20 กันยายน 2547 18:01 น.

เก็บเธอไว้ในความทรงจำ

ธารนำ

กริ๊ง .....  กริ๊ง .....   กริ๊ง .............. 

       เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันทีหลังจากที่ฉันเปิดเครื่องโทรศัพท์ชาร์ตแบต   มองดูเวลาก็ประมาณสี่ทุ่มกว่า  ซึ่งก็ถือว่าดึกแล้วสำหรับฉัน  ดูเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอไม่คุ้นตาเลยก็แปลกใจว่าดึกแล้วใครโทรมา  พอกดปุ่มรับโทรศัพท์เท่านั้นแหละ  ฉันถึงกับช็อคเหมือนโลกหยุดหมุน  เข็มนาฬิกาหยุดเดินไปชั่วขณะหนึ่ง  และรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทุบหัว  บีบหัวใจทำให้รู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก  ฉันไม่อยากเชื่อถ้อยคำที่พูดออกมาจากปากเพื่อนเลย
        รุ่ง ... เธออยู่ไหนเนี่ย  ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์ซักทีปิดเครื่องทำไม  ฉันโทรหาเธอ 4  5รอบแล้วรู้ไหม   เสียงคนพูดร้อนลนเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ
       อยู่หอจ๊ะ  แฮ่ะ ๆ ฉันไปกินเลี้ยงกับเพื่อนมา  ว่าจะโทรไปบอกก่อนเหมือนกันแต่แบตมันหมดพอดี  ไม่ได้ปิดเครื่องนะ   ฉันตอบไปหัวเราะไปด้วยเพราะกลัวว่าเพื่อนจะโกรธ  แล้วก็แกล้งย้อนถามกลับคืนว่า   แล้วเพื่อน ๆ ไปไหนหมดไม่เห็นใครอยู่ห้องเลยซักคน มีอะไรพิเศษหรือเปล่าเหลวไหลใหญ่แล้วน่ะดึกดื่นแล้วไม่ยอมกลับห้องกลับหออีก  
      เจี๊ยบเพื่อนของฉันที่เป็นคนโทรศัพท์มาบอกนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า  รุ่ง ... ทำใจดี ๆ นะ  แม๊ะเสียแล้ว  ตอนนี้เพื่อน ๆ ทุกคนอยู่ที่โรงพยาบาล   น้ำเสียงของเขาราบเรียบมาก
       อะไรนะ! แม๊ะ  แม๊ะไหน   แม๊ะเพื่อนเราหนะนะ  พูดเป็นเล่นไปได้  ฉันไม่เชื่อหล่อนหรอกอย่ามาอำกันเลย  ไม่ตลกด้วยขอบอก  อยู่ไหนกันแน่บอกมาดี ๆ เลย  ไปเที่ยวกันสนุกสนานยังมา สร้างเรื่องหลอกกันอีก  ฉันไม่เชื่อพวกเธอง่าย ๆ หรอกเสียใจจ๊ะฉันจะไม่ยอมหลงกลพวก เธออีก   ฉันตอบกลับแบบไม่พอใจที่โดนเพื่อนแกล้งและไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงเพราะฉันโดนเพื่อนอำเรื่องแปลก ๆ มาแล้วหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องนี้ด้วย  ฉันจะไม่ยอมหลงกลใครง่าย ๆ อีก  แต่ต้องยอมจำนนเพราะคำพูดของเจี๊ยบที่บอกว่า
        ไม่เชื่อก็ตามใจ  ตอนนี้ฉันและเพื่อนคนอื่น ๆ อยู่ที่โรงพยาบาลจริง ๆ ใครจะเอาความเป็นความตายของเพื่อนมาล้อเล่น  อยากพิสูจน์ความจริงก็มาที่โรงพยาบาลซิ   น้ำเสียงของเขาราบเรียบและเย็นชากว่าตอนแรกอีก  ทำให้ฉันไม่ค่อยแน่ใจในความเชื่อของตัวเอง  ตอนนั้นฉันทำอะไรไม่ถูก  พูดอะไรก็ไม่ออกมันเหมือนน้ำท่วมปาก อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ  มือไม้สั่นไปหมด  ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะเพื่อนยืนยันหนักแน่นอย่างนั้น
