท่าไหร่ แต่ตั้งใจปาฏิหารย์ในรักก็เกิดขึ้นได้ เพราะทุกห้องใจมีแต่รักเธอ
คลิกส่ง! ! !.
9 กุมภาพันธ์ 2546 14:54 น.
นิติ
ถ้ามีใครว่า ทำไม...ต้องทำมือ? เออ! อย่าเผลอตอบแบบกำปั้นเชียว เดี๋ยวโดนกำปั้นจริงๆ แล้วจะหนีไม่ทันเพราะเหมือนเสียดสี นักเขียนและนักอยากเขียนเลยว่างั้นเถอะ ก่อนจะรู้ว่าต้นสายปลายเหตุของหนังสือทำมือ ลองมาตีความคำว่า หนังสือ กับ ตำรา ให้กระจายอีกนิดจะได้คิดไปในทางเดียวกัน
คำว่า หนังสือ ตามที่ ราชบัณฑิตช่วยกันคิดแล้วลงความเห็นเป็นพจนานุกรม ฉบับล่าสุด ให้นิยามว่า เครื่องหมายใช้ขีดเขียนแทนเสียงหรือคำพูด, ลายลักษณ์อักษร, จดหมายที่มีไปมา, เอกสาร, บทประพันธ์, ข้อความที่พิมพ์หรือเขียนเป็นต้น แล้วรวมเป็นเล่ม อีกนัยหนึ่งที่สั้นกระชับกว่า คือ เอกสารที่เขียนหรือพิมพ์ขึ้น
ส่วนคำว่า ตำรา ความหมายแคบลงหน่อย เพราะ ราชบัณฑิตตีความสั้นๆว่าเป็น แบบแผนที่ว่าด้วยหลักวิชาต่างๆ
ด้วยความแตกต่างๆกันนี้เอง งานเขียนของนักเขียนอย่าง เรื่องสั้น,บทกวีและอื่นๆ เสมือนเป็นการกลั่นกรอง ความรู้สึก ประสบการณ์ แง่มุมงามๆยามเหงาๆ เกิดอารมณ์และสร้างจินตนาการ กลายเป็นหนังสือสื่อความรู้สึกนึกคิดผู้เขียนโดยตรง ผิดแผกไป จาก ตำรา ดู เหว่ว้า อ่านแล้วเหมือนโดนตีตรา อยู่ในซอกเหลือบความคิดของใครก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องจำ ทุกถ้อยทุกคำ เพื่อไปพูดย้ำหน้าชั้นเรียน ตอนครูเขียนให้ท่องอย่างจำใจ
ความเหมือนที่แตกต่างระหว่าง หนังสือ กับ ตำรา และบางทีเราคิดว่าเป็นคำ ที่มีความหมายกันเดียวกัน แท้จริงแล้วมันใกล้เคียงกันมากกว่า
หนังสือทำมือ เป็นทางเลือกหนึ่ง ช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงผู้เขียนมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องผ่านสำนักพิมพ์พิจารณาผลงาน 3-4 เดือน ด้วยเหตุผลทางการค้า ที่ทำให้วรรณกรรมดีๆไม่มีเป็นรูปเล่ม ให้นักอ่านได้อ่านกันและอีกอย่างหนึ่ง ทำเองกับมือดูมีค่าทางจิตใจกว่า
หลังจากทานมื้อเที่ยงของวันที่ 30 มกราคม วันสุดท้ายของงานนี้ ดูคึกคัก มีหนังสือทำมือวางขายเต็มไปหมด เดินสำรวจไปเรื่อยๆตามประสาคนชอบอ่านและนักอยากเขียน ได้เห็นมุมมองแปลกของผู้เขียนหนังสือทำมือหลายท่าน บางทีก็หัวเราะเพราะคิดได้ไง กับคำบางคำ ประโยคบางประโยค มันแฝงแง่คิด ที่คิดได้เอง โดยไม่ได้อ้างตำราเล่มใด เป็นผู้ตั้ง กฎ และทฤษฎี ชี้นำแนวทางความคิด
