4 พฤศจิกายน 2553 17:53 น.
นาคะพรรณ
เห็นเขาตั้งท่าเริ่มคว้าจอบ
อีกนางเร่งสวมงอบหอบกระติกนำ้
ท่ามสายลมเฉื่อยชาฟ้าสีดำ
ก้อนเมฆก่อตัวลอยตำ่ใกล้คำ่ลง
เสียงจอบขุดดังเร็วถี่
เสมือนหนึ่งช่างเหล็กตีธุลีผง
สองมือน้อยหยาบกร้านคู่นั้นบรรจง
เดินตามก้มเก็บลงตรงพื้นดิน
เศษหินรากไม้และใบหญ้า
เก็บจนสิ้นดั่งผู้ล้าปลดหนี้สิน
เอาหลังสู้ฟ้าก้มหน้าสู้ดิน
เร่งมือทำมาหากินติดสินบน
เถิดหนาเจ้าป่าเจ้าเขา
ช่วยลูกหลานคลายทุเลาเป่าสายฝน
สู่ดินเบื้องหน้าไร่นาคนจน
จักชดใช้สินบนด้วยแรงศรัทธา
ขอเพียงเมล็ดพันธุ์ในวันนี้
เติบโตเป็นคนดีดั่งปรารถนา
ตอบแทนพระคุณบิดามารดา
กลับคืนสู่ธาราบูชาธรณี
จักจัดแจงของแห่ร่วมแก้บน
หากเทวาประทานฝนในค่ำนี้
หาใช่เงินทองนับล้านบันดาลมี
คือพืชผลเต็มปฐพีที่หว่านโปรย
เป็นเพียงเสียงเรียกร้องของคนหนึ่ง
ที่หวังพึ่งฝนฟ้าคราหิวโหย
ไม้ยืนต้นสุจริตใกล้อิดโรย
ยินแว่วดังโอดโอยห่างไกลสภา...
เช้าวันใหม่ในท้องทุ่ง
หลายชีวิตกอดพยุงเร่งรักษา
กระเสือกกระสนบนธารหยาดน้ำตา
เห็นน้ำเรี่ยหลังคาต้นกล้าจม
ขอเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องไทยทุกท่านที่กำลังทุกข์กับภัยนำ้ท่วม
และดีใจที่เห็นนำ้ใจจากไทยเราด้วยครับ
นาคะพรรณ
๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
ภาพโดย อาคม นาคะ
31 พฤษภาคม 2553 18:35 น.
นาคะพรรณ
หอมกรุ่นกลิ่นดินชื้นเมื่อคืนหนาว
กี่ปวดร้าวก่อนพฤษภาจักมาถึง
หมื่นพันแสงแห่งจันทรายังตราตรึง
ค่ำคืนหนึ่งดึงดาวอยู่เปล่าดาย
เหมือนใต้ถุนคุ้นตาฝากระดาน
คล้ายนอกชานบ้านเรือนเริ่มเลือนหาย
แลนกหนูปูปลามาลาตาย
ทิ้งรังฟางร้างเดียวดายอยู่ชายคา
ยินเพียงเสียงสำเนียงเถื่อนเยือนกระซิบ
อีกเงียบกริบเด็กหญิงชายไร้เดียงสา
เก็บคำพูดว่าถึงคราวปลูกข้าวปลา
กลับเป็นเสียงเจรจาน่าอัศจรรย์
ไล่ตะเพิดพลัดพรากจากใต้ถุน
วิ่งหัวซุนฝุ่นตลบไม่ขบขัน
ยังยุ้งฉางอ้างว้างกลางตะวัน
แล้วสร้างสรรค์ปืนเครื่องบินจินตนาการ
เปรี๊ยง! ปั๊ง! ดังวังเวงบรรเลงแผ่ว
ไร้วี่แววนัยน์ตาน่าสงสาร
แอบข้างโอ่งเฝ้ารอทรมาน
รอสายฝนดลบันดาลเต็มลานดิน
ปลุกผู้คนจนยากจากฟากนา
นั่งบนร้านเจรจาคลายถวิล
คุยเรื่องนกเรื่องนาเรื่องหากิน
เตรียมเพาะปลูกดอกดินบนถิ่นเดิม
ให้เสียงสากเสียงครกตกกระทบ
มีเสียงจอบขุดทำนบคันนาเสริม
แล้วกลิ่นพริกกลิ่นกระเพราจักเข้าเติม
จนดังเดิมเริ่มใหม่ใต้ฟ้างาม
แด่เพื่อนพ้องน้องพี่ที่หนีหาย
อีกทั้งตายใต้เงื่อนงำหมื่นคำถาม
แล้วแผ่นดินจักจำจดความงดงาม
ทุกผู้นามความจงรักและภักดี
นาคะพรรณ
๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓
28 เมษายน 2553 13:13 น.