        จริงหรอ ... ฮือ ๆ  ฉันไม่อยากเชื่อเลย  ไม่อยากเชื่อจริง ๆ แล้วเหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง  ? เกิดอะไรขึ้น ?แม๊ะไปไหน ?ไปทำไม ?ทำไมต้องไป ? แล้วเพื่อนคนอื่น ๆ เป็นยังไงบ้างได้ไปด้วยกันหรือเปล่า ?????????   คำถามมากมายพรั่งพรูออกจากปากของฉันจนคนฟังตอบไม่ทัน พร้อมกับน้ำใส ๆ ไหลรินอาบสองแก้มนวลทั้งสองข้างเหมือนเขื่อนกั้นน้ำพังทลายลง
       ตอนนี้อยู่ที่หน้าห้องตรวจศพ  ข้าง ๆ ตึกที่เราเคยไปเยี่ยมจี๊ดนั่นแหละ  มาถึงแล้วถ้าหาไม่เจอก็โทรมาถามอีกรอบก็แล้วกัน  ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องคิดมาก ขับรถระวัง ๆ ด้วยนะ   เจี๊ยบพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยและแสดงความเป็นห่วง
         หลังจากตั้งสติได้ซักครู่  ฉันก็วิ่งไปบอกจี๊ดเพื่อนที่ไปกินเลี้ยงด้วยกัน  อาการของเขาก็เหมือนกันกับฉันนั่นแหละ หาว่าฉันโกหกอยู่ด้วยกันตลอดจะรู้เรื่องได้ยังไง  อย่ามาอำให้เสียเวลาเลย  ยิ่งกลับมาเหนื่อย ๆ จะอาบน้ำนอน  
          ฉันก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน  แต่พวกนั้นยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงเราไปดูที่โรงพยาบาลกันดีกว่า  
         ระหว่างทางที่ขับรถจักรยานยนต์คู่ใจไปโรงพยาบาลนั้น  ฉันพร่ำเพ้อปลอบใจตัวเองตลอดทางว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง  เพื่อน ๆ คงล้อเล่น  หรือเรื่องที่ฉันได้ยินนั้นมันเป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้น  จี๊ดที่นั่งซ้อนท้ายรถก็พยายามพูดปลอบใจตัวเองและพยายามปลอบใจฉันด้วยว่า   ไม่มีใครอยากให้มันเป็นเรื่องจริงหรอก  ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นกับเพื่อนของเราหรือว่าคนรอบข้างที่เรารักหรอก พวกเราต้องไปพิสูจน์ให้มันรู้ไปเลยว่าเป็นจริงหรือเปล่า  แล้วถ้าพวกนั้นมันโกหกนะ ฉันจะสั่งสอนให้เข็ดเลย  
        พอไปถึงโรงพยาบาลสิ่งที่ฉันไม่เชื่อและไม่อยากรับรู้นั้น  มันมีกลิ่นอายเค้าโครงความจริงจนฉันสามารถสัมผัสได้สีหน้าของเพื่อน ๆ แต่ละคนเศร้าหมองอิดโรย  มีคราบน้ำตาปนเปื้อนสองแก้มเป็นลอยจาง ๆ  เพื่อนบางกลุ่มก็กอดกันร้องไห้ระงม  ทำให้ฉันเริ่มจะเชื่อแล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง  แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่าอาการคงไม่หนักหรอก  ฉันเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนที่นั่งเรียงกันอยู่ตามระเบียงทางเดินหน้าห้องตรวจศพและถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ไม่มีใครให้คำตอบฉันซักคนทุกคนส่ายหน้าพูดไม่ออก  ชี้โบ้  ชี้เบ้  ให้ฉันและจี๊ดเข้าไปดูเอง  แต่ใจฉันมันไม่กล้าพอที่จะเข้าไปเห็นหรือว่ารับรู้อะไร
         เข้าไปลาเพื่อนหน่อยซิ รุ่ง จี๊ด  นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะที่เราจะได้เจอหน้าเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย  เข้าไปลาเขาหน่อยเถอะ  ตาดำบอกฉันกับจี๊ดทั้งน้ำตาคลอเบ้า