อาจารย์สวัสดีครับ ผมเห็นอ.ธีรพล อันมัย ภาควิชาการสื่อสารมวลชน กำลังเดินเข้าไปคุยกับกลุ่มคนขายหนังสือทำมือ อาจารย์หันมาพร้อมรอยยิ้มประจำตัว ประมาณว่า ยักษ์ซดน้ำร้อนก็ไม่ปานแต่รู้สึกถึงความจริงใจได้เลย ฟันขาวสวยทุกที ที่เห็นรอยยิ้มของอาจารย์ที่ผมเคารพรักคนนี้ ผมเลยยิ้มตามแบบอาจารย์กลับไป งานนี้อาจารย์ช่วยทุกอย่างเท่าที่ช่วยได้ทีเดียว
เออ ! มานี้ครูจะแนะนำแก่ให้พี่เขารู้จัก อาจารย์มองนำสายตาผมไปยัง ชายร่างทะมัดมะแมง นั่งอยู่มุมโต๊ะ วาดสีน้ำเป็นการ์ดสวยๆบรรจงตวักเส้นลายสุดฝีมือ
นี่ พี่มาโนช พรหมสิงห์ นักเขียนใหญ่ เจ้าของรางวัลชนะเลิศ หนังสือทำมือฯ ครั้งที่ 1 พี่มาโนชเงยหน้ามามองอาจารย์และผมและอาจารย์ก็คุยต่อว่า
ลูกศิษย์ คนนี้ชอบเขียนกลอน วันหนึ่งๆ เขียนวันละ4-5 บทเลย ผมยิ้มเขินคำอาจารย์พูดเล็กหน่อย แต่กลับหัวเราะเสียงดังแทนเมื่อ พี่มาโนชพูดขึ้น ดูหน้าดูตานึกว่าช่างทำกลอน รับเหมาทำประตู มุขเรียบๆของนักเขียนทำให้คนรอบหัวเราะไปกันใหญ่ ผู้ที่หลายคนอาจจะได้ยินมาบ้างแล้ว แหละก็มีนักเขียนหลายคนด้วยสิที่มากัน อาทิ เช่น
ไพฑูรย์ ธัญญา มากล่าว ปาฐกถาพิเศษ คลื่นความคิดมีมุมให้คิดเสมอ พอหันขวาไปนิดเห็น พรชัย แสนยะมูล นักเขียนที่วัยรุ่นนักอ่านรู้จักดี ชัชวาลย์ โคตรสงคราม ก็มาช่วยงานนี้ด้วย มีหลายท่านที่พบปะกันในงานวันนั้น
อย่างที่ทราบกันดีงานครั้งนี้ มีกลุ่มที่ทำหนังสือทำมือหลายกลุ่ม เท่าที่เดินรอบงานก็พอจำได้บ้าง ดังนี้
กลุ่มหิ่งห้อย ,กลุ่มคมดาว และกลุ่มลำนำอีเกิ้ง มาไกลจาก อุบลฯ มีหนังสือหลายเล่มที่อ่านแล้ว โลกเศร้าหรือสวยขึ้น ทันทีที่อ่านเลยหล่ะ
แหม กลุ่มเจ้าของพื้นที่ก็มากันเยอะไม่ให้น้อยหน้าหรอก สโมสรนักเขียนอีสาน , ชุมนุมหนังสือทำมือ ร.ร. สาธิต มมส , กลุ่มสารคามเสวนา และกลุ่มใต้ฟ้าเดียวกัน งานเขียนหลายคนที่ผมรู้จัก ได้ร่วมเป็นรูปเล่มช่างน่าภูมิใจแทนความตั้งใจของทุกคนจริงๆ แถมมากับ กลุ่มคืนดิน ขอนแก่นนี้เอง
ถ้าลงมาเลียบเลาะ อีสานใต้บ้าง มี สโมสรวรรณศิลป์สุรินทร์ มีนักเขียนคุ้นชื่ออย่าง ไชยา วรรณศรี นำขบวนหนังสือมาแสดง พร้อมกับ กลุ่มตะวันแดง จากเมืองยโสธร
งานนี้คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุด คือ นิสิตและบุคลากร มหาวิทยาลัยแห่งนี้ สังเกตเห็นหลายคนชวนกันมาดูเยอะพอสมควร แต่ไม่เห็นซื้อให้เป็นกำลังใจเลย แต่สิ่งที่น่าภูมิใจมากกว่าของผู้มาเยือนหลายกลุ่ม คือการได้สร้างมันขึ้นมา
เสียงหัวเราะ กับเสียงพูดคุยกันยังดังอยู่ในความคะนึงความคิดเสมอว่า อีสานเรายังมีกลุ่มคนที่ศรัทธาในการ สร้างวรรณกรรมอยู่ไม่คลาย ไม่แพ้ภูมิภาคอื่นๆในประเทศนี้ เสียงเพลงจาก วงฮักแพง แว่วแผ่วผ่านโสตประสาทในครั้งนั้น คิดถึงความฝันของตัวเอง ว่าเมื่อไหร่จะมีหนังสือเป็นของตัวเองซักเล่มเสียที.