นาคะพรรณ
อยู่ไหนเล่ารอยยิ้ม
เห็นแต่หนามแหลมแทงทิ่มมิตรสหาย
ทุกหัวระแหงแล้งหล่มล้มตาย
อยู่หลังม่านแสงแดดฉายคล้ายคลึงกัน
จริงแล้วหรือคือดอกไม้
หมู่ภมรร่อนเวียนว่ายคล้ายสุขสันต์
เหตุไฉนจึงโรยราจาบัลย์
ท่ามพยานแห่งแสงจันทร์คำสัญญา
ที่เห็นแลหลั่งริน
คือหยาดเลือดรดแผ่นดินถิ่นเมืองฟ้า
ใช่เลือดใครไหนเล่าที่เอามา
คือเลือดเอ็งเลือดข้าประชาเรา
อยู่ที่เดิมแหละรอยยิ้ม
ไร้ซ่ึงหนามแหลมคมแทงทิ่มความเขลา
หากดอกบัวแห่งชีวีทั้งสี่เหล่า
อยู่ด้วยรักแห่งเราแลเข้าใจ
แล้วนำ้จักมีปลา
สุดท้องทุ่งโค้งนามีข้าวใหม่
เมื่อพอเพียงจะรู้เองเพลงชาติไทย
จะยินไกลทั่วหล้าโลกายล
นาคะพรรณ
๒๘ เมษายน ๒๕๕๓
11 มกราคม 2553 10:13 น.
นาคะพรรณ
(บทนำ)
พุทธศักราชคลาดเคลื่อนดาวเดือนดับ
โลกหมุนกลับสับเวลาองศาสูญ
มนุษย์ชาติขาดปัญญาสิ้นอาดูร
ทวีคูณความเกลียดชังโลกพังทลาย
--------------------------
ณ ดินแดนแคว้นหนึ่งซึ่งถูกพบ
บนหลุมศพสรรพสัตว์ที่พลัดหาย
ยังหลงเหลือหนึ่งบุรุษหยุดความตาย
และอีกหนึ่งนางข้างกายผู้ภักดี
บุรุษหนึ่งรูปงามมีนามว่า
พสุธาอวตารวิมานศรี
หรืออีกหนึ่งผู้เกิดก่อธรณี
หลอมรวมคุณความดีศรีนคร
จากวีรชนวิญญาณทหารกล้า
อีกหมื่นพันอาชาผู้ชาญสมร
รวมด้วยดาบคราบเลือดเชือดดัสกร
เกิดบุรุษกลางนครดับร้อนรน
ด้วยนางหนึ่งยึดถือความซื่อสัตย์
ภัยพิบัติพัดผ่านกี่ล้านหน
ยืนหยัดสู้คู่ความดีวีรชน
จึงรอดพ้นคนพาลผลาญชีวี
นางมีนามว่าสัตย์แท้แม่โพสพ
สนามรบศพดาษดื่นคืนวิถี
ในมือกร้านบุรุษพ่อธรณี
ปกป้องวีรสตรีหนีความตาย
หยั่งรากลึกดึกดื่นล้านตื่นหลับ
ปลุกหลุมศพเริ่มขยับปรับขยาย
จันทรานวลชวนดวงดาวขึ้นพราวพราย
แล้วสุริยาก็เริ่มฉายคล้ายวันวาน
สายวสันต์กลั่นมาจากฟ้าสวรรค์
ทั่วเขตขัณฑสีมาห้วยละหาน
บริสุทธิ์ดุจน้ำตาเทพประทาน
บริบาลอุ้มชูผู้มีพระคุณ
แตกกอหน่อเนื้อเป็นเชื้อชาติ
สืบวงศ์ญาติสร้างเครือร่วมเกื้อหนุน
เป็นผลพวงบุรุษสตรีผู้มีคุณ
ต่างค้ำจุนโลกาองศาเดิน
----------------------------
พุทธศักราชใดใครใคร่รู้
ไร้คำครูผู้นั้นที่สรรเสริญ
ปล่อยให้ลูกข้าหลานเอ็งต้องเผชิญ
ไร้ทางเดินแห่งบุรุษบุตรธิดา
นาคะพรรณ
ภาพโดย อาคม นาคะ
๑๑ มกราคม ๒๕๕๓
24 ธันวาคม 2552 17:59 น.
นาคะพรรณ
มองดูเจ้าลุกนั่งเริ่มตั้งไข่
เดินเตาะแตะก้าวไปในมือพ่อ
ท่ามนกน้อยแมกไม้ตายเกิดก่อ
ขณะหนึ่งยายรอจักไกวเปล
เป็นช่วงขณะพระบิณฑบาต
ไก่ขันอาดตีปีกชันมองหันเห
แล้วยายลุกหยิบขันพลางขึ้นห่างเปล
บอกแม่เตรียมกล่อมเห่ในไม่นาน
จึงมองไปยังยายที่ผ่ายผอม
สองมือน้อมพร้อมบุปผาภัตตาหาร
ไก่บินกรูลงจากรังมายังลาน
นกขับขานผ่านฟ้าลงมาดิน
พอพระท่านผ่านไปเพียงไม่นาน
ก็ถึงกาลหมู่วิหคเริ่มผกผิน
คล้ายลูกน้อยในอกเป็นนกบิน
สัมผัสดินแรกเดินเผชิญโลกา
เสียงแผ่วเบาเย้าหยอกยายบอกกล่าว
ลองกินข้าวก้นบาตรพระศาสนา
ดำรงอยู่คู่ชาติศาสดา
หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินบนถิ่นทอง
ตามเวลาแสงตะวันที่ผันเปลี่ยน
เจ้าเริ่มเรียนทุกผู้หมู่เพื่อนผอง
ใครเดินล้มก้มเก็บเจ็บประคอง
บางใครร้องว้าเหว่ห่างเปลไกว
บนมือผากสากกร้านดูด้านหยาบ
ก็เพราะหาบทุกวันแบกคันไถ
ทั้งหว่านกล้าคราฝนแรกจนแตกใบ
เริ่มตั้งไข่ใบเหลืองพราวเป็นข้าวรวง
มองหลังคาบ้านนั้นตะวันส่อง
เจ้าเหมียวร้องมองปลาทำท่าหวง
มีอึ่งแห้งเสียบไม้อีกหลายพวง
คงรอดพ้นลุล่วงใครทวงคืน
ตาไล่ตีหนีแล้วเห็นแมวเหมียว
ว่าแล้วเชียวเร่งรัดรีบขัดขืน
ของของใครใครก็หวงต้องทวงคืน
รอหยิบยื่นหลังกินข้าวมื้อเช้าเย็น
ตรงที่เดิมกระถางหมานกกากิน
หลายชีวินหลากเจ้าของที่มองเห็น
ชามใบเก่าเหย้าเยือนเหมือนจำเป็น
หล่อเลี้ยงความลำเข็ญให้เป็นไป
เตาะแตะก้าวรอยเท้าเท่าฝาหอย
พ่อแม่คอยเจ้าเบ่งบานการเคลื่อนไหว
บนพื้นดินกลิ่นกรุ่นละมุนละไม
หรืออีกหนึ่งความเป็นไปบนไกปืน
จากคำพูดบอกเล่าอันเศร้าโศก
รัตติกาลวิปโยคใครขัดขืน
หลายชีวิตดับไปไม่หวนคืน
ไม่อาจยื่นมือจับประคับประคอง
เสียงระฆังวังเวงจากวัดวา
อนิจจาลับเลือนแล้วเพื่อนผอง
จึงกอดแน่นลูกน้อยคอยประคอง
แว่วกรีดร้องบางใครในศาลา
ยังมีเสียงหัวร่อให้พอเห็น
เด็กวิ่งเล่นลุ่มดอนแอบซ่อนหา
บนยุ้งฉางร้างเงาไร้ข้าวปลา
เสียงเฮฮาหน้าเตาถ่านข้างชานเรือน
เจ้าดีใจเริงร่าแขนขาสั่น
เด็กน้อยพลันรุมชะเง้อเสมอเหมือน
ประหนึ่งดาวร้อยดวงเป็นห่วงเดือน
หากแปดเปื้อนรอยคาวเป็นดาวดิน
เสียงระฆังดังหายที่ท้ายวัด
คฤหัสถ์ทั้งปวงยังห่วงถวิล
มาจับจอบสู่ท้องนาเริ่มหากิน
บนแผ่นดินหลับตื่นค่ำคืนภวังค์
โอละเห่...หลับได้แล้วนะแก้วตา
ในผืนผ้าห้วงเปลคือความหวัง
แม่จักเห่เพลงกล่อมพร้อมระวัง
พ่อจักนั่งจับมือไว้ตั้งไข่เดิน....
...รักและคิดถึงลูกมาก พ่อจะกลับบ้านไปหาลูกในวันปีใหม่
อีกเช่นกัน ขอให้เพื่อนกับที่แห่งนี้มีความสุขตลอดไป
และหากพรอันใดที่เกิดแก่ข้าพเจ้า ขอพรนั้นให้พระองค์ทรงหายจากอาการประชวรโดยเร็ว เป็นมิ่งขวัญของลูกทุกคนตลอดไป
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
แล้วพบกันใหม่ปีหน้าครับ
ขอบคุณครับ
นาคะพรรณ
๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๒