26 พฤศจิกายน 2547 15:18 น.
ธรรณกับวุ้นเส้น
และแล้วเราก็เจอกัน
"เค้ารักตัวเองนะ"
"เค้ารักตัวเองนะ"
"เค้ารักตัวเองนะ"
ผมพูดในโทรศัพท์แต่พูดไปเท่าไรน้องยุ้ยก็ไม่เชื่อเพราะว่าผมไม่กล้าที่จะพบหน้าเธอ เพราะผมละอายใจที่ไม่ได้บอกความจริงเรื่องตัวผมตั้งแต่แรก แล้วผมยังโกหกน้องเค้าไปด้วย มันรู้สึกกลัวรู้สึกอายยังไงไม่ทราบเวลาน้องบอกว่าจะมาพบผมที่สนามบิน ผมกลัวน้องจะทิ้งผมไปโดยไปเหลือเยื่อใยให้กันอีกเลย แต่อีกใจผมก็รู้ว่าสักวันหนึ่งก็คงต้องได้บอกน้องความจริงอยู่ดี ผมอยากเจอน้องใจจะขาดเหมือนกัน
หลานผมคนโตก็เริ่มกะจองอแงเพราะง่วงนอนจัด แล้วที่เก้าอี้ต่อกันที่สนามบินก็นอนไม่สบาย ส่วนหลานคนเล็กก็ยังร้องไห้อยากกลับหนองคายบ่นไม่อยากไปอยู่ที่อื่นเพราะติดยายกับแม่เค้ามาก ส่วนผมก็ไม่รู้จะทำไง ทั้งอยากพาหลานไปนอนโรงแรม ทั้งอยากปลอบใจหลานอีกคน ทั้งกลัวว่าน้องยุ้ยจะมาเจอผมแล้วก็หนีจากไปโดยที่ไม่ยอมคุยกัน ดึกมากแล้วผมไม่ยักกะง่วงนอนเลยทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้นอนมาทั้งวัน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมตกใจ แล้วรับโทรศัพท์น้องยุ้ยถามว่า "นั่งอยู่เก้าอีสีเขียวหรอ"
ผมมองรอบๆแล้วก็บอกว่า "สีส้ม อยู่หน้าไปรษณีย์ท่าอากาศยานกรุ่งเทพ"
น้องยุ้ยบอกในโทรศัพท์ว่า "ไม่เห็นมีเก้าอี้สีส้มเลย"
แล้วผมก็ได้ยินเสียงน้องถามพนักงานแถวนั้นว่า "ไปรษณีย์ท่าอากาศยานกรุ่งเทพอยู่ที่ไหนค่ะ"
ผมตกใจกลัวหนักกว่าเดิม ผมคิดในใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามผมก็ดีใจที่ได้รักน้องยุ้ยถึงว่าน้องยุ้ยจะรับผมไม่ได้ก็ตาม ผมจะไม่โทษคนอื่นนอกจากชะตาชีวิตของตัวผมเอง
หลานคนเล็กของผมร้องไห้ไม่ยอมหยุดบอกคิดถึงยาย ตา น้าดาว อยากกลับหนองคาย ผมก็กำลังปลอบใจหลานโดยบอกว่าเดียวพรุ่งนี้จะพากลับหนองคาย หลานคนโตตอนนี้นอนหลับเอาหัวมาพาดบนตักผมแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก ผมล่วงมือไปในกระเป๋าเสื้อยีนแจ๊คเก็ตแล้วดูเบอร์ว่าเป็นเบอร์องยุ้ย ผมกดรับ ทันได้นั้นหลานคนเล็กผมก็พูดขึ้นว่า "หน้ายุ่ย" ผมเหลือบมองขึ้นไปเห็นน้องยุ้ยยิ้มหวานแล้วก็กำลังเดินตรงมาทางเรา ผมแอบชมความสวยของเธอแล้วผมรีบปิดโทรศัพท์แล้วก็ก้มหน้าทันที
ผมระอายใจมากที่ทำไม่ดีกับน้องยุ้ยไว้ผมอาย ผมเขิน ผมกลัว ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนในชีวิต ผมก้มหน้าเอามือคลุมหน้าไว้ผมแอบบิดจมูกตัวเองดูสิว่าผมฝันไปไหม ผมดีใจยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งที่ได้เจอน้องยุ้ย แต่ผมก็เศร้าใจในขณะเดียวกันกลัวจะเป็นวันสุดท้ายของเรา ผมแก้อายโดยการต่อโทรศัพท์ไปหนองคายให้หลานคนเล็กผมพูด แล้วผมก็มองหน้าน้องยุ้ยเป็นพักๆแอบชมความงามของน้องเรื่อยๆอยู่ในใจตอนน้องยุ้ยยืนอยู่ตรงหน้าผม
เสียงน้องฟังแปลกๆกว่าเสียงที่เคยคุยกันในเน็ต เป็นเสียงอ่อนๆหวานๆออกมาจากรูจมูกมากกว่าปาก ผมไม่ค่อยพูด แต่น้องก็ถามผมเรื่อยๆว่าเป็นอะไร ผมได้แต่บอกว่าไม่เป็นอะไร (บื้อที่สุด) น้องจ้องผมโดยไม่กระพริบตา ผมยิ่งระอายใจมากขึ้นไปอีก ผมไม่กล้าสู้หน้าน้องเลยแม้แต่น้อย น้องบอกปวดท้องเป็นประจำเดือน แล้วก็นั่งลงตรงหน้าผมมองผมโดยไม่ให้คลาดสายตาอีก
เอาไว้ให้น้องยุ้ยเขียนต่อแล้วกัน รักนะ
ฉันไม่รู้ว่าทำไมเค้าต้องเศร้ามากขนาดนี้ด้วย การที่เรามาเจอกันมันทำให้เค้าเป็นเพียงนี้เชียวหรือ ฉันก็พอจะเดาออกว่าเหตุผลคืออะไร ฉันรู้สึกสงสารเค้า ที่เค้ารู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ การที่เราได้เจอกันฉันไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือคาดหวังกับสิ่งภายนอกว่าจะเป็นอย่างไรรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงฉันไม่เคยจินตนาการถึงมันเลย ฉันรู้อย่างเดียวว่าฉันรักพี่ทัฟ
พี่ทัฟนั่งบนเก้าอี้ฉันนั่งยองๆกับพื้นอยู่ข้างหน้าเค้าแล้วก็มองเค้าตลอด พี่ทัฟไม่ยอมสบตาฉันเลยเค้ามองไปข้างๆตลอด ฉันถามว่าเป็นอะไรเค้าก็บอกว่าไม่กล้าสู้หน้าแล้วก็เอามือปิดหน้าไปด้วย หลานของพี่ทัฟทั้งสองคนก็นั่งเก้าอี้ข้างๆพี่ทัฟ อาทิตย์คุยโทรศัพท์อยู่ส่วนมีนาก็นั่งยิ้มให้ฉัน ฉันก็ถามมีนาว่าน้าทัฟเป็นอะไรมีนาบอกว่าไม่รู้
มีนาจึงหันไปถามพี่ทัฟว่าน้าทัฟเป็นอะไร พี่ทัฟยังคงเงียบอยู่แล้วเค้าก็รับเอาโทรศัพท์ม าพูดต่อจากอาทิตย์แล้วก้มลงมา
กอดฉัน ไม่รู้ว่าพี่ทัฟร้องไห้ด้วยรึป่าวเลยแอบเช็ดน้ำมูกกับเสื้อเรา พี่ทัฟกอดฉันไว้ตลอดเวลาที่คุยโทรศัพท์ นั้นก็อาจคงเป็นเหตุผลที่เค้าไม่อยากสบตาฉันมั้ง
จู่ๆฉันรู้สึกริมฝีปากของฉันโดนสัมผัสเบาๆฉันตกใจแต่ก็รู้ว่าใครเป็นคนขโมยจูบของฉันไป เพราะครั้งแรกเค้าถามฉันว่าขอจูบได้ไหม ฉันมองเค้าแล้วตอบไปว่าไม่ ฉันอายเลยตอบไปแบบนั้น ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่พูดเลย ฉันรู้สึกว่าเค้าน่ารักมาก ที่เค้าพูดแบบนั้น แต่อาจทำให้เค้าคิดว่าฉันรังเกลียดเค้าก็เป็นได้
พอมีนาลุกไปจากเก้าอี้ข้างๆพี่ทัฟ ฉันก็มานั่งแทนที่มีนาแล้วก็หันไปมองพี่ทัฟแต่พี่ทัฟก็ยังคงเหมือนเดิมไม่พูดไม่มองไม่สบตาฉันเลย แล้วพี่ทัฟก็เอ่ยปากถามฉันขึ้นว่า เปลี่ยนใจได้นะ เสียใจไหมที่พี่ทัฟเป็นแบบนี้แล้วเค้าก็ดึงแหวนที่สวมไว้ออกมาให้ฉัน แหวนวงนั้นเป็นแหวนที่ฉันให้พี่ทัฟเอง ฉันจึงเอาแหวนวงนั้นสวมให้เค้าเหมือนเดิม
เรื่องต่อมา
น้องยุ้ยถามผมว่า "ตัวเองเป็นอะไร" ผมก็ได้แต่ตอบว่า "ไม่เป็นอะไร ไม่กล้วสู้หน้าน้องยุ่ย" น้องยุ้ยเรียกผมว่า "ตัวเอง" แล้วก็แทนตัวน้องเองว่า "เค้า" ในใจผมก็คิดว่าความสัมพันธ์ของเรายังเหมือนเดิมเมื่อได้ยินคำเหล่านี้ ผมเผลอแอบยิ้มกับคำพูดนั้นแล้วก็ที่น้องยุ้ยสวมแหวนที่ผมถอดให้คืน ผมสบตาน้องยุ้ยแปปนึ่งแล้วก็ก้มลงไปมองที่ท้าวของน้อง ผมสังเกตเห็นหัวแม่โป้งที่เท้าซ้ายของน้องมันเหมือนเป็นเชื้อราหรือไงไม่ทราบ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ผมเงยหน้าขึ้นมองน้องนิดหนึ่งแล้วก็ย้ำถามน้องว่า "แน่ใจหรอ ถ้าจะเปลี่ยนใจก็ยังไม่สายนะ แต่ถ้ายังคบกันต่อไปแล้วมาเปลี่ยนใจทีหลังไม่ได้นะ" น้องยุ้ยตอบผมว่า "แน่ใจสิ" คำตอบนั้นล่ะที่ทำให้ผมมีความสุขแบบที่จะหาอะไรมากเปรียบไม่ได้เลย ผมเผลอตัวโขมยจูบที่ริมฝีปากน้องอีกที
ผมไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไร น้องยุ้ยก็ถามผมนั่นนี่แล้วก็ไปคุยกับหลานผมทั้งสองคน หลานคนโตก็ยิ้มแล้วก็ตอบน้องบ้าง แต่หลานคนเล็กจะไม่พูดอะไรแล้วก็หลบสายตาน้องประจำ เหมือนกับผมเลย ผมก็จำเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ได้เท่าไรเพราะว่าผมดีใจจนลืมเนื้อลืมตัวเผลอจูบน้องไปหลายทีเหมือนกัน อยู่ดีๆน้องก็บอกว่า "ขอจับ""""""""หน่อย" ผมตกใจแล้วก็รีบบอกออกไปว่า "ไมjคนตั้งเยอะตั้งแยะ อายเค้า" น้องก็ยิ้มแล้วก็บอกให้ผมยืนขึ้น ผมยืนตามคำขอ แล้วน้องก็บอกว่า "เตี้ยจริงๆด้วยแฮะ" ไม่เตี้ยได้ไงผมสูงเท่าหูน้องเอง ผู้หญิงอะไรไม่รู้โครตสูงเลย คิดอีกที หรือว่าผมโครตเตี้ยเอง
หลานผมทั้งสองคนก็ทำตาปอยๆง่วงนอนเต็มที่ผมก็เลยถามน้องยุ้ยขึ้นว่า "ไปนอนที่หอได้มั้ย" น้องยุ้ยตอบว่า "ได้จ่ะ" เราก็ลุกขึ้นเก็บข้าวของแล้วผมก็ถือโอกาสจับมือน้องเวลาเดิน ผมเหลือบไปเห็นมือน้องโครตขาวเวลาเทียบกับมือผม หลานชายผมเดินช้าผมก็เลยต้องละมือน้องยุ้ยแล้วเดินติดๆหลาน แต่หลานสาวผลักรถเข็ญกระเป๋า เดินไปก่อนผมแล้ว แล้วน้องยุ้ยก็เดินตามหลานสาวผม ผมแอบภูมิใจที่น้องยุ้ยไม่รังเกียจผม แล้วก็ภูมิใจที่แฟนของผมสวยสุดๆเลย ระหว่างเดินอยู่นั้นผมเห็นคนมองน้องยุ้ยกันใหญ่เลยโดยเฉพาะผู้ชาย ผมก็ยิ่งดีใจไปใหญ่เพราะว่าคนที่พวกเค้ามองกันนั้นเป็นแฟนผมแล้วก็เป็นของผมคนเดียว
เราเอากระเป๋าเดินทางสามใบใหญ่ๆไปฝากไว้ที่เก็บกระเป๋าแล้วเราจึงมุ่งหน้าไปตรงคิวรถแท๊กซี่
ไปพาต้าปิ่นเกล้าค่ะ" เสียงน้องยุ้ยบอกกับคนขับรถ
ผมเริ่มจะลืมตาไม่ขึ้นแล้วตอนนี้แต่ผมก็สังเกตเห็นน้องยังคงจ้องผมโดยไม่คลาดสายตาเลย ด้วยความที่ทั้งอายทั้งง่วงผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย
"ตัวเองเคยไปหอเค้าจริงๆหรอ" น้องยุ้ยถาม ทำเอาผมสดุ้งนิดนึ่งเพราะผมกำลังจะเคลิมหลับพอดี ผมก็ตอบว่า "เคยสิ"
พอรถไปถึงย่านปิ่นเกล้าน้องยุ้ยก็สั่งให้คนขับรถกลับรถไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วก็เลี้ยวเข้าซอยหลังจากผ่านสะพานลอย น้องก็บอกให้ผมบอกทางกับแท๊กซี่เพื่อพิสูจน์ว่าผมได้เคยไปที่หอน้องจริงๆหรือไม่ มันมืดแล้วผมก็ง่วงด้วยผมก็ไม่พูดอะไร น้องก็เลยบอกทางแท็กซี่ตลอด
แท็กซี่จอดที่ตรงหน้าหอน้อง ผมยื่นเงินให้น้องยุ้ยค่ารถ เราก็ลงกัน หลานผมคนเล็กเป้กระเป๋าแบ๊คแพ๊คแล้วก็ทำตาลอยๆเหมือนจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว เราขึ้นลิฟมุ่งหน้าไปยังห้องพักของน้อง พอน้องเปิดประตู หลานผมคนเล็กก็ว่างสัมภาระแล้วก็ถอดรองเท้าแล้วก็ขึ้นนั่งบนเตียงนอน ผมได้กลิ่นเท้าเหม็นของหลานชายแต่ผมก็เหนื่อยจนไม่อยากพูดอะไรเลย หลานคนโตรู้สึกจะอยากรู้อยากเห็นมากเดินตามน้องยุ้ยไปห้องน้ำแล้วก็ระเบียงข้างนอก
"มีนากลัวหรอค่ะ เข้ามา เดียวล่วง" เสียงเล็กๆเบาๆของน้องบอกกับหลานผม
ผมเหนื่อยมากผมก็ถอดร้องเท้าแล้วก็เสื้อยีนออกแล้วก็ล้มลงนอน หลานผมก็เอนตัวลงนอนทั้งสองคน เราเหนื่อยจนไม่คิดถึงเรื่องแปรงฟันก่อนนอนเลย ตอนนี้น้องยุ้ยอยู่ในห้องน้ำปฏิบัติภาระกิจส่วนตัวอยู่ผมก็สลึมสลือแล้วก็เคลิมหลับไป
ให้น้องยุ้ยเขียนต่อนะ รักนะ
ทำไมเค้าอยากมานอนที่หอพักเรานะ ไกลก็ไกลกว่าจะเดินทางมาถึงก็30 นาทีแล้ว เราคงได้นอนกันสองสามชั่วโมงเอง ต้องรีบตื่นตั้งแต่เช้าเพราะพี่ทัฟและหลานหลานต้องขึ้นเครื่องตอน 7 โมงเช้าสงสัยจะกลัวเราเอาหนุ่มๆมาซ่อนแน่แน่ เค้าอาจไม่ไว้ใจเราก็ได้ โฮอะไรจะขาดนั้นนะ แต่ห้องเราสิรกจะตายอายจังแต่คงไม่เป็นอะไรหรอก ห้องเราไม่ได้รกมากจนน่าเกลียดนี้น่า แต่พี่ทัฟเคยบ่นถึงห้องฉันว่ารกมาก ทำไมไม่จัดห้องให้เรียบร้อย คิดแล้วก็น่าอายจริงๆด้วย
พอฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสั้นเสื้อยืดเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกมาจากห้องน้ำเห็นทุกคนนอนกันแล้วแต่ไม่รู้หลับกันไปแล้วรึยัง พวกเค้านอนทางขวางซึ่งนอนแบบนี้ทำให้นอนได้พอดี4คน ฉันมองไปที่ว่างว่างที่หนึ่งบนเตียงมันเป็นที่สำหรับฉันหรอ แล้วคนที่นอนข้างข้างฉันล่ะ พี่ทัฟนั้นเอง
พี่ทัฟนอนคว่ำหน้าลงกับที่นอนฉันเลยไม่รู้ว่าเค้าหลับไปรึยัง อาทิตย์กับมีนาก็นอนแล้วฉันจึงไปปิดไฟแล้วลงไปนอน ฉันรู้สึกว่าที่นอนไม่พอดีสำหรับฉันเลยขาฉันเลยที่นอนไปเยอะเหมือนกัน อากาศก็หนาวเพราะฉันต้องเปิดแอร์เนื่องจากเด็กทั้งสองคนบ่นร้อนพี่ทัฟก็คงเหมืนกัน เพราะฉันก็รู้ว่าพี่ทัฟชอบอากาศเย็นๆ ฉันหนาวจังเลย
ทันใดนั้นพี่ทัฟก็หันหน้ามาทางฉันแล้วใช้ปากจูบฉัน ฉันตกใจ เราไม่ทันได้พูดคุยกันเลย พี่ทัฟก็จู่โจมทันที แล้วพี่ทัฟก็หัวเราะขึ้นมา ฉันถามว่าหัวเราะทำไมพี่ทัฟก็ไม่ตอบฉันเลยแล้วพี่ทัฟก็หันมาจูบอีกครั้ง หนูรักพี่ทัฟที่สุดเลย
ต่อมาของเรื่อง
ผมผวาลืมตาขึ้นหลังจากที่ผมเคลิ้มหลับไปไม่กี่นาที ผมลืมตั้งนาฬิกาปลุก ผมต้องตื่นไม่ทันแน่เครื่องออกเจ็ดโมงเช้า แล้วผมก็จะพาหลานตกเครื่องแน่ๆ คิดได้ผมจึงลุกพรวดพราดไปหยิบมือถือขึ้นมาแล้วตั้งปลุก เสร็จแล้วก็นอนคว่ำหน้าลงเหมือนเดิม ผมได้ยินเสียงหลานทั้งสองคนขยับ ผมนึกในใจว่าหลานผมคงแปลกทีถึงนอนกันไม่หลับขนาดนี่มันก็ตีสองกว่าๆแล้วด้วย ผมไม่พูดอะไรกับหลานแต่แอบฟังอยู่นิ่งๆเสียงประตูห้องน้ำเปิด น้องยุ้ยเดินออกมา ผมเหลือบตาไปเห็นน้องใส่เสี้อยืดสีขาวกางเกงยีนขาสั้น คนอะไรหุ่นโครตดีเลย น่ารัก สวยมากด้วย น้องคลานตัวลงมานอนบนเตียงข้างๆผม แล้วน้องก็ลุกขึ้นไปปิดไปพอนึกได้ว่าไฟยังเปิดอยู่แล้วน้องก็คลานลงมานอนอีกที
น้องยุ้ยคว้าผ้าห่มมาห่มอย่างรวดเร็ว คงจะหนาวมากเพราะแอร์กำลังเปิดอยู่เย็นฉ่ำ ผมคิดว่าอากาศกำลังพอดี แต่ผมรู้ว่าน้องหนาวเพราะน้องเป็นคนชอบอากาศร้อน น้องนอนห่มผ้าหันหน้ามาทางผม ผมบอกน้องให้ตั้งนาฬิกาปลุกด้วยเดียวตื่นกันไม่ทัน น้องก็จัดการอย่างรวดเร็วแล้วก็นอนต่อ หันหน้ามาทางผมอีกเช่นเคย ผมพลิกตัวนิดนึ่งแล้วผมก็ประทับจูบลงไปในความมืดบนริมฝีปากของน้อง น้องไม่ว่าอะไรแถมยังเผยอปากรับจูบผมด้วย ผมบอกน้องว่าผมรักน้องมาก แล้วผมก็จูบน้องต่อ หลานผมคนโตก็ลุกขึ้นมามองผมกับน้องยุ้ยผ่านความมืด ผมบอกให้หลานนอน ผมกอดน้องยุ้ยแล้วก็จูบ ผมรักน้องยุ้ยมากที่สุด
เสียงหลานผมคนเล็กนอนสะอื้นเป็นพักๆอยู่ข้างๆผม บ่นอยากกลับหนองคายตลอด ผมพลิกตัวไปปลอบหลานผมตลอด แล้วผมก็พลิกตัวกลับมาทางน้องยุ้ยอีกแล้วก็จูบน้องยุ้ยอีก อีกครั้งหลานผมก็สะอื้นอีก มีนาบอกผมว่า "ชฏา อาทิตย์ต้องไห้อีกแล้ว" ผมเขยิบตัวมาหาหลานคนเล็ก ผมบอกกับหลานว่า "มันไม่เป็นอะไรหรอก น้าทัฟรักนะ พรุ่งนี้จะพากลับไปหนองคาย" มีนาได้ยินที่ผมพูดก็ลุกขึ้นมาร้องไห้แล้วบอกว่า "อยากไปอเมริกา" ผมก็บอกว่า จะส่งอาทิตย์ไปหนองคายแล้วมีนาไปอเมริกา แล้วผมก็บอกให้หลานผมนอนมันดึกแล้ว แล้วหลานก็นอนเงียบไป
สักพักนึ่งต่อมาผมก็ได้ยินเสียงหลานผมคนเล็กสะอื้นขึ้นอีก ผมพลิกตัวไปบอกให้หลานเลิกร้องไห้แล้วก็ให้นอนซะ หลานผมบอกว่า "นอนไม่หลับ" ผมก็คิดว่ามันแปลกที่คงนอนไม่หลับกันแน่ๆ ผมบอกให้หลานนอนอีกหน่อยก็ได้ตื่นไปขี้นเครื่องแล้ว แต่หลานทำเอาผมผงะตอนมันบอกผมว่า "นอนไม่หลับเพราะว่าหน้าทัฟกับหน้ายุ้ยกำลังมี s-e-x" หลานผมได้ยินเสียงผมกับน้องยุ้ยจูบกันอย่างดูดดื่มนั่นเอง ผมนึกว่าหลานหลับซะอีกนะเนี่ย ผมก็ใจร้อนรอให้หลานหลับก่อนก็ไม่ได้น่าอายที่สุด ทำหลานเสียเด็ก ทำน่าเกลียดประเจิดประเจอให้หลานได้ยิน น่ากระทืบตัวเองนักเชียว
ให้น้องยุ้ยเขียนต่อ
อาทิตย์ก็ไห้ตลอดทั้งคืน ร้องจนหลับไป ฉันเริ่มรู้สึกง่วงเหมือนกันคงอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว ฉันรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้อยู่ใกล้คนที่ฉันรัก เราก็กอดกันจนฉันหลับไปฉันได้ยินเสียงพี่ทัฟกระซิบข้างหูว่า รักน้องยุ้ยนะ หลายครั้ง แต่ฉันจำไม่ได้ว่าหลับไปตอนไหน พี่ทัฟหลับบ้างรึเปล่า หรือไม่ได้หลับเลย เสียงปลุกจากโทรศัพท์Eองฉันก็ดังขึ้นฉ้นจึงเอื้อมมือไปหยิบมาปิดเสียงและดูเวลา ตี 5 แล้วหรอ แต่พี่ทัฟกับหลานๆต้องออกเดินทางจากหอฉันก่อน 6โมงเช้า ฉันจึงนอนหลับต่อด้วยความง่วง แต่ระหว่างที่เสียงปลุกจากโทรศัพท์ดังขึ้น พี่ทัฟก็ตื่นขึ้นทันทีและลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง ในขณะที่ฉันกับหลานๆของพี่ทัฟยังคงนอนขี้เซาอยู่เลย
พี่ทัฟเดินออกจากห้องน้ำแล้วไปปลุกมีนากับอาทิตย์ท ันทีเพื่อให้แปรงฟันล้างหน้าให้เรียบร้อย เตรียมออกเดินทางแต่ฉันก็ยังคงนอนและรู้สึกหนาวมากทั้งๆที่ฉันห่มผ้าอยู่ฉันจึงลุกไปปิดแอร์ พี่ทัฟก็พยายามปลุกอาทิตย์นอนไม่ยอมตื่นเหมือนกัน พี่ทัฟถามฉันว่าจะไปส่งไหม ฉันตอบว่าไปสิ พอเด็กทั้งสองคนล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ลุกขึ้นไปแต่งตัวให้เรียบร้อย ฉันใส่เสื้อยืดสีแดง กับกางเกงยีนขายาว
พวกเราก็พากันเดินออกจากหอพักเพื่อที่จะไปขึ้นรถหน้าปากซอย เราขึ้นแท๊กซี่ตรงไปยังสนามบินดอนเมือง ขณะนั่งรถไปฉันก็มองพี่ทัฟตลอดเวลาแต่พี่ทัฟไม่หันมามองฉันเลยมองแต่ข้างทางอยู่ตลอด ทำให้ฉันรู้สึกว่าพี่ทัฟไม่สนใจฉัน ทำไมนะหรือเค้าอาจจะอายก็เป็นไปได้ เวลาที่พี่ทัฟหันมาเค้าจะหันหน้ามาพร้อมกับจุมพิตที่ปากฉันเบาเบา
ใช้เวลาประมาณ 30นาทีกว่าจะถึงดอนเมือง พวกเรารีบลงจากรถแท็กซี่ไปยังที่รับฝากเป๋าเพื่อเอากระเป๋าคืน ระหว่างที่รอเอากระเป๋าพี่ทัฟก็หันมาจูบฉันอีก เราช่วยกันลากกระเป๋าเดินทางคนละ 1 ใบ มีนา 1 ใบ พี่ทัฟ 1 ใบ และฉัน 1 ใบ ทั้งหมดมี 3 ใบ ระหว่างที่ทางที่เดินไปนั้นได้มีเสียงดังขึ้น โครมเสียงกระเป๋าที่ฉันลากหล่นลงไปกองกับพื้น เพราะฉันจับผิดไปบีบที่ถือกระเป๋าเลยหลุด ฉันรู้สึกอายที่ทำอะไรเปิ้นเปิ้นให้พี่ทัฟเห็นครั้งแรกที่เจอกันเลย แต่พี่ทัฟบอกกระเป๋าใบนี้ไม่ค่อยดีมันพังอยู่แล้ว แต่ฉันก็นึกขำตัวเองในใจจริงคงเป็นเพราะฉันเองที่ไม่รู้เรื่อง แล้วพี่ทัฟก็ช่วยยกกระเป๋าให้ฉัน แฟนฉันน่ารักจังเลย
ต่อจากนั้น
โครม!!!! เสียงกระเป๋าเดินทางสีดำแขบเหลืองใบใหญ่ที่สุดของสามกระเป๋าที่ผมจะเอาเดินทางติดตัวไปด้วยหล่นลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น ในกระเป๋าใบนั้นถึงจะใหญ่สุดแต่ก็เบาที่สุดถ้าเปรียบเทียบกับกระเป๋าอื่นๆเพราะในนั้นมีตุ๊กตาหมีสีชมพูที่น้องยุ้ยซื้อให้ผมแล้วสั่งให้ผมเอากลับอเมริกาด้วย ทันใดนั้นผมก็มองไปที่ใบหน้าน้องยุ้ย ผมสังเกตเห็นน้องหน้าซีดนิดนึ่ง ผมก็เลยตั้งกระเป๋าที่ผมลากไว้แล้วเดินไปยกกระเป๋าใบที่หล่นขึ้นมา ในมือน้องยุ้ยยังถือชิ้นส่วนที่ลากกระเป๋าอยู่เลยถึงแม้กระเป๋าจะกองอยู่บนพื้นก็ตาม ผมรู้ว่าน้องอายคนแถวนั้นแล้วก็ตัวผมเองด้วย ผมรับที่ดึงกระเป๋ามาจากน้องเพื่อมาเสียบใส่ที่เดิมของมันพร้อมกับเอ่ยปลอบน้องไปว่า "กระเป๋าใบนี้มันไม่ค่อยดี มันพังอยู่แล้ว เวลาลากอย่ากดปุ่มแดง" น้องก็ยิ้มอายๆน้องน่ารักมากเลย คนอะไร ลากกระเป๋าแรงมากจนด้ามกระเป๋าหลุดออกมา สงสัยใช้แรงช้าง หรือไม่ก็แรงม้าคู่เป็นแน่กระเป๋าผมดีๆน้องทำพังเลย แต่ผมก็แอบขำน้องอยู่ในใจเหมือนกัน น่ารักที่สุด
ผมหยุดก้มลงดูว่าสายการบินอะไรที่ผมจองไว้พอผมรู้ผมก็บอกทุกคนให้มองหาสายการบิน UA เราเดินต่อมาจนถึง ช่องตรวจกระเป๋า ผมกับหลานคนโตก็ช่วยกันห้ามกระเป๋าขึ้นเช็ค พอเสร็จเราก็ลากกระเป๋าไปเข้าแถวที่เค้าเตอร์เช็คอินของ UA มีผู้หญิงคนหนึ่งค้อนข้างแก่ยืนถือวอกี้ทอกกี้ กวักมือเรียกให้พวกเราไปเช็คอิน เธอถามผมว่าเดินทางกี่คน ผมไม่พูดแต่ยกมือสามนิ้วให้เธอดู แล้วเธอก็ถามดูหนังสือเดินทาง ผมก็ควักให้ทันที เธอจึงบอกเราให้ไปตรงช่องข้างหน้าตรงที่ผู้หญิงสาวคนหนึ่งกำลังทำการเช็คอิน ผมยื่นหนังสือเดินทางให้หล่อน แล้วผมก็ยกกระเป๋าขึ้นตราชั่ง น้องยุ้ยขณะนี้มายืนอยู่ข้างๆผม น้องเอ่ยขึ้นมาว่า "ตัวเองเจาะรูหูด้วยหรอ" ผมก็บอกว่าเจาะมานานแล้วแต่ไม่ใส่บ่วงหูหรอก แล้วผมก็ยึดตัวจูบน้องที่ปากเบาๆอีกที
พอเช็คอินเสร็จผมตรวจดูเงินว่าคงไม่พอค่าภาษีสนามบินแน่ผมจึงควักเงิน $100 ออกไปเปลี่ยน ผมไม่อยากเล่าตอนที่น้องยุ้ยกับผมต้องจากกันเลย ผมขอหยุดเพียงแค่นี้นะครับ ถึงแม้ว่าตัวผมจะอยู่ไกลจากน้องแต่ว่าหัวใจของผมก็อยู่กับน้องตลอดเวลา ผมดีใจที่ความสัมพันธ์ของเรายังเหมือนเดิม ขอบคุณสวรรค์ประทานความสุขอันที่แท้จริงมาให้ผม แล้วก็ขอบคุณน้องยุ้ยมากๆที่ให้โอกาสผมได้มาเป็นคู่ใจของน้อง ผมประทับใจในตัวน้องมาก แล้วครั้งแรกที่เราเจอกันก็จะประทับใจผมไปตลอดชีวิต ผมรักน้องยุ้ยมากที่สุดในโลกเลยครับ
เราต้องหาที่แลกเงิน เพราะธนาคารส่วนใหญ่จะไม่เปิดกันตอนนี้เกือบทุกธนาคารปิด เราต้องเดินกันไปไกลเหมือนกันกว่าจะเจอธนาคาร แลกได้4พันกว่าบาท แล้วพี่ทัฟก็เอาไป1พันบาทเป็นค่าภาษีสนามบินอีก3 พันพี่ทัฟก็ยื่นให้ฉัน สงสัยจะกลัวแฟนกลับบ้านไม่ได้ เพราะฉันลืมหยิบประเป๋าตังค์มาด้วย ฉันมักจะเป็นแบบนี้ประจำเพราะฉันจะเปลี่ยนกระเป๋าใส่ของบ่อยๆ คราวนี้ก็เหมือนกันฉันลืมอีกแล้ว ระหว่างที่รอพนักงานคิดเงินอยู่พี่ทัฟก็หันมาจูบฉันเบาๆอีก1 ครั้ง
แล้วพวกเราก็พากันเดินไปที่จ่ายภาษีสนามบิน หลังจากนั้นพี่ทัฟก็ต้องรีบเข้าไปข้างใน ก่อน 7โมง อาทิตย์กับมีนาก็บ่นว่าหิวน้ำ แต่ที่ขายมันอยู่ไกลเหลือเกินแล้วก็ต้องรีบเข้าไปด้วย พี่ทัฟก็หยิบโทรศัพท์ส่งให้ฉัน ส่วนซิมการ์ดพี่ทัฟเก็บไว้ ฉันก็รับมันมา โทรศัทพ์เครื่องนี้ฉันซื้อที่กรุงเทพแล้วส่งไปให้พี่ทัฟเพราะช่วงที่พี่ทัฟอยู่เมืองไทยเราค่อนข้างติดต่อกันยาก โทรศัพท์บ้านพี่ทัฟมักจะมีปัญหาไม่ค่อยได้ยินเวลาโทรมา แต่ถ้าโทรไปก็ชัดแจ๋วเลยละ สงสัยโทรศัพท์ไม่อยากให้เสียเงินเยอะเลยแกล้งให้ไม่ได้ยินเวลาใช้โทรออก แล้วพี่ทัฟก็ค้นเอาเงินไทยออกมา มีเงินเหรียญเยอะมากๆส่วนใหญ่เป็นเหรียญ5 บาทกับ 10 บาท ฉันไม่รู้พี่ทัฟจะเอาออกมาทำไม ในนั้นก็มีเงิน
เหรียญเซนด้วยอยู่หลายเหรียญเหมือนกัน แล้วพี่ทัฟก็แยกเงินไทยกับดอลล่าห์ พี่ทัฟก็ส่งเงินไทยให้ฉันทั้งหมดเลย มันเยอะมากสงสัยจะเป็นร้อยบาท แล้วฉันก็เอ่ยปากขอเงินเหรียญเซนจากพี่ทัฟพี่ทัฟก็ถามว่าอยากได้หรอ ฉันก็ตอบว่าใช้ฉันอยากได้แค่เหรียญเดียวแต่พี่ทัฟให้ฉันมาหมดเลย สรุปเงินที่เอาออกมาทั้งหมด ทั้งแบงค์ทั้งเหรียญอยู่ที่ฉันหมดเลย
พี่ทัฟบอกฉันว่าต้องรีบไปแล้ว และถามฉันอีกว่าจะเปลี่ยนใจตอนนี้ได้นะถ้าไม่เปลี่ยนใจตอนนี้หลังจากนี้จะเปลี่ยนใจไม่ได้แล้ว ฉันรู้สึกแปลกกับคำพูดนี้ทำไมเค้าต้องถามอีกหรือว่าไม่เชื่อที่ฉันบอกเค้าแต่แรก ฉันจึงตอบไปว่าไม่หรอก แล้วเราก็กอดกันแน่นเลย จูบกันด้วยเหมือนในหนัง
รักโรแมนติก ที่เวลาพระเอกกับนางเอกจะต้องจากกันไป พี่ทัฟบอกฉันว่า รักน้องยุ่ยนะ แล้วก็ให้อาทิตย์กับมีนามาสวัสดีฉันก่อน มีนายกมือไหว้ฉันแต่อาทิตย์ทำท่าอายๆแล้วยกมือแล้วพูดว่า
บายบ้าย แบบเขินๆอายๆไม่กล้าสบตาฉันด้วย
พี่ทัฟก็เดินพาหลานเข้าไป ระหว่างที่เดินก็หันมามองฉันตลอดฉันก็ยืนมองจนที่ทัฟหายเข้าไปข้างใน ฉันจึงเดินออกจากตรงนั้นระหว่างที่เดินไปฉันก็เหลือบเห็นที่ทัฟกับหลานๆตรงช่องทางเดินฉันก็มองแต่พี่ทัฟไม่ได้หันกลับมาจึงไม่เห็นเพราะเป็นช่องที่อยู่เยื่องกลับช่องที่พี่ทัฟเดินเข้าไป ฉันจึงเดินต่อไปเพื่อหาทางออก พอฉันหันหลังกลับไป เห็นพี่ทัฟ มีนาและอาทิตย์กำลังชโงกหัวออกมามองหาฉันที่ช่องทางเข้าก่อนนี้ ทั้งที่เดินเข้าไปแล้วแต่ก็เดินกลับมาหาฉันอีก แล้วเราสองคนก็ต้องต่างคนจากต้องเดินทางห่างไกลกันไปเรื่อยๆ ฉันเดินไปขึ้นรถแท็กซี่กลับหอพัก ส่วนพี่ทัฟนั่งเครื่องบินไปทำงานที่เขมรแล้วก็กลับอเมริกา
เรามีเวลาได้เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงซึ่งมันเป็นเวลาที่มีค่ามาก เป็นวันที่เรารอมาเกือบปี วันที่เราได้เจอกัน ได้เจอคนที่เรารัก