9 ตุลาคม 2548 14:39 น.
ธรรม ทัพบูรพา
เหตุทุกข์ดั่งลมท่องภูผา
วิญญาณถิ่นพสุธาล่องลิ่ว
เนืองนิจใจหนักยังปลิดปลิว
เหิมหิวหิ้วเริงใจไร้วีแวว
หากชีวีข้านี้พอเลือกได้
จะรักษาดวงใจให้เจ้าแก้ว
ถึงวันนี้ขวัญตาข้าเจ็บแล้ว
กลางแนวกลางไฟโศก - นรกใด
เหนื่อยหนักนักแล้วชีวีที่ผ่านพ้น
เพียงหนึ่งคนความต้องการที่เหลือใฝ่
หรือหนึ่งความต้องการข้ามากไป
บางอย่างต้องชดใช้ - มากกว่านี้
กอดชีพสองดวงใจไว้ดั่งแก้ว
ทุกอย่างวางมอบแล้วในถิ่นที่
สืบวันด้วยคุณงามความดี
ลมโลกรานราวี - วิปลาส
เอาเลยเจ้าจอมมารใจชั่ว
ตัวกูไม่เคยกลัวดั่งคนขลาด
ดวงใจกบฏใคร่ ในภพชาติ
ขอปลดทาสแสนทุกข์แม้สุขพลบ
.............................................
27/เมษา/46
8 ตุลาคม 2548 12:27 น.
ธรรม ทัพบูรพา
หลายคนต่างเกรงกลัวในความจริง
กลัวสังคมทอดทิ้งไว้ข้างหลัง
กลัววิมานงดงามจะครืนพัง
หากไม่กราบของขลังค์เป็นครั้งครา
คนจุดไฟกลางกองสำลีแห้ง
ไฟก็ลามลุกแดงไหม้แข้งขา
เป็นคนโง่จุดไฟไม่พิจารณา
หรือความซื่อของขาไม่ก้าวไป
เพราะวางใจในฐานะสมควรมนุษย์
ขอบนิพพานก็เกินสุดจะเอื้อมไหว
ขอเพียงหนึ่งชีวิต-หนึ่งจิตใจ
กับภาวะภายในอันสมบูรณ์
ยามไม่มีแม้สิทธิ์เพียงจะคิด
เหมือนเอาถูกลบผิดเท่ากับสูญ
คือชีวิตกับชีวิตไม่เกื้อกูล
จะหาความสมดุลจากสิ่งใด
เรางดงามท่ามกลางสังคมเถื่อน
มีบางอย่างคอยเตือนอยู่ใช่ไหม
งานที่งามหมดจดจากจิตใจ
เหลือเวลาเท่าไร - ในสังคม
...........................................
เอามาฝากเพื่อน เหมือนเรานั่งคุยกัน
8 ตุลาคม 2548 12:20 น.
ธรรม ทัพบูรพา
ถึงเวลาควรพักจงพักบ้าง
ในบางครั้งเส้นทางมันหนักหนา
ยามแย้มยิ้มผูกมิตรกับนิทรา
คงมีบ้างอ่อนล้าถึงภายใน
ได้เวลาควรพักจงพักบ้าง
เขาคนนั้นข้างทางยังอยู่ไหว
ยังคงยิ้มหยอกเย้าว่าเข้าใจ
ทั้งไม่มีอะไรที่เหมือนเธอ
หากเขามีปากกากับกระดาษ
มือของเขายังวาดเธอเสมอ
กับความสุขเล็กน้อยได้พบเจอ
ให้ดวงใจได้เพ้ออยู่ข้างทาง
จนถึงวันสอนใจให้นิ่งเงียบ
จมอารมณ์ราบเรียบจนถึงสว่าง
ณ จุดจบกลางใจควรปล่อยวาง
คงพอเห็นเลือนลางก้าวต่อไป
ถึงเวลาควรพักจงพักบ้าง
เขายังอยู่ข้างทางยังอยู่ไหว
ก้มลงนับความเหงามีเท่าไร
สิ่งที่เธอฝากไว้ในความจริง
.......................................
7 ตุลาคม 2548 16:41 น.