5 กุมภาพันธ์ 2546 16:09 น.
นิติ
แม้ว่านักประวัติศาสตร์ยังสรุปไม่ได้แน่ชัดว่า ศูนย์กลางของอาณาจักรศรีจนาศะ อยู่ที่เมืองโบราณชื่อ เมืองเสมา ในเขตอำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา หรือ เมืองศรีเทพ โบราณสถานในเขตลุ่มแม่น้ำป่าสักในอำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ แต่ก็เชื่อว่าเคยมีอาณาจักรนี้อยู่ในบริเวณประเทศไทย ไม่ใช่ ลาว หรือพม่าแน่นอน
นักวิชาการหลายท่านต่างอ้างหลักฐานที่ตนหาได้ มาหักล้างกันให้ความจริงปรากฏ บอกความเป็นมาของอาณาจักรศรีจนาศะในช่วงสมัยรุ่งเรือง ลองมาฟังนานาทรรศนะนักวิชาการผู้ที่สังคมนี้ให้การเชื่อถือว่าเป็นเช่นไร
รองศาสตราจารย์ ดร. ธิดา สาระยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เชื่อว่า ศรีเทพคือศรีจนาศะ เพราะเมืองโบราณศรีเทพคือดินแดนที่ปรากฏอยู่ในชื่อศรีจนาศะมาแต่โบราณ เมืองนี้รุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางสำคัญช่วงพุทธศตวรรษที่ 12- 15 ขอบเขตแห่งอำนาจของเมืองนี้มิใช่อยู่ที่ราบสูงโคราชหรือลุ่มน้ำมูลอย่างเดียว หากควรครอบคลุมอาณาจักรบริเวณลุ่มน้ำป่าสักซึ่งมีเครือข่ายการติดต่อถึงกัน ได้ปรากฏทั้งจากสภาพภูมิศาสตร์หลักฐานทางโบราณสถาน หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยนัยเชื่อว่าความหมายของคำว่า นอกกัมพุเทศ อันเข้าใจกันโดยทั่วไปว่าหมายถึงบริเวณลุ่มน้ำมูลเท่านั้น จึงน่าจะไม่ใช่การขยายตัวทางการตั้งหลักแหล่งของขอม เข้าสู่ภาคอีสานสมัยพุทธวรรษที่ 15 ชัดเจนพอ เพราะอิทธิพลทางศิลปวัฒนธรรมจากลุ่มน้ำโขงทั้งทางตรงและทางอ้อมประสมประสานที่ศรีเทพในลุ่มน้ำป่าสักด้วย ทั้งก่อนและหลังพุทธวรราที่ 15 ดินแดนที่เรียกว่า นอกกัมพุเทศ ควรครอบบริเวณสองลุ่มน้ำอันอ้างชื่อมาแล้ว
แต่นักวิชาการท้องถิ่นภาคอีสานอย่าง ผู้ช่วยศาตราจารย์ชลิต ชัยครรชิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น แสดงความเห็นว่า เมืองเสมาคือศูนย์กลางศรีจนาศะ ด้วยเหตุผลที่ว่า หลักฐานทางโบราณคดีอันประกอบไปด้วย จารึก และโบราณวัตถุที่พบอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำตอนบนสัมพันธ์โดยตรงกับอาณาจักรศรีจนาศะหรือจนาศปุรนะ จารึกบ่ออีกา จารึกเมืองเสมา จารึกหินขอน มีความสัมพันธ์กับศรีจานาศะ อันแสดงให้เห็นว่าศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำมูล โดยมีความสัมพันธ์กับสองเขตวัฒนธรรม คือวัฒนธรรมทราวดีจากลุ่มแม่น้ำลพบุรี เข้าสู่แม่น้ำป่าสักและผ่านตรงมายัง เมืองเสมาหรือศรีจนาศะ โดยวัฒนธรรมทราวดีได้แพร่ขึ้นไปยังเมืองศรีเทพ อันเป็นเมืองร่วมสมัยกับอาณาจักรศรีจนาศะ เมีองศรีเทพเพชรบูรณ์จึงไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเป็นอาณาจักรศรีจนาศะ ยิ่งเมื่อพิจารณาชื่อเมืองศรีเทพยิ่งพบว่า เมืองศรีเทพ ถูกเรียกชื่อใหม่ ในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์จากเดิมที่ชาวบ้านเรียกเมืองท่าโรงและวิเชียรบุรี อันไม่สอดคล้องกับศรีจนาศะหรือจานาศะปุระแต่ประการใด หลักฐานจารึกและโบราณวัตถุที่พบในลุ่มแม่น้ำมูล สัมพันธ์กันโดยตรงกับความเป็นอาณาจักรศรีจนาศะ
ดังนั้น ศูนย์กลางของอาณาจักรศรีจนาศะจึงเป็นบริเวณลุ่มแม่มูล อันได้แก่เมืองเสมา มากกว่าที่จะเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำอื่น
หลักฐานที่พบเห็น สามารถให้ความกระจ่างในความสงสัยได้ รองรับสมมติฐานที่ตนคิดและคนอื่นคิดได้เช่นกัน ความเชื่อแต่ละบุคคลในศาสตร์การค้นหาความจริงในอดีต เชิงวิชาการ ทำให้นักวิชาการมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน ทั้งฝ่ายนักวิชาการในเมืองหลวง ซึ่งเชื่อหลักฐานลายอักษรและหลักศิลาจารึก ส่วนฝ่ายนักวิชาการท้องถิ่น มุ่งเน้น โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถานที่จริงและความเป็นไปได้
นักวิชาการอีกท่านที่สังคมเชื่อถือ อาจารย์สุจิตต์ วงษ์เทศ แสดงทรรศนะไว้ในหนังสือ ศรีจนาศะ รัฐอิสระที่ราบสูง ตอนหนึ่งในบทนำว่า บริเวณต้นแม่น้ำมูล ที่ปัจจุบันเป็นจังหวัดนครราชศรีมากับดินแดนต่อเนื่อง มีหลักฐานชัดเจนว่ามีอิสระ ชื่อศรีจนาศะ ตั้งอยู่เมื่อปี พ. ศ. 1300 แต่สังคมไทยไม่รู้จัก
ความชัดเจนยังไม่ปรากฏ แต่ถ้าความจริงปรากฏมาจากเหตุผลกลใดก็ตาม หากช่วยหนุนให้เชื่อว่าแถวลุ่มแม่น้ำมูลมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีคุณค่าทางวัฒนธรรม บางทีรัฐบาลคงต้องทบทวนบริบทที่ราบลุ่มแม่น้ำมูลใหม่ว่า การยัดเยียดสิ่งต่างๆที่คนบริเวณนั้นไม่ต้องการ เป็นการทำลายประวัติศาสตร์ชนชาติและความรู้สึกประชาชนอย่างที่สุด.