27 กรกฎาคม 2548 14:18 น.
นายสิบสาม
ผมเก็บข้าวของเตรียมตัวย้ายบ้าน ขนรื้อของเก่าๆ ออกมาจัดลงกล่อง จากกล่องนั้น ลงกล่องนี้ แล้วก็พบกับจดหมายเก่าๆ สองฉบับ ทั้งสองฉบับ ส่งถึงผมในวันเดียวกัน และมาจากคนคนเดียวกัน
คนที่ส่งจดหมายถึงผมนั้น ชื่อเล่นของเธอจริงๆ คือหนึ่ง แต่ชื่อจริงของเธอคือจิราพร ผมและเพื่อนๆ เลยเรียกเธอว่า "จิ"
ผมรู้จักจิตอนมัธยมต้น ครั้งแรกที่พบ เธอมาที่ห้องเรียนของผม เอาจดหมายสีชมพูหวานแหววมายื่นให้ผม แล้วบอกว่าเป็นจดหมายจากเพื่อนของเธอ ฝากมาให้ผม
เมื่อผมควานหาตัวเจ้าของจดหมายเจอและได้พูดคุยกัน เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมและเหล่าเพื่อนๆ ของเธอได้รู้จักสนิทสนมกัน แต่เรื่องราวระหว่างพวกเราก็ไม่ได้ราบรื่น ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ ผมและจิจึงได้พบว่า อันที่จริงแล้ว เราต่างก็มีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน ในตอนนั้น มันเป็นความรู้สึกสุขปนทุกข์ สุขใจที่ได้พบเธอทุกๆ วัน แต่ที่ทุกข์ก็เพราะ เราสองคนต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่แพร่งพรายให้เพื่อนเธอคนนั้นได้รู้เป็นอันขาด แต่ความลับก็ไม่มีในโลก วันหนึ่ง พวกเราจึงแตกคอกันเพราะเรื่องนี้
เรื่องราวของกลุ่มเราลุ่มๆ ดอนๆ เรื่อยมา สับสนวุ่นวายมากเลยทีเดียว และได้ปิดฉากแรกลงเมื่อเราจบการศึกษาระดับมัธยมต้น เราต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปเรียนต่อที่อื่น จิไปเรียนต่อในสถาบันที่ไกลจากโรงเรียนเดิมมาก เรียกว่าอยู่คนละมุมเมืองเลยก็ว่าได้ ส่วนผมยังคงอยู่ที่โรงเรียนเดิม
เวลาผ่านไป เรื่องราวของเราก็เหมือนเป็นสายลมพัดผ่านเบาๆ ยิ่งช่วงวัยเรียนมัธยมปลายที่มีเรื่องราวน่าตื่นเต้นมากมายรอเราอยู่ ความทรงจำในอดีตก็ถูกลบเลือนไปอย่างรวดเร็ว ผมกับจิยังพบเจอกันหลายครั้ง เราทักทายกันตามประสาเพื่อนเก่า และยังคงรู้สึกถึงความทรงจำเก่าๆ แต่มันก็กลับคืนมาไม่ได้ เพราะเราต่างคนต่างก็มีใครสักคนของตัวเองอยู่แล้ว เมื่อผมเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกันกับสถาบันของจิพอดี เราก็ได้เจอกันบ่อยครั้งขึ้น เพราะจิจะชอบมาทานข้าวหรือเที่ยวเล่นในมหา'ลัยผมเสมอ
วันหนึ่ง ผมเขียนโปสการ์ดหาเพื่อนเก่าๆ หลายต่อหลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีจิรวมอยู่ด้วย จากนั้นไม่นาน ผมก็ได้รับจดหมายตอบจากจิสองฉบับ จดหมายสองฉบับนี้แหละ ที่ทำให้ผมได้กลับมาคิดถึงเรื่องของเธอว้ำแล้วว้ำเล่า
เนื้อความในจดหมายฉบับแรกเป็นเรื่องราวธรรมดาที่เพื่อนถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเมื่อยามไกลห่าง แต่อีกฉบับหนึ่ง เป็นเหมือนเรื่องราวที่เก็บอยู่ในจิตใจ เรื่องราวที่ลึกซึ้ง และความคาดหวังที่ใครคนหนึ่งพอจะมีให้ใครสักคน
ผมอ่านจดหมายฉบับที่สองแล้ว รู้สึกถึงความไม่สบายใจของคนเขียน พยายามโทรศัพท์ไปหาเธอสองสามครั้ง แต่ก็ไม่เจอเธอ ได้แต่รับรู้ว่า เธอยังคงไปเรียนและเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ ตามปกติ ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาว่า เธอไม่ได้เป็นอะไร
พอถึงช่วงเดือนพฤษภาคมในปีนั้นเอง คืนหนึ่งที่ผมกำลังนั่งอยู่บนดาดฟ้าของหอพักเพื่อน มีโทรศัพท์จากเพื่อนเก่าเพื่อนแก่อีกคนหนึ่งที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับจิสมัยม.ต้น ซึ่งตอนนี้ไปเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ เธอถามว่าผมทำอะไรอยู่ และถามเรื่องราวความเป็นไปของผมสักพัก แล้วเธอก็บอกผมว่า...
"รู้เรื่องเกี่ยวกับจิรึเปล่า"
"อะไรเหรอ"
"จิตายแล้วนะ"
...
...
...
ผมเงียบ... เงียบจนคนปลายสายต้องถามว่ายังฟังอยู่รึเปล่า
...
สองสามวันหลังจากวันนั้น ผมไปงานศพของจิพร้อมกับเพื่อนๆ กลุ่มเดิมที่ยังอยู่เชียงใหม่กัน และได้รู้ว่า ตอนเย็นของวันหนึ่ง จิกำลังจะขับมอไซค์ออกไปรับน้องสาวที่โรงเรียน เมื่อกำลังจะกลับรถที่ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เธอก็โดนรถบรรทุกที่วิ่งมาด้วยความเร็วปะทะเข้าอย่างจัง คนแถวนั้นเล่าว่า รถบรรทุกลากเอาร่างของเธอไปไกลกว่าสิบเมตร เธอเสียชีวิตบนถนนนั่นเอง
คุณแม่ของจิไม่มีน้ำตาให้พวกเราได้เห็น เธอเดินมาต้อนรับเราหน้างาน ตรงที่มีบอร์ดที่ติดรูปของจิไว้มากมาย คุณแม่ยืนมองรูปพวกนั้นอย่างภาคภูมิใจในตัวลูกสาว ที่เธอได้สูญเสียไปแล้ว
ผมเดินไปหน้าโลงศพที่บรรจุร่างจิเอาไว้ มีของใช้ส่วนตัวของจิวางอยู่แถวนั้น เห็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่งวางอยู่ มันเป็นสมุดบันทึกเล่มที่ผมเคยเห็นเธอใช้ตอนยังอยู่โรงเรียนเดียวกัน ผมถือวิสาสะหยิบมันขึ้นมา เมื่อเปิดหน้าแรก ผมก็ต้องประหลาดใจ ปกในของหนังสือ มีสติ๊กเกอร์ที่แกะเป็นชื่อของผมติดอยู่เต็มไปหมด เมื่อผมอ่านต่อไปเรื่อยๆ ผมก็พบเรื่องที่ผมไม่เคยคิด เรื่องที่ว่า ในสมุดบันทึกของใครสักคน มีเรื่องราวของผมมากมายขนาดนี้ ไม่เพียงแต่เล่มนั้น เล่มอื่นๆ ที่เธอใช้เมื่อเราแยกจากกัน ก็ยังมีเรื่องราวของผมอยู่ ถึงแม้จะน้อยลง แต่ก็ยังดูมากมายในความคิดของผม ทำไมเธอถึงเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับผมไว้มากมายขนาดนี้
สายตาผมเริ่มพร่ามัว ผมวางสมุดบันทึกลง แล้วก็หันไปเจอกีต้าร์ของเธอวางอยู่ใกล้ๆ ครั้งหนึ่ง เธอบอกผมว่า อยากให้ผมสอนเธอเล่นกีต้าร์ ผมเลยแหย่เธอไปว่า ซื้อกีต้าร์สิ เดี๋ยวจะสอนให้ ไม่นานหลังจากนั้น เธอก็เอากีต้าร์ตัวใหม่ของเธอมาให้ผมสอนเสมอ ผมหยิบกีต้าร์ตัวนั้นมาวางบนตัก นึกถึงเพลงเพลงหนึ่งที่ผมเคยเล่นให้เธอฟังในคืนวันวาเลนไทน์เมื่อหลายปีก่อน เราอยู่กันสองคน ท่ามกลางแสงดาวในยามค่ำคืน วันนี้ ผมเล่นเพลงนั้นอีกครั้ง ในบรรยากาศที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังหวังว่าเธอจะได้ยินเสียงผม ถึงแม้มันจะแหบพร่าด้วยความเสียใจ และเบากว่าที่ใครๆ จะได้ยิน
คืนนี้ ใจฉันว้าวุ่น เผ้าแต่เห็นหน้าคุณอยู่ในใจ
เหตุไฉนจึงเป็นไปได้ เพราะเราเป็นแค่เพื่อนกัน
เราพบ เราคุย เราคบกัน ต่างจริงแท้ในใจเพื่อนเท่านั้น
แต่สุดท้าย ใจทนไม่ได้ รักคุณจนล้นใจ
ความรักตัวเดียวเท่านั้นเอง ที่บรรเลงในหัวใจ
ซึ่งตัวฉัน ฉันไม่เข้าใจ รักนั้นมาจากไหน
อยากจะหนี หนีไปให้ห่าง ไม่อาจซ่อนความนัยหากได้เจอ
แต่ยังหวัง ยังคงเพ้อเจ้อ ว่าคุณคงเข้าใจ
มาพบ มาคุย มาคบกัน ดุงดั่งเช่นวันวานจะได้ไหม
ส่วนตัวฉันจะเป็นเช่นไร ขอยอมเก็บไว้คนเดียว
ท่อนสุดท้าย ผมไม่สามารถร้องให้จบได้ เพราะผมไม่มีแรงที่จะร้องอีกต่อไปแล้ว ผมมองอะไรไม่เห็น เพราะม่านน้ำตามันไหลลงมาไม่หยุด ได้แต่นึกหวนถึงคืนนั้น ที่เธอมองหน้าผมด้วยรอยยิ้ม ใต้แสงดาว
...
หลังจากวันนั้น ผมตัดสินใจไม่ไปงานเผาร่างเธอ ไม่รู้ว่าผมตั้งใจจะเก็บเรื่องราวที่ดีของเราเอาไว้ หลอกตัวเองว่าเธอไม่ได้จากไปไหน ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่อาจหลอกตัวเองได้แม้ซักวินาทีเดียว อย่างนั้นหรือเปล่า หรือในอีกแง่หนึ่ง ถ้าวิญญาณมีจริง วันที่เราเผาร่างเธอ เธอคงจะมาดูแน่ๆ และผมก็ไม่อยากให้เธอเห็นผมร้องไห้ฟูมฟาย เรียกร้องให้เธอกลับมา ถ้าเป็นไปได้ ภาพสุดท้ายที่เธอจะเห็นผม ผมอยากให้เป็นโปสการ์ดใบนั้น หรือภาพที่ผมเล่นกีต้าร์หน้าร่างของเธอก็ยังดี
...
หลายวันผ่านไป ผมกลับมาอ่านจดหมายของเธออีกครั้ง
...
...
...
สวัสดี ไปรษณียบัตรเก๋ดีนะ
ไม่ทราบว่าเพิ่งเป็นเหรอเจ้าคะ ไอ้โรคคิดถึงน่ะ แหม ก็ปิดเทอม ว่างล่ะสิ ก็เลยคิดถึงเรา โห น่าน้อยใจจังเลย (เอ๊ะ เราคิดอะไรออกไปปปป...)
เฮ้อ ไร้สาระไปไหมเนี่ยเรา
เก็บเพียงความทรงจำเอาไว้ก็ว่างเปล่า
วันวานก็เป็นเพียงเรื่องเล่าที่ผ่านผัน
ความผูกพันจะถูกรื้อฟื้นหรือไม่ ไม่สำคัญ
สำหรับเธอ คำเดียวแค่นั้น ฉันรักเธอ
เรื่องราวในอดีตมันน่าประทับใจก็จริงอยู่ แต่พอเราคิดถึงมันเมื่อไหร่ ทำไมมันรู้สึกว่าอยากร้องไห้จัง สร้อยข้อมือที่ใครคนหนึ่งเอาให้เราในวันวาเลนไทน์ตอนเข้าค่ายสมัยอยู่ ม.3 ถึงแม้เราจะทำมันหายไป แต่เรายังคงนึกถึงมันและคนที่มอบมันให้กับเราเสมอ เสียงกีต้าร์และเสียงร้องของเขายังคงกังวานในความทรงจำอันเงียบเหงาของเราเสมอมา
โลกกว้างใหญ่ที่ใครต่อใครชักชวนเราไปผจญภัยและค้นหา มันก็เหมือนกับการต่อสู้ พบเจออุปสรรคที่ต้องฝ่าฟัน ข้างหน้าอาจเป็นความสำเร็จ หรือาจพ่ายแพ้ยับเยิน เราอาจบอกว่าเราไม่กลัวการพ่ายแพ้ แต่เพื่อความมั่นใจว่า เมื่ออยู่ในสถานการณ์นั้น เราจะยังยิ้มได้แม้กำลังร้องไห้ คือกำลังใจจากใครที่เข้าใจสักคน
เธอรู้ไหม ใครต่อใครว่าเราเปลี่ยนไป แต่เราว่าไม่นะ เค้าว่าเราเปลี่ยนเพราะรูปลักษณ์ภายนอก ทำไมเค้าไม่กลับมาอยู่กับเราอย่างเดิมล่ะ แล้วเค้าจะรู้ว่าเราคือจิ คนเดิมที่โตขึ้น ไม่ใช่จิที่เปลี่ยนไป เราไม่ชอบเลย
ขอเธอโปรดจงรับรู้ว่า เราคือคนที่รักและยังหวังดีกับเธอเสมอนะ คิดถึงเธอมาก เราเคยขี่รถผ่านไปแถวๆ คณะเธอ.. อะไรสักอย่างทำให้เราอยากผ่านไปบ่อยๆ คงมีเปอร์เซ็นต์บ้างที่เราคิดว่าคงจะเจอเธอบ้าง แล้วเราก็เจอกัน
รักและคิดไม่ถึง
จิ
...
อ่านจดหมายจนจบ ผมอยากพบเธออีกครั้ง ถึงแม้มันจะเป็นไปไม่ได้...