         นี่มันเป็นเรื่องจริงหรอ  ?  ฉันไม่อยากเชื่อเลยมันเป็นไปได้ยังไง  ทำไมยมทูตต้องมาพรากเพื่อนที่แสนดีและคนที่เรารักไปจากเราเร็วเช่นนี้   ฉันพูดออกมาโดยไม่ได้คำนึงถึงจิตใจของเพื่อนรอบข้าง  เขากำลังเสียใจและคงไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนของตัวเองเช่นกัน  ซึ่งการที่ฉันพูดออกไปมันเหมือนเป็นการตอกย้ำให้เพื่อนยิ่งคิดมากไปกันใหญ่
        ฉันและจี๊ดตัดสินใจเข้าไปดูร่างที่ไร้วิญญาณของเพื่อนสาวด้วยใจหดหู่อย่างบอกไม่ถูก  น้ำตาเจ้ากรรมมันก็ดันทุรังแต่จะรินไหลออกมา  ฉันพยายามอดกลั้นไว้ไม่อยากให้เพื่อนต้องมีห่วง  อยากให้เพื่อนไปสบายขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าและอยากให้เรามาเป็นเพื่อนกันอีกไม่ว่าชาตินี้  ชาติหน้าหรือว่าชาติไหนก็ตาม  แต่จี๊ดซิแค่เพียงเห็นหน้าเพื่อนเท่านั้นแหละ  เขาถึงกับเข่าทรุดน้ำตาไหลพราก ๆ ยังกับเขื่อนแตก  
      ในขณะเดียวกันนั้นจิตใจของฉันก็ยิ่งแต่หดหู่หนักกว่าเดิมเพราะร่างที่ไร้ความรู้สึกอีกร่างนั้นเป็นของพี่สาวคนสวยที่ฉันรู้จักอีกคนหนึ่ง นั่นคือ พี่เอื้อย  ทำไมยมทูตต้องมาพรากคนดีทั้ง 2 คนไปจากชีวิตพวกเราพร้อมกันด้วย  แล้วฉันก็ฉุกคิดไปถึงหัวอกของพ่อแม่ ญาติพี่น้องของเขาทั้ง 2 จะเป็นยังไงบ้าง  หลังจากทราบข่าวของลูกสาวที่มาศึกษาเล่าเรียนแล้วต้องมาจบชีวิตลงอย่างไม่ได้สั่งเสียบอกกล่าวกันเลยซักคำ  คงเพียงหวังว่าลูกมาศึกษาเล่าเรียนเพื่อเป็นความหวังของพ่อแม่และเพื่ออนาคตที่ดีของตัวเอง  
      ฉันต้องคอยประคับประคองตัวเองและจี๊ดออกมาจากภาพเหตการณ์ที่น่าหดหู่นั้น  พยายามปลอบใจจี๊ดว่าเพื่อนเราเขาไปสบายแล้ว เขาไปอยู่ในโลกใหม่ของเขาแล้วเราอย่าไปทำให้เพื่อนต้องมีห่วงอีกเลย  เพื่อน ๆที่ทราบข่าวภายหลังก็ทยอยมาเยี่ยม  ทุกคนตกอยู่ในสภาพเดียวกันหมด
      แม๊ะกับพี่เอื้อยเป็นคนดีแท้ๆ ทำไมจึงจากไปเร็วอย่างนี้พวกเราทำใจไม่ได้หรอก เพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมพูดออกมาแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน
       พวกเรานั่งรอจนกว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้องของเพื่อนและพี่สาวจะมารับร่างที่ไร้วิญญาณกลับบ้านไปบำเพ็ญกุศลต่อไป  ระหว่างที่นั่งรอเพื่อน ๆ ก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังจึงทราบว่าพวกเขากำลังจะเดินทางไปออกค่ายกับมูลนิธิแห่งหนึ่ง  ซึ่งเป็นการไปบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมตามเจตนารมณ์ของพวกเขา  
      โอ้อนิจจา ! กลับต้องมาพบเจอกับอุบัติเหตุที่ร้ายแรงอย่างคาดไม่ถึงนี้ก่อน  ทำไมคนที่ก่อกรรมทำเวรมีอยู่มากมายในสังคม  ยมทูตถึงไม่ยอมไปพรากชีวิตเขา  ทำไมต้องมาพรากชีวิตคนที่ทำแต่ความดีด้วย  
      หลังจากทราบเหตุการณ์ฉันยิ่งสงสารเพื่อนกับพี่สาวในชะตาชีวิตของพวกเขาจะไปทำความดีแท้ ๆ เฮ้อ ! ไม่น่าเลย คิดไปคิดมาแล้วมันเร็วเกินไป  เขาไม่ได้สั่งเสียใครเลยซักคำ อีกอย่างพวกเรารู้จักกันและมีความผูกพันธ์กันมา 2 ปีจะเข้าปีที่ 3 แล้ว  ซึ่งสนิทกัน เคยกิน เคยเที่ยว เคยนอน เคยเล่นด้วยกันมีอะไรก็แบ่งปันกัน  
       เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมันเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากมาก ฉันไม่อยากจะคิดต่อเลยในสถานการณ์ที่เราอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน วันที่เปิดเทอมใหม่ ๆฉันก็เป็นคนไปรับเขาเอง รอยยิ้มเสียงหัวเราะของพวกเขามันก้องอยู่ในหูฉันตลอดเวลา  พลันแต่จะทำให้น้ำตาแห่งความเศร้าไหลรินออกมาไม่ขาดสาย  
       ฉันพยายามจะไม่คิดแต่มันก็ลอยเข้ามาในความคิดของฉันอยู่ดี  จนมันทำให้ฉันปลงในชีวิตของคนเรามันก็มีแค่นี้แหละ  ทุกคนได้เกิดมาในโลกนี้เหมือนกัน  ดำเนินชีวิตในรูปแบบของตนและก็ต้องจบชีวิตในโลกนี้อีกเช่นกัน  ไม่มีใครหลีกเลี่ยงสัจธรรมข้อนี้ไปได้  จะต่างกันบ้างก็ตรงที่ใครจะอยู่ชดใช้กรรมในโลกนี้นานกว่ากันยิ่งอยู่นานก็ยิ่งต้องทรมานนานกว่าอยู่แล้วใช่ไหม ? ฉันและเพื่อน ๆ พยายามคิดว่าเพื่อนเขาไปสบายแล้วอย่าไปคิดมากเลย  
      จนเวลาล่วงเลยถึงตีสามพ่อและญาติของแม๊ะก็เดินทางมาถึงพร้อมกับความเศร้าหมองในหัวใจที่แสดงออกมาทางสีหน้าของแต่ละคนอย่างเด่นชัด  หลังจากรับร่างที่ไร้ความรู้สึกของลูกกลับบ้านไปแล้ว  พวกฉันก็ทยอยกันกลับหอพัก  กว่าจะมาถึงห้องก็ปาเข้าไปตีสามกว่าแล้ว  ทั้งที่ดึกมากแล้วแต่พวกเราก็ไม่ง่วงนอนกันเลยพยายามข่มตาให้หลับแต่ยังไงฉันก็หลับไม่ลงอยู่ดี  ภาพรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ  เวลาพวกเราทุกข์พวกเราสุขมันก็ลอยเข้ามาอยู่ในมโนภาพของฉันอยู่ดี  ยังไง ๆก็ไม่หลับอยู่ดี  ทั้งที่พยายามข่มตาให้หลับก็หลับได้แค่เพียงดวงตาแต่ความคิดและจิตใจมันไม่ยอมหลับเลย 
      เช้าวันถัดมาพวกเราก็เดินทางไปบ้านแม๊ะ  เพื่อจะไปแสดงความเสียใจกับพ่อแม่และญาติพี่น้องของแม๊ะและเป็นการไปส่งเพื่อนกลับบ้านด้วย   ข้าวของทุกอย่างของแม๊ะเราก็ช่วยกันขนกลับพอไปถึงบ้านแม๊ะกลิ่นอายความโศกเศร้าก็เริ่มล่องลอยเข้ามากระทบจิตใจจนรู้สึกได้  ภาพแรกที่เห็นคือพ่อแม่ของแม๊ะรวมทั้งญาติ ๆ เข้ามาต้อนรับพวกเราด้วยสีหน้าโศกเศร้า  ทำให้เขื่อนกั้นน้ำของฉันพังอย่างไม่เป็นท่าอีกรอบ มันเหมือนน้ำป่าไหลบากที่ไม่สามารถปิดกั้นได้อีกต่อไป เพื่อน ๆ ทุกคนที่ไปด้วยกันก็มีสภาพที่ไม่ต่างจากฉันทุกคนไม่สามารถปิดกั้นน้ำป่าแห่งความโศกเศร้าไว้ได้ญาติพี่น้องของเขาในหมู่บ้านก็มาผูกข้อมือให้เขาพูดภาษาถิ่นซึ่งฉันก็ฟังไม่รู้เรื่องแต่ความรู้สึกเหมือนเขามาปลอบใจ ยิ่งแต่เหมือนเป็นการยั่วยุให้ฉันร้องสะอื้นมากกว่าเดิมเสียอีก
       ฉันและเพื่อน ๆ พยายามสงบสติอารมณ์แล้วเข้าไปไหว้ศพเพื่อน  ปิดกั้นไม่ให้มีน้ำตาเล็ดลอดออกมาทำให้เพื่อนต้องมีห่วง	
         ไปดีนะเพื่อน  ถึงยังไงก็แล้วแต่เธอก็ยังเป็นความทรงจำที่ดีสำหรับฉันเสมอ  ไม่ว่าชาตินี้ชาติหน้าเราก็จะกลับมาเป็นเพื่อนกันอีก 
                       ด้วยรักและอาลัย  จากใจธารน้ำ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟธารนำ
Lovings  ธารนำ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟธารนำ
Lovings  ธารนำ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟธารนำ
Lovings  ธารนำ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงธารนำ