22 เมษายน 2550 18:01 น.
นายธนา
เย็นสายลมพรมผืนหญ้าช้าช้าสาย
หอมกลิ่นอายใต้แสงแดดอันแผดร้อน
มองท้องฟ้ายามเย็นเห็นรอนรอน
แดดแสงอ่อนผ่อนทุเราเริ่มเบาบาง
งามใบไผ่ไหวตามสายเฝ้าย้ายโยก
ทิวอโศกโบกใบปลิวพลิ้วยอดขวาง
หางนกยูงชูช่อแดงเป็นแผงวาง
ขนาบข้างคูณดอกเหลืองเบื้องประจิม
ทิวเสลาเคล้าสีม่วงพวงระย้า
งามสง่าท้าแรงลมพรมสายอิ่ม
มวลเกสรอ้อนลมให้ชมชิม
ให้ลองลิ้มความงามของยามเย็น
เมฆาเคลื่อนเยือนเยี่ยมเทียมภูผา
ดูท้องฟ้าอ้อนแสงสวยด้วยตาเห็น
หลากสีสันงดงามล้ำดุจดั่งเป็น
จิตรกรรังสรรค์เส้นเห็นงามดี
อาทิตย์ลอยปล่อยกายเข้าชายฟ้า
บอกอำลาโลกไปในวันนี้
คงสิ้นแรงเหนื่อยล้ามาเต็มที
กับหน้าที่ตั้งแต่เช้าเฝ้าทำมา
สายลมแผ่วแผ้วผ่านยอดไม้ไหว
หอมกลิ่นไอปรุงประทิ่นเป็นกลิ่นป่า
ด้วยไอดินคระเคล้ากลิ่นของใบหญ้า
คราครั้งฟ้าอาบแสงแห่งตะวัน
งามเอ๋ยงามงามอาทิตย์ยามลับฟ้า
ที่ช่องผามุมเขาขอบเขตขันธ์
จะจากไกลไปอีกแล้วหนอตะวัน
ส่งหน้าที่ให้ดวงจันทร์สานพลัง
แล้วอาทิตย์ก็ซ่อนกายหายลับฟ้า
แสงนภาหมดสว่างอยู่ข้างหลัง
ความมืดเริ่มเติมเต็มฟ้าพาพลัง
แห่งความขลังน่ากลัวทั่วทุกแดน
21 เมษายน 2550 07:28 น.
นายธนา
รัตติกาลผ่านล่วงปวงประเทศ
ทุกขอบเขตรุ่งสางสว่างใกล้
ดาราคล้อยลอยตามความมืดไป
จันทราไซร้เคลื่อนซบหลบตะวัน
ณ ทิวเขาสูงใหญ่ใกล้ม่านฟ้า
งามสง่าบดบังทางสวรรค์
ก็เกิดแสงสีทองอัศจรรย์
ที่รังสรรค์จากธรรมชาติประสาทมา
อาทิตย์เคลื่อนเยือนขอบฟ้านภากว้าง
แสงเส้นทางสว่างไปในเวหา
งดงามล้ำสุดแล้วจักพรรณนา
สุริยาผ่าผ่านม่านเมฆไกล
รัศมีสีแสงสว่างจ้า
ทั้งทั่วหล้าเริ่มรุ่งพุ่งไสว
อร่ามฟ้าสาดแสงสำแดงไฟ
ดวงระพียิ่งใหญ่ฉายอรุณ
หมอกมืดบางงจางไปใจสดชื่น
โลกเริ่มตื่นฟื้นหนาวเข้าอบอุ่น
ไอดินหอมกลิ่นพนาพาละมุน
แสงอรุณอุ่นอบกระทบใจ
หมู่ไก่กาสกุณาขานเจื้อยแจ้ว
ขับขันแว่วเวียงเสียงสดใส
รุ่งอรุณมาเยือนแล้วแพรวพิไล
ฟ้าวันใหม่ได้สางสว่างตา
20 เมษายน 2550 21:31 น.
นายธนา
แว่วสำเนียงเสียงหริ่งหรีดที่กรีดร้อง
คล้องทำนองในพงหญ้าน่าสุขสันต์
แมลงบรรเลงเพลงไพเราะเสนาะกัณณ์
ด้ายสร้างสรรค์เปล่งเสียงเลี้ยงค่ำคืน
เมื่อว่านนี้ฝนตกลงห่าใหญ่
เกิดแอ่งกักน้ำไว้ที่ในพื้น
เป็นร่องแอ่งยังไม่แห้งแต่เมื่อคืน
คงชุ่มชื่นชื้นแฉะและเปลียกปอน
และแอ่งน้ำแอ่งน้อยค่ำคืนนี้
แว่วยินเสียงดนตรีที่ออดอ้อน
เสียงกบร้องพ้องเขียดขานปานบทกลอน
คงหายร้อนจึงเริงร่าน่าสุขใจ
ระงมร้องก้องไปแสนไกลหน
เคล้าระคนบรรเลงเพลงหวั่นไหว
ไร้จังหวะขาดทำนองคล้องจองไป
แต่ก็ไพเราะล้ำจะรำพัน
มโหรีมีมาแต่พงหญ้า
ขับกล่อมฟ้าราตรีที่อาถรรพ์
เป็นทำนองพ้องเพราะไพเราะพลัน
ใครฟังนั้นคงหลับใหลไปยาวนาน....
20 เมษายน 2550 14:37 น.
นายธนา
ลมพัดพลิ้วปลิวสายใบไม้ไหว
ปลิดดอกใบล่วงหล่นบนลานกว้าง
ซากใบไม้แห้งเหี่ยวเที่ยวเกลื่อนวาง
ที่พื้นล่างละลานพื้นเป็นหมื่นพัน
โอ้ใบไม้ก่อนเคยงามตามปลายยอด
เคลื่อนคล้อยพรอดยอดย้ายไหวค่อยส่ายสั่น
ตามสายลมพรมสายหลายคืนวัน
และคงมั่นยึดก้านกิ่งมิทิ้งไป
แล้วไฉนใยวันนี้จึงทอดทิ้ง
ปลิดกายเจ้าออกจากกิ่งดิ่งลมไหว
ล่วงสู่พื้นดินล่างเกลื่อนวางไป
หมดแรงแล้วหรือใบใยล่วงมา
ก่อนเจ้าเคยงามพร้อมที่เรือนพุ่ม
เขียวชอุ่มพุ่มไสวด้วยใบหนา
ปกคลุมต้นให้พ้นแดดแผดลงมา
คอยรักษาความชุมชื้นให้พื้นดิน
หรือวันนี้หมดเวลาของเจ้าแล้ว
จึงค่อยแผ่วเคลื่อนไหวไม่โผผิน
แล้วปลิดตนหล่นลงตรงพื้นดิน
สิ้นชีวินการปกปักรักษาพันธุ์
ใบไม้แห้งปลิวละล่องท่องลมพลิ้ว
ลอยระลิ่วพลิ้วไสวในลมผัน
แล้วล่วงวางข้างต้นโคนสายพันธุ์
นับรอวันใบรุ่นใหม่มาทดแทน ...
19 เมษายน 2550 20:11 น.
นายธนา
เมื่อคืนฝนพ้นพรมชโลมพื้น
เสียงฟ้าร้องครืนครืนให้ตื่นไหว
แสงฟ้าแลบแปลบปลาบวับแต่ไกล
ให้หวั่นไหวหวั่นกลัวทั่วทุกคน
สายลมพัดกิ่ววิ่วพลิ้วแรงสาย
หอบใบไม้ปลิวหายไกลล่องหน
เศษกระดาษพลาสติกก็ลอยวน
รวมปะปนฝุ่นฟุ้งคระคุ้งมา
เสียงหน้าต่างบานประตูปิดตึงตัง
ด้วยพลังแรงลมโหมถลา
พัดรุนแรงเหลือล้ำกระหน่ำพา
ให้หวาดหวั่นอุราอยู่มิจาง
เสียงไม้ลั่นเปรียะเปราะเพราะกิ่งหัก
แล้วลมชักหักโค่นต้นล้มขว้าง
ด้วยกิ่งใหญ่จึงไปวางกีดเส้นทาง
ดูแล้วพร่างเศร้าให้อย่างไรดี
แล้วสายฝนก็ฉ่ำฉ่าดังฟ้ารั่ว
พรมไปทั่วท้องพื้นชุ่มชื่นที่
เสียงจักจักเทจากฟ้าไม่ช้าที
ลมก็วีพลิ้วพัดซัดกระเซ็น
แล้วฟ้าผ่าดังเปรี้ยงเสียงสะนั่น
แสงฉับพลันแวบวาบวาววาบเห็น
ดูน่ากลัวใจรัวดังกลองเพล
ใจจึงเต้นตื่นตระหนกเพราะตกใจ
นั่งมองสายน้ำไหลที่ชายคา
ช่างเหว่ว้าเงียบเหงาเศร้าหวั่นไหว
มองสายฝนพ้นพรำแล้วร่ำไห้
คิดถึงใครคนนั้นฉันไม่ลืม...