2 กรกฎาคม 2550 10:11 น.
นับเดือน
♥บุษยา เกิดมาในครอบครัวมีอันจะกินครอบครัวนึง มีพ่อแม่ พี่น้อง อบอุ่น อยู่ท่ามกลางความรักของทุกคน
♥มนัส เกิดมาไม่ได้เห็นหน้าทั้งพ่อทั้งแม่ ลำบากแสนเข็ญ ต้องอาศัยวัด หลวงพ่อช่วยส่งเสียให้เรียนจนจบ
♥โชคชะตาฟ้าลิขิต นำเค้าทั้งสองมาเจอกัน ที่มหาวิทยาลัยแห่งนึง มนัสเป็นคนที่เรียนเก่งมาก
บุษยาจะขยัน แต่เรียนไม่ค่อยเก่ง มนัสอาศัยอยู่ที่วัดใกล้ๆมหาวิทยาลัย ทุกเช้าเค้าจะเดินจากวัดเพื่อไปเรียน และเมื่อไปถึงมหาวิทยาลัยภาพที่เค้าเห็นเป็นประจำ แบบตั้งใจคือ หญิงสาวสวยบอบบางคนนึง ก้าวลงมาจากรถ หรูคันโต มีคนขับรถมาเปิดประตูให้ เธอจะหอบหนังสือเดินผ่านหน้ามนัสทุกวัน
และเช้าวันหนึ่งเป็นวันที่มนัสดีใจมาก ขณะที่เฝ้ามองเธอเดินใกล้เข้ามาทุกที วันนี้เธอหอบหนังสือเยอะมาก และเหตการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เธอทำหนังสือตก กระจายเต็มพื้นถนน มนัสได้มีโอกาสไปช่วยเธอเก็บ และก็อาสาช่วยถือของไปส่งที่ห้องเรียน และได้รู้จักชื่อเธอวันนั้น เธอชื่อบุษยา
♥หลังจากวันนั้น มนัสก็จะมาคอยบุษยาและอาสาช่วยถือของไปส่งทุกวัน ตอนเย็นก็จะมารับ คนขับรถจะมารับบุษยาหลังจากเลิกเรียนแล้วประมาณ 1 ชั่วโมง เวลา 1ชั่วโมงของทุกเย็น มนัสจะติววิชาที่บุษยาไม่เข้าใจ ส่วนบุษยาก็จะหาของทานเล่นมาฝากทุกวัน ทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้น ความใกล้ชิด เกิดเป็นความผูกพัน และรักกันในที่สุด โลกนี้มองไปทางไหนก็สดใส เพียงแต่ถ้าเค้ารู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ..... ความสุขที่เค้าได้รับตอนนี้จะไม่มีความหมายเลย.....
มนัสและบุษยาให้สัญญากันว่า เมื่อเรียนจบมนัสมีงานทำตั้งตัวได้ เค้าจะแต่งงานกับบุษยา ซึ่งบุษยาก็ยินดี เพราะมนัสเป็นคนดีเหลือเกิน อยู่ใกล้ๆก็จะรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ชีวิตนี้บุษยาคิดว่าเธอไม่มีมนัสไม่ได้แน่ๆ.....
♥เวลาผ่านมาจนกระทั่งทั้งสองคนเรียนจบ บุษยาจึงตัดสินใจบอกพ่อและแม่ด้วยความภาคภูมิใจว่า เธอมีคนรักแล้วชื่อมนัส เป็นคนดีมาก ดูแลเธอมาตลอด4 ปี และจะแต่งงานกัน เธอไม่คิดเลยว่าความจริงที่เธอพูดออกไปด้วยความภาคภูมิใจนักหนาจะสร้างความปวดร้าวให้เธอได้มากมาย เมื่อพ่อแม่เธอรู้ว่ามนัสเป็นเพียงเด็กวัด พ่อแม่เป็นใครก็ไม่รู้ เธอโดนคำสั่งไม่ให้ไปพบมนัสอีก และไม่ได้สั่งอย่างเดียว พ่อของเธอจัดลูกน้องมาเฝ้า บุษยาไม่สามารถออกไปพบมนัสได้อีก...
♥1 เดือนก่อนสอบ มนัสไม่ได้พูดคุยกับบุษยาเลย ตอนเช้ามนัสมารอพบบุษยาเหมือนทุกครั้ง แต่คุณแม่ของบุษยามาส่งทุกวัน มีลูกน้องเดินถือของตามอีก 2 คน มนัสเห็นแต่แววตาที่บุษยามองมา ช่างเศร้าหมองนัก ไม่สดชื่นสดใสเหมือนเคย บุษยาเองก็คงจะเห็นแววตาของมนัสไม่ต่างไปจากตัวเองนัก แต่ทำไมนอกจากแววตาที่โศกเศร้าขนาดนั้น ร่างกายของบุษยาดูอิดล้าอ่อนโรย เธอไม่สบายเป็นอะไรหรือป่าว มนัสใจจะขาด อยากจะเข้าไปดึงตัวเธอออกมา และอยากจะกอดเธอขอเพียงกระซิบให้เธอรู้ว่า มนัสรักและคิดถึงบุษยาเหลือเกิน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ตอนเย็นจะมาดักพบ ก็เจอผู้ติดตามทั้ง 2 คนดักอยู่ไม่ให้พบ เลิกเรียนปุ๊บรถก็มารับบุษยากลับทันที มนัสคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วจะทำอย่างไรดี ชีวิตนี้ถ้าไม่มีบุษยาเค้าคงไม่มีกำลังใจจะทำอะไร และมนัสก็ตัดสินใจ วันสอบวันสุดท้ายมนัสจะต้องพบกับบุษยาให้ได้ เราต้องทำอะไรสักอย่าง นี่คือความคิดของมนัส
วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายแล้ว ตลอดสับดาห์นี้ บุษยาทำข้อสอบไม่ได้เลย เธอรู้ว่า ถ้าเธอไม่มีคะแนนเก็บไว้ เธอคงไม่สามารถเรียนจบได้แน่ คิดถึงมนัสมาก บุษยาปวดศรีษะทุกครั้งที่คิดถึงมนัส ทานข้าวไม่ได้เลย พ่อกับแม่ไม่รู้ว่าบุษยาทานข้าวไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอทุกทรมานแค่ไหน เธอมีชีวิตอยู่ตามคำสั่งพ่อแม่ของเธอเท่านั้น เธอเหมือนร่างที่ไร้วิญญาน วันนี้แล้วสินะที่จะได้มีโอกาสเห็นหน้ามนัสเป็นวันสุดท้าย เธอจะทำอย่างไรดี พอคิดถึงตรงนี้ บุษยามีอาการปวดศรีษะมาก มองอะไรไม่เห็นชั่วขณะ เอ๊ะมันเกิดอะไรขึ้นนี่เราไม่สบายหรือป่าวนะ
โปรดติดตามต่อไป
29 เมษายน 2550 10:03 น.
นับเดือน
หนึ่งปีที่หายไปจากโลกออนไลน์ พ.ย.2548-ธค.2549
ตั้งแต่เกิดมาฉันก็เป็นคนตัวผอมๆ ซุกซน แต่ก็ไม่สบายเล็กๆน้อยๆมาตลอด เรียนหนังสือระดับชั้นประถมถึงมัธยมแบบถูถูไถไถ ระดับปริญญาตรีแบบใช้ไปวัดได้ ระดับปริญญาโทแบบตั้งใจหน่อยเลยอยู่ในเกณฑ์ดี เรียนจบปริญญาโทเมื่อพ.ศ.2545 ก็เลยได้เปลี่ยนงานใหม่มาเป็นผู้บริหารขององค์กรเอกชนองค์กรหนึ่ง
ฉันเคยได้รับความทุกข์(สะเทือนใจอย่างสาหัส ฉันก็เลยทุ่มเทให้กับงานฉันสนุกกับการทำงานมาก ถึงจะเหนื่อยแต่เมื่องานออกมาสำเร็จก็จะเป็นความภาคภูมิใจเริ่มทำงานใหม่ตั้งแต่ปี 2546 สุขภาพก็ยังปกติแต่จะมีอาการปวดศรีษะปวดท้องบางทีก็เดือนละครั้งบางทีก็สัปดาห์ละครั้ง ฉันก็คิดว่าคงเป็นเพราะเครียดไม่ได้พักผ่อน บางครั้งเดินออยู่เฉยๆก็ล้มลงไปเลย แบบไม่ทราบสาเหตุ
ปี 2547 ไปหาหมอพบว่าเป็นโรคหัวใจ ซึ่งก็ไม่ตกใจนักเพราะทานยารักษาและดูแลตัวเองให้ดีก็หายและปกติเป็นคนที่จะไม่เก็บอะไรไว้ในใจนานๆจะระบายออกทางตัวหนังสือ หรือการทำงานจนกระทั่งเข้ามาเล่นเนตครั้งแรกที่สนุก.คอม ได้คนคนนึงสอนให้รู้จักตั้งแต่ url เล่น msn และทุกอย่างก็เพลินดี
จนกระทั่งเดือน พ.ย.ปี2548 เริ่มมีอาการปวดศรีษะตลอด 24 ชั่วโมง ทานข้าวไม่ได้ยืนยันว่าไม่ได้แม้แต่เม็ดเดียว พยายามทานก็จะอาเจียนออกมาหมด เดินไปไหนบางทีก็ล้มไปเฉยๆแบบไม่รู้ตัว พ่อเลยพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลเซนทรัลเยนเนอรัล แพงหน่อยแต่ก็คิดว่าสะดวกดีและคงจะหาย ที่นั่นไปนอนอยู่ประมาณ 7 วันหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรเครียดให้น้ำเกลือ แต่อาการปวดศรีษะทานข้าวไม่ได้ก็ยังอยู่มันทรมานมาก หมดเงินไปเยอะเหมือนกันไม่หาย น้ำหนักตัวก็ลดลงเรื่อยๆ จากปกติ 55 เหลือ 34 ในเวลา 1 เดือน
พ่อจึงพาไปหาหมอที่ภูมิพลไปแบบเข้าห้อง ฉุกเฉินเพราะความดันต่ำและอาเจียนต้องเอ่ยชื่อเพื่อให้คนที่อ่านจะได้พิจารณาว่าควรไปรักษามั๊ย หมอพาไปตรวจโรคหัวใจฉีดสี ทั้งหัวใจทั้งปอดนอนโรงพยาบาลครึ่งเดือน สรุปว่าอาการทุกอย่างเหมือนเดิมพอออกจากโรงพยาบาลมาฉันก็ยังทนทุกข์ทรมาน กับอาการปวดศรีษะทานข้าวไม่ได้ทานแต่น้ำและอาเจียนทุกวัน
สงสารก็แต่ญาตพี่น้องไม่รู้จะทำยังไงตอนนั้นตาก็มองไม่เห็น ต้องพาส่งโรงพยาบาลตลอด สุดท้ายที่ภูมิพลบอกว่าตรวจพบเลือดเป็นกรดก็ให้ยาทางเส้นเลือดแต่พอกลับบ้านอาการก็เหมือนเดิมและหนักขึ้นเรื่อยๆตอนนั้นเดือนมิถุนายน ฉันเคยคิดจะผูกคอตายด้วยซ้ำ เพราะถอดใจแล้วกี่หมอก็รักษาไม่หายพยายามนึกว่าไปทำอะไรใครไว้ก็นึกไม่ออก คิดว่าเป็นกรรมเก่าตามมาทัน
เดือนกรกฎาประมาณกลางเดือนอาการกำเริบอีกพ่อพาส่งโรงพยาบาลเดินไม่ได้แล้วเพราะไม่มีแรง ความดันต่ำจนวัดไม่ได้แต่หมอที่ดรงพยาบาลภูมิพลกลับบอกว่านัดมาส่องกล้องเดือนตุลาวันที่ 2 ซึ่งในวันนั้นฉันก็จะตายอยู่แล้ว ขณะที่นอนอยู่บนรถเข็นของโรงพยาบาล มีนางพยาบาลคนนึงเดินมาบอกพ่อว่าอย่าให้รออีก 2 เดือนเลยพาไปรักษาที่โรงพยาบาลรามาเถอะ แล้วคืนนั้นฉันกลับบ้านเกิดอาการช๊อกก็น้ำหนักตัวจาก55 เหลือ 34 ในเวลา 1เดือนจะไม่ช๊อกได้ไงพ่อกับแม่เลยพาส่งห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลรามาซึ่งทางโรงพยาบาลก็หาสาเหตุไม่ได้เพราะอ่านจากประวัติที่ได้จากภูมิพลเค้าคงต่อไม่ถูก
กรกฎา สิงหา กันยา ถึงกลางเดือนตุลา ฉันก็ยังคงเข้าออกโรงพยาบาลรามาเหมือนเดิมประมาณ 3 ครั้งและต้องนอนห้องฉุกเฉินทุกครั้งประมาณเดือนกันยายนหมอจึงพบว่าฉันเป็นโรคภมิคุ้มกันตัวเองบกพร่องหรือโรคSLEหรือที่ชาวบ้านรู้จักกันว่าโรคพุ่มพวง แต่ฉันโชคร้ายหน่อยที่เชื้อไวรัสไปทั่วร่างกายตั้งแต่สมอง ตา หัวใจ ปอด กระเพาะ ลำไส้ และกระดูก
วันที่ 19 ต.ค ฉันมาหาหมอตามนัดพอหมอฟังหัวใจ ฟังปอด ฟังที่ท้องหมอไม่ให้กลับบ้านเลยและวันนั้นฉันก็ไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งวันที่ 29 ตุลาคมฟื้นขึ้นมาในสภาพที่น่ากลัวเหลือเกินพบว่าตัวเองถูกมัดมือมัดเท้าไว้กับเตียงมีสายตาอจากคอ หน้าอก และปอด ขาขวาถูกพันด้วยพลาสเตอร์อย่างแน่นมาก ฉันงงมากเป็นไปได้ขนาดนั้น ฉันพูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ เค้าให้อาหารทางจมูกฉันจึงมีชีวิตอยู่ได้ และแล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้นอาจจะเป็นเพราะพ่อแม่ญาตพี่น้องทำบุญสวดมนต์ให้ตลอดได้กำลังใจจากเพื่อนๆและเพื่อนออนไลน์ฉันฟื้นตัวเร็วมากออกจากโรงพยาบาลวันที่ 15 ธ.ค ตอนนี้แข็งแรงขึ้นทุกอย่าง เหลือแต่กระดูกที่ขาที่ไม่มีแรงเพราะนอนมากเท่านั้น
จากวันนั้นถึงวันนี้ชีวิตฉันเปลี่ยนไปฉันต้องอยู่กับความทุกข์ทรมานไปจนตายแต่คงอีกไม่นาน