ธรรม ทัพบูรพา
๑) แสงเรืองเรียงรายปลายคอนกรีต
พิทักษ์รอยจารีตแห่งเมืองใหญ่
สุดถนนห่มเรืองเมืองแสงไฟ
จะหลีกลี้หนีไกลไปชมดาว
บรรลุแดนนิทานกาลครั้งหนึ่ง
เจ้าที่ดินรำพึงถึงต้นข้าว
ลับไศลเนินไฟถึงแสงดาว
ยินแม่กล่าวต้อนรับลูกกลับมา
กระพริบแสงประดับดำกำมะหยี่
ธรณีอุ่นเท้าโอ้ดาวข้าฯ
ยิ่งขับเคลื่อนยิ่งไกลในสายตา
ยิ่งไขว่คว้ายิ่งไกลในหลักพิง
ทางหวังวูปไหวอากาศธาตุ
มนุษย์ชาติปลอบอภัยได้ทุกสิ่ง
เมื่อเท้าฉันจมปลักกับหลักจริง
หัวใจยิ่งเสียหลักบนหลักรอง
จงโปรดเถิดดวงดาวเถิดเจ้าข้า
โปรดประทานเมตตาความถูกต้อง
ให้หนึ่งใจข้าฯนี้มีสำรอง
ประทานห้องบอดใบ้ให้สักดวง
๒) ..เสรีในความคิด
อุดมสิทธิทั้งปวง
..สังคมไม่เปล่ากลวง
หากกลไกไม่น่ากลัว
..หนึ่งใจที่ใสส่อง
ประดับท้องฟ้ามืดมัว
..หนึ่งใกล้มิไกลตัว
อาจมืดมิดด้วยพิษภัย
..หากเธออยู่เบื้องฟ้า
มิสูงกว่ามิไกลไป
..ขอแสงเป็นแรงใจ
ผู้ต่ำต้อยและคอยนาน
..อาจสิ้นคำร้องขอ
เพราะขมขื่นจนเกินกาล
..หลั่งถ้อยรินประมาณ
ธุลีสร้อยอาจลอยลม
..ดาษดื่นผู้แกร่งกล้า
อีกมากกว่าผู้ทุกข์ตรม
..คมคิดอันควรคม
ให้คงอยู่ด้วยศรัทธา
๓) จากหนึ่งถึงร้อยรู้จัก
อาจมีที่รักเสน่หา
อาจมีที่มอบชีวา
จึงมีดวงตา ดวงใจ
มีเธอผู้มอบใจภักดิ์
จึงเกิดความรักสะอาดใส
แด่เธอผู้เป็นสายใย
ผูกในสัมพันธ์มั่นคง
สิ่งใดหนอช่างบันดาล
หรือถ้อยคำหวานชวนหลง
จึงมั่นใจเกินปลดปลง
ดำรงค์คงอยู่อย่างนี้
ด้วยรักเกินเอ่ยวาจา
ห่วงหาเธอสุดฤดี
ทุกอย่างกลางใจที่มี
คือบทกวีแห่งเธอ
๔) กับหนึ่งชีพหนึ่งถิ่นแผ่นดินรัก
ถึงอย่างไรยังรู้จักเธอเสมอ
เธอคือแม่ คือรัก คือละเมอ
คือสิ่งเพ้อสิ่งฝันอันเป็นจริง
ฉันจะลืมเธอได้อย่างไรเล่า
เธอคือเบ้าหล่อหลอมฉันทุกสิ่ง
คือร่มเงาต้นรักได้พักพิง
มีค่ายิ่งต่อก้าวที่ยาวไกล
มากเกินกว่าถ้อยคำจะบรรยาย
อธิบายแผ่นฟ้าว่ากว้างไหม
อาณาจักรแห่งนี้อยู่ที่ใจ
และคงอยู่ต่อไปชั่วนิรันด์
ลมหายใจเข้าออกบอกอย่าท้อ
คงหยัดยืนก่อสร้างสู่ทางฝัน
ยังจ่อจิตต่อใจกับปัจจุบัน
ขณะจิตติดพันอยู่เดียวดาย
อนาคตต่อไปใยน่าห่วง
เพียงเธอนั้นหลอกลวงไม่เสียหาย
จะคืนถิ่นดินแม่ก่อนวางวาย
ย่อยสลายความฝันอันชินชา
๕) เช้าใส - เชิญลงแท่นพุทธองค์
วางลงถวายน้อม ขันห้า
สรงองค์ ปรุงอบแก้วมัลลิกา
ขอพร กราบบาทา - บุพการี
เป็นเช้าเยือนยิ้มรับพี่ชายข้า
วันน้องชายวัยศึกษาเห็นหน้าพี่
ใจยังหาย ยายสิ้น เมื่อต้นปี
ตรุษสงกรานต์ครานี้ - ไม่มีแม่*
ทั้งหูก อักฝากไว้ ให้รำลึก
ต้องสำนึกเยือนใจ ภัยเจ็บแก่
ความเมตตายิ่งใหญ่ไม่ผันแปร
เพียงตอบแทนคุณแม่ด้วยความดี
ต้มปลาช่อนตัวใหญ่ ใบมะขาม
ไข่มดแดงลงตาม สุกได้ที่
พาข้าวรื่นชื่นรส สามัคคี
แต่ไม่มีแม่นั่ง ข้างพาข้าว
นอกชานบ้านลางเลือนเปื้อนน้ำหมาก
บนราวตากแพรขาวม้า ไร้ผ้าขาว
ถึงศีลใหญ่ อุโบสถ หมดเรื่องราว
ปิ่นโตข้าว ก้นบาตร ขาดคนแล
ข้างตุ่มดินเครือพลู ชูใบเหงา
หมากต้นเก่าเหลืองจวนสุก เหมือนรอแม่
เหลน หลาน เหล่าผูกพันมิผันแปร
รอยมือแม่ รอยใจ ไม่เคลือบแคลง
*หมายเหตุ ผมเรียก ยายว่าแม่ เพราะท่านเลี้ยงผมมา..ปลาย มกราฯ 46
๖) ฉันไม่มีคำครวญอันวิเศษ
ฉันไม่มีญานเดชพอกำแหง
ฉันไม่มีอภิญญาจะสำแดง
ฉันไม่มีเขตแบ่งแห่งตัวตน
ยามฉันจับปากกาหากระดาษ
ฉันเพียรวาดอักษราหาเหตุผล
มองรอบกายฉันมีผู้ทุกข์ทน
ทุกแห่งหนแย่งชิงเพื่อสิ่งรัก
ฉันถ่ายทอดจากใจใช่มารยา
ไม่ได้มีเจตนาจะจมปลัก
หากเส้นทางแห่งชีวิตไม่ผิดนัก
สิ่งที่เรียกอุปสรรคยิ่งท้าทาย
ฉันเฝ้ารอเวลาที่แสนสุข
สงบกลางความทุกข์ที่หลากหลาย
ฉันฝันเห็นงานกวีที่ไม่ตาย
สงบล้อมความหมายที่ควรมี
ฉันไม่มีคำครวญที่วิเศษ
ฉันไม่มีขอบเขตแห่งเฉดสี
ฉันเขียนจากสัมผัสที่ฉันมี
กับสิ่งที่มองเห็นตามเป็นจริง
๗)ใช่แล้วชีวิตข่มขื่น
ถูกแล้วจึงตื่นทุกสิ่ง
มีรักไว้พักไว้พิง
รอคอยทุกสิ่งตอบแทน
ชีวิตสนองชีวิต
เธอจึงมีสิทธิ์หวงแหน
การให้อาจไร้พรมแดน
ทุกอย่างแน่นแฟ้นด้วยรัก
ไปเถิดชีวิตยาวไกล
มุ่งไปจนได้รู้จัก
มุ่งไปจนได้ผ่อนพัก
มุ่งไปฟูมฟักหลักการ
เห็นแล้วใช่ไหมตัวตน
เท้าเธอยืนบนหลักฐาน
จริงไหมใจคือพยาน
เราตรากตรำงานอะไร
๗) ในบางบ้างถือละถือ
บ้างคือความใส - ในใส
บางวางบ้างว่างข้างใน
บ้างเกิดบางใส คล้ายจริง
ขึ้นฝั่งดังเขตนิพพาน
ดั่งอันตรธานทุกสิ่ง
กำหนดกฎจริงไม่จริง
กับสิ่งในลวง ไม่ลวง
วางใจในแน่ - ไม่แน่
วางแท้นอกขอบในห่วง
รู้รอบแก่นไหนใดกลวง
รู้บ่วงขาวธรรม - ดำมาร
กลางจิตเบากว่าปีก ลม
เย็นร่มดั่งฉัตร - วิหาร
ในแน่ไม่แน่ - หมดงาน
ลงเดิน ทั่วย่านธรรมชาฯ
ฯลฯ
เขียนเรื่อยๆ ต่อเรื่อยๆ ครับมีอีกหลายบทแต่ขอโพสเพียงเท่านี้
7 ตุลาคม 2548 16:19 น.
ธรรม ทัพบูรพา
โศกาใดในชีวา
ฤาเทียบมารดาบิดรสิ้นสูญ
หลั่งน้ำตาคร่ำครวญอาดูร
ยิ่งเพิ่มพูนชอกช้ำย้ำโศกา
'เสียชีพตนเสียได้จักแลกเสีย'
ชโลมเลียปลอบใจคะนึงหา
มิคืนหวนกลับย้อนวันเวลา
เช็ดน้ำตาที่ไหลรินปิ่มขาดใจ
ลมรำเพยเคยพัดสงัดเงียบ
เปรียบชีวิตบุตรขาดร่มไม้ใหญ่
กิ่งก้านเคยโอบอุ้มชุ่มหทัย
ประสานใจห่มกายยามหลับนอน
เสียงเพลงบรรเลงบทสวด
ยังร้าวรวดธารน้ำตาบ่าอาบหมอน
ความสูญเสียแห่งชีวิตโศกอาวรณ์
ยังร้าวรอนอยู่ในแก้วกมล.
..........................................
ง่ายๆ แต่งดงาม อยากให้เพื่อนได้อ่าน
งานจากสหายรัก จักษณ์ จันทร
พิมพ์ครั้งแรก ประกายกวี จุดประกายวรรณกรรม